Half Blood Knight : เปิดตำนาน อัศวินสองพันธุ์
เขียนโดย Fenris
วันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2556 เวลา 19.07 น.
แก้ไขเมื่อ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2556 19.14 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) ตอนที่ 3 เทเลอร์ หญิงสาวคนรู้จัก
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 3 เทเลอร์ หญิงสาวคนรู้จัก
ตึก ตึก
เสียงย่ำเท้าลงส้นดังก้องกังวานไปทั่วทางเดิน แสงไฟสลัว ๆ ที่เปิดอยู่สว่างมากพอที่จะเห็นรูปร่างอันผอมเพรียวเรียวบางที่เต็มไปด้วยเนื้อหนังไร้ไขมันส่วนเกิน เอวเป็นเอว ก้นเป็นก้น แถมยังอึ๋มสุด ๆ บวกกับเสื้อผ้าที่ใส่แนบเนื้อด้วยแล้ว ยิ่งส่งผลให้ชายหลาย ๆ คนน้ำลายหกได้ไม่ยาก ประกอบกับเรือนผมสีเงินยาวแปลกตา และวงหน้าเรียวได้รูป ริมฝีปากแดงอมชมพูเป็นธรรมชาติ ดวงตาสีอัมพันแวววาวพราวไปด้วยเสน่ห์ และท่าทางการเดินที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจยิ่งขับให้หล่อนดูโดดเด่นกว่าใคร ๆ
เธอเดินไปหยุดอยู่หน้าประตูบานหนึ่งที่มีแสงสว่างลอดออกมาพร้อมกับเสียงพูดคุยที่จับใจความไม่ได้ มือเรียวจับลูกบิดและเปิดเข้าโดยไม่สนใจมารยาทในเรื่องของการเคาะประตู
“หวัดดียามดึกเจ้าหนูทั้งหลาย”
ประตูเปิดผ่างออกไม่มีแม้แต่การเตือนล่วงหน้า การประชุมที่เริ่มมาพักใหญ่ถูกขัดจังหวะ ทุกคนในห้องต่างหันไปทางประตูโดยอัตโนมัติ บุคคลที่ปรากฏสู่สายตาทำให้หลายๆ คนเบิกตากว้างและบางคนถึงกับเหงื่อแตกซิก หน้าซีดทันที
หญิงสาวที่เข้ามาไล่สายตามองคนในห้องที่นั่งเรียงกันสลอนอยู่บนโต๊ะตัวยาวที่ถูกจับจองอยู่ฝั่งละสามและหัวโต๊ะอีกหนึ่ง ใบหน้าเอ๋อ ๆ กับสีหน้าตกใจของแต่ละคนที่แสดงออกมาเรียกรอยยิ้มพอใจจากเธอได้เป็นอย่างดี จะมีขัดใจอยู่ก็แค่คนสองคนที่มันดันตั้งสติกับการมาของเธอได้ (โคตร) ไวกว่าเพื่อน
“มีอะไรหรือเปล่าครับ มิสเทเลอร์” ชายที่นั่งหัวโต๊ะเอ่ยปากถามด้วยท่าทางสุภาพ ผมสีดำที่ยาวประบ่าถูกมัดเป็นหางไว้อย่างเรียบร้อย ดวงตาสีโกเมนสบเข้าตรง ๆ กับตาของหล่อน เขาเป็นหนึ่งในคนที่ตั้งสติได้ไวที่สุด ขณะที่คนอื่นหลาย ๆ คนมีท่าทีระแวง และยำเกรงอยู่ในที ราวกับกลัวว่าสาวเจ้าคนสวยที่เอามือกอดอกยืนพิงขอบประตูด้วยท่าทางสบาย ๆ นั่นจะขย่ำคอเอาอย่างไงอย่างนั้น
“ได้ข่าวว่าพวกเจ้าเก็บเด็กได้คนหนึ่ง” เทอลอร์เว้นช่วงเล็กน้อย “ข้าขอเขาได้ไหม”
ราวกับถูกค้อนฟาด ทุกคนในห้องต่างนั่งนิ่งสนิทกับคำพูดสองแง่สองง่ามของหญิงสาว บรรยากาศอันเงียบกริบเหมือนกับก่อนหน้านี้กลับมาอีกครั้ง หลังจากหายไปตั้งแต่เธอโผล่มาทำขวัญกระเจิง และครั้งนี้ก็หายวับไปในพริบตาเช่นเดียวกัน เมื่อ...
