Revamp ศึกนางฟ้าสยบทวยเทพ
เขียนโดย CyCloEclipse
วันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2556 เวลา 16.32 น.
แก้ไขเมื่อ 27 กันยายน พ.ศ. 2556 13.00 น. โดย เจ้าของนิยาย
21) แสงตะวันอ่อนแรง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ การต่อสู้ระหว่างเทพตกสวรรค์และปีศาจได้ดำเนินต่อไปแม้ว่าในขณะนั้นสาวน้อยเทพตกสวรรค์ที่ไม่มีกำลังใจที่จะต่อสู้เหลืออยู่นับตั้งแต่การต่อสู้กับจอมปีศาจแห่งขุมนรกเมื่อไม่นานมานี้จะกลายเป็นฝ่ายกวัดแกว่งดาบศักดิ์สิทธิ์ในกำมืออย่างไร้เป้าหมายก่อนจะถูกเล่นงานยับเยินก็ตาม
เจ้าปีศาจลูกครึ่งมนุษย์ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดสลักความทรงจำที่แสนบอบช้ำของตัวเองลงบนผิวหนังที่อ่อนนุ่มของเด็กสาวที่เดินทางมาเป็นระยะทางไกลเพื่อรับฟังความเจ็บปวดเมื่อครั้งอดีตของมันเลยแม้แต่น้อย
เริ่มด้วยเรื่องที่ตระกูลแวมไพร์เป็นปีศาจชนชั้นสูงในบรรดาปีศาจที่ปกครองทุกเผ่าพันธุ์บนพื้นโลกทั้งมวล และ'เฮนรี่ ฟรีแมน' ผู้เป็นบิดาของเอลรอสนั้นเรียกได้ว่าเป็นความภาคภูมิใจสูงสุดของเหล่าแวมไพร์ที่เป็นปีศาจตัวแรกที่สามารถครองครองอาวุธศักดิ์สิทธิ์เป็นคนแรกในประวัติศาสตร์
แต่แล้วผู้ที่เคยก้าวไปถึงจุดสูงสุดของเหล่าปีศาจบนโลกดังเฮนรี่ก็ได้ก่อเรื่องร้ายแรงตรงที่เขาเลือกจะไม่จัดการกับเหยื่อของเขาที่ถูกตระเตรียมเอาไว้เป็นการฉลองทายาทคนต่อไป อีกทั้งยังปล่อยตัวมนุษย์ที่ถูกคุมขังเอาไว้ในปราสาทแวมไพร์ทั้งหมดอีกด้วย ซึ่งนั่นได้ทำให้ผู้นำตระกูลขณะนั้นโกรธและขับไล่ออกจากตระกูลจนต้องแฝงตัวกลมกลืนกับพวกมนุษย์
ซึ่งนั่นเองที่ทำให้เฮนรี่ทนความกระหายไม่ได้ต้องหาเหยื่อประทังชีวิตโดยจะเลือกเฉพาะคนที่ถึงที่ตายแล้วเท่านั้น จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้พบกับสาวน้อยสายเลือดมนุษย์คนหนึ่งที่ชะตาถึงฆาตแล้ว แต่แล้วเฮนรี่กลับสังหารเธอไม่ลงเนื่องด้วยเวลาที่เธอคนนั้นจะต้องตายคือเวลาที่เธอให้การรักษาบาดแผลที่ถูกมือปราบมารหนุ่มคนหนึ่งทำร้าย จนในที่สุดทั้งสองคนก็ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันในฐานะคนรัก
แต่แล้วโชคชะตาก็ได้เล่นตลกกับทั้งสองเมื่อเรื่องที่เฮนรี่เป็นแวมไพร์ถูกเปิดเผยในคืนที่ลูกของทั้งสองถือกำเนิดขึ้นมา พวกชาวบ้านไม่สามารถจัดการกับเฮนรี่ได้เนื่องด้วยสายเลือดแวมไพร์ในตัว เช่นนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะทำลายจิตใจของเฮนรี่แทนด้วยการเผาภรรยาของเขาทั้งเป็น
และในที่สุดเฮนรี่ก็ได้ตามคนรักของเขาไปยังประตูยมโลกเมื่อมือปราบมารหนุ่มที่สามารถทำร้ายเขาได้เมื่อครั้งก่อนตามมาสังหารเขาถึงหมู่บ้าน ซึ่งมือปราบมารคนนั้นไม่มีทางเป็นใครไปได้อีกนอกจาก...
