The Smile Devil นายปีศาจตัวร้ายกับยัยตัวเเสบ
เขียนโดย winter
วันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 เวลา 10.04 น.
แก้ไขเมื่อ 15 มีนาคม พ.ศ. 2557 12.05 น. โดย เจ้าของนิยาย
19) Chapter 19 บทเพลงแห่งความเศร้า
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความChapter XIX
บทเพลงแห่งความเศร้า
“อารากิเป็นใครเหรอ???” O_O
ควับ
ทุกสายตามองไปที่นายอารากิ หรือผู้มาเยือนรายใหม่เห็นทางเดียวกัน นายนี่ไม่ได้เปลี่ยนหรือเพิ่มเติมความทรงจำของยัยอากิเลยเหรอ ถ้าให้ยัยนี่รู้ความจริงว่านายนี่เป็นปีศาจล่ะก็ มีหวังตกใจตายเลยล่ะ
“เอ่อ....คือ....อารากิเขา เป็น...ลูกพี่ลูกน้องเธอไงล่ะ”
“ลูกคนไหนของญาติฉันกันล่ะ พี่สาวแม่ฉันหรือน้องชายพ่อฉันหรือน้องของพ่อฝ่ายพี่ชายหรือพี่ของแม่ฝ่ายพี่สาว” แย่ล่ะสิ ยัยอากิถามอะไรแบบนี้เนี่ย ฉันยังไม่เตรียมคำตอบเลย มีใครบ้างฟะเนี่ย น้องพ่อพี่สาวแม่ลูกใครดีล่ะ
“ลูกของพี่สาวแม่ของพี่อากิไงจำไม่ได้เหรอครับ” ตอบไวทันใจเลยนะนายอารากิ
“เหรอ...ฉันจำไม่ได้เลยนะว่า พี่สาวแม่ฉันหรือน้องชายพ่อฉันหรือน้องของพ่อฝ่ายพี่ชายหรือพี่ของแม่ฝ่ายพี่สาวจะมีลูกชายกันเลยซักคน และที่สำคัญแม่ฉันมีแต่น้องสาวยะ ไม่มีพี่สาว” แย่ละสินายอารากิ
“งั้นผมเป็นลูกชายของน้องแม่คุณอากิละกัน” แถไปได้หน้าด้านจริง!
“เหรอ...แต่แม่ฉันเป็นลูกสาวคนเดียวของตระกูลนะยะ บอกมาเลยดีกว่าว่านายเป็นใคร อารากิ” งั้นเหรอพึ่งรู้นะเนี่ยว่าแม่เธอเป็นลูกคนเดียว
“เฮ้อ...แย่จังเลยโดนจับได้ซะแล้ว เอาเป็นว่าไว้ค่อยคุยกันได้ไหมครับวันนี้ผมชักง่วงแล้วสิ” นายนี่ช่างเปลี่ยนเรื่องได้ห่วยมากๆเลย
“นั้นสินะ ค่อยคุยกันก็ได้ ฉันก็ง่วงแล้วเหมือนกัน” เชื่อง่ายๆเลยเหรอยัยอากิ เมื่อตะกี้ยังถามซะแหลกเลย
“งั้นวันนี้ผมพักที่บ้านคุณนะครับ คุณพี่อากิ” นายยังมีหน้าไปขอนอนบ้านคนอื่นอีกเหรอเนี่ยพึ่งโกหกเขาไปหมาดๆเอง
“ได้สิ บ้านฉันมีห้องว่างเยอะแยะเลย เดี๋ยวฉันให้แม่บ้านฉันจัดไว้ให้นะ” ยัยอากิก็ดันบ้าจี้ยอมอนุญาต
“งั้นผมไปส่งนะครับ” นายเรียวพูดขึ้นหลังจากเงียบไปนาน