“ยัยแก่กินเด็ก” หนึ่งในคนที่นั่งทางฝั่งซ้ายพึมพำขึ้นมาเบา ๆ แต่ไม่อาจจะรอดพ้นประสาทหูอันดีเยี่ยมของคนที่ถูกกล่าวถึงไปได้ ทันทีที่เขาพูดจบวัตถุกลม ๆ สีดำก็ถูกขว้างออกไปจากมือเรียวอย่างรวดเร็ว!
โป๊ก
เสียงดังชัดเจนแจ่มแจ้ง บ่งบอกว่าวัตถุนั้นถูกเป้าหมายอย่างจัง พร้อมกับเสียงตกเก้าอี้ดังโครม
“มันเจ็บนะยัยแก่!” และผุดลุกขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วพร้อมกับเสียงโวยวาย มือหนาคลำรอยแดงที่ปรากกฎตรงกลางหน้าผาก
“คำก็ยัยแก่ สองคำก็ยัยแก่ เจ้าอยากตายนักใช่ไหม เคิร์ท” หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าถมึงทึงแต่ยังไม่ทันที่จะได้สั่งสอนอีกซักรอบก็ถูกขัดจังหวะซะก่อน
“เออ มิสเทเลอร์ครับ” ชายผมสีน้ำเงินที่ปรกลงมาจนไม่อาจเห็นดวงตา บุคคลที่นั่งข้าง ๆ เคิร์ทชายหัวควันบุหรี่ที่โดยเทเลอร์ประทุร้ายไปเมื่อครู่ เนื้อตัวสั่นเทาสายตามองไปทางสาวผมเงินอย่างหวาด ๆ ยกมือขึ้นอย่างกล้า ๆ กลัว
“ดูเหมือนว่าเขา...”
...อา ถึงแม้ว่าจะกลัวจนตัวสั่นเป็นลูกนก แต่กลับใจกล้าน่าดู
ยังไงน่ะหรอ
ก็ดูประโยคถัดไปสิ หึหึ
“เขา... จะยังไม่บรรลุนิติภาวะนะครับ”
ปึด
เสียงเหมือนอะไรขาดผึ่ง เส้นเลือดปูดที่ขมับเต้นตุบ ๆ และรังสีทะมึนที่เริ่มแผ่ออกมาจากร่างอันผอมเพรียว สายตาหลายคู่มองไปยังตัวต้นเหตุที่ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ อย่างคาดโทษ
......
......