"เอลรอส... ฉันว่านายใจเย็นๆก่อนแล้วค่อยพูดค่อยจากันก็ได้นะ!"
เสียงเด็กสาวที่กำลังส่งเสียงครางด้วยความเจ็บปวดจากกรงเล็บที่เฉือนผิวหนังออกของเอลรอสกำลังสร้างรอยฉีกจำนวนมากบนร่างกายของเธอดังขึ้นมาขัดจังหวะการบรรยายที่แสนยาวนานของปีศาจหนุ่มที่ดูยังไม่น่าจะบรรลุนิติภาวะจนทำให้การโจมตีครั้งต่อไปรุนแรงขึ้นอีกราวกับเป็นการกระตุ้นประสาทโดยไม่ต้องใช้ยาใดๆ
"ฉันเข้าใจว่านายแค้นที่แม่ของนายถูกคนในเมืองนี้ฆ่าตาย นายก็เลยสวมรอยเป็นฆาตกรโหดไล่ฆ่าผู้คนในเมืองนี้เป็นการล้างเลือดให้แม่ของนาย แต่เรื่องพ่อของนายมันไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้นายต้องสวยรอยเป็นแวมไพร์ผู้ถูกขับไล่คนนั้นสร้างความเดือดร้อนให้ผู้คนในหมู่บ้านเลยนี่นา!"
"คนที่ไม่เคยสูญเสียสิ่งที่มีค่าของตัวเองให้กับความเกลียดชังของมนุษย์น่ะไม่มีสิทธิ์พูดอะไรทั้งนั้น โดยเฉพาะลูกสาวของมือปราบมารคนนั้นอย่างเธอ!!"
"ฟังฉันก่อนสิเอลรอส นายไม่จำเป็นจะต้องสร้างวงจรความเกลียดชังไปมากกว่านี้แล้ว ถ้านายยังจะดื้อด้านล้างแค้นต่อไป...คนที่จะต้องตายเป็นคนต่อไปของตระกูลแวมไพร์ก็คือนายเองนะ!!"
"ฉันไม่สน!! ถ้าการกระทำของฉันจะทำให้ดวงวิญญาณของแม่ฉันไปสู่สุคติได้ละก็...ต่อให้ต้องฆ่ามนุษย์ให้หมดทั้งโลกฉันก็จะทำ!! แต่ก่อนหน้านั้นฉันต้องหุบปากเทพตกสวรรค์ปากดีที่อยู่ตรงหน้าซะก่อน"
เอลรอสเริ่มหน้ามืดจากความอาฆาตที่สุมแน่นอยู่ในอกที่มีโอกาสระบายออกมาเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่มันเริ่มก่อตัวขึ้นมาเมื่อยังเป็นเพียงเด็กไม่รู้ประสาเร่งความเร็วในการจู่โจมให้รวดเร็วยิ่งขึ้นจนเรอามองตามความเร็วดั่งลมพายุไม่ทัน แต่ไม่รู้ว่าเพราะความบ้าที่สูญเสียที่ระบายนับตั้งแต่เธอต้องแยกจากเพื่อนทั้งสองคนของเธอหรือเปล่า
แต่ในขณะที่กรงเล็บที่พร้อมจะฉีกร่างของคู่ต่อสู้ตรงหน้าของเอลรอสกำลังพุ่งตรงเข้าหาตัวเธอนั้นเอง... เรอาก็ปล่อยมือออกจากดาบศักดิ์สิทธิ์ตั้งท่าต่อสู้มือเปล่าในทันที
"บ้าเลือดไปแล้วหรือไงถึงได้วางดาบของเธอลงแบบนั้น... แต่ถึงคิดจะยอมแพ้ฉันก็ไม่ปล่อยเธอเอาไว้หรอกนะ!!"
