Half Blood Knight : เปิดตำนาน อัศวินสองพันธุ์
เขียนโดย Fenris
วันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2556 เวลา 19.07 น.
แก้ไขเมื่อ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2556 19.14 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) ตอนที่ 1 เด็กน้อยในกรง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 1 เด็กน้อยในกรง
โครม!
“โอ๊ย”
อูย เจ็บ ๆๆๆ ก้นข้าจะหักไหมเนี่ย ไอ้พื้นบ้านี่ก็แข็งจริงอะไรจริงมันจะแข็งไปไหนห๊ะ แถมยังเย็นอีกต่างหาก
......
เอ๊ะเดี๋ยวนะ เมื่อกี้ข้าไม่ได้ร้องนิ แล้ว... เสียงใคร
“กะ... แก”
หือ?
ข้าหันไปมองตามเสียงเห็นชายร่างสูงใหญ่บึกบึนยืนหันดาบมาทางข้า แววตาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกตกใจ ก็นะ อยู่ ๆ มีคนโผล่มาทั้งคนเป็นใครก็ต้องตกใจกันทั้งนั้น เป็นข้าป่านคงจะหลุดกรี๊ดไปแล้วล่ะ แต่เล่นชี้ดาบใส่แบบนี้ออกจะไร้มารยาทไปหน่อยนะว่าไหม
“แก แกเป็นใคร”
ข้าอดเหยียดยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาไม่ได้ มันเป็นนิสัยเสียส่วนตัวที่แก้ไม่ได้และไม่คิดจะแก้ของข้าเวลานึกอะไรสนุก ๆ ออก ลุกขึ้นยืนอย่าช้า ๆ ตีสีหน้าเรียบเฉยมองไปที่ชายคนนั้นด้วยสายตาเย็นเยียบ ค่อย ๆ ย่างสางขุมเข้าหาทีละก้าวทีละก้าว
“ยะ อย่าเข้ามานะ” พูดออกมาทั้งเนื้อทั้งตัวรวมทั้งเสียงสั่นไปหมด พร้อมกับขาที่เผลอก้าวถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว สภาพหน้าที่ซีดเป็นไก่ต้มไม่สมกับร่างยักษ์นั่นทำเอาข้าเกือบหลุดขำไปหลายรอบถ้าไม่ติดว่าก็เก็กเข้าไว้น่ะนะ แล้วข้าแสยะยิ้มโรคจิตไปให้ขณะที่ระยะห่างระหว่างกันเริ่มหดสั้นเข้าไปทุกที ๆ
“แฮ่!” ไม่ให้ทันตั้งตัวข้าถีบตัวพุ่งเข้าไปประจันหน้า ถลึงตาอ้าปากกว้างจนเห็นเขี้ยวคม ๆ แลบลิ้นออกมาห้อยต๋องแต๋ง ด้วยใบหน้าที่ห่างกันไม่ถึงคืบ
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกก” เสียงกรีดร้องดังลั่นฟ้าแตกถูกส่งออกมาทันที ตามด้วยร่างอันใหญ่โตที่หงายท้องล้มตึงไปนอนชักน้ำลายยืดจิตหลุดออกจากร่างเป็นที่เรียบร้อย
“คิก ฮะ ๆๆๆๆๆ” ข้าลงไปนอนกลิ้งฮาท้องคันท้องแข็ง หัวเราะจะเป็นจะตาย
มะ... ไม่ไหวแล้ว ข้าไม่สามารถกลั้นขำได้อีกแล้ว มันฮาซะจนไม่รู้จะบรรยายยังไงแล้ว ฮะ ๆๆๆ คนบ้าอะไรไม่รู้ตัวโตเท่าควาย เอ้ยไม่ใช่ ตัวใหญ่อย่างกับยักษ์ แต่ใจฝ่อซะไม่มีเจอแค่นี้ทำมาเป็นลม
ข้าค่อย ๆ ยันตัวลุกขึ้นขณะที่ไหล่ก็ยังกระเพื่อมไม่หยุด แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นร่างของใครบางคนไม่ใกล้ไม่ไกลนอนคว่ำน้ำหน้าลายฟูมปากและ ...ตาเหลือก
อืม ใครกันนะ สงสัยจะเป็นเพื่อนกับนายนั่น ก็ใส่ชุดเหมือนกันเลยนี่ แต่มานอนเล่นในเวลางานแบบนี้ได้ไง ใช้ไม่ได้ ๆ แต่เอาเถอะ ถึงข้าจะไม่ใช่นักบุญ บาทหลวง พ่อพระ อะไรเทือก ๆ นั่น แต่ข้าก็ไม่ใช่มังกรใจจืดใจดำอะไร เดี๋ยวข้าจะช่วยสงเคราะห์หน่อยก็แล้วกัน
......
