Tale of Utopia

6.9

เขียนโดย The_Paper

วันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 เวลา 18.12 น.

  15 บท
  8 วิจารณ์
  19.50K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2556 12.54 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

8) บทที่ 7 ด้านมืด

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 7 ด้านมืด

 

“เดอะมิลเลอร์!”  ฉันร้องออกมาด้วยตกในสุดขีด

 

ผู้ที่ปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าฉันในตอนนี้คือเดอะมิลเลอร์ไม่ผิดแน่   ชายหนุ่มรูปงามผู้เฉยชา  ใบหน้าซีดขาวของเขา  และดวงตาที่แลดูเลือดเย็นคู่นั้น  ผมสีทองนั้นปลิวไสวไปตามสายลมที่พัดผ่านมา  ตาสีนิลนั้นดูไร้ชีวิตชีวา   เขายังดูเหมือนครั้งแรกที่ได้เจอกันไม่มีผิด   แค่ได้มองเขาก็ทำให้ฉันรู้สึกกลัวขึ้นมาซะแล้ว  เดอะมิลเลอร์...

 

 

ชายหนุ่มเผยยิ้มเล็กน้อย  “เธอหาคำตอบได้รึยังล่ะ สาวน้อย...ว่าจะเลือกทางใด?”  เขาพูดเบาก็จริง  แต่ฉันกลับได้ยินคำพูดนั้นทุกถ้อยคำ

 

 

ฉันก้าวถอยหลังไป  สายตาจ้องอยู่ที่เดอะมิลเลอร์อย่างไม่ไว้วางใจ   ครั้งนี้ฉันสัมผัสได้ถึงความประสงค์ร้ายที่แผ่มาจากตัวเขาอย่างชัดเจน   ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน...

 

 

“กลัวฉันแล้วรึไง  รึว่า...เธอเจอคำตอบนั้นแล้ว” 

 

 

“.....” ฉันไม่ตอบเขา   ตอนนี้ฉันกำลังกลัวมากจริงๆ  แต่ฉันไม่รู้ว่าจะหนีไปจากผู้ชายคนนี้อย่างไรดี

 

 

“เจอแล้วสินะ”   เขาตอบคำถามนั้นด้วยตนเอง    เดอะมิลเลอร์ค่อยๆก้าวเข้ามาใกล้ฉันมากขึ้นเรื่อยๆ

 

 

“ฉันไม่อยากเจอนายอีก!”  ฉันพูดออกมาจนได้   ฉันไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าเดอะมิลเลอร์หมายความว่าอย่างไร...เจอสิ่งใดล่ะ  อะไรคือสิ่งที่เขาต้องการจากฉันกันแน่  เลือก....เลือกทางใดในเมื่อฉันยังไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง

 

 

“เธอยังโกรธฉันเรื่องชานั้นหรือเปล่า?”

 

 

“ชานั่น...นายใส่อะไรในชาให้ฉันดื่มกันแน่”  นี่คือที่มาของความฝันล่ะสินะ...ความฝันซ้ำๆที่ฉันไม่เคยเข้าใจ

 

 

“หึ...”  เดอะมิลเลอร์ยังไม่เอ่ยตอบในทันที  เขาเอาแต่ยิ้มเยาะใส่ฉัน

 

 

“นายโกหกฉันนี่....  ฉันจะไม่เชื่อคำพูดของนายอีกแล้ว   อย่าเข้ามาใกล้ฉันนะ!”

 

 

“โกหกที่ไหนกัน...ฉันไม่ได้ใส่ยาพิษลงไปในชานั้นจริงๆนี่หน่า”  เขาพูด  “ใบชานั้นมีเศษกระจกอยู่ต่างหาก”

 

 

“เศษกระจก?”  ฉันร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ

 

 

“ใช่...  ฉันตั้งใจจะส่งเศษกระจกของฉันเข้าไปในตัวของเธอ  เพื่อที่จะได้ล่วงรู้ความฝันของเธอ  เพื่อที่จะได้รู้ว่าเธอซ่อนอะไรไว้  แต่รู้สึกว่าปริมาณมันจะน้อยไปหน่อยนะ”

 

 

“นายจะล่วงรู้ความฝันของฉันไปทำไมกัน?....ที่สำคัญฉันไม่ได้ซ่อนอะไรไว้สักหน่อย”

 

 

“หึ  ถ้าจะพูดให้เธอเข้าใจง่ายๆก็คือ  ฉันแค่ต้องการจะเอาของที่เทพธิดาซ่อนเอาไว้ในหัวใจของเธอยังไงล่ะ”  ชั่วพริบตาเดอะมิลเลอร์ก็เข้าถึงตัวฉันซะแล้ว  เขาจับแขนฉันไว้แน่นจนฉันรู้สึกเจ็บ

 

 

“ของที่เทพธิดาซ่อนไว้!”  ฉันรู้สึกตื่นตระหนก

 

 

“ใช่...หนังสือที่เธอพยายามเปิดมันอ่านนั่นยังไงล่ะ”

 

 

“หนังสือ!”  สิ่งที่ฉันพยายามเปิดมันในความฝันทุกๆคืนเนี่ยนะ    เทพธิดาซ่อนอะไรไว้ในตัวฉัน   แล้วเดอะมิลเลอร์รู้ได้ยังไง  นี่มันเกิดอะไรขึ้น...?   ช่วยด้วย...ใครก็ได้รีบมาช่วยฉันทีเถอะ

