ระบำดอกไม้ใต้เงาจันทร์
เขียนโดย อนันโย
วันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 เวลา 22.36 น.
แก้ไขเมื่อ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 22.53 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) ตอน ตำนานรักจิ้งจอกเก้าหาง ภาค ชายผู้เป็นที่รัก
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความจิ้งจอกเก้าหาง นาม ชิซุย
หญิงผู้โชคดี นาม ทู้จี้
ผู้เปลี่ยนวิถีของหญิงงามสองนาง นาม เว่ยอี้
ตอน ตำนานรักจิ้งจอกเก้าหาง ภาค ชายผู้เป็นที่รัก
1.
เสียงคมดาบกระทบพร้อมเสียงโห่ร้องที่ฮึกเหิมผสานเสียงกรีดร้องอย่างหวาดกลัวจับจิต ดังสะท้านไปทั่วด่านนอกเมือง กลุ่มควันไฟสีดำ โพยพุ่งขึ้นสูงอยู่ภายในเขตประตูเมืองซึ่งพังยับจากน้ำมือของทัพหนาถี แรงระเบิดจากปืนใหญ่ที่ยิงเข้าใส่บ้านเรือนและวังหลวงสร้างความเสียหายมากมาย กองทัพหนาถีลุกคืบเข้าไปยังหมู่บ้านที่อยู่โดยรอบ ทุกที่ลุกเป็นไฟ ผู้คนล้มตาย เสียงจากผู้รุกรานดังสะท้านกึกก้องเข้ามาถึงช่องเขาที่มีหิมะปกคลุมตลอดปี
ร่างบอบบางในชุดสีดอกโบตั๋นพลิ้วไหว นางยืนนิ่งบนโขดหินที่ยื่นออกไปท่ามกลางความเวิ้งว้างของหน้าผาสูงชัน แววตาสดใสของนางมองความเป็นไปในหมู่บ้านเบื้องล่างอย่างสงบ
ชาวบ้านต่างวิ่งหนีตาย ทหารหนาถีกว่าครึ่งร้อยกระจัดกระจายวิ่งไล่ล่าพวกเขาเหล่านั้น หญิงสาวส่ายหน้าเล็กน้อย ริมฝีปากสีสดเม้มเข้าหากัน ส่วนดวงตาเกิดแววสะท้อนกับแสงแดดจ้าฉับพลันก็เรืองสีฟ้าเข้มขึ้น
“พวกมนุษย์ดีแต่เข่นฆ่ากัน ทำลายกัน ข้าไม่อยากเห็นสิ่งเหล่านี้เลย...”
เสียงอันไพเราะกล่าวออกมาก่อนที่จะหันหลังให้ นางเดินไปได้สามก้าวก็เหลือบหันไปมองมันอีกครั้ง แล้วสะบัดชายแขนเสื้อทั้งสองข้างออกไปด้านหลังอย่างแรง
พริบตาเบื้องหลังนางปรากฏกลุ่มเมฆ ม้วนหมอกมืดทึบบรรยากาศหม่นมัวขึ้นกลางฟ้า ลมพายุลูกใหญ่ก่อตัวกรรโชกแผ่กระจายปกคลุมไปรอบเมืองฉวงอาง แรงลมหอบเอาหิมะตกกระจายไปทั่วเมืองอย่างรวดเร็ว รุนแรงจนกองทัพหนาถีต้องถอยล่น ถึงพายุหิมะลูกนี้จะช่วยให้กองไฟใหญ่น้อยที่ลุกโหมทำลายบ้านเมืองสงบลงได้ แต่ความหนาวเหน็บที่เข้ามาก็ทำให้พวกเขาเผชิญกับความโหดร้ายไม่น้อยไปกว่ากันยังดีที่ชาวเมืองได้เปรียบกว่าตรงที่พวกเขารู้จักกับความปรวนแปรอย่างนี้เป็นอย่างดีทุกปี
