Half Blood Knight : เปิดตำนาน อัศวินสองพันธุ์
เขียนโดย Fenris
วันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2556 เวลา 19.07 น.
แก้ไขเมื่อ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2556 19.14 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) ตอนที่ 2 วิ่ง-สู้-ฟัด
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 2 วิ่ง-สู้-ฟัด
ทันทีที่ข้าก้าวเท้าออกไปคมดาบมากมายก็ยื่นมาจ่อคอข้ากันอย่างพร้อมเพรียง มายืนรอต้อนรับกันอย่างที่คิด แต่ด้วยจำนวนทหารสี่ห้าคนนี่น้อยไปหน่อยนะว่าไหม คงคิดว่าแค่นี้จะจัดการข้าได้งั้นสิ ข้ายืนนิ่งพลางส่งสายตาเย็นเยียบไปให้ หนึ่งในนั้นสะดุ้ง ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็ไอ้คนที่ข้าเจอในทางใต้ดินทำจนสลบนั่นแหละ
“แกเป็นใคร มาทำอะไรที่นี่” คนตรงหน้าข้าพูดขึ้น และดันอาวุธเข้ามาใกล้อีก
จ่อซะชิดอย่างนี้ข้าแนะนำให้ทิ่มเลยดีกว่านะ
ข้าปรายตามองเล็กน้อย “ข้าเหรอ” แล้วแสยะยิ้มให้ “ไม่จำเป็นต้องรู้”
ว่าจบข้าก็จัดการเตะหอกของนายนั่นมักระเด็นออกไปจากมือ แล้วต่อด้วยการถีบไปที่กลางอกจนเขากระเด็นไปกระแทกกำแพง แรงจนมันยุบลงไปไปวงกว้าง
เอิ่ม... ข้าว่าข้าออมแรงแล้วนะ หวังว่าจะไม่ช้ำในตายซะล่ะ
เคร้ง
ข้าก้มตัวหลบอาวุธที่ต่างพร้อมใจกันฟันลงมา และผลสุดท้ายคือมันขัดกัน หึ คนเยอะก็เป็นอย่างนี้แหละ แล้วกวาดเท้าเตะจนเสียการทรงตัวล้มกันระนาว รอช้าอยู่ใย ข้าจับมือโรมวิ่งข้ามร่างของทหารนั่น เผ่นสิครับ
“เฮ้ย! จับมัน”
ช้าไปต๋อย ข้าหันหลังกลับวางมือลงบนพื้น เกิดแสงสว่างวาบที่มือแท่งน้ำแข็งหนาโผล่พ้นออกมาจากพื้นขึ้นมากลายกำแพงขวางทางเดินไว้ ข้ายืนมองไอพวกทหารที่กล้าเอาดาบมาจ่อคอข้าร้องโวยวายยกอาวุธขึ้นพยายามพังน้ำแข็งที่ข้าสร้างขึ้นมา แต่เสียใจมันพังไม่ได้ง่าย ๆ หรอกโว้ย ฮ่า ๆๆ แล้วข้าก็หันหลังจับมือโรมออกวิ่งไปตามทาง
พื้นที่ถูกปูด้วยพรมสีเลือดหมู ภาพวาดราคาแพงต่าง ๆ นานาถูกประดับตามผนังเป็นช่วง ๆ แจกันราคาแพง โต๊ะราคาแพ รูปปั้นราคาแพง ของตกแต่งราคาแพง และประตูห้องมากมาย กับทางเดินที่แสนจะเขาวงกต ดูยังไง ๆ ก็เป็นคฤหาสน์ของคนมีกะตังชัด ๆ แล้วคนมีเงินจะจับตัวเด็กมาเรียกค่าไถ่ทำเพื่อ?