 

 

“กระจกของฉันในตัวเธอคงมีปริมาณน้อยเกินไปหรือไม่พลังก็คงไม่เพียงพอที่จะเจาะเข้าไปในความฝันที่ลึกกว่านั้นของเธอได้   วันนี้ฉันเลยต้องมาหาเธอด้วยตัวฉันเองยังไงล่ะ”

 

 

“นายจะทำอะไรน่ะ!”  ฉันรู้สึกกลัวขึ้นมาทันใด  ฉันต้องหนี  ฉันคิด  แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะล่วงรู้ถึงความคิดของฉันเสียแล้ว

 

 

“คงต้องเพิ่มปริมาณกระจกขึ้นไปสักหน่อยแล้วมั้ง”  ชั่วพริบตานั้นเดอะมิลเลอร์ก็ฉุดเพื่อรั้งให้ฉันเข้าไปใกล้อย่างรวดเร็ว    และก่อนที่ฉันจะคาดคิดเขาก็ก้มลงประกบริมฝีปากของฉันเอาไว้ทันที

 

 

ฉันพยายามดิ้นสุดแรงเกิด  แต่ก็ไม่อาจสู้แรงของชายหนุ่มผู้นั้นได้    บางสิ่งบางอย่างถูกถ่ายทอดมาสู่ฉันอย่างที่ฉันไม่อาจต้านทานได้  ฉันทั้งรู้สึกหวาดกลัว  รู้สึกโกรธ  และรู้สึกเสียใจ    แต่ในไม่ช้าพลังของเดอะมิลเลอร์ก็เหนือกว่า...ฉันหยุดดิ้นรนโดยพลัน   ตาของฉันที่เคยเบิกกว้างค่อยๆหรี่ลงราวคนกำลังนอนหลับ   สติค่อยๆเลือนรางไปเรื่อยๆ  มือที่ผลักดันชายหนุ่มออกไปบัดนี้กลับตกห้อยอยู่ข้างตัว   ในไม่ช้าเดอะมิลเลอร์ก็ถอนริมฝีปากออกไปในที่สุด    เขาจ้องมองหญิงสาวที่สลบไปในอ้อมแขนด้วยความพอใจ

 

 

เมื่อเวลาผ่านไปชั่วครู่หนึ่งเดอะมิลเลอร์ก็กระซิบเบาๆที่ข้างหูของหญิงสาว “ตื่นเถิด  แอนนา เบลล์”

 

 

หญิงสาวผู้ไร้สติค่อยๆลืมตาขึ้นในที่สุด    แต่ทว่าดวงตาสีดำสนิทของหญิงสาวกับเหม่อลอยไปยังเบื้องหน้าอย่างไร้จุดหมาย

 

 

 

**********

 

 

 

 

จิ้งจอกเก้าหางยังคงขยับตัวไม่ได้  มันปรารถนาที่จะไล่ตามแอนน์ไปอย่างยิ่งยวดแต่ทำไม่ได้   มันไม่เข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่     แต่ทันใดนั้นเองโมโมะก็เห็นแสงสว่างสีขาวพุ่งขึ้นมาจากบริเวณหนึ่งของสวนที่อยู่ไกลออกไปไม่มากนัก

 

 

“แอนน์!”  โมโมะทำได้เพียงตะโกนร้องออกไปอีกครั้ง   แสงสีขาวนั้นปรากฏขึ้นเพียงแค่ชั่วแว่บเดียวก่อนที่จะค่อยๆเลือนหายไป     เมื่อนั้นเองที่ร่างของจิ้งจอกขยับได้ในที่สุด         มันรีบผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว     โมโมะกำลังจะวิ่งออกไปตามหาแอนน์อยู่แล้วถ้าหากว่าไม่มีเสียงรถม้าดังมาจากทางด้านหลัง          เมื่อรถม้าคันนั้นจอดสนิทอาเรนก็รีบวิ่งลงจากรถม้ามาหาโมโมะในทันที

 

 

“แอนน์หายไปไหนล่ะ โมโมะ?”  อาเรนถามขึ้นทันทีเมื่อมองไปที่ม้านั่งแล้วไม่เห็นหญิงสาว  เขามองเห็นแต่ผ้าคลุมที่เขาคลุมให้เธอก่อนจากไปเท่านั้น

 

 

“อย่าพึ่งให้ฉันอธิบายอะไรตอนนี้เลย...อาเรน ตอนนี้เรารีบไปกันก่อนเถอะ” โมโมะเอ่ยด้วยอาการร้อนรน   แม้จะยังไม่ทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นแต่จากน้ำเสียงของโมโมะก็ทำให้อาเรนมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาในทันที    เขาพยักหน้าให้กับโมโมะ  ก่อนจะตั้งสมาธิเพื่อจับกลิ่นอายว่าแอนน์เดินหายไปทางไหนอย่างไม่รอช้า

 

 

“โมโมะเธอแปลงร่างกลับแล้วรีบขึ้นมาบนไหล่ของฉันเร็ว!”  อาเรนพูดขึ้น  โมโมะนิ่งไปชั่วครู่ก่อนที่จะพอเข้าใจว่าชายหนุ่มต้องการจะทำอะไร  มันรีบแปลงร่างกลับแล้วกระโดดขึ้นไปบนไหล่ของอาเรนโดยทันที

