ใยรักสีเพลิง
เขียนโดย dko9Nlbiu
วันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2556 เวลา 16.28 น.
แก้ไขเมื่อ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2556 16.43 น. โดย เจ้าของนิยาย
6) ใยรักสีเพลิง 6
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความรถยุโรปคันเล็กชะลอจอดหน้ารั้วโปร่งดีไซด์สวยคนขับหยิบกระดาษแผ่นเล็กขึ้นดูอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ หลังจากขับวนหาอยู่นานพอสมควรเขาพ่นลมหายใจยาว ถึงเสียที บ้านสองชั้นขนาดกลางตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวงชายหนุ่มจอดรถเทียบกับประตูรั้วโดยเว้นระยะพอสมควรแล้วก้าวลงจากรถตรงไปกดกริ่ง รอเพียงครู่เดียวประตูตรงหน้าก็เลื่อนเปิดออก เด็กสาวร่างผอมบางในชุดเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นแค่เข่ามัดผมหางม้าใบหน้ามีเหงื่อผุดพรายเล็กน้อยเป็นคนเปิดมันออก
“มาหาใครคะ” เด็กสาวส่งเสียงถาม ปัณณทัตยิ้มน้อย ๆให้เธออย่างเป็นมิตร
“บ้านแม่เลี้ยงรินคำ กับคุณดมิสาหรือเปล่าครับ” ยังไม่ทันที่เด็กรับใช้ในบ้านจะตอบ ร่างผอมเพียวในชุดเสื้อกางเกงผ้าเนื้อดีสีม่วงอ่อน ผมเกล้าเป็นทรงสวยก็เดินออกมาจากในบ้าน ดูอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผู้เป็นแม่ของเขา แต่ใบหน้าของหญิงผู้นี้ดูฉลาดหลักแหลมและสวยจัดกว่าเนื่องจากเครื่องสำอางค์สีสดที่ถูกบรรจงแต่งแต้มอย่างดี เขาเดาได้ทันทีว่าน่าเป็นแม่เลี้ยงรินคำ ชายหนุ่มกระพุ่มมือไหว้
“สวัสดีครับ...คุณน้ารินคำใช่ไหมครับ” ผู้สูงวัยกว่ายิ้มรับในสีหน้า ท่าทางราวกับนางพญานั่นทำให้คนที่อึดอัดอยู่แล้วยิ่งรู้สึกหนักกว่าเก่า ชายหนุ่มแอบถอนใจน้อย ๆอยากให้เหตุการณ์เยี่ยมเยือนครั้งนี้ผ่านพ้นไปให้เร็วที่สุด
“บอยใช่ไหม เข้าบ้านก่อนสิ แม่เธอโทรมาบอกแล้วว่าเธอจะมาเยี่ยมน้า” พูดจบแม่เลี้ยงรินคำก็เดินนำเข้าบ้านไป เขารู้สึกเกร็งอย่างบอกไม่ถูกจนต้องแสร้งมองต้นไม้ใบหญ้าที่ถูกตัดแต่งอย่างดีตรงสนามด้านข้างนั่นเพื่อลดความประหม่า เจ้าของบ้านพาเข้ามาในห้องรับแขก ซึ่งจัดแบบเรียบง่ายผิดกับการแต่งกายของคนพาเข้ามาเหลือเกินชายหนุ่มนั่งลงบนโซฟาสไตล์โมเดริ์นเมื่อเจ้าของบ้านผายมือและนั่งลงบนโซฟาเข้าชุดกันใกล้ ๆกับเขา ถ้าทายไม่ผิดคนออกแบบตกแต่งภายในบ้านนี้ต้องไม่ใช่แม่เลี้ยงรินคำอย่างแน่นอน เด็กรับใช้คนเดิมเดินออกมาพร้อมแก้วบรรจุน้ำเย็นสามแก้วก่อนจะนำมาวางลงตรงหน้าปัณณทัตและแม่เลี้ยงรินคำ