ข้าเอาตัวชิดผนังตรงทางแยกค่อย ๆ ยื่นหน้าออกไปดูวี่แวว ทหารที่ใส่ชุดเกราะและเครื่องแบบเดียวกันสองสามคนกำลังเดินมาทางนี้ แต่ยังไม่ทันที่ข้าจะได้ลงมือทำอะไรหางตาก็เหลือบไปเห็นหัวทอง ๆ อยู่ด้านข้างจนข้าต้องก้มมาดูคว้าคอเจ้าเด็กโรมที่กำลังจะโผล่หน้าออกไปไว้แทบไม่ทัน ข้าจับเขามาพิงกำแพงตั้งท่าอ้าปากจะดุซะหน่อย แต่พอเห็นหน้าใสซื่อจ้องมองข้าตาแป๋วแล้วก็ ...เฮ้อ ไม่กล้าดุ
“อยู่ตรงนี้นิ่ง ๆ” ข้าบอกโรมเบา ๆ เด็กชายพยักหน้ารับงึก ๆ อย่างเข้าใจแถมด้วยการฉีกยิ้มมาให้อีก นั่นทำให้ข้าถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ ข้าย่อตัวลงยื่นหน้าออกไปอีกครั้ง แต่คราวนี้โรมยืนมองข้าเก็บความอยากรู้อยากเห็นไว้แล้วอยู่เฉย ๆ อย่างว่าง่าย ข้ามองเป้าหมายตั้งสมาธิชี้นิ้วเล็งไปที่พื้นตำแหน่งที่พวกทหารนั่นเดินอยู่ แล้วก็
โครม!
พื้นพรมสีเลือดหมูถูกเคลือบด้วยน้ำแข็งเป็นวงกว้าง ร่างในชุดเกราะลื่นล้มหงายหลังแทบจะในทันที ข้าอาศัยจังหวะที่พวกนั้นลุกขึ้นยืนวิ่งเข้าต่อยคนที่ลุกขึ้นมาก่อนอย่างรวดเร็วจนกระเด็น แล้ววาดเท้าเตะอีกคนที่อยู่ด้านข้าง เบี่ยงตัวหลบดาบก่อนจะชกสวนกลับไปกระแทกกราม การต่อสู้จบลงอย่างรวดเร็ว แน่นิ่งสลบเหมือนกันเป็นแถว
“โรม มานี่มา ออกมาได้แล้ว” ข้าเรียก เด็กน้อยโรมยื่นหน้าออกมาแล้ววิ่งมาหาข้า
“ว้าว” เขาร้องออกมาพลางมองข้าที่กำลังจัดการตรึงร่างของคนที่ข้าเพิ่งซัดไปด้วยการสร้างน้ำแข็งคล้องมือยึดไว้กับพื้น
“พี่เรย์เก่งจังเลย” พูดแล้วก็มองข้าตาวาวเป็นประกายวิ้ง ๆ ซึ่งข้ายิ้มรับคำนั้น อันที่จริงข้าก็ไม่ได้เก่งอะไรมากนักหรอก แค่ไอพวกนี้มันอ่อนเกินไปต่างหาก มันทำให้ข้ารู้สึกเหมือนตัวเองรังแกเขาอยู่ฝ่ายเดียวยังไงไม่รู้
“เจอตัวแล้ว! จับมันไว้!” เสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นจากด้านข้าง ตอนนี้มันคงรู้กันหมดแล้วมั้งว่ามีข้าเป็นผู้บุกรุก ถึงได้แห่กันมาเพียบอย่างกับมดยกพวกมากินของหวานงั้นแหละ จะให้ข้าซัดกับเจ้าพวกนี้ก็ขอบายเปลืองแรงซะเปล่า ๆ เชื่อสิ มันก็เหมือนเราไปนั่งตบมดทั้งฝูงนั่นแหละ สู้เอาแรงไปวิ่งหาทางออกแล้วชิ่งดีกว่าเยอะ
ข้าพาโรมวิ่งย้อนกลับไปทางเก่าแต่ก็จ๊ะเอ๋กับกองทหารที่พากันวิ่งตะบึงเข้ามาราวกับวัวบ้า ข้าหันซ้ายหันขวาไม่ว่าทางไหนก็เจอแต่ฝูงคน ข้าเลยตัดสินใจวิ่งเลี้ยวไปอีกทาง ผ่านบันไดขึ้นชั้นสองแต่ข้าไม่สนใจ
บันไดขึ้นชั้นสองแล้วไง ข้าอยากออกจากที่นี่ไม่ใช่ไปสำรวจต่อที่ชั้นสองเฟ้ย!