 

 

“เกาะแน่นๆล่ะ”  อาเรนพูดขึ้นก่อนที่ใช้พลังของตน

 

 

โมโมะพยายามเกาะอยู่กับไหล่ของอาเรนให้แน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้   นาทีนั่นเองที่มันได้เห็นพลังของอาเรนเป็นครั้งแรก   พลังนั้นก็คือความเร็วที่เหนือสิ่งผู้ใดของอาเรน    ด้วยพลังนั้นทำให้ชายหนุ่มและจิ้งจอกน้อยเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วจนทำให้โมโมะรู้สึกราวกับว่าเวลากำลังหยุดนิ่ง    มันรู้สึกราวกับว่ามันกำลังอยู่ในอีกมิติหนึ่ง   รอบๆตัวของทั้งสองเคลื่อนที่ผ่านไปอย่างรวดเร็วจนมองไม่เห็นว่าอะไรเป็นอะไร

 

 

ทันใดนั้นอาเรนก็หยุดเคลื่อนที่อย่างกะทันหัน   โมโมะกลับมามองเห็นภาพตรงหน้าได้อีกครั้ง   คราวนี้มันอยู่ในบริเวณสวนที่แตกต่างออกไปจากเมื่อครู่นี้  ดูเหมือนว่าเพียงแค่อาเรนใช้เวลาชั่วแวบเดียวก็สามารถพาทั้งสองมาถึงเป้าหมายแล้ว    โมโมะรีบกระโดดลงจากไหล่ของอาเรนโดยทันที   ตอนแรกมันยังไม่รู้สึกถึงความผิดปกติใดๆจนกระทั่งมันหันไปเห็นเจ้าชายแห่งเดอะลาสเดสติเนชั่นยืนตาเบิกกว้างอยู่   โมโมะค่อยๆหันกลับมามองเบื้องหน้าอย่างกล้าๆกลัวๆ  เมื่อนั้นภาพที่มันมองเห็นก็ทำให้มันตกตตะลึงไปเหมือนกัน

 

 

“แอนน์!”

 

 

แอนนา เบลล์ยืนเหม่อลอยไม่ไหวติง  หรือหญิงสาวนิ่งเงียบราวกับไม่รับรู้กับสิ่งใดที่กำลังเกิดขึ้นอยู่รอบๆตัวเลยแม้แต่น้อย   เบื้องหลังของเธอมีชายหนุ่มผู้หนึ่งกำลังยิ้มด้วยความพอใจอยู่

 

 

“แอนน์! เกิดอะไรขึ้น?”  โมโมะกับอาเรนพากันตะโกนเรียกหญิงสาวด้วยเสียงอันดัง

 

 

แต่ทว่าหญิงสาวยังคงไม่รับรู้ถึงสิ่งใด    มีเพียงเดอะมิลเลอร์ที่คลี่ยิ้มออกมาให้ทั้งสองเพียงเท่านั้น

 

 

“แกเป็นใครกัน?” อาเรนพูดพร้อมกับชักดาบขึ้นมา

 

 

“ใครๆก็เรียกฉันว่า “เดอะมิลเลอร์” ” ชายหนุ่มพูดเรียบๆ

 

 

โมโมะทำหน้าสงสัย   ในขณะที่อาเรนทำหน้าตกใจ  “แกมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน?  แกน่ะต้องอยู่กับ....”

 

 

“พอดีฉันมีธุระสำคัญกับผู้ถูกเลือกน่ะสิ”  เดอะมิลเลอร์สวนด้วยท่าทางที่ไม่ใส่ใจนัก

 

 

“ปล่อยแอนน์ไปเดี๋ยวนี้นะ!”

 

 

“ไว้อีกสักพักก็แล้วกันนะ...พอดีว่าฉันยังไม่เสร็จธุระกับผู้ถูกเลือกน่ะสิ”  ว่าจบเดอะมิลเลอร์ก็รั้งร่างของหญิงสาวมาไว้ในอ้อมแขนทันที

 

 

อาเรนรู้ว่ายังไงการเจรจาต้องไม่ได้ผล   เขาไม่รอช้ารีบใช้เวทย์มนต์เพื่อโจมตีฝั่งตรงตรงข้ามทันที  

 

 

ในสายตาของโมโมะนั้นดูราวกับว่าอาเรนพึ่งจะหายตัวแล้วไปปรากฏอยู่ตรงหน้าของเดอะมิลเลอร์แทบจะในทันทีเลยทีเดียว

 

 

“อ๊ะ!” โมโมะร้อง    เมื่ออาเรนฟันดาบลงไปภาพของแอนน์กับเดอะมิลเลอร์ก็เลือนหายไปในทันที

 

 

“รีบร้อนกันจังเลยนะ...เดอะสปีด    ถ้าฉันเป็นนาย ฉันจะสนใจพวกพ่อมดแม่มดที่นำทหารเข้ามาถล่มที่นี่มากกว่านะ”  เดอะมิลเลอร์ปรากฏตัวอีกครั้งในขณะที่ยืนอยู่กลางอากาศพร้อมกับอุ้มแอนน์เอาไว้ในอ้อมแขน

 

 

“นายหมายความว่าไง?”  อาเรนไม่เข้าใจ    แต่เดอะมิลเลอร์ไม่ตอบในทันที  เขาเพียงแต่ส่งสายไปยังงานเทศกาลที่อยู่ห่างออกเพียงเท่านั้น

 

 

“ว้าย..!”