“เอาล่ะ” ข้าปัดไม้ปัดมือไปมา ยืนดูผลงานของตัวเองที่นอนหลับตาพริมพิงกำแพง หน้าตาผ่อนคลายยิ้มน้อย ๆ อย่างมีความสุข แต่ดูนาน ๆ เข้าก็ชักจะขนลุก จับชายบึกบึนสองคนมานอนหันหน้าเข้าหากันแบบนี้แล้วสยองฉิบ อยากบอกเหลือเกินว่าข้าไม่ได้ตั้งใจ จะให้จัดท่านอนให้ใหม่ข้าก็ขี้เกียจเกินไป ตัวก็ใช่ว่าจะเบา ๆ กัน กรุณาสำนึกในเรื่องนี้ด้วย
ก็หวังว่าตื่นขึ้นมาแล้วจะไม่ช็อคตายกันนะ
ข้าหันซ้ายหันขวามองหาทางออก แต่ไม่ว่าทางไหน ๆ ก็เหมือนกันหมด ทางเดินตรงไปหักมุมเลี้ยวแล้วก็คบเพลิงที่ถูกติดตั้งไว้เป็นจุด ๆ สงสัยคงต้องเสี่ยงดวงอีกตามเคย ครั้นจะให้ถามไอสองคนนี้ก็กระไรอยู่หลับเป็นตายขนาดนั้นใครจะไปกล้าปลุกกัน จะให้ใช้เวทย์เคลื่อนย้ายต่อก็หมดสิทธ์ พลังเวทย์ข้าจะหมดก๊อกอยู่แล้วรู้ไหมเหลืออยู่แค่ก้นถังเนี่ย ถ้าใช้นะไม่แคล้วไปติดแหงกอยู่ในหลืบที่ไหนสักแห่งชัวร์ ซึ่ง... ข้าไม่มีทางเสี่ยงกับเรื่องแบบนั้นแน่
เอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบเหรียญที่ข้ามักจะพกเอาไว้ออกมาแล้วดีดมันขึ้นไป
“หัวซ้าย ก้อยขวา”
และผลที่ออกมาก็คือ ...หัว โอเค งั้น... ไปทางขวา
ไม่ต้องแปลกใจไป เจ้าไม่ได้อ่านผิดหรอก แต่ข้าจงใจต่างหากล่ะ
รู้ไหม ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาทำให้ข้าได้เรียนรู้อะไรอย่างหนึ่งล่ะ ข้าเป็นพวก อา... จะเรียกว่าไงดีล่ะ โชคกลับตาลปัตรมั้ง ข้าโยนหัวก้อยแบบนี้มาเป็นร้อยครั้งได้ รู้ไหมผลเป็นยังไงเมื่อข้าเลือกตามที่เสี่ยงได้ เหตุการณ์อภิมหาซวยซ้ำซวยซ้อนไง ข้าก็ไม่อยากเล่านักหรอกนะว่าไปเจออะไรมาบ้าง คือ... มันเยอะซะจนข้าโละทิ้งจากสมองไปหลายรอบแล้ว ไอพวกจ้ำจี้เอ่ย หมุนไม้เอ่ย อะไรก็ตามที่เป็นการเสี่ยงดวงข้าลองมันหมดทุกอย่าง และแต่ละอย่างมันทำเอาข้าอยากจะจับหัวโขกกำแพงให้มันรู้แล้วรู้รอด แน่นอนว่ามันไม่ใช่หัวของตัวเอง
ดังนั้น เชื่อข้าเถอะ ไปทางขวาน่ะดีแล้ว
...หรือเปล่าหว่า
“ฮึก ฮึก”
ขาที่ก้าวเดินชะงักกึก เมื่อกี้นี้มัน เสียงสะอื้น?
มีคนร้องไห้หรอ แต่ของใครล่ะ
หรือที่นี่จะมีคนอื่นอยู่ที่นี่
......