เวลาผ่านไปพายุหิมะลูกใหญ่พัดอยู่นานสามวันสามคืนกว่าจะเคลื่อนตัวออกและตรงไปยังฐานที่มั่นของทัพหนาถี ทำให้แม่ทัพต้องสั่งการเคลื่อนทัพกลับโดนเร็ว ชาวบ้านจึงรอดพ้นจากการบุกยึดครอง ทั่วทั้งเมืองต่างรู้ดีว่าพายุหิมะที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะอิทธิฤทธิ์ของจิ้งจอกเก้าหางที่อยู่บนหุบเขาปิงเสวี่ยซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเขาสูงเทียมฟ้าได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ทั่วทั้งเมืองจึงเซ่นไหว้และขอให้นางปกปักษ์รักษาเมืองฉวงอางตลอดไป
“ขอบคุณจิ้งจอกเก้าหาง ที่ช่วยเหลือพวกเรา
“พวกเขาเอาแต่ใจกันจริง ข้าไม่ได้ทำเพื่อพวกเจ้าสักหน่อย ทำไมข้าต้องคอยดูแลเมืองของพวกเจ้าด้วย”
เสียงหวานกล่าวอย่างไม่พอใจแต่ใบหน้าและแววตานางอ่อนโยน เมื่อรับรู้ถึงเสียงที่ส่งมายังเรือนนอนที่สูงเสียดฟ้าบนยอดเขา
หญิงสาวยืนอยู่ใกล้ริมหน้าต่างมองทิวทัศน์ด้านนอก พุ่มดอกโป๊ยเซียนสีส้มสดถูกปกคลุมด้วยเกล็ดหิมะสีขาวบางๆ บริเวณรอบเรือนประดับดอกไม้หลากสีสรรนานาพันธุ์ ซึ่งเกิดจากอำนาจในใจนางบันดาลให้ความสวยสดของเหล่าดอกไม้คงเป็นนิรันดร ไม่ว่าจะในสภาพอากาศแบบไหนพวกมันก็ยังคงเบ่งบานและชูช่ออยู่เพื่อที่จะให้นางได้ชื่นชม
“เอะ มีพวกมนุษย์หลบหนีเข้ามายังเขตแดนของเราได้เชียวหรือ”
นางกล่าวออกมาอย่างแปลกใจ คิ้วเรียวขมวดเล็กน้อย ใบหน้าขาวนวลเพ่งไปมองยังทิศทางตีนเขาเบื้องล่างแล้วร่างบอบบางก็แวบหายไป
“พี่ ข้าว่าเราอย่าเข้าไปมากกว่านี้อีกเลย”
“ไม่ได้ เราต้องไปให้ลึกกว่านี้ เชื่อข้าซิ พวกเรายังต้องไปต่อ ข้าว่า เลยตีนเขาไปน่าจะเหมาะกว่าอยู่ตรงนี้”
“แต่ข้ากลัวว่าเราจะหนาวตายกันซะก่อนนะสิ แล้วอีกอย่าง...ถ้านางรู้ว่ามีคนขึ้นเขาไม่รู้ว่าพวกเราจะเป็นยังไงต่อไป”
“เจ้าอย่าพึ่งกลัวไป ถ้าเราไม่ทำแบบนี้เราก็อดตายอยู่ในหมู่บ้านอยู่ดี ถึงสงครามจะสงบแล้วแต่บ้านเมืองก็เสียหายไปมาก ที่หมู่บ้านเราก็ไม่เหลือพืชผลไว้เพาะพันธุ์เก็บเกี่ยว อีกอย่างบ้านเราตอนนี้ก็มอดไหม้ไปหมด ข้าถึงต้องเสี่ยงพาพวกเจ้าขึ้นมาหาแหล่งที่อยู่ใหม่เพื่อที่พวกเราจะได้ทำมาหากินได้อีกครั้ง”
“ข้ารู้ แต่บนนี้นอกจากหิมะที่ตกลงมากับความหนาวเย็น ข้าก็ยังไม่เห็นอะไรที่เราพอจะหลบอาศัยอยู่ชั่วคราวได้เลย นี่ก็จวนจะเย็นแล้ว ถ้ำสักแห่งข้าก็ยังไม่เห็นแล้วเจ้าจะให้ข้าวางใจได้ยังไง ...ข้าสงสารลูก ลูกยังเล็กเหลือเกินข้ากลัวว่าแกจะทนกับอากาศหนาวขนาดนี้ไม่ไหว”