แต่แล้วข้าก็ต้องเบรกตัวโก่งเมื่อข้างหน้านั้นก็มีทหารวิ่งมา ข้าถอยหลังกลับไปที่บันได เอี้ยวตัวหลบดาบที่ฟันมาก่อนจะถีบเข้าไปที่ยอดอก ต่อด้วยการสร้างลิ่มน้ำแข็งซัดใส่ไอพวกข้างหลัง ข้ากลับหลังหันดันตัวโรมไปให้ขึ้นบันไดไป แล้วกระโดดหลบดาบของอีกคนตามด้วยเตะไปก้านคอจนกระเด็น แล้ววิ่งไปคว้ามือโรมขึ้นชั้นสอง
ให้ตาย ถ้าไม่ติดว่ามีเด็ก กลัวว่าจะสร้างภาพไม่งามตาติดตรึงสมองไป และไม่ติดที่ว่าร่างกายไม่ค่อยเอื้ออำนวยเท่าไหร่นะ พ่อจะล้างบางมันทั้งบ้านเลยคอยดู
แล้วข้าก็วิ่งไปพลางซัดกับไอ้พวกทหารบ้านี่ไปพลาง โผล่มากันได้ไม่หยุดหย่อน และตอนนี้ข้าก็ชักจะหลงแล้วนะ จะลงไปได้แล้วสุดท้ายก็ต้องขึ้นอีกตามเคย เหนื่อยก็เหนื่อยแถมตอนนี้ก็ชักจะกรอบไปทั้งตัวตาใกล้จะปิดอยู่รอมร่อ แผลที่เริ่มสมานก็ชักจะปริ ๆ จนเจ็บแสบ เฮ้อ ชีวิต! ข้าอยากนอนโว้ย โดดหน้าต่างตายให้รู้แล้วรู้รอดเลยดีไหมเนี่ย
......
......
เออเนอะ ทำไมข้าไปโดดหน้าต่างลงไปฟะ โง่วิ่งหาทางออกอยู่ได้ตั้งนาน
หันซ้ายหันขวาทางโล่ง ไร้พวกก่อกวน ข้าจับโรมที่ข้าเกือบจะลืมหลาย ๆ รอบมาไว้ด้านหน้าข้า รู้ไหมเจ้าเด็กนี่นิ่งเงียบตั้งแต่ที่ข้าพาวิ่ง เงียบซะจนข้านึกว่าเป็นใบ้ แทบจะไร้ตัวตนจนข้าเกือบลืมไปหลายครั้งหลายคราถ้าไม่ติดว่าเขาจับมือข้าซะแน่นน่ะนะ
เปิดหน้าต่างบานใหญ่แล้วชะโงกหน้าออกไปดู ตอนนี้เราอยู่ชั้นสี่ รู้สึกตกใจกับตัวเองที่เผลอวิ่งขึ้นมาตั้งหลายชั้น ข้าง ๆ กันนั้นที่ชั้นสามมีระเบียบยื่นออกมาอยู่ ระยะห่างมากพอที่จะกระโดดไปถึงได้ ไม่มีเวลาให้ข้าหาตัวเลือกอื่นนานนักเมื่อเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา ข้าหน่วงเวทย์ไว้ในมือ ปีนบนไปบนหน้าต่างแล้วอุ้มตัวโรมขึ้นมา
“เกาะให้แน่น ๆ ล่ะ” ข้าบอกเขาเบา ๆ เด็กน้อยกอดคอข้าแน่นพลางส่งเสียงตอบรับในลำคอ แม้ข้าจะเคยทำแบบนี้มาเป็นร้อย แต่นั่นก็เป็นในตอนนี้ข้าตัวเปล่าไม่ได้มีเด็กห้อยติดอยู่อย่างนี้ ข้ารู้ว่าเขากลัวในสิ่งที่ข้ากำลังจะทำ แต่ข้าเชื่อว่าข้าทำได้และไม่มีทางปล่อยเขาตกลงไปอย่างเด็ดขาด และข้ารู้สึกได้ว่าโรมก็เชื่อในตัวข้าเช่นกัน
...ถึงจะกอดข้าแน่นจนหายใจไม่ค่อยออกก็เถอะ
“เอาล่ะนะ” ข้ากระชับตัวโรมเข้ามาให้แน่นกว่าเดิม แล้วออกแรงกระโดดไปสุดแรง
“เหวอ” เท้าเหยียบลงบนขอบระเบียงโดยสวัสดิภาพ ข้าร้องเสียงหลงพยายามทรงตัวบนพื้นที่อันน้อยนิด นับโชคยังพอเข้าข้างข้าบ้างที่ไม่ตกลงไป ข้าวางตัวโรมลงแล้วมองไปทางหน้าต่างที่มีทหารมายืนออกันตรึมพร้อมกับเสียงเอะอะโวยวายตามสเต็ป ก่อนจะปาลูกบอลเวทย์ที่ข้าหน่วงไว้ในมือไปให้
ลูกบอลเวทย์ที่เปล่งแสงสว่างนวล ๆ ออกมาหลุดออกไปจากมือ มันลอยคว้างวาดเส้นโค้งอย่างสวยงามเข้าประตูสู่จุดหมาย และ...