ฮะ ๆ บ้าน่า ใครมันจะมานั่งร้องไห้แถวนี้จริงไหม ข้าคงหูฝาดไปเองแหละ
“ฮึก ฮึก”
ฮะ ๆๆ
ถะ... ถ้าข้าขอถอยหลังกลับไปหาสองคนนั้นตอนนี้ ไปขอพระเครื่องแปะยันต์หยิบไม้กางเขนสับกระเทียมแช่น้ำมนต์ ...จะทันไหม
“...”
อา สะ...เสียงเงียบมันไปแล้วอะ
“...”
คือ... บอกตามตรงว่าตอนนี้มือไม้เย็นเฉียบไปหมดแล้วอะ ใจหนึ่งก็อยากรู้ว่ามันคืออะไรนะ แต่อีกใจหนึ่งก็กลัวจนอยากจะเผ่นหนีให้รู้แล้วรู้รอด
อะ...เอาน่า อาจจะเป็นคนก็ได้ใครจะไปรู้ ถะ...ถ้าเป็นผีมันคงมาหลอกตั้งนานแล้วล่ะ ฮะ ๆๆ ลองเดินไปดูให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย ดะ...ดีกว่าเนอะ
แล้วข้าก็ก้าวเดินต่อไป ลูกกรงเหล็กเก่าแก่สนิมเขรอะปรากฏสู่สายตา อา... ที่นี่คงไม่ใช่ที่กักขังสับประหลาด คนบ้า ฆาตกรโรคจิตหรอกใช่ไหม ข้ายืนนิ่งชั่งใจอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเดินไปหยิบคบไฟมาแล้วค่อย ๆ ยื่นหน้าเข้าไปดู ใจนี่เต้นระรัวราวกับจะหลุดออกมาดิ้นแด๋ว ๆ ข้างนอกให้ได้ เหงื่อผุดพรายตามใบหน้า มือไม้ที่กลับมาอุ่น ๆ บ้างแล้วเริ่มเย็นเฉียบจนแทบจะไร้ความรู้สึก ยิ่งเข้าใกล้ก็ยิ่งเป็นเอามากจนถึงกับต้องกั้นหายใจอย่างเผลอตัว
อีกนิดเดียว
อีกนิด ข้าเกือบจะเห็นสิ่งที่อยู่ข้างในแล้ว
เคร้ง
“ว๊ากกกกกกกกกกกกกก!!”
“ใครน่ะ”
ข้าค่อย ๆ เปิดเปลือกตามองภาพข้างหน้า ทุกสิ่งทุกอย่างยังเหมือนเดิมไม่มีอะไรผิดปกติ ลูกกรงยังอยู่ที่เดิม บรรยากาศยังคงเดิม ไม่ร้อนไม่หนาว ไม่มีลูกไฟหรืออะไรทั้งสิ้น
เฮ้อ นึกว่าจะมีอะไรโผล่มาซะอีก เกือบหัวใจวายตายแล้วไหมล่ะ ข้าค่อย ๆ ยันตัวลุกขึ้น แล้วเดินไปดูสิ่งที่ดูในกรงเหล็กนั่นอีกครั้ง ดูท่าสิ่งที่อยู่ในนั้นจะเป็นคนปกติ ...คิดว่านะ แต่ทำไมเสียงถึงได้ดูเล็ก ๆ จังนะ มันเหมือน
...เสียงของเด็ก
ภาพที่เห็นทำให้ข้าแทบจะพังกรงเข้าไปดีที่ยังยั้งไว้ทัน ร่างเล็กของเด็กชายอายุน่าจะประมาณสัก 6 หรือ 7 ขวบนั่งกอดเข่าอยู่ตรงมุมห้อง เนื้อตัวเสื้อผ้าสกปรกมอมแมม เรือนผมสีทองออกหม่น ๆ ใบหน้ามนน่ารักน่าหยิก ดวงตาสีฟ้าที่มีน้ำคลออยู่และบวมแดงอย่างคนที่ผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก มันชั่งราวกับเทวดาตัวน้อยที่ถูกปีศาจใจยักษ์ใจมารจับมาขังไม่มีผิด
“คุณเป็นใคร” เสียงเล็กออกสั่น ๆ เอ่ยถาม ดวงตากลมโตจ้องมองข้าอย่างระแวงแต่ในแววตานั้นมันก็มีอะไรบางอย่างเจืออยู่ด้วย บางอย่างที่ข้าดูออกว่าเขาพร้อมที่จะสู้ถ้าข้าเกิดเป็นภัยกับเขา อา... ช่างเป็นเทวดาน้อยที่ใจกล้าจริง ๆ
“ข้าจะช่วยเจ้า” ว่าพลางขยับยิ้มไปให้ เด็กน้อยลดความระแวงลงเล็กน้อยแต่ตาก็ยังจ้องเขม่งมาทางข้าด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวอย่างที่เด็กคนหนึ่งพยายามปกปิดสุดขีดแต่มันก็ไปมีทางปิดได้มิด