“อะแฮ่ม” ชายหัวโต๊ะเป็นคนห้ามทัพกับเรื่องที่ชักจะออกแม่น้ำไปไกล “ตกลงมีอะไรครับ มิสเทเลอร์”
เทเลอร์จ้องคนพูดขณะที่อีกฝ่ายก็จ้องกลับเช่นกัน ดวงตาสีโกเมนฉายแววราบเรียบไม่ปรากฏอารมณ์ใด ๆ หญิงสาวทำเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนที่เธอจะเป็นฝ่ายเลิกราไป แล้วปรายตามองชายหัวน้ำเงินคนนั้น คนที่เธออยากจะซัดให้หน้าหงายพอ ๆ กับ เคิร์ท เอวารีน
“ถ้ายังอยากแก่ตายอยู่ เจ้าควรจะเก็บนิสัยเสีย ๆ นั่นนะ รีเวิร์ส” คำเตือนบวกกับคำขู่หน่อย ๆ ถูกส่งออกมาให้คนที่นั่งตัวสั่นก้มหน้างุดจนแทบจะติดขา ท่าทีที่ใคร ๆ ในที่นี้ต่างก็รู้ว่ามันเป็นเพียงแค่เปลือกนอก
“งั้นเป็นอันว่ารับรู้นะ แล้วก็ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวข้าจะเอามาคืนเร็ว ๆ นี้”
พูดทึ้งท้ายไว้ให้งงเล่นแล้วจากไป ปล่อยให้คนในห้องสงสัยกับคำพูดนั้น
จากการวิเคราะห์แล้วเด็กนั่นน่าจะรู้จักกับหล่อน
ทั้ง ๆ ที่เป็นคนรู้จักของเจ้าตัวแท้ ๆ
แล้ว... จะเอามาคืนเพื่อ?
++++++++++++++++++++++++++++++
แสงแดดส่องเข้ามาทางหน้าต่างผ่านผ้าม่านบาง ๆ ตกกระทบลงบนซีกหน้าของคนที่นอนหลับอยู่บนเตียง เขาขมวดคิ้วส่งเสียงครางในลำคออย่างขัดใจก่อนจะขยับตัวเล็กน้อยเพื่อหนีแสงแดดแล้วจมสู่ห้วงนินทาต่อ ผมสีแดงยาวแผ่เต็มเตียงและยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง เสื้อนอนตัวใหญ่เกินขนาดเลิกขึ้นมาเผยเห็นแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยผ้าพันแผล ผ้าห่มสีครีมที่น่าจะถูกวางทับอยู่บนร่างนั้นอย่างที่ควรจะเป็นกลับลงไปกองอยู่ที่พื้น สภาพที่ไม่บอกก็รู้ว่าไอหมอนี่มันนอนดิ้นสุด ๆ
เขานอนอยู่ในห้องสีครีมนวลตา แจกันดอกไม้สีเหลืองสดใสที่ถูกวางประดับไว้บนโต๊ะข้าง ๆ หัวเตียง โต๊ะเครื่องแป้งที่มีอุปกรณ์แต่งหน้าจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ ตู้เสือผ้าตู้ใหญ่สีขาวขลิบทอง พื้นพรมสีฟ้าอ่อน ห้องน้ำในตัว ระเบียงที่ถูกเปิดอ้าเอาไว้เล็กน้อยเพื่อถ่ายเทอากาศ ลมที่พัดลอดเข้ามาจนผ้าม่านสีสวยปลิวไสว
สภาพห้องที่ดูยังไงเจ้าของห้องก็คงไม่ใช่ไอ้คนที่นอนหลับอุดตุอยู่เป็นแน่
แอ๊ด
ประตูไม้เนื้อดีถูกเปิดออก ร่างสูงเพรียวที่เป็นเจ้าของบ้านเดินเข้ามาภายในห้องพร้อมถังใบโต ปรายตามองขายที่ยังคงนอนสบายอยู่บนเตียง แล้วสาวเท้าเข้าหา ถังในมือถูกยกสูงขึ้นก่อนจะ
ซ่า
“ว๊ากกกก เย็น!!” ข้าสะดุ้งกระเด้งตัวขึ้นตื่นเต็มตา ความเย็นแล่นเข้าสู่ผิวหนังส่งตรงเข้ากระแสเลือดวิ่งไปสู่หัวใจส่งประสาทไปสมองประมวลผลออกมา
บอกได้ความว่า หนาวเฟ้ย!!