สองผัวเมียมองลูกสาววัย 7 ปี ที่ก้มหน้าซุกอยู่แนบอกมารดาและลูกชายวัย 12 ปี ที่ยืนตัวสั่นปากซีด ถึงแม้บุตรทั้งสองจะมีเสื้อหนังปกคลุมร่างเล็กจนดูตัวหนาใหญ่ แต่สายลมหนาวก็พริ้วผ่านเสื้อหนังสัตว์เข้าไปสัมผัสผิวบอบบางภายในได้ สามีนางมองใบหน้าภรรยาที่ตอนนี้ซีดขาวราวหิมะก็สะท้านใจ ถึงแม้ตัวเขาจะแข็งแรงพอที่จะฝ่าหิมะและความหนาวนี้ไปได้ แต่ภรรยาและลูกๆของเขาล่ะจะทนได้อีกนานเท่าไร
“เจ้าขึ้นมาขี่หลังข้าเถอะ...” สามีบอกพลางยอตัวลง
“ไม่เป็นไรหรอกพี่ ข้ายังเดินไหวเจ้าแบกลูกชายของเราเถอะ”
“ไม่เป็นไร แม่ ข้ายังเดินได้สบาย แม่ขึ้นหลังพ่อเถอะ” เด็กชายกล่าวเสียงแข็งแม้น้ำเสียงนั้นจะฟังกึกกักจากการที่ฟันซี่เล็กกระทบกันก็ตาม
“เจ้าขึ้นมาเถอะ เร็วเข้า”
ผู้เป็นสามีกล่าวเสียงเข้มจนภรรยาต้องทำตาม นางให้ลูกสาวขึ้นขี่หลังนาง จากนั้นก็โน้มตัวไปกอดคอสามีด้วยแขนข้างหนึ่ง ชายหนุ่มก็ยืดตัวขึ้นรั้งแขนสองข้างไปกระชับขาทั้งสองที่ไขว้รอบตัวของเขาให้มั่นคง ครั้นรู้สึกว่าตัวเองยืนได้มั่นคงดีแล้วก็ปล่อยแขนซ้ายที่รั้งด้านหลังไว้ไปโอบอุ้มร่างเล็กของเด็กชายเข้ามาไว้ด้านหน้า จนเด็กชายร้องโวยวายขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“พ่อ ข้ายังเดินไหวปล่อยข้าลงเถอะ พ่อแบกแม่กับน้องไปเถอะ อย่าได้ห่วงข้าเลย”
“เจ้าอย่าปดพ่อ ข้าเห็นเจ้ายืนสั่นเป็นลูกนกเดินก็ล้มหลายครั้ง ข้าว่าข้าอุ้มเจ้าเดินยังจะไวซะกว่า”
ผู้เป็นพ่อกล่าวอย่างอารมณ์ดีใบหน้าที่มีแต่หนวดเครารุงรังเต็มไปด้วยละอองหิมะจับตัวขาวปลอดปรากฏรอยยิ้มกว้าง เด็กชายมองหน้าบิดาน้ำตาคลอ
“ข้าจะทำให้ท่านหนักขึ้น ทำให้ต้อง...ลำบาก....ฮือ”
“เจ้าอย่าร้องซิ เว่ยอี่ พ่อของเจ้าเต็มใจทำเพื่อเจ้า เจ้าควรจะขอบคุณพ่อเจ้าซิ”
ผู้เป็นมารดากล่าวพลางยืนแขนที่โอบรอบคอสามีไปลูบใบหน้าเล็กเข้าหาช่วงไหล่กว้างของชายหนุ่ม
“ขอบคุณครับท่านพ่อ ขอบคุณครับ”
เสียงเด็กชายสั่นเครือซบหน้าสะอื้นฮักๆ แต่อ้อมแขนเล็กกับกอดร่างหนาไว้แน่น
“เอาล่ะ เราไปกันเถอะ”
จากนั้นชายหนุ่มร่างใหญ่ออกเดินย้ำลงไปบนพื้นหิมะหนา ซึ่งก้าวแต่ล่ะก้าวจมถึงข้อขา เขาพาร่างอันหนักเดินฝ่าหิมะไปอย่างเชื่องช้าแล้วเมื่อไกลออกไปจากบริเวณนั้น ร่างของหญิงสาวงดงามก็เดินออกมาจากที่หลบซ่อนหลังต้นไม้ นางมองจนร่างเหล่านั้นเล็กลง จึงถอนใจออกมา
“พวกเจ้าดื้อด้านกันซะจริง ...แต่ครั้งนี้ข้าจะปล่อยไปก็ได้ ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะทนกับความโหดร้ายของที่นี่ได้นะ....”
กล่าวจบนางก็วูบหายไปดั่งสายลม
.....................................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