 

 

“ช่วยด้วย!”

 

 

ทันใดนั้นทั้งอาเรนและโมโมะก็พลันได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือดังขึ้น   ทั้งสองหันไปตามทิศทางของเสียงนั้นด้วยความตกใจก่อนที่จะพบว่าเสียงเหล่านั้นดังมาจากบริเวณที่จัดงานเทศกาล   ยิ่งเงี่ยหูฟังมากขึ้นเท่าไหร่ก็รู้ได้ว่าความวุ่นวายโกลาหลกำลังเพิ่มขึ้นทุกขณะเช่นเดียวกัน

 

 

“นี่แก...”

 

 

“อ๊ะ...ฉันไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำของเจ้าพวกนั้นหรอกนะ”

 

 

“พวกนั้นตั้งใจจะโจมตีที่นี่วันนี้งั้นรึ?”  อาเรนร้องออกมาอย่างเจ็บใจ

 

 

“เจ้าทำใจสำหรับเรื่องนี้มาแล้วไม่ใช่หรือเจ้าชายผู้สูงศักดิ์   วินาทีที่ท่านให้ความช่วยเหลือผู้ถูกเลือกท่านก็ถอยหลังกลับไม่ได้อีกแล้ว   ตอนนี้ดาร์คอาเธอร์ตัดสินว่าท่าน...ว่าเดอะลาสเดสติเนชั่นเป็นศัตรูไปซะแล้ว”

 

 

“อึก....”  อาเรนไม่อาจเถียงคำใดได้  สิ่งที่เดอะมิลเลอร์เอ่ยออกมานั้นถูกต้องทุกอย่าง

 

 

“ถึงเวลาต้องเลือกซะแล้วสิ...เดอะสปีด  ไม่ใช่สิเจ้าชายสินะ...”  เดอะมิลเลอร์พูดขึ้นแล้วจึงหายตัวไปปล่อยให้อาเรนส่งสายตามองไปอย่างเคียดแค้น

 

 

อาเรนยืนแข็งเป็นหิน...ถ้าไล่ตามเดอะมิลเลอร์ไปในตอนนี้ก็อาจจะช่วยแอนน์ได้   แต่ประชาชนที่กำลังร้องขอความช่วยเหลือล่ะ   เขาเป็นเจ้าชายแห่งเดอะลาสเดสติเนชั่น...อีกทั้งยังได้ยินเสียงอันเจ็บปวดของผู้คนใกล้ขนาดนี้แล้วเขาจะยังทิ้งไปได้อีกงั้นหรือ....

 

 

“โมโมะเธอรีบกลับไปที่ปราสาท  บอกให้ทุกคนรู้เรื่องที่เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด  ฉันขอฝากชินติดตามเดอะมิลเลอร์ไปเพื่อช่วยแอนน์แทนฉันด้วยล่ะ”  อาเรนบอกไม่ถูกว่าเขาเอ่ยประโยคนี้ออกมาด้วยความรู้สึกเช่นไร

 

 

“เข้าใจแล้ว!”  มันรับคำโดยทันที “แล้วอาเรนล่ะ?”

 

 

“พวกทหารที่ประจำการณ์คงไปที่งานเทศกาลแล้ว  ฉันเองก็จะไปช่วยอีกแรง...ฉันทิ้งประชาชนของฉันอย่างนี้ไม่ได้   เข้าใจฉันหน่อยนะโมโมะ...เจ้าเองก็รีบไปเถอะก่อนที่จะไม่ทันการณ์”

 

 

“ฉันเข้าใจดี...”  โมโมะพยักหน้าก่อนจะรีบพุ่งหายเข้าไปในพุ่มไม้ทันที

 

 

อาเรนถอนหายใจยาวขณะที่ยกดาบขึ้นพร้อมกับเร่งพลังของตนเอง   ถึงเวลาต้องเลือกงั้นเรอะ....   สุดท้ายเราก็ดันให้ชินไปช่วยแอนน์แทนซะได้    เราเลือกแล้ว....  เขาเลือกเดอะลาสต์เดิสติเนชั่น!!!!!!!

 

 

 

**********

 

 

 

“ที่นี่มัน...” ฉันพูดกับตัวฉันเอง  พื้นดินสีแดง....ทรายละเอียดที่ถูกลมพัดวนไปมาในอากาศร้อนระอุอย่างไม่รู้จักจบสิ้น  ความแห้งแล้งและแสงแดดแผดเผาที่แสนจะคุ้นเคย   ชั้นวางหนังสือที่วางเรียงกันอยู่นั้นดูชินตา 

 

 

ใช่แล้ว...ที่นี่คือสถานที่ในความฝันของฉันเอง

 

 

“แต่ว่าฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกันล่ะ?”  ฉันคิดขณะที่ออกเดิน  แต่ในไม่ช้าภาพของเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นค่อยๆหลั่งไหลเข้ามาภายในความทรงจำของฉัน

 

 