เสื้อผ้าเนื้อตัวเปียกโชก เตียงแฉะ ๆ ที่ชุ่มไปด้วยน้ำ และก้อนน้ำแข็งที่ปรากฏอยู่ประปราย สภาพไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเมื่อกี้ข้าโดนอะไร ถึงได้นั่งกอดอกหนาวสั่นอยู่อย่างนี้
“ตื่นแล้วก็ไปอาบน้ำซะ” เสียงหวานระรื่นหูขนาดที่ฟังแล้วรู้สึกสดชื่นเบิกบานใจ สำหรับคนอื่นน่ะใช่! แต่ข้ามันเย็นเจี๊ยบยิ่งกว่าอยู่ขั่วโลกใต้เสียอีก!
ข้ากลืนน้ำลายลงคอ หันไปมองทางต้นเสียงอย่างหวาด ๆ หวังเพียงแค่ว่าน้ำเสียงที่ได้ยินเมื่อกี้ข้าแค่หูฝาดไป แต่... หวังยังไงมันก็เป็นแค่หวังอยู่วันยังค่ำ เมื่อหันไปจ๊ะเอ๋กับวงหน้าสวย และนัยย์ตาสีอำพันที่จ้องมาราวกับงูที่กำลังจะฉกเหยื่อ
ก็ได้แต่ยอมรับความจริงกันไป
“ไป-อาบ-น้ำ” สามคำเน้น ๆ เรียบ ๆ ที่ข้าต้องวิ่งฉิวเข้าห้องน้ำไปแทบจะทันทีที่เอ่ยปาก แบบไม่ต้องรอให้พูดซ้ำสองน่ะนะ
อ้าว ก็แม่คุณดุยิ่งกว่าเสือจะอยู่ให้เจื๋อนเล่นรึไง
และเมื่อตื่นเต็มตา สติสะตังกลับมาพร้อม เห็นสภาพตัวเองเมื่อถอดเสื้อแล้วมีผ้าพันแผลเต็มตัวแถมเลือดออกซึม ๆ ก็เพิ่งสำนึกตัวเองได้ว่าบาดเจ็บอยู่
เดาได้ไม่ยากว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อ
“โอ๊ย เจ็บ!!”
ก็เอวังประการฉะนี้แล
หลังจากอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า ลงนรก เอ้ย ทำแผลเรียบร้อย ข้าก็ลงมานั่งอย่างสงบเสงี่ยมอยู่บนโซฟาในห้องรับแขกรอเจ้าของบ้านที่ไปเตรียมมื้อเช้าให้อยู่ และมันก็มีเวลาเหลือเฟื่อเชียวล่ะที่จะสำรวจห้อง และดูว่าข้างนอกนั้นเป็นยังไง
ห้องนี้ก็เรียบ ๆ ไม่มีการตกแต่งอะไรที่เถื่อน ๆ โหด ๆ ตามที่ข้าคิดสักเท่าไหร่ โซฟาสี่ตัวตั้งเด่นอยู่กลางห้อง พร้อมกับโต๊ะน้ำชาที่มีดอกไม้ปักแจกันพร้อม รูปวาดใส่กรอบไม้ลวดลายเรียบ ๆ สองสามรูป ตู้โชว์ และหน้าต่างประตูกระจกบานใหญ่ที่เปิดอ้าเอาไว้ ผ้าม่านสีชมพูอ่อนถูกผูกเก็บไว้สองข้างอย่างเรียบร้อย มันช่างเป็นบ้านของหญิงสาวธรรมดา ๆ ที่เจ้าของบ้านไม่น่าจะเป็นเธอคนนี้ไปได้
เธอชื่อ เทเลอร์ คนส่วนใหญ่เรียกว่า มิสเทเลอร์ ไม่รู้เหมือนกันว่าใครเป็นคนเริ่มเรียกแต่ก็เรียกต่อ ๆ กันเรื่อยมา ชื่อจริง ๆ ของเทเลอร์นั่นมีใครรู้หรือเปล่าก็ไม่รู้ เธอไม่เคยบอกใครแม้แต่ข้ายังไม่บอกเลย
จากที่เทเลอร์บอกมา เธอเป็นคนพาข้ามาที่บ้านของเธอเอง รู้ว่าข้าอยู่ที่ไหนและพามาได้ยังไงนั้นข้าก็ยังไม่แน่ใจเท่าไหร่ แต่ข้าก็ฉลาดพอที่จะไม่ถามอะไรมากความนักถ้าเทเลอร์ไม่คิดจะบอก หรือขี้เกียจบอกอะไรก็แล้วแต่ ขืนเกิดถามไปแล้วเจ๊แกหงุดหงิดขึ้นมาข้าก็แย่สิ ข้ายังไม่อยากเจ็บตัวโดยใช่เหตุนา โดยเฉพาะถ้ามันไม่ใช้สิ่งที่ข้าสงสัยเป็นจริงเป็นจังล่ะก็นะ
และที่นี่คือเมืองหลวงของอาณาจักรเดอวาเนีย แน่นอนว่ามันเป็นอาณาจักรของมนุษย์ ปกครองโดยมนุษย์ และอยู่ในแดนมนุษย์ ดังนั้นประชากรของที่นี่จึงเป็นมนุษย์
......