“ไปตามคุณฝ้ายให้ฉันหน่อย บอกว่ามีแขกมาหา”คนได้รับคำสั่งรีบเดินเร็ว ๆหายขึ้นไปชั้นสองของตัวบ้านทันที ปัณณทัตมองตามร่างเล็กนั้นไปอย่างไม่รู้จะทำอะไรให้ดีกว่านี้ ไม่รู้ว่ามารดาของเขาไปสนิทสนมกับบุคคลที่เพียงแค่อยู่ใกล้ยังรู้สึกอึดอัดได้มากขนาดนี้ได้อย่างไร ชายหนุ่มอดนึกไปถึงทายาทสาวของแม่เลี้ยงรินคำไม่ได้ หวังว่าเธอคงไม่วางท่าคอตั้งเหมือนกับคนเป็นแม่หรอกนะ ที่สำคัญตอนนี้เขาไม่รู้จะเริ่มพูดคุยอะไรกับเจ้าของบ้าน จะพูดดีหรือว่าจะนั่งเงียบ ๆรอเจ้าของบ้านอีกคนหนึ่งดี เขาเห็นแม่เลี้ยงรินคำยกแก้วน้ำขึ้นจิบด้วยท่าทางแบบคุณหญิงคุณนายในละครทีวีแล้ววางลงช้า ๆจนแทบไม่ได้ยินเสียงแก้วกระทบกับพื้นโต๊ะที่ทำจากกระจกหนา
“เห็นแม่จิตบอกว่าเธอเป็นครูเหรอ...สอนวิชาอะไรล่ะ” เขาเดาความรู้สึกคนถามไม่ออกจริง ๆ แต่ก็ใจชื้นขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นรอยยิ้มบาง ๆบนใบหน้านั้น
“สอนสังคมครับ” ปัณณทัตตอบ ความจริงเขาอยากจะพูดต่อให้มากกว่านี้แต่เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะพอใจไหม
“เป็นครู ...เงินเดือนน้อยไปหน่อยนะ แต่ก็เป็นอาชีพที่มั่นคงดี ทำไมถึงไม่ลาออกมาทำธุรกิจล่ะ ท่าทางเธอก็เป็นคนฉลาด บุคลิกท่าทางก็ดูดี ถ้าเป็นนักธุรกิจ น่าจะดีกว่านี้...อย่างน้อยก็น่าจะรายได้ดีกว่า ทางบ้านเธอก็มีกิจการอยู่ด้วยนี่”
“ผมไม่ชอบทำธุรกิจน่ะครับ วุ่นวาย มีการแข่งขันอยู่ทุกชั่วโมง ทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ ไร้ซึ่งความจริงใจต่อกันเป็นครู ถึงจะเป็นการทำงานแลกเงินเหมือนกันก็จริง แต่อย่างน้อยเราก็ยังได้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์กับผู้อื่นบ้าง ผมชอบชีวิตพอเพียงมากกว่าครับ” แม่เลี้ยงรินคำคงจะอยากได้ลูกเขยเป็นนักธุรกิจกระมัง ก็ดีแล้วอย่างน้อยการทนอึดอัดใจสักชั่วโมงสองชั่วโมงในวันนี้ก็อาจจะทำให้ท่านเลิกคิดที่จะให้เขากับลูกสาวของท่านคบหากันอย่างที่คุยกับคุณจิตตรีไว้