“อ๊ากกกกกกกก”
เอามือปิดหูโรมไว้พลางนั่งฟังเสียงโหยหวนที่ดังออกมาไปพลาง อา... มันรู้สึกดีจังที่ได้ฟังเสียงนี้ เวลาเก็บกดมาก ๆ แล้วเอาคืนมันดีอย่างนี้นี่เอง คิดว่าน่าจะไม่มีใครตายเพราะมันเป็นเวทย์ชั้นล่างที่ผลลัพธ์ของมันอาจจะมีจำนวนมากสักหน่อย ก็นะ... แค่แท่งน้ำแข็งไม่เท่าไหร่เอง
แล้วเสียงร้องหยุดลง จะเหลือก็เพียงแต่เสียงโอดโอยที่ดังแว่ว ๆ มาเท่านั้น ข้าลงนั่งยอง ๆ ให้โรมขึ้นขี่หลัง เดินตรงไปที่ต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านกินเนื้อที่ระเบียงไปหน่อยแล้วปีนลงไปอย่างช้า ๆ
ฟุบ
ทิ้งตัวลงพื้นอย่างสวยงาม แล้วพาโรมไปหลบในพุ่มไม้แถวนั้น ก่อนจะเดินออกมาดูลาดราวรอบ ๆ
ทั่วทุกด้านต่างมืดครึมและเต็มไปด้วยต้นไม้ดอกไม้ที่ถูกจัดตกแต่งพุ่มไว้ แม้มันจะถูกตัดอย่างสวยงามเพียงใดแต่มันก็มืดเสียจนมองอะไรแทบไม่เห็นอะไร มีเพียงแสงไฟสลัว ๆ ที่ส่องมาจากตัวคฤหาสน์ และโคมไฟประดับสวนเท่านั้น
บรรยากาศรอบข้างสุดแสนเงียบวังเวง อากาศเย็นซะจนหายใจออกมาเป็นไอ สภาพรอบด้านที่ดูยังไงก็ไม่ใกล้เคียงกับหน้าคฤหาสน์เลยสักนิด แต่มันตรงกันข้าม
นี่มันหลังคฤหาสน์ชัด ๆ
“ให้ตาย เมื่อไหร่ข้าจะได้นอนเนี่ย” บอกตามตรงตอนนี้ข้าแทบจะร่วง กรอบไปทั้งตัว ไม่ต้องแปลกใจเลยถ้าอยู่ ๆ ข้าจะสลบเหมือดลงไปกองกับพื้น แต่ก็มันดันติดอยู่ที่ว่าข้ายังนอนไม่ได้เนี่ยสิ เพราะข้ายังต้องพาเจ้าเด็กโรมไปส่งบ้านก่อน แล้วไหนจะต้องหาที่พักสำหรับคืนนี้อีก
เฮ้อ...
“เฮ้ยแกน่ะ!!”
ข้าสะดุ้งสุดตัวกับเสียงอันดังลั่นราวกับฟ้าแตก หันขวับไปมองทันทีจนคอแทบจะเคล็ด ร่างเงาตะคุ้มย้อนแสงจันทร์ของใครบางคนยืนอยู่ตรงนั้นไม่ไกลพร้อมกับจิตสังหารที่พุ่งมาอย่างรุนแรง แถมยังถูกส่งมาให้ข้าโดยเฉพาะเสียด้วยสิ สงสัยท่าทางรายนี้จะไม่หมูกระจอกงอกง่อยเหมือนไอ้พวกบ้าในคฤหาสน์ ถ้าเป็นข้าตอนปกติคงจะยินดีไม่น้อยที่มีคนเก่ง ๆ โผล่ออกมา แต่ขอทีเถอะสภาพข้าแบบนี้อย่าโผล่มาได้ไหม!
เฮ้อ ดูท่าคืนนี้ของข้าจะยังอีกยาวไกล อ้าว ก็ดูพี่แกดิ ดู! พี่ท่านเล่นยกดาบยักษ์ในมือชี้หน้าข้าแล้วเนี่ย!
ให้ตายเถอะ! เมื่อไหร่ข้าจะได้ไปนอนวะครับ!
ข้าอยากนอนโว้ย!!
......