เฮ้ ๆ อย่ามองข้าด้วยสายตาแบบนั้นสิ ถึงข้าจะอ่านหนังสือแต่ก็ใช้ว่าข้าจะจำได้นะ แล้วอีกอย่างเทเลอร์เธอบอกมาแค่นี้นี่ ให้ข้าทำไงล่ะ
ปัง
เสียงประตูปิดดังขึ้น ร่างอันโค้งเว้าได้สัดส่วนเดินตรงเข้ามาพร้อมกับจานที่มีข้าวเช้าของข้าวางอยู่ ซึ่งมันก็คือ...
แซนวิช...
สตั้นท์ไปสิบวิ
ข้ามองจานแซนวิชที่ถูกวางลงบนโต๊ะ ใจที่พองโตไปก่อนหน้านี้แฟบลงทันที รู้สึกใจห่อเหี่ยวเหมือนต้นไม้ขาดน้ำ ภาพวาดฝันจิตนาการถึงเนื้อย่างชิ้นโต ๆ ไก่อบเป็นตัว ๆ พังทลายลงต่อหน้าต่อตา เหลือไว้เพียงเศษซากของความคิด และแซนวิชที่มีผักสอดไส้อยู่ข้างใน
หันไปมองคนเอามาให้ด้วยแววตาออดอ้อนทำตาปริบ ๆ ถ้าที่หูมีหางมันก็คงจะลู่ลงอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ไม้นี้มันก็ยังคงใช้ไม่ได้ผลกับเทเลอร์เหมือนเคย
“กิน ๆ ไปเถอะนา ไม่ตายหรอก” คำพูดที่แสนจะไร้ความสงสารเห็นใจ แถมด้วยแววตาที่แสดงความรำคาญข้าเต็มทนทั้ง ๆ ที่เจอหน้ากันยังไม่ถึงครึ่งวัน
“หรือจะไม่กิน” ว่าพลางทำท่าจะหยิบจานกลับไปเก็บจริง ๆ ข้าเห็นดังนั้นรีบยกมือห้ามคว้าแซนวิชมาแทบไม่ทัน
“อ้า! กิน ๆๆๆ” กัดแซนวิชไป ในใจน้ำตาไหลพรากกับรสชาติขม ๆ ในปาก ถึงจะไม่ชอบยังไง แต่คำที่ว่ากองทัพต้องเดินด้วยท้องก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง ข้าที่ไม่มีเงินมนุษย์ติดตัวเลยสักบาทจะเอาปัญญาที่ไหนไปซื้อของกินข้างนอกกัน
เฮ้อ คิดแล้วเศร้า
“แล้วไปทำอะไรมาถึงได้ตัวหดล่ะ”
ตัวหด??