“ไวท์ลีฟออฟสตาร์...”  ฉันเอามือแตะที่สร้อยคอ  มันยังคงอยู่ดี  แม้แต่ในความฝันมันก็ยังคงมีตัวตนอยู่   ความคิดนั้นทำให้ฉันรู้สึกอุ่นใจอยู่ไม่น้อย

 

 

“เดอะมิลเลอร์...”  ชายหนุ่มผู้แสนเย็นชาคนนั้น

 

 

ทันใดนั้นฉันก็ชะงักฝีเท้า  “เขาบอกว่าต้องการหนังสือ”  ฉันขนลุกซู่ โดยไม่รู้ตัว  “แล้วตอนนั้นเขาก็....”  ฉันเอามือที่สั่นเทาของตนเองแตะที่ริมฝีปาก

 

 

“บ้าที่สุด!”  ฉันสะบัดหน้าเหมือนจะไล่ภาพกับความรู้สึกนั้นให้หายไปจากความทรงจำทั้งๆที่รู้ว่าคงไม่สามารถทำได้

 

 

“ฉันจะไม่มีวันยอมมอบหนังสือเล่มนั้นให้กับเดอะมิลเลอร์เด็ดขาด!”  ฉันพูดขึ้น  แล้วจึงรีบวิ่งออกไปที่ยังชั้นวางหนังสือที่วางเรียงรายอยู่ทันที

 

 

*********

 

 

“ดูให้เต็มตาสิผู้ถูกเลือก  เธอไม่มีวันที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรในยูโทเปียได้หรอก  ความหวังของยูโทเปียงั้นรึ....ไร้สาระสิ้นดี!”  เดอะมิลเลอร์กล่าวขึ้นพลางมองไปยังเบื้องล่าง 

 

 

 

ณ ตอนนี้พื้นที่จัดงานเทศกาลเบื้องล่างกำลังเต็มไปด้วยความวุ่นวาย  เสียงของคนร้องขอความช่วยดังไปทั่วทุกสารทิศ  เสียงของดาบปะทะกัน  เสียงดังแสบแก้วหูของการระเบิด ณ จุดที่เวทมนต์ปะทะกันกลางอากาศ  เสียงดังกึกก้องเหล่านี้ฟังดูราวกับดังมาจากขุมนรก    แต่ถึงกระนั้นร่างของหญิงสาวก็ยังนิ่งไม่ไหวติงแต่อย่างไร

 

 

“สักวันการตัดสินระหว่างพ่อมดแม่มดกับพวกนักเวทย์ก็จะต้องมาถึง...” เขากระซิบที่ข้างหูของแอนนา

 

 

“มาทำให้มันจบๆกันไปเลยดีกว่าไหม  ผู้ถูกเลือก...”

 

 

“หยุดได้แล้วนะ...เดอะมิลเลอร์   เจ้ากำลังเดินทางผิดอยู่นะ!” จู่ๆก็มีเสียงของหญิงสาวดังขึ้นมาจากร่างของแอนนา  

 

 

เดอะมิลเลอร์ชะงักงัน  เขามองไปที่ใบหน้าของแอนนา  แต่ใบหน้านั้นยังคงเฉยเมยไม่รับรู้ถึงเรื่องราวใดๆ  เธอยังไม่หลุดจากมนต์สะกดของเขานี่หน่า

 

 

“ปล่อยผู้ถูกเลือกไปซะ!”  เสียงนั้นดังจากร่างของหญิงสาวจริงๆ  แม้ว่าริมฝีปากของแอนนาขยับเพียงเล็กน้อยเท่านั้น   เมื่อนั้นเดอะมิลเลอร์จึงตระหนักว่ายามนี้ร่างของแอนนาถูกบางสิ่งบางอย่างเข้าควบคุมซะแล้ว

 

 

“เจ้าเป็นใคร?”

 

 

“คิดว่าฉันเป็นใครกันล่ะ  เดอะมิลเลอร์” แอนนาตอบกลับ 

 

 

“....” เดอะมิลเลอร์นิ่งไปชั่วครู่  ก่อนที่จะกระซิบแทบลืมหายใจว่า “ไม่จริง  เทพธิดางั้นเรอะ!”

 

 

“......” ร่างของแอนนาที่ถูกคนอื่นเข้าควบคุมอยู่นั้นไม่ได้แสดงอาการใดๆ

 

 

“เจ้ากำลังทำลายสมดุลอยู่นะ เดอะมิลเลอร์”   เทพธิดาเอ่ยต่อมาราวกับไม่ได้ยินคำถามเมื่อครู่

 

 

“หึ....ใช่เทพธิดาจริงๆซะด้วยสินะ   อะไรกันพึ่งจะเริ่มเดือดร้อนรึไง...”

 

 

“ฉันมาเตือนเธอต่างหาก  ฉันรู้นะว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอทำก็เพราะดิไอซ์”

 

 

“หุบปาก!”  ชายหนุ่มตะคอกกลับ  “ฉันจะให้ผู้ถูกเลือกมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้!”

 

 

“นั้นคือสิ่งที่เธอต้องการจริงๆงั้นรึ?”

 

 

“ใช่นะสิ”

 

 

“แม้ว่าจะเห็นใบหน้าของเด็กสาวคนนี้แล้ว....เจ้าก็ยังคิดที่จะเอาชีวิตเธออีกงั้นหรือ?”