เสียงแหวกอากาศของปีศาจและจังหวะถอยเท้าของเทพตกสวรรค์เริ่มลดระยะห่างลงทุกขณะ และในจังหวะที่ร่างของทั้งสองกำลังจะสวนกันนั้นเอง เสียงอ่อนๆของเด็กสาวก็ดังขึ้นมาปะทะกับใบหูของเด็กหนุ่มจนการเหวี่ยงมือของเขาเป็นไปได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น
"งั้นเองสินะ... แปลว่าที่ผ่านมานายไม่เคยมีเพื่อนเลยแม้แต่คนเดียวใช่ไหม?"
หางคิ้วของเด็กหนุ่มกระตุกขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับอุ้งมือแผ่เกร็งที่กำเข้าหากันโดยอัตโนมัติพุ่งเข้าปะทะกับหมัดตรงของเด็กสาวในจังหวะพอดีกันจนเกิดเป็นคลื่นเสียงดังก้องไปรอบบริเวณ แต่น่าเสียดายมากที่พวกชาวบ้านที่เอาแต่หมกตัวอยู่แต่ในห้องปิดไม่มีแม้แต่โอกาสได้ยินเสียงที่เสนาะหูนั้น
และในตอนนั้นเองที่เอลรอสสังเกตเห็นดวงตาที่เคยก้มลงมองแต่พื้นดินด้านล่างของเด็กสาวค่อยๆเงยขึ้นมาจากตำแหน่งเดิมจนสบเข้ากับความรู้สึกภายในด้วยกันทั้งสองฝ่ายจนเอลรอสต้องกระโดดหลบไปด้านหลังให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
เพราะท่อนขาที่ถูกยกขึ้นมาจากพื้นขึ้นไปกลางอากาศอย่างรวดเร็วจนแทบจะมองตามไม่ทันของเรอากำลังจะกระแทกเข้ากับช่องท้องของเขาแล้วนั่นเอง
"ดาบศักดิ์สิทธิ์ ดูอัล คอนทรารี่!!"
และยังเป็นจังหวะเดียวกับที่เรอากระโดดหมุนตัวไปด้านหลังหลังจากที่ขาซ้ายของเธอขึ้นไปสู่ระดับสูงสุดพร้อมกับลำแสงสีม่วงเจือขาวยื่นออกมาจากมือทั้งสองข้างกลายเป็นดาบคู่เข้าฟาดฟันกับเอลรอสที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศอีกด้วย
"ในเมื่อนายไม่คิดจะระงับความเกลียดชังที่กำลังพลุ่งพล่านอยู่... ฉันก็จะไม่ข่มความรู้สึกอยากฆ่าที่กำลังปะทุอยู่ในใจเหมือนกัน!!"
เรอากวัดแกว่งดาบคู่ในมือให้หลุดออกจากพันธนาการของพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ยับยั้งการปรากฏขึ้นมาอย่างไม่ชอบธรรมอย่างสุดความสามารถจนสามารถควบคุมอาวุธของเธอได้อย่างมั่นคงพร้อมทั้งฟาดคมดาบใส่ปีศาจที่เร่งเร้าความรู้สึกเกลียดชังในใจอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าการโจมตีของเธอทั้งหมดจะไม่สามารถเข้าถึงตัวของมันได้เลยก็ตาม
"ความเร็วนับว่าไม่เลวเลยสำหรับเทพตกสวรรค์เลือดผสม... ถ้าเธอทำได้ถึงขนาดนั้นแค่ต่อสู้กับฉันกลางอากาศก็คงทำได้ไม่ยากสินะ!"