“อ้าว ยังไม่รู้หรอกหรอ” เทเลอร์เลิกคิ้ว มองหน้าข้าที่ป่านนี้คงแสดงสีหน้าเอ๋อ ๆ ออกมาอย่างไม่ต้องสงสัย “นั่นสินะ บ้านข้าเองก็มีกระจกอยู่สองบานซะด้วยสิ ต๊อง ๆ อย่างเจ้าจะไม่เห็นก็ไม่แปลก”
เฮ้! ต๊องนี่หมายความว่าไง ใครต๊องกัน
เทเลอร์เดินเอามือไปทาบที่หนังห้อง ไอเย็นแผ่ออกมาจากฝ่ามือเกิดเป็นน้ำแข็งลามออกไปรอบด้านจนมีขนาดสูงและกว้างพอ กระจกสะท้อนภาพถูกสร้างออกมาอย่างง่าย ๆ ด้วยความขี้เกียจสูงที่จะเดินไปหยิบกระจกของจริงมา
ข้าที่ได้แต่นั่งมองอย่างงง ๆ มาตั้งแต่ต้น จึงลุกขึ้นจะเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าน้ำแข็งนั้น ภาพที่สะท้อนออกมาทำให้ข้าอึ้งเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้แปลกใจอะไรมากนัก
ภาพสะท้อนของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เขาสีผมสีแดงเพลิงซึ่งมันถูกรวบไว้เป็นหางม้ายาวถึงเอว ตาสีน้ำเงินสวยที่ดูราวกับห้วงมหาสมุทรจ้องตอบกลับมา เสื้อเชิ้ตสีขาวพับแขนถูกสวมทับเสื้อยืดสีดำข้างในกางเกงขายาวสีน้ำเงินเข้ม รูปร่างติดผอมประกอบกับส่วนสูงที่น่าจะประมาณ 150 มองดูแล้วก็แค่เด็กธรรมดา ๆ ทั่วไปที่ออกจะตัวเตี้ยไปหน่อยสำหรับเด็กวัยเดียวกัน ถ้าไม่ติดที่ว่านั่นคือตัวข้าสมัยเด็กตอนอายุ 14 น่ะนะ
ยกมือซ้ายเด็กในภาพก็ยกมือตาม ไม่ว่าข้าจะทำอะไรขยับไปไหนเขาก็จะทำตามเหมือนข้าทุกอย่าง ไม่อยากจะเชื่อก็ต้องเชื่อไม่อยากยอมรับเท่าไหร่ก็ต้องยอมรับ นั่นพิสูจน์ได้ว่าเขาคืนภาพสะท้อนของข้าจริง ๆ และตอนนี้ข้ากลับไปเป็นเด็ก เพราะก่อนหน้านี้ดันซ่าเยอะไปหน่อย ก็เลยเล่นใช้เวทย์ไปซะเกือบเกลี้ยง จากตอนแรก ๆ ที่เหลืออยู่ก้นถัง ก็ดันหมดจริง ๆ จัง ๆ ซะตอนที่เจอไอหัวหงอก ที่เจ้าเด็กโรมมันเรียกว่าอะไรนะ อ๋อใช่ เคิร์ท มันก็เลยตัวหดซะเหลือแค่นี้ไงล่ะ