“อย่างนั้นเหรอ... แต่ผู้ชายต้องเป็นหัวหน้าครอบครัว เมื่อมีครอบครัวก็ต้องเลี้ยงดูบุตรและภรรยาของตนให้อยู่ดี มีสุขให้มากที่สุด บางทีการที่เราคิดว่าอยู่แบบพอเพียง มันอาจจะใช้ได้สำหรับการอยู่เป็นโสด แต่เมื่อถึงเวลาที่เรามีครอบครัวแล้ว สิ่งที่เราคิดว่าไม่ต้องการ ไม่จำเป็น ลูกเมียเรา อาจจะต้องการก็ได้นะ” แม่เลี้ยงรินคำพูดเนิบๆ ช้าๆ แต่ปัณณทัตเข้าใจความคิดของอีกฝ่ายได้ดี ริมฝีปากได้รูปเหยียดยิ้มเล็กน้อย ให้ผู้ใหญ่ที่จับตามองเขาแทบจะทุกอิริยาบถถึงแม้ท่านจะซ่อนอาการเพียงใดก็ตาม
“ผมจะไม่แต่งงานกับผู้หญิงที่หลงใหลในวัตถุ เงินทอง ผมอาจจะไม่มีธุรกิจใหญ่โต ไม่มีสังคมหรูหราให้เธออยู่...แต่ผู้หญิงที่ผมเลือกมาเป็นคู่ชีวิตเธอจะได้ทั้งชีวิตและหัวใจของผมเป็นการตอบแทนสิ่งที่ขาดหายเหล่านั้น” ทุกถ้อยคำล้วนกลั่นกรองออกมาจากใจทั้งสิ้น ดวงตาของชายหนุ่มไหววูบเมื่อพูดประโยคนี้.. เธอคนนั้นเขานึกถึงเธอคนนั้นราวกับเธอมานั่งอยู่ตรงหน้าเขา ภาริษา ...เธอช่างมีอิทธิพลเหนือจิตใจของเขาเหลือเกิน ..
แม่เลี้ยงรินคำมองปัณณทัตไม่วางตา ก่อนท่านจะได้พูดอะไรต่อร่างบางในชุดเดรสสีหวานก็เดินเข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน บทสนทนายุติลงทั้งสองคนหันไปมองร่างบอบบางนั้นโดยพร้อมกัน คนเป็นแม่ยิ้มในสีหน้าเมื่อเห็นชายหนุ่มมองลูกสาวของตน แม้สายตานั้นจะเดาได้ยากว่าเขารู้สึกเช่นไรกับผู้หญิงสวยที่เดินมานั่งใกล้แค่คืบ แม่เลี้ยงรินคำซ่อนยิ้มในแววตาลึก ๆ ผู้ชายหน้าโง่ที่ไหนจะปฏิเสธแพทย์หญิงดมิสา ลูกสาวคนเดียวของเจ้าของธุรกิจจำหน่ายผ้าไหมรายใหญ่ในจังหวัดเชียงใหม่ หญิงสาวยิ้มให้ปัณณทัตด้วยท่าทางมีมารยาท
ดมิสาสวยไม่ได้ผิดจากปิยทัศน์บอกเขาเลยสักนิด เธอผิวขาวราวกับน้ำนม นัยน์ตาสุกใสริมฝีปากที่แย้มยิ้มมาแต่ไกลก็แดงราวกับมะเขือเทศสุก
“ลูกฝ้าย นี่ลูกชายป้าจิต จ้ะ เรียกเขาว่า พี่บอยก็แล้วกัน ท่าทางจะอายุมากกว่าลูก...บอย นี่ ลูกฝ้าย ลูกสาวของน้าเอง” แม่เลี้ยงรินคำแนะนำทันทีเธอไหว้เขาด้วยท่าทางของคนได้รับการฝึกหัดมาอย่างดี ไม่เคอะเขิน ไม่เหนียมอายทั้งที่เธอก็คงรู้จุดประสงค์ของผู้ใหญ่อยู่แล้ว
“สวัสดีค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะพี่บอย” น้ำเสียงนั้นดูเป็นกันเอง สรรพนามที่ใช้ก็ดูสนิทสนมพอ ๆกับรอยยิ้มที่เผยให้เห็นเรียวฟันขาวสะอาดของเธอ