เอลรอสรู้ตัวดีว่าเขาไม่สามารถเล่นงานเรอาได้ในการต่อสู้ประชิดตัวโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการต่อสู้บนพื้นดินที่สามารถหลบได้เพียงซ้ายขวาหน้าหลังเท่านั้น เช่นนั้นเองที่ทำให้เขาต้องเปลี่ยนการเคลื่อนไหวจากในระดับสองมิติไปเป็นสามมิติอย่างช่วยไม่ได้ แม้ว่าเอลรอสอยากจะเอาชนะเรอาอย่างใสสะอาดมากกว่าก็ตาม
"ถ้าเธอไม่ได้ถูกสายเลือดของมนุษย์กลืนกินไปจนหมดสิ้นความเป็นเทพตกสวรรค์ไปแล้ว แค่บินตามขึ้นมาเล่นงานฉันคงจะไม่ใช่เรื่องยากใช่ไหม!"
"มันไม่เกี่ยวกับเรื่องสายเลือดหรืออะไรทั้งนั้นแหละ! แต่ปีกของฉันน่ะถูก..!"
เรอาสงบคำพูดลงทันทีก่อนที่จะถึงประโยคที่ไม่น่านึกถึงจะหลุดออกมาจากความคิดของเธอกลายมาเป็นคำพูดที่ไม่ได้กลั่นกรองใดๆ ซึ่งนั่นก็ทำให้เอลรอสรู้สึกประทับใจอย่างประหลาดอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาตลอดทั้งชีวิต
"อืม... ก็นั่นน่ะสินะ ในเมื่อระดับเทพตกสวรรค์ที่ประสานพลังศักดิ์สิทธิ์และบาปต่างๆเข้าด้วยกันแค่ยืนต่อสู้บนพื้นดินก็สามารถเอาชนะปีศาจที่เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระกลางอากาศอยู่แล้วนี่นะ!"
เอลรอสขยายโครงปีกที่มีกระดูกยึดเป็นแกนหลักออกกว้างเพื่ออาศัยแรงจากลมบนในการไต่ระดับขึ้นไปบนท้องฟ้าในการเพิ่มระยะห่างเพื่อที่จะเร่งความเร็วในการฉีกร่างของคู่ต่อสู้ให้กลายเป็นชิ้นๆด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว และในขณะเดียวกันก็เป็นจังหวะเหมาะให้เรอาทำการใช้พลังศักดิ์สิทธิ์สวนกลับเช่นกัน
และในตอนนี้ในมือขวาของเรอาก็มีลูกพลังศักดิ์สิทธิ์ที่รวบรวมเอาไว้ที่จุดๆเดียวพร้อมจะปล่อยออกไปเล่นงานคู่ต่อสู้ของเธอเป็นที่เรียบร้อย แม้ว่ามันจะยังเป็นเพียงกลุ่มหมอกละอองแสงที่ยังไม่รวมตัวเป็นลูกกลมๆแบบที่เมโรเน่สามารถทำได้ก็ตาม...
"พลังศักดิ์สิทธิ์ระดับนี้...คงพอจะฆ่านายได้แล้วนะ!!"
เสียงร้องด้วยความฮึกเหิมและจิตสังหารที่กำลังหาที่ระบายถูกเร่งขึ้นจนได้ยินทั่วถึงกันไปทั้งหมู่บ้านซึ่งน่าเสียดายที่บังเอิญถูกกลบไปด้วยสายลมที่พัดอย่างรุนแรงในขณะนั้น ระหว่างที่เอลรอสกำลังมองหาจังหวะเหมาะในการบุกลงไปนั้นเอง... เรอาที่ทนไม่ไหวก็เป็นฝ่ายบุกเข้าไปหาก่อน
แม้ว่าตอนนี้เธอจะไม่สามารถบินขึ้นไปบนท้องได้อีกต่อไปแล้วก็ตาม
"ย้าก!....!!"