เห็นอย่างนั้นข้าเพิ่งนึกขึ้นได้รีบก้มมองสภาพตัวเองทันที ผ้าคลุมขาด ๆ ที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด แถมยังมีกลิ่นคาวเลือดโชยออกมาอีก แผลก็เต็มตัว หน้าก็ถูกปิดจนแทบจะมองไม่เห็น
มิน่าตอนนั้นไอหมอนั่นถึงได้สลบเหมือด ที่ข้าทำไปมันคงเหมือนปีศาจหรือไม่ก็ผีไม่น้อย รู้สึกสมน้ำหน้าเจ้าหมอนั่นนิด ๆ แหะ
ข้ามองตัวเองสลับกับเจ้าเด็กนั่นอยู่พักใหญ่ พร้อมกับหาทางทำให้ตัวเองมีสภาพดูดีขึ้นสักนิดก็ยังดี จนแล้วจนรอดก็สรุปได้ว่า เลิกคิดเถอะ มันคงไม่มีทางทำให้สภาพข้าดีขึ้นไปกว่านี้หรอก เฮ้อ
มองสำรวจประตูกรงแล้วเป็นอย่างที่คิดมันถูกล็อคด้วยกุญแจอันใหญ่และสายโซ่คล้องไปคล้องมาอย่างแน่นหนา อา... จะให้ข้าไปนั่งไขก็กระไรอยู่ มันไม่ใช่นิสัยข้าซะด้วยสิไอการทำอะไรยุ่งยากแบบนั้นน่ะ ลองไปจับ ๆ เคาะ ๆ ซี่กรงดูแล้วก็ อืม... ไม่มีปัญหา ข้าถอยออกมาตั้งหลักเล็กน้อยแล้วถีบไปสุดแรง!
โครม!!
เสียงดังลั่นก้องกังวาน ฝุ่นตะหลบอบอวน ประตูกรงเหล็กลงไปนอนกองกับพื้นแน่นิ่งอย่างสวยงาม ข้ายืนมองผลงานตัวเองอย่างพอใจแล้วก้าวข้ามผ่านมันเข้าไปในกรง อย่างข้ามันต้องแบบนี้นี่! รวดเร็วทันใจ หึ! กรงขังมนุษย์จะเอาอะไรไปสู้แรงมังกรได้เล่า วะฮ่าฮ่าฮ่า
เอ๊ะ! จริงสิ
ข้าเดินไปหาเด็กชายที่นั่งตัวสั่นกึก ๆ อย่างช้า ๆ พลางปลดผ้าคลุมหัวออกแล้วขยับยิ้มไปให้อย่างอ่อนโยน
“หวัดดีจ๊ะ พี่ชื่อเรย์ แล้วหนูล่ะชื่ออะไร บอกพี่ได้ไหมเอ่ย” วิธีการเข้าหาเด็ก คือ แนะนำตัวและถามชื่อ แล้วต้องเข้าหาอย่างนิ่ม ๆ ค่อยเป็นค่อยไป ที่สำคัญต้องทำตัวใจดียิ้มแย้มแจ่มใส และน่าไว้วางใจสุด ๆ (จากหนังสือสักเล่มในห้องสมุดที่ข้าไปรื้อ ๆ มานั่งอ่าน)
“ผมโรม”
อา เสียงเขาช่างใสจริงอะไรจริง อ๊ายยยยย น่ารักน่าฟัดจังเลย
“ยินดีที่ได้รู้จักนะโรม” ข้าย่อตัวลงนั่ง เว้นระยะห่างไว้ในระยะที่พอดี อย่างน้อยเด็กนี่ก็หายสั่นแล้ว และนั่นเป็นสิ่งที่ดี
“แล้วโรมอยากออกไปจากที่นี่ไหม” แทบไม่ต้องคิดเด็กน้อยมีปฏิกิริยาตอบรับพยักหน้ารัวทันทีที่ข้าพูดจบ เห็นอย่างนั้นข้าก็ยื่นมือไปหา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพร้อมกับฉีกยิ้มไปให้ “งั้นมากับพี่สิ พี่จะพาโรมออกไปเอง”
เขามองมาอย่างชักใจ ขณะที่ข้าก็ยังค้างมือไว้อย่างนั้นแน่นอนพร้อมกับรอยยิ้มอันบริสุทธิ์สดใสที่ข้าตั้งใจทำเต็มที่ และในที่สุดเขาก็ตัดสินใจจับมือข้า สำเร็จ! ข้าล่อลวงเด็กได้แล้ว! เฮ้ย! ไม่ใช่ แค่ก แค่ก ข้าหมายถึงทำให้เขาไว้วางใจได้แล้วต่างหาก
ข้าฉุดเขาขึ้นตั้งใจจะพาออกไป แต่สายตาข้าก็ดันไปสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่างซะก่อน มันสายโซ่เส้นหนาที่ยึดติดกับกำแพงล็อคขาของโรมไว้
อ๋อ...