ข้ายืนนิ่งไม่ขยับไปไหนขณะที่อีกฝ่ายก็ไม่ต่างกัน ถึงแม้ฝ่ายนั้นจะส่งจิตสังหารมาไม่ขาดและข้าก็ยืนเหงื่อตก หายใจแรงก็ตามที แต่ก็ดีไปอย่างมันทำให้ข้าได้พักบ้างสักนิด และทำให้ข้าได้โอกาสสำรวจดูลักษณะของเขา
ผมสีควันบุหรี่ชี้โด่งชี้เด่ยุ่งไม่เป็นทรง ใบหน้าคม หางตาชี้ขึ้น คิ้วเข้มเฉียงลง กับตาสีเงินขุ่นคมดุ ๆ ที่มองมาทางข้าอย่างโกรธเกรี้ยวราวกับมีความแค้นกับข้าเป็นสิบชาติ แผลเป็นที่คางขนาดกลาง ๆ กับดาบใหญ่ยักษ์ที่ด้านไร้คมถูกหุ้มด้วยสิ่งที่คล้ายเกราะสีดำซ้อน ๆ เรียงกันดูคล้ายเกล็ด ตรงฐานดาบถูกประดับด้วยลูกแก้วสีขาวใสอันใหญ่ บวกกับชุดที่เขาใส่เป็นเหมือนเครื่องแบบอะไรสักอย่าง เสื้อกับกางเกงสีดำขลิบทองถูกทับด้วยชุดเกราะอีกที ที่เด่นที่สุดก็คือเกราะไหล่ใหญ่ข้างซ้ายของเขา พอมาดูรวม ๆ กันแล้วมันยิ่งขับให้ภาพลักษณ์พี่แกเถื่อนยิ่งกว่านักเลงใหญ่เจ้าพ่ออะไรเทือก ๆ นั่นซะอีก
เอ๊ะ เดี๋ยวนะ พี่แกใส่ชุดไม่เหมือนไอ้พวกในคฤหาสน์นั่นนี่หวา เป็นอีกพวกงั้นหรือ ไม่สิเป็นพวกเดียวกันก็ใช่ว่าจะต้องใส่ชุดเหมือนกัน แต่อาจจะเป็นคนที่มาช่วยโรมก็ได้
“แกบังอาจมากนะที่จับตัวองค์ชายมา”
นั่นไง คนที่มาช่วยโรมจริงด้วย! แต่เมื่อกี้เขาเรียกโรมว่าไงนะ องค์ชาย?
......
ห๊ะ! องค์ชาย!! เจ้าหนูโรมเนี่ยนะ!!
“อย่าอยู่เลย!!”
“เฮ้ย เดี๋ยวก่อน ๆ” ข้าก็ยกไม้ยกมือห้ามเป็นพัลวันเมื่อเห็นเขาทั้งท่าจะพุ่งเข้ามา
“ย๊ากกกกก” นอกจากจะไม่ฟังแล้วยังไม่คิดจะฟังด้วย เขาเข้าประชิดตัวข้าอย่างรวดเร็วขณะที่ข้าได้แต่เบิกตากว้างมองดาบยักษ์ที่ฟันลงมา
!!!
เคร้ง!
เสียงดาบกระทบกับน้ำแข็งดังขึ้น ไม่มีเวลาคิดอะไรให้มากมายข้ายกเท้าที่หุ้มด้วยไฟแตะกลับไปทันที เจ้าของดาบกระโดดหลบออกไป ข้าถอยหลังไปสองสามก้าวมองอีกฝ่ายที่ยืนอยู่ไม่ห่าง ตั้งท่าสู้พลางเหลือบมองไปที่แขนขวาของตัวเองแล้วกลืนน้ำลายลงอย่างเสียว ๆ
นี่ข้าทำเพิ่งบ้าอะไรลงไปวะ!