อ๋อจริงสิ เจ้าอาจจะงงว่าพลังเวทย์หมดแล้วมันเกี่ยวอะไรกับตัวหด เพราะไอร่างมนุษย์เนี่ยมันแค่ร่างจำแลง และเมื่อมันเป็นร่างจำแลงมันก็ต้องใช้พลังเวทย์ แล้วในเมื่อมันต้องใช้พลังเวทย์พอพลังข้าหมดมันก็เลยมีพลังไม่พอที่จะใช้แปลงเป็นร่างผู้ใหญ่ แล้วถ้าจะถามว่าทำไมพลังเวทย์ไม่พอร่างกายถึงไม่กลับเป็นมังกร นั่นก็เพราะข้ามีพลังเวทย์สำรองที่อัดไว้ในสร้อยคอน่ะสิ มันจะทำงานทันทีที่พลังข้าหมด ก็นะของแบบนี้มีไว้ก็ไม่เสียหาย กันไว้ดีกว่าแก้ใช่ไหมล่ะ ยิ่งข้าเป็นพวกชอบซ่าวิ่งโล่ไปใช้พลังหมดซะด้วยสิ
ก็... ใช้เวทย์แกล้งคนมันสนุกกว่าเยอะ
“ตกลงว่าไง ไปทำอะไรมาอีกล่ะคราวนี้” เทเลอร์พูดย้ำอีกรอบ
“ก็... มีเรื่องนิดหน่อย” ซึ่งนิดหน่อยที่ว่ามันไม่จริงเลยสักนิด “แม่ข้าหายไปไหนไม่รู้ ข้าก็เลยโดนไล่น่ะนะ”
รู้ไหมมีหลายเผ่าที่ไม่ยอมรับพวกลูกผสมนอกเผ่า เผ่ามังกรก็เช่นเดียวกัน เมื่อแม่ข้าที่เป็นคนใหญ่คนโตเป็นที่เกรงกลัวของใครหลาย ๆ คนหายไป ข้าที่เป็นครึ่งมังกรและถูกเกลียดเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็ถูกไล่ตามระเบียบ
“แล้ว?” เทเลอร์สลายเวทย์น้ำแข็งออก เดินมานั่งบนโซฟายกขาเรียวขึ้นไขว่ห้าง ขณะที่มือก็ยกน้ำชาขึ้นจิบ ซึ่งไปเอามาจากไหนข้าก็ไม่อาจทราบได้
“ก็ไปผจญมาเยอะเหมือนกัน” ข้าเดินมานั่งบ้าง แล้วก็เริ่มเล่าเรื่องตั้งแต่ออกจากแดนมังกรให้เทเลอร์ฟังคร่าว ๆ รวมถึงเรื่องล่าสุดที่ข้าโผล่ไปเจอโรมจนกระทั่งหมดสติไป
“สรุปว่าเจ้าไม่มีที่ไปสินะ”
ข้าพยักหน้ารับเงียบ ๆ ไม่พูดอะไร
“แล้วเจ้าจะไปตามหานางไหม”
มองเทเลอร์แล้วเลิกคิ้วเล็กน้อย “อาจจะแต่คิดว่าคงไม่ ฝีมืออย่างนั้นไม่เป็นอะไรง่าย ๆ หรอก ที่หายไปเนี่ยคงจะหนีไปเที่ยวไหนซะมากกว่า” ใช่หนีไปเที่ยวแล้วทิ้งลูกชายไว้นั้นแหละ
“คงเห็นว่าข้าโตพอแล้วล่ะมั้ง” ข้าถอนหายใจเอนหลังพิงโซฟาอย่างหน่าย ๆ บางทีข้าก็นึกอยากจับแม่ตัวเองทุ่มเสียเหลือเกิน แก่จนมีอายุกี่ร้อยปีแล้วก็ไม่รู้ ยังทำตัวเป็นเด็กสิบขวบอยู่เลย
เทเลอร์มองข้าที่เอามือก่ายหน้าผากอยู่สักพักหนึ่ง ก่อนจะถอยหายใจออกมาแล้ววางถ้วยน้ำชาในมือลงบนโต๊ะ “เจ้าก็อยู่ที่นี่ไปก่อนก็แล้วกัน แต่ต้องทำงานด้วยนะ”
ข้าเอามือลงมองเธออย่างงง ๆ ก่อนที่ป้ายอะไรบางอย่างจะถูกยื่นมาให้ตรงหน้า
“ไปเป็นอัศวินซะ”
หา!?
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