ฝ่ามือของเทพตกสวรรค์สาวเหวี่ยงออกอย่างสุดกำลังจนกลุ่มหมอกพลังศักดิ์สิทธิ์ที่สะสมเอาไว้พุ่งตรงออกไปจนกลายเป็นสะเก็ดดาวยามกลางวันเข้าหาร่างของแวมไพร์ที่กำลังบินลงมายังร่างของเธอราวกับกระสุนลูกปรายที่พร้อมจะฝังลงไปบนทุกสิ่งที่เข้ามาขวางแนวกระสุนของมันตลอดเวลา ซึ่งด้วยระยะห่างที่มากเกินไประหว่างทั้งสองก็ทำให้เอลรอสสามารถหลบไอพลังศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างง่ายดาย
เว้นแต่ว่าด้วยวงการโจมตีของพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ยังไม่รวมเป็นลูกพลังเล็กๆของเรอานั้นได้สร้างบาดแผลที่แขนซ้ายของเอลรอสเป็นแผลไหม้ถากๆ
"น่าเสียดายนะเรอา แต่ฉันไม่มีทางถูกเธอจัดการในระยะห่างขนาดนี้หรอก"
"งั้นหรอกเหรอ ถ้าอย่างนั้นในระยะห่างประมาณนี้ล่ะ!"
ราวกับลางสังหรณ์แห่งนักล่าที่หลับใหลอยู่ในสายเลือดของมนุษย์ได้ลืมตาขึ้นมาในระหว่างที่กำลังต่อสู้แลกหมัดกันไม่มีผิด ช่วงเวลาที่ทั้งสองเข้าประชิดตัวอีกฝ่ายได้หลังจากที่แวมไพร์หนุ่มใช้การบินฉวัดเฉวียนเพื่อเพิ่มความเร็วในการปล่อยหมัด
กับเทพตกสวรรค์สาวอาศัยเวลาในช่วงนั้นในการสร้างหมอกพลังศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งกระโดดเข้าหาคู่ต่อสู้เพื่อใช้แรงส่งจากหมัดของเธอในการฝังพลังสังหารปีศาจเข้าไปในร่างของเขานั้นกำลังจะเข้าสู่ช่วงที่เรียกว่า "ยายกินลำใย น้ำหมากฮีโมโกลบินยายไหลย้อย".... สายตาที่เร็วเกินกว่ามนุษย์เดินดินของเรอาก็มองเห็นความเคลื่อนไหวแปลกๆที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ในระหว่างนั้น
เป็นจักษุสัมผัสที่เธอไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นขณะนั้นแม้แต่น้อย...
ภาพทุกอย่างที่เห็นผ่านดวงตาของเธอกำลังมืดลงเรื่อยๆราวกับแสงอาทิตย์ที่ส่องลงมาตลอดทั้งวันถูกอะไรบางอย่างบดบังจนกลายเป็นแสงที่มีความสว่างลงน้อยลง ทั้งๆที่ในระหว่างที่เธอกำลังสังเกตการเคลื่อนไหวของเอลรอสอยู่นั้นก็ไม่ได้มีก้อนเมฆลอยอยู่บนท้องฟ้าสักก้อนเดียว
"แบบนี้ท่าจะแย่แฮะ!"
เปรี้ยง..!!!!!
และด้วยแรงปะทะจากการโจมตีสวนกันของทั้งสองฝ่ายก็ได้ทำให้ของเหลวที่มีสีสันน่าลุ่มหลงไหลทะลักออกจากทวารอาหารเข้าเป็นสายรุ้งที่มีเพียงสีเดียวกระจายไปกลางอากาศราวกับหยาดฝนที่ตกลงมาเพียงพื้นที่ไม่ถึงตารางเมตร และหลังจากที่ทั้งสองลงถึงพื้นดินแล้วนั้น...
ร่างของนักมวยฝ่ายหนึ่งก็ทรุดลงกับพื้นพร้อมกับมือทั้งสองข้างที่กุมเอาไว้บนหน้าอกเพื่อห้ามเลือดที่กำลังไหลออกมาราวกับไขก๊อกน้ำไม่ให้ไหลออกมาเร็วนัก สีหน้าของนักสู้คนนั้นถอดสีด้วยความเจ็บปวดอย่างรุนแรง
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