“คะ ได้สิ ดีใจที่สุดเลยล่ะที่คุณไปส่ง” ยัยอากิยิ้มและดึงมือนายเรียวเดินออกจากห้อง
“กลับก่อนนะจ๊ะ นามิ วันจันทร์เจอกันที่โรงเรียนนะ” ฉันเดินตามมาส่งทุกคนที่หน้าบ้าน
“จ๊ะๆแล้วเจอกัน” แล้วยัยอากิก็เดินจูงมือ(น่าจะกึ่งลากกึ่งดึงนะ)เดินกลับไป
“งั้นผมก็ขอตัวก่อนนะนะครับ กลับก่อนนะเรย์” นายอารากิบอกลาฉันและยัยเรย์
“จ๊ะ แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะ” ยัยเรย์พูดแล้วโบกมือลานายอารากิ แต่
“แต่ก่อนกลับขอหม่ำคุณนามิก่อนได้เปล่า หอมจังเลย” นายอารากิยังมีหน้าหันมาพูดกับเราว่าอยากกินฉัน
“ไม่ได้ค่ะ กินไม่ได้ “เล่นซะขนลุกเลยนะไอ้บ้า
“ถ้านายกินยัยนี่ล่ะก็ฉันเชือดแกหมกส้วมบ้านยัยนี่แน่ อย่าลองดีเลยซะดีกว่า” นายเก็นพูดขึ้นจากด้านหลังฉันด้วยน้ำเสียเย็นชาสุดยอดเลย น่าขนลุกกว่านายอารากิพูดว่าอยากกินฉันซะอีก
“ว้า...แย่จัง อดกินของอร่อยเลย กลับแล้วนะครับ” แล้วนายอารากิก็เดินออกไป
“นี่เรย์ หมอนี่คิดจะกินฉันจริงๆเหรอ” ฉันยิ้มแล้วถามยัยเรย์
“ก็จริงสิคะ ถึงจะสัญญาว่าจะไม่กินเนื้อมนุษย์แต่สำหรับคุณพี่แล้ว เข้าก็ย่อมจะฝ่าฝืนอยู่แล้วล่ะ ระวังตัวไว้หน่อยก็ดีนะคะ” สรุปแล้วนายนั่นจะกินฉันจริงๆนะเหรอ
“งั้นฉันกลับก่อนนะนามิ แล้วเจอกัน” นายเก็นพูดตัดบทแล้วเดินออกไปทันทีโดยไม่รอคำลาหรืออะไรจากฉันเลย นายนี่เป็นอะไรไปนะ
Chapter of Genkichi
ฮึ เฮ้อออ สุดท้าย ฉันก็เป็นได้แค่คนที่เหมือนกับคนๆนั้นของเธอสินะ นามิ ชักออยากจะเห็นหน้าเจ้าหมอนั้นจังเลยแฮะ จะเหมือนฉันขนาดไหนกันนะ
ผมเดินลากส้นเท้าย่ำไปตามพื้นสนามหญ้าในสวนสาธารณะอย่างไม่ค่อยๆสบอารมณ์ พอเดินไปได้ซักพักก็เจอกับม้านั่งของสวนนั้น ผมนั่งลงและปล่อยตัวตามสบายเอนหลังพิงพนักของมัน และเหม่อมองท้องฟ้าที่มีดาวนับแสนนับล้านหรือนับไม่ถ้วนก็ว่าได้ระยิบระยับเต็มท้องฟ้าเต็มไปหมด
ผมหยิบโทรศัพท์มือถือของผมจากกระเป๋ากางเกง และเลื่อนไปที่เมนูเครื่องเล่นเอ็มพีสาม แล้วเสียบหูฟังขนาดศูนย์จุดสองมิลลิเมตรลงไป พอเหน็บหูฟังเข้าหูแล้วผมได้เปิดเพลงๆหนึ่ง เป็นเพลงที่ผมักฟังตอนเศร้าๆเสมอๆ แต่มันทำให้ผมยิ้งเศร้าแฮะ หึ หึ หึ
กริ๊ก...