แขนข้างนั้นมันถูกหุ้มด้วยน้ำแข็ง ในช่วงเวลาเพียงเสี้ยวนาทีนึกได้อย่างเดียวว่าต้องหาอะไรกัน รู้สึกตัวอีกทีก็ยกแขนขึ้นไปซะแล้ว ดีที่ไม่บ้าถึงขั้นลืมสร้างน้ำแข็งหุ้ม ไม่งั้นนะไม่อยากจะคิด แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะไอ้น้ำแข็งข้ามันเจ๋งกว่าก็แล้วไป ถ้าดาบไอหมอนี่มันเจ๋งกว่าก็คงได้แขนอาบเลือดกลับบ้านชัวร์ เผลอ ๆ อาจจะไม่ได้แขนกลับบ้านด้วยซ้ำ ถึงกระดูกมังกรจะแข็ง แต่สำหรับข้าก็ไม่รู้เพราะข้าเป็นเพียงแค่ครึ่งมังกร อีกครึ่งหนึ่งของข้าเป็นอะไรนั่นข้าก็ไม่รู้อีกนั่นแหละ แต่มันคงเกี่ยวกับการที่ข้าสามารถใช้เวทย์น้ำแข็งได้ทั้ง ๆ ที่เป็นมังกรไฟล่ะนะ
“ใจเย็น ๆ พี่ ฟังข้าก่อนสิ” ข้าพยายามพูด แต่มือยังไม่ลดการ์ดลง ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่าไหน ๆ แค่เขาวิ่งเข้ามาก่อนหน้านี้ก็เข็ดแล้ว! ถ้าเขายอมลดดาบลงก็กะจะอธิบายให้เข้าใจ แต่... มันก็อีหรอบเดิม ไม่ฟังและไม่คิดจะฟังครับ!
ข้ากระโดดถอยหลังเมื่อไอ้คุณหัวบุหรี่พุ่งเข้ามาอีกครั้ง วาดมือออกไปปรากฏลูกไฟนับสิบขึ้นกลางอากาศ แล้วสั่งให้มันโจมตีเขาทันที
ตูม!
เกิดการระเบิดกลุ่มควันฟุ้งกระจาย ก่อนจะแหวกออกพร้อมกับร่างสวมชุดเกราะกระโดดออกมา ดาบยักษ์ถูกเงื้อขึ้น แต่คราวนี้ข้าไม่คิดจะเอาแขนไปรับอีกแน่
“บอกให้ฟังก่อนไงโว้ย!!” ข้าเบี่ยงตัวหลบยกขาขึ้นวาดตั้งใจจะเตะไปที่ก้านคอ แต่ทันทีที่ขาของชายหัวบุหรี่แตะพื้นนอกจากเขาจะไม่หลบแล้วยังหันดาบฟันมาที่ข้างลำตัวข้าต่อ ทำให้ข้าชะงักและเปลี่ยนมาสร้างน้ำแข็งกันดาบนั่นแทน เปิดโอกาสให้เขาหมุนตัวเข้ามาฟันข้างหลัง ข้าหันไปมองอย่างตกใจ
หลบไม่ทันแล้ว!
“อย่านะ!! พี่เคิร์ท!”
เบรกเอี๊ยดห่างจากหน้าไม่ถึงคืบ ข้าทรุดลงนั่งกับพื้นหอบหายเล็กน้อยเหงื่อแตกพลักใจเต้นระรัว ถ้าเมื่อกี้โรมไม่พูดขึ้นมาละก็...
ไม่อยากจะคิด
คิดแล้วก็กลืนน้ำลายลงคออย่างเสียว ๆ มองเจ้าเด็กโรมที่วิ่งเข้ามากอดไอ้หัวบุหรี่ด้วยหน้าตายิ้มแย้มสุดแสนจะเริงร่าเบิกบานใจแล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
จบเรื่องแล้วสินะ
ดีเหมือนกัน ข้าจะได้ไปหาที่พักแล้วนอนสักที แค่ฝืนสังขารตัวเองมามากเกินพอแล้ว
ข้าลุกขึ้นยืน ก่อนจะเอามือปิดหน้ารู้สึกมึน ๆ หัวมันหมุนแปลก ๆ แถมภาพตรงหน้าก็เบลอไปหมด
เฮ ๆ ทำเท่มาตั้งนานจะมาดับมันตรงนี้เนี่ยนะ มันไม่ตลกนะเฮ้ย! อย่างน้อยก็ช่วยไปเปิดห้องเข้าที่พักก่อนจะได้ไหมฟะ
ถึงใจคิดแบบนั้น แต่ถ้าสังขารมันไม่เอื้ออำนวยอีกต่อไปมันก็เท่านั้น ร่างข้าเอนเอียงจะล้มเหล่มิล้มเหล่ขณะที่ตัวเองก็ฝืนเดินเต็มที่
สุดท้ายก็...
ตุบ
สิ่งสุดท้ายที่รู้สึกไม่ใช่สัมผัสแข็ง ๆ ที่เย็นชืดของพื้นดิน แต่กลับเป็นสัมผัสนิ่ม ๆ แข็ง ๆ ที่อุ่นแทน แต่เอาเถอะ ไม่ว่าจะมันเป็นอะไร ข้ารู้เพียงแค่ว่ามันนอนสบายกว่าพื้นเป็นไหน ๆ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