ไอคนที่ทำให้ข้าตกใจนี่มันแกเองสินะ ไอ้โซ่เส็งเคร็งเอ้ย
“อยู่เฉย ๆ นะ” บอกแล้วข้าก็เอามือไปแตะโซ่นั่น ความร้อนแผ่ออกมาจากมือข้าจนเหล็กเปลี่ยนเป็นสีแดงแจ๋ จากนั้นข้าก็เคลือบมันด้วยน้ำแข็งจนมันส่งเสียงร้องฉ่า แล้วออกแรงดึง
เคร้ง
โซ่เส้นหนาหลุดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอย่างง่ายดาย หึ! เห็นอย่างนี้แต่ข้าก็เป็นถึงมังกรไฟเชียวนา ถึงจะใช้เวทย์น้ำแข็งได้ก็เถอะ ส่วนไอโซ่ที่เหลือนี่เดี๋ยวค่อยไปหาทางเอาออกจากข้างนอกก็แล้วกัน ขืนให้ข้าทำแบบนั้นอีกมีหวังข้อเท้าเขาเกรียมชัวร์ ข้ายังไม่อยากฆ่าเด็กนะ โดยเฉพาะเด็กน่ารัก ๆ อย่างนี้
แล้วข้าก็จูงมือโรมออกไป ซึ่งเขาก็ให้ความร่วมมืออย่างดีโดยการปล่อยมือข้าแล้วมาเกาะกำเสื้อข้าไว้ซะแน่น ไม่มีท่าทางระแวงหวาดกลัวข้าใด ๆ แถมยังเดินเงียบ ๆ ไม่พูดจาทั้งที่ท่าทางดูแล้วน่าจะเป็นเด็กช่างพูดช่างจ่อแท้ ๆ คงกลัวว่าข้าจะรำคาญแล้วทิ้งเขาล่ะมั้ง
เสื้อผ้าที่เขาใส่แม้จะสกปรกแค่ไหนแต่เนื้อผ้ากลับเป็นเนื้อผ้าชั้นดี ลักษณะเสื้อผ้าที่ใส่ก็ดูราวกับเป็นลูกขุนนางที่ไหน ไอผมสีทองออกหม่น ๆ นี่คงเป็นเพราะมันเปรอะฝุ่น ข้าเชื้อว่าสีผมของเขาจะต้องเป็นสีทองสว่างสดใสแน่นอน อาบน้ำแต่งตัวซะใหม่คงจะน่ารักหล่อเหลาไม่เบาเชียวล่ะ
ข้าหยุดเดินอย่างแปลกใจ จำได้ว่าระยะทางที่เดินมานี่มันก็ประมาณที่ข้าเดินเข้าไป แต่กลับไม่ยักเจอร่างของไอ้ทหารสองคนนั่นเลย หรือมันจะออกไปตามพวก ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ ข้ายังไม่อยากลงไม้ลงมือซัดกับใครตอนนี้ซะด้วยสิ ข้าเร่งฝีเท้าโดยไม่ลืมดึงผ้าคลุมขึ้นมาสวมหัวตามเดิม แสงสว่างของทางออกปรากฏสู่สายตา ข้าเดินออกไปพร้อมกับดันโรมไปไว้ข้างหลัง
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