เธอหายใจออก เธอหายใจเข้าเป็นเขาทุกนาที
หมดสิทธิ์ที่ฉันนี้ จะได้เข้าไปนั่งอยู่ในใจ
พอเข้าใจอยู่และรู้ตัวดี ควรต้องยืนตรงไหน
แต่ว่าเธอรู้ไหม เธอยังเป็นคนเดียวในใจ
ความหวังดี มันห้ามกันได้ที่ไหน
ถ้าหาก ว่าเขาดูแลดีก็ดีไป
แต่หากมีวันหนึ่งเธอหวั่นไหว
ยังเก็บเบอร์ฉันไว้ใช่ไหมเธอ
ถ้าเธอไม่รู้จะโทรหาใคร ก็ให้เธอโทรเข้ามาหากัน
ฉันพร้อมจะปลอบใจเธอ และไม่มีวัน
จะปล่อยให้เธอต้องเจ็บ ต้องเหงาให้เธอนั้นจำไว้
ไม่ได้เช็ดน้ำตาแค่ได้คอยแคร์เธออยู่ในสายก็ดีแค่ไหน
จะเป็นแค่เพื่อนคุยให้เธอ จะเป็นที่ระบายให้เธอ
จะเป็นคนๆเดิมที่ว่างเสมอเพื่อเธอตลอดไป
จะไม่บอกว่าคิดถึงเธอ จะไม่บอกว่าอยากพบเจอ
ไม่ต้องห่วงฉันรู้ว่าเธอรัก รัก รักเขาเท่าไหร่
แค่รู้ไว้อย่าง ตอนน้ำตาเอ่อเธอนั้นยังมีใคร
เปิดมือถือทิ้งไว้ จะดึกดื่นแค่ไหนก็ยินดี
จะไม่ก้าวก่ายเรื่องของเธอหรอก เพียงรับฟังอย่างนี้
คุยไม่กี่นาที มันก็สุขไม่นานเกินพอแล้ว
ความหวังดี มันห้ามกันได้ที่ไหน
ถ้าหาก ว่าเขาดูแลดีก็ดีไป
แต่หากมีวันหนึ่งเธอหวั่นไหว
ยังเก็บเบอร์ฉันไว้ใช่ไหมเธอ
ถ้าเธอไม่รู้จะโทรหาใคร ก็ให้เธอโทรเข้ามาหากัน
ฉันพร้อมจะปลอบใจเธอ และไม่มีวัน
จะปล่อยให้เธอต้องเจ็บ ต้องเหงาให้เธอนั้นจำไว้
ไม่ได้เช็ดน้ำตาแค่ได้คอยแคร์เธออยู่ในสายก็ดีแค่ไหน
จะเป็นแค่เพื่อนคุยให้เธอ จะเป็นที่ระบายให้เธอ
จะเป็นคนๆเดิมที่ว่างเสมอเพื่อเธอตลอดไป
จะไม่บอกว่าคิดถึงเธอ จะไม่บอกว่าอยากพบเจอ
ไม่ต้องห่วงฉันรู้ว่าเธอรัก รัก รักเขาเท่าไหร่
พอเพลงจบลง ผมกดปิดเพลงที่กำลังเล่นต่อทันที เพราะผมดันนึกอะไรบางอย่างได้ ผมจึงลุกขึ้นเดินจากตรงนั้นและลองกดหาเบอร์โทรของนามิดู
อ๊ากกก!!!!