 

 

“ฉันไม่เข้าใจที่เธอพูด”

 

 

“ลืมฉันแล้วเหรอ...ซาเกียร์”  ขณะนั้นเองดวงตาของแอนนาที่เคยมีสีดำสนิทก็กลายมาเป็นสีฟ้าสดใส  ส่วนเรือนผมสีเดียวกันก็กลับกลายมาเป็นสีขาวบริสุทธิ์

 

 

“โรวีน่า...”  เสียงของเดอะมิลเลอร์ตกใจสุดขีด

 

 

“หึ  สิ่งที่เธอคิดจะทำคือสิ่งใดกันแน่   สิ่งที่เดอะเปเปอร์ต้องการงั้นหรือ?   ถ้าเจ้าทำในสิ่งที่เดอะเปเปอร์ต้องการแล้วเจ้าจะได้สิ่งที่ตนเองต้องการคืนมาจริงๆน่ะหรือ   ตลอดมาเจ้าถูกหลอกใช้มาโดยตลอดต่างหากล่ะ”  ในไม่ช้าสีผมและแววตาของแอนนาก็ค่อยๆกลับกลายเป็นสีดำดังเดิมอย่างที่ควรเป็น

 

 

“เธอคนนี้คือความหวังของยูโทเปีย...หากเจ้าทำลายเธอก็เท่ากับทำลายความหวังของยูโทเปีย”

 

 

ทันใดนั้นร่างของแอนน์ก็ขยับ  มือทั้งสองของเธอยื่นมาผลักร่างของเดอะมิลเลอร์ด้วยแรงที่ชายหนุ่มไม่สามารถต้านเอาไว้ได้   เขาจำต้องปล่อยร่างของหญิงสาว  แต่ที่น่าแปลก...ร่างของหญิงสาวยังคงลอยอยู่กลางอากาศ

 

 

“ฉันไม่สนหรอกว่ายูโทเปียจะเป็นเช่นไร  ฉันเพียงแค่ต้องการ...ต้องการเธอคืนมาเท่านั้นเอง”

 

 

“สิ่งที่เจ้าต้องการมันเป็นไปไม่ได้...”

 

 

“เดอะเปเปอร์จะทำให้มันเป็นไปได้....”

 

 

“เฮ้อ...ไม่ว่าฉันจะเกลี้ยกล่อมเอในตอนนี้อย่างไรก็คงไร้ผล   ไม่ว่าอย่างไรฉันก็คงยกผู้ถูกเลือกคนนี้ให้เจ้าไม่ได้   เราคงต้องมารอดูกันต่อไป ว่าตอบจบของเรื่องนี้จะเป็นเช่นไร”

 

 

“คุณจะพนันกับผมงั้นรึ?”  เดอะมิลเลอร์ถอนหายใจ  การที่เทพธิดาปรากฏตัวขึ้นเช่นนี้ทำให้เขาหวั่นใจอยู่ไม่น้อย   แต่ในที่สุดชายหนุ่มก็เผยยิ้มออกมาจนได้

 

 

“แล้วเราจะได้รู้กันในไม่ช้า  ซาเกียร์....” ใบหน้าของแอนนาที่ถูกเทพธิดาควบคุมอยู่เผยยิ้มลึกลับชนิดที่ตีความไม่ได้ออกมา    ทันใดนั้นร่างของหญิงสาวก็ร่วงลงสู่พื้นพิภพทันที

 

 

“พลังของฉันคงช่วยผู้ถูกเลือกได้แค่ตอนนี้เท่านั้น  แต่หลังจากนี้จะเป็นจิตใจของเจ้าของร่างเองนะที่จะมาเป็นผู้ควบคุมร่างนี้ต่อไป  ก็ต้องมาดูกันล่ะ...ว่าผู้ถูกเลือกผู้นี้จะสามารถเอาชนะมนตราของเดอะมิลเลอร์ได้หรือเปล่า  ฉันเชื่อใจเธอนะ  แอนนา  เบลล์”

 

 

เสียงของแอนนาก้องสะท้อนไปในความมืด  เดอะมิลเลอร์ได้แต่หรี่ตามองดูเธอจากไปอย่างเงียบๆ  เขาไม่คิดจะไล่ตามหญิงสาวไปอีกแล้ว   ในไม่ช้าชายหนุ่มก็ค่อยๆเลือนหายไปจากที่แห่งนั้นเช่นเดียวกัน

 

 

 

************

 

 

 

“หนังสือ....” ฉันพึมพำอย่างว้าวุ่น  ขณะที่กำลังวิ่งไปตามชั้นหนังสือด้วยความกระวนกระวายใจ

 

 

“นั้นไง!” หนังสือเล่มนั้นยังคงนอนสงบนิ่งอยู่บนวางหนังสือชั้นหนึ่ง   ฉันรีบวิ่งไปที่ชั้นหนังสือนั้นแล้วคว้าหนังสือมาไว้ในมือทันที

 

 

 

**********

 

 

 

ร่างของแอนนาที่กำลังดิ่งลงมาจากฟากฟ้านั้นค่อยๆลดความเร็วลงอย่างน่าอัศจรรย์  ในที่สุดหญิงสาวก็ลงมาถึงพื้นอย่างปลอดภัย   อย่างไรก็ตามหญิงสาวยังคงยืนนิ่งขณะที่ดวงตามองไปอย่างไร้จุดหมาย