“เช่นกันครับคุณฝ้าย ผมต้องขอโทษคุณน้ากับคุณฝ้ายด้วยนะครับ ที่เมื่อวานผมเสียมารยาทไม่ได้อยู่ต้อนรับที่บ้าน” นี่แหละเขามาเพื่อเอ่ยประโยคนี้ รีบเข้าเรื่องจะได้กลับ ๆ ชายหนุ่มยิ้มอ่อนบางกับดมิสาในท้ายประโยคเป็นการย้ำคำพูดของเขาเธอยิ้มตอบแล้วหันมาทางผู้เป็นแม่ซึ่งมีสีหน้าภาคภูมิใจในตัวลูกสาวอย่างล้นเปี่ยม แม่เลี้ยงรินคำสบสายตาลูกสาวเพียงแวบเดียว ปัณณทัตสังเกตกิริยาสองแม่ลูกแต่เขาก็ไม่อาจเดาความหมายจากสายตาของแม่เลี้ยงรินคำได้ หญิงสาวหันกลับมาทางเขาอีกครั้งชายหนุ่มปรับสีหน้าให้เป็นปกติแทบไม่ทัน
“ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่คะ คนเราก็ลืมกันได้ทั้งนั้นแหละ ฝ้ายเองเวลาเหนื่อย ๆยังลืมประจำเลยค่ะ เห็นคุณป้าจิตบอกว่าพี่บอยเป็นครูเหรอคะ” ท่าทางของเธอราวกับเด็กสาววัยเริ่มเรียนมหาวิทยาลัย หากปัณณทัตไม่รู้มาก่อนว่าดมิสาเป็นถึงแพทย์หญิงเขาคงเดาอายุของเธอเพียงแค่สิบแปดปี
“ครับ”เขาไม่รู้จะพูดอะไรให้มากความไปกว่านี้ แม้ดมิสาจะดูเป็นกันเองแต่ชายหนุ่มก็ยังรู้สึกอยากให้การเยี่ยมเยียนครั้งนี้จบลงโดยเร็ว
“เก่งจังเลยนะคะผู้ชายเป็นครูเนี่ย ปกติฝ้ายคิดว่าอาชีพนี้น่าจะเหมาะกับผู้หญิงมากกว่า ผู้ชายคงจะเหมาะแค่วิชาพละน่ะค่ะ แล้วพี่บอยสอนวิชาอะไรคะ”
“วิชาสังคมครับ คุณฝ้าย” คนตอบยิ้มให้ผู้ตั้งคำถามที่ทำราวกับเขามาสอบสัมภาษณ์อะไรสักอย่าง เมื่อกี้แม่ถามตอนนี้ลูกสาวถาม โชคดีที่แววตาคู่สวยตรงหน้าเขาไม่ได้ละม้ายคล้ายกับมารดาของเธอ แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่อาจผ่อนคลายความอึดอัดที่แข่งกันแผ่กระจายจากเจ้าของบ้านทั้งสองคนได้
“ ฝ้ายคิดว่าพี่บอยสอนคณิตศาสตร์เสียอีก” เธอพูดพร้อมกับหัวเราะร่า ปัณณทัตยิ้มอย่างรักษามารยาทพลางคิดหาประโยคจบของการสนทนาครั้งนี้ แต่ดูเหมือนดมิสาจะไม่ได้เปิดช่องให้เขาเลย แม่เลี้ยงรินคำนั่งฟังอยู่เงียบ ๆ บางครั้งก็ตอบรับการขอความเห็นจากลูกสาวด้วยการพยักหน้ายิ้มเท่านั้น
“คุยกันไปก่อนนะ เดี๋ยวแม่จะไปดูในครัวให้ว่ามีของว่างอะไรบ้าง”
ปัณณทัตแอบรู้สึกอยู่ในใจว่าเพื่อนสนิทของแม่คนนี้กำลังจะเปิดโอกาสให้เขากับลูกสาวคนสวยของตนได้คุยกันตามลำพัง แม้มันจะดูเข้าข้างตัวเองไปหน่อยก็เถอะ เขาไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นสักนิด หากแม่เลี้ยงรินคำนำของว่างมาให้นั่นหมายความเวลาของการเยี่ยมเยียนจะต้องยาวขึ้นอีก เขาตัดสินใจในฉับพลัน