เสียงหนึ่ง ดันดังขึ้นก่อนที่ผมจะทำใจกล้าโทรหานามิจัง มันน่าจะเป็นเสียงร้องโหยหวนของคนแน่ๆ ผมคิดได้ดังนั้น จึงลองกระโดดขึ้นไม่ยืนตรงเสาไฟสปอร์ไลท์ของสาวสาธารณะสูงๆในสวนนั้นดู
ผมออกแรงนิดเดียวก็ทะยานลอยสูงขึ้นไปยืนบนนั้นได้เหมือเหาะได้ ตามจริงก็คล้ายๆเหาะน่ะแหละ แต่เผอิญมันไม่ได้ใช้ปีกช่วยเฉยๆเอง เพียงแค่รวบรวมพลังที่อยู่ในตัวของผมมาตั้งแต่เกิดเอาไว้ที่ส่วนเท้า และปลดปล่อยออกมาให้คล้ายๆกับไอพ่นของเครื่องบิน แต่เป็นพลังที่เบาบางและไม่มีใครมองเห็นได้ ผมจึงเรียกมันว่ากระโดดมากกว่าอ่ะนะ มันค่อนข้างจะอธิบายเข้าใจยาก เพราะผมฝึกแบบนี้มาทั้งชีวิตของผมเลย
มาว่ากันต่อเรื่องเสียงนั้นละกัน ผมยืนบนยอดเสาไฟสปอร์ไลท์ของสาวสาธารณะ และมองไปทางซ้ายทีขวาที และพบกับ
“ปีศาจนี่นา เยอะอะไรอย่างนั้นนะ”
ใช่ครับ ไม่ผิดหรอกเพราะเท่าที่ผมเห็น มันมามากกว่าร้อยตัว แต่ยังไงซะ พวกที่เห็นเท่าที่ผมรับความรู้สึกของพลังของพวกมัน รู้สึกว่าจะมีตัวนึง ที่มีพลังมากๆ แต่ก็ไม่เท่าผม น่าจะเป็นหัวหน้าของมัน ส่วนตัวที่มีพลังต่ำๆ พวกมันแยกกันไปตามที่ต่างๆในเมืองข้างๆสวนสาธารณะ และที่สำคัญ พวกมันเล่นงานคนที่เดินผ่านไปมาในยามราตรีกันอยู่ จากที่ได้ยินเสียงเมื่อครู่ ผมได้ยินเสียงหนึ่งเสียง สองเสียง สามเสียง และมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่ที่แปลกคือ พวกมันตั้งใจทำร้ายเฉพาะคนที่เดินไปมาตามถนนเท่านั้น ผู้คนที่อาศัยอยู่ในบ้าน มันกลับไม่บุกเข้าไป
“ทำไมกัน”
ผมเก็บโทรศัพท์มือถือเข้ากระเป๋ากางเกงผม และร่ายเวทย์ประตูมิติ ที่มีคุณสมบัติคล้ายๆกับกระเป๋าโดเรม่อน คือมันสามารถดึงอะไรก็ได้ที่ต้องการออกมา เพียงแค่รู้ตำแหน่ง
สิ่งที่ผมดึงมันออกมาคือ ดาบ
"ได้เวลาคลายเครียดแล้วสินะ"
Ending chapter Of Genkichi
...............................................................................
แสงแดดยามเช้าสาดส่องกระทบบานหน้าต่างของอาคารเรียน เหล่าบรรดานักเรียนต่างพากันเดินเข้าชั้นเรียนกันอย่างเป็นระเบียบหลังจากเคารพธงชาตเสร็จแล้ว บางส่วนก็กลับเข้าห้องเพื่อเรียนรายวิชา และอีกบางส่วนก็เริ่มทำกิจกรรมจัดตกแต่งสถานที่ของงานประจำโรงเรียน ที่กำลังจะมาถึง นั้นคือช่วงสิ้นเดือน วันที่ 31 ตุลาคม
ผมเดินตามถนนสายหนึ่ง ซึ่งผมไม่ได้เดินผ่านมันมาเป็นเวลาเกือบๆสิบปีแล้วสินะ ทิวทัศน์สองข้างทางตลอดทาง มันเปลี่ยนไปมากเลย ร้านขนมหวานที่ผมเคยแวะซื้อบ่อยๆตอนนี้ มันกลายเป็นร้านขายอาหารไปแล้ว แต่ที่ยังคงเหมือนเดิมตลอดคือ ถนนที่ไม่ค่อยมีคนสัญจรผ่านไปมามากนัก และความเงียบสงบ ถึงแม้ว่าจะเจริญไปมากแค่ไหน แต่ยังรักษาความเงียบสงบได้ดีเช่นเดิม
เหลือเวลาอีกไม่ถึงอาทิตย์แล้วสินะ ก็จะเป็นวันสำคัญของเธอคนนั้นแล้ว มันเป็นวันที่สำคัญต่อผม และทุกๆคนด้วย
...วันเกิดนามิจัง...
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