“ไม่เป็นไรครับคุณน้า ...คือว่าผมยังมีธุระต่ออีกหลายที่น่ะครับ” ชายหนุ่มเอ่ยทันก่อนแม่เลี้ยงรินคำจะเดินออกไปจากห้องนั้น สายตาสองคู่หันมามองร่างหนาอย่างพร้อมเพรียง เขาสบตากับดมิสาซึ่งยิ้มกว้างมาให้
“อ้าว เหรอคะ”คนพูดดูไม่ได้ร้อนใจกับการจะไปจะอยู่ของปัณณทัตเลยสักนิด นั่นทำให้เขาเบาใจ ดมิสาคงไม่ได้ชอบเขาสักเท่าไรหรอกเธออาจจะแค่รักษามารยาทเจ้าของบ้านที่ดีเท่านั้นเอง
“ครับ...ช่วงนี้ใกล้จะเปิดเทอม ผมก็เลยต้องเตรียมตัวมากหน่อยนะครับ ถ้างั้นผมถือโอกาสลาคุณน้ากับคุณฝ้ายเลยแล้วกันนะครับ” ปัณณทัตไหว้แม่เลี้ยงรินคำที่รับไหว้ด้วยสีหน้าเรียบเฉย มีเพียงรอยยิ้มเล็ก ๆผุดขึ้นบนในหน้า ชายหนุ่มเดาความรู้สึกจากใบหน้านั้นไม่ออกจริง ๆ เขาหันมาทางดมิสา
“ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ คุณฝ้าย” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับลุกขึ้นจากโซฟาหรูที่เขานั่งมากว่าชั่วโมงร่างบางลุกตามเขาทันที
“ค่ะ...โอกาสหน้าบ้านนี้ยินดีต้อนรับนะคะ” เจ้าของบ้านสาวเอ่ยเธอช่างแสดงมารยาทได้อย่างดีเยี่ยม ผิดกับเขาแค่มาเยี่ยมบ้านเพื่อนสนิทของแม่ยังวางตัวไม่ค่อยถูก
ทันทีที่ประตูรถถูกปิดลงชายหนุ่มถอนใจเฮือกใหญ่ออกมา โล่งอกที่ผ่านมันมาได้เสียที เขาไม่ใช่มนุษย์ถ้ำหรือชาวป่าชาวเขา วิชาชีพที่ประกอบเลี้ยงตนอยู่ก็ต้องติดต่อประสานงานกับผู้คนมากหน้าหลายตา แม้แต่วันแรกที่เขาเดินเข้าไปในชั้นเรียนเพื่อฝึกสอน ถูกเด็กนักเรียนมองมาราวกับตัวประหลาดจากโลกอื่น ก็ยังไม่เคยรู้สึกอึดอัดหรืออยากให้มันผ่านพ้นไปเร็ว ๆเช่นนี้
นี่น่ะหรือ ? คนแสนดีที่แม่อยากให้เขารู้จักและคบหาด้วย สาบานได้จะไม่มีวันนั้นเด็ดขาด แค่คนรู้จักก็เกินไปแล้ว ดมิสาน่ะไม่เท่าไรหรอกแต่หากต้องมานั่งอยู่ใกล้ ๆกับแม่เลี้ยงรินคำบ่อย ๆ เขาต้องเผลอเสียมารยาทใส่เพื่อนรักของแม่อย่างแน่นอน ก็เจ้าหล่อนวางท่าราวกับนางพญาผู้สูงส่ง คนชั้นติดดินอย่างปัณณทัตคงมิอาจเผยอหน้าขึ้นไปตีเสมอได้หรอก เชื่อเหลือเกินว่าหญิงสาวก็เช่นกันเธอต้องมีบางอย่างคล้ายแม่ของเธออยู่บ้าง แค่ชั่วโมงเดียวก็เกินพอแล้วใบหน้าหล่อสะบัดส่ายไล่ความตึงเครียดพลางบังคับรถให้เคลื่อนไปด้วยความเร็วคงที่เพื่อต้องการปรับอารมณ์ .
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