 

 

เมืองเงียบสงัดกว่าที่มันควรจะเป็น  เทพธิดานำหญิงสาวมายังอีกฟากหนึ่งของเมืองที่ทหารยังคงบุกมาไม่ถึง  แต่ที่นี่ก็คงจะสงบสุขอีกไม่นาน    กองทัพของดาร์คอาเธอร์กำลังใกล้เข้ามาทุกที...ทางเดินไร้ผู้คน  ประตูของทุกบ้านปิดสนิท  ประชาชนคนอื่นๆเข้าไปหลบภัยในที่ปลอดภัยแล้ว    ยามนี้ตามถนนมีเพียงเสียงประกาศเตือนภัยเท่านั้นที่ยังคงดังอยู่เป็นระยะๆ

“พวกพ่อมดแม่มดบุกแล้ว  ขอให้ประชาชนทุกคนรีบตรงไปยังที่หลบภัยทันที  ประกาศ....”

 

 

ในที่สุดแอนนาก็ค่อยๆเริ่มออกเดินเอื่อยเฉื่อยไปตามทาง   เธอยังคงไม่รับรู้อะไร    และแน่นอนว่าเธอไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังจะไปที่ไหน

 

 

**********

 

 

ณ ที่หลบภัยใต้ดินของปราสาท  ชินแทบจะนั่งไม่ติด  ใจของเขาร้อนเป็นไฟ  ข่าวเรื่องที่พ่อมดแม่มดบุกโจมตีทำให้ทุกคนต้องมาหลบภัย ณ ที่นี้  เขาพยายามจะออกไปต่อสู้แต่กลับถูกมาริคห้ามไว้

 

 

ตอนนี้เวลาก็ล่วงเลยมาจากตอนนั้นมากแล้ว  แต่เขายังไม่ได้ข่าวของอาเรน โมโมะแล้วก็แอนน์เลย

 

 

“พวกเขาไม่เป็นไรหรอก   อาเรนก็อยู่ด้วยนี่หน่า”  แคทเธอรีนพยายามพูดปลอบชิน

 

 

“แล้วทำไมป่านนี้ยังไม่ส่งข่าวมาอีกเล่า!”  ชินตวาดกลับ  แคทเธอรีนรู้สึกตกใจ   เธอไม่เคยเห็นชินที่เงียบขรึมดูเป็นกังวลเช่นนี้มาก่อน

 

 

“เจ้าชาย...” มาริครีบรุดมาหาชินจากประตูอีกฟากด้วยใบหน้าที่ตื่นตระหนก

 

 

“เกิดอะไรขึ้น?”  ชินรีบผุดลุกขึ้นทันที

 

 

“โมโมะครับ”  มาริคพูดเพียงเท่านั้น  ชินก็รีบวิ่งออกไปที่ประตูอย่างรวดเร็วราวกับลูกธนูที่ถูกยิง

 

 

“โมโมะ!” เขาร้องขึ้นทันทีเมื่อเห็นร่างของจิ้งจอกขาวที่เปรอะรอยเลือดไปทั่ว   มันกำลังหอบแฮ่กเพราะวิ่งติดต่อกันไม่หยุดนับตั้งแต่แยกกับอาเรน

 

 

“เจ้าบาดเจ็บ!”

 

 

“ฉันไม่เป็นไรหรอกชิน นี่มันเลือดของศัตรูทั้งนั้นล่ะ”

 

 

“ข้างนอกเกิดอะไรขึ้น  แล้วแอนน์ล่ะ?”

 

 

“สงครามเลยน่ะสิ   ตอนนี้อาเรนกำลังต่อสู้อยู่ข้างนอก  เขาให้ฉันมาส่งข่าวที่นี่”  โมโมะรีบส่งบอกต่อข้อความตามที่ได้รับมอบหมายมาในทันที

 

 

“แอนน์ล่ะ โมโมะ  อย่าบอกนะว่าอยู่สู้ข้างนอกเหมือนกัน!”

 

 

“แอนน์ถูกเดอะมิลเลอร์จับตัวไป” โมโมะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด

 

 

“ว่าไงนะ!” ชินหน้าซีด   จู่ๆทำไมเดอะมิลเลอร์ถึงมาปรากฏตัวในตอนนี้   คนๆนั้น...เป็นสมุนเอกของ...

 

 

“อาเรนบอกให้ชินรีบตามไปช่วยแอนน์   เพราะตอนนี้เขาจัดการกับพวกพ่อมดแม่มดอยู่   ชินรีบเข้าเถอะ...เราต้องรีบตามไปช่วยแอนน์แล้วนะ”  โมโมะพูดพลางสะบัดหัว  ถึงมันจะเหนื่อยมากเพียงใด แต่มันก็จะสู้จนถึงวินาทีสุดท้าย

 

 

“แล้วเธอไม่เป็นไรแน่นะ โมโมะ?”  ชินเอ่ยออกมาด้วยความเป็นห่วง

 

 

“อื้อ ฉันไหวอยู่แล้วล่ะ...ยังไงฉันก็ต้องไปช่วยแอนน์ด้วยอยู่แล้ว”  มันพูดพลางพยักหน้า

 

 

ชินไม่รอช้ารีบคว้าดาบขึ้นคาดเอวทันที  พร้อมกันนั้นเขาก็รีบเรียกมาริคออกมาสั่งการทันที

 

 

“นายรีบส่งทหารออกไปช่วยอาเรนโดยเร็วที่สุด  ให้กระจายทหารกองหนุนไปตามจุดต่างๆของเมืองผ่านทางท่อระบายน้ำก็แล้วกัน...พวกนั้นจะได้ไม่ทันรู้ตัว    ไม่ต้องปราณีพวกมัน  ที่นี่ยังไงเราก็ได้เปรียบกว่า   จากนี้ฉันขอมอบหมายให้นายคอยสั่งการต่อก็แล้วกันนะ มาริค”

 

 

“เจ้าชายกำลังจะไปไหนเหรอครับ?”

 

 

“ผู้ถูกเลือกถูกจับตัวไป  ฉันต้องรีบไปช่วยกลับมา    ตอนนี้เธอคนนี้คือความหวังของยูโทเปียนะ.....  ฝากที่เหลือด้วยนะมาริค  เจ้าเป็นทหารเอกอีกคนของอาเรน  ข้าเชื่อใจเจ้า!”  เขาตบที่บ่าของชายหนุ่มค่อนข้างแรง

 

 

สุดท้ายมาริคก็ได้แต่โค้งคำนับตอบรับคำสั่งการนั้นด้วยสีหน้าอันเด็ดเดี่ยว  “เข้าใจแล้วครับ เจ้าชายชิน”

 

 

“เรารีบไปกันเถอะโมโมะ!”  ชินเอ่ยชวนก็ออกไปทางประตูอย่างไม่ลังเล    คราวนี้ไม่มีใครห้ามเขาไว้อีกแล้ว  แม้แต่แคทเทอรีนเองก็ตาม   เธอทำเพียงแค่มองตามแผ่นหลังของชายหนุ่มไปด้วยสายตาที่เศร้าหมองเพียงเท่านั้น

 

 

ในไม่ช้าโมโมะและชินก้โผล่ขึ้นมาจากท่อระบายน้ำแห่งหนึ่งภายในเมือง   ทั้งสองเร้นกายหนีออกจากบริเวณสู้รบแล้วหลบเข้าไปในมุมมืดของเมืองในทันที  ตอนนี้สิ่งที่ทั้งสองต้องทำคือช่วยเหลือแอนน์เท่านั้น

 

 

“โมโมะ  เธอพอจะรู้ไหมว่าตอนนี้แอนน์อยู่ที่ไหนแล้ว  ถูกพาออกไปจากเมืองหรือยัง?”

 

 

“ยัง...ฉันรู้สึกได้  เรื่องดมกลิ่นฉันก็ไม่แพ้ใครหรอก   แอนน์ยังอยู่ในเมืองนี้เพียงแต่อยู่ไกลออกไปสักหน่อย น่าจะอยู่อีกฟากนี้ของเมืองนี่ล่ะ”  จิ้งจอกน้อยเอ่ยด้วยความมั่นใจ

 

 

“น่าแปลก....  ถ้าเดอะมิลเลอร์ต้องการตัวผู้ถูกเลือกจริง   ก็ไม่น่าจะปล่อยให้แอนน์อยู่ที่นี่นานเกินไปแบบนี้     ช่างเถอะ...รีบนำทางไปเถอะโมโมะ”

 

 

“ทางนี้...” โมโมะพูดขึ้นพร้อมกับวิ่งนำออกไปในทันที  ชินตามไปอย่างไม่ลังเล

 

 

 

*********

 

 

 

เวลาผ่านไปครู่ใหญ่จนกระทั่งหญิงสาวเดินไปพบกับทหารฝ่ายตรงข้ามเข้าจนได้     แอนน์เพียงแต่ยืนนิ่งขณะที่ประจันหน้ากับทหารฝ่ายตรงข้าม    ทหารกลุ่มนั้นมีจำนวนราวสิบคนได้    คนเหล่านี้เป็นกลุ่มแรกที่สามารถบุกรุกเข้ามาถึงส่วนนี้ของเดอะลาสเดสติเนชั่น

 

 

“แกเป็นใคร?”  ทหารคนหนึ่งตะโกนถามขึ้น

 

 

“...”ไม่มีคำตอบจากร่างของหญิงสาว

 

 

“เฮ้ย! ฉันถามว่าแกนะเป็นใคร  ชาวบ้านหรือไงกัน?”  ทหารคนเดิมตะคอกซ้ำ  แต่แอนนายังคงเงียบงัน

 

 

“ฮึ!ไม่ตอบงั้นรึ  ยังไงก็คงเป็นพวกของเดอะลาสต์เดสติเนชั่น...เป็นนักเวทย์ทั้งนั้นแหละ  ถ้าเป็นแบบนั้นแกก็อย่ามีชีวิตอยู่ต่อไปเลย”  ทหารผู้นั้นเงื้อดาบเพื่อที่จะฟาดฟันลงบนร่างของหญิงสาว     ทันใดนั้นมือของแอนนาก็ยกขึ้นอย่างรวดเร็วจนแทบมองไม่ทัน   มือของหญิงกำแน่นอยู่ที่ข้อมือของทหารผู้นั้น   แต่ที่น่ากลัวคือแรงของแอนนามีมากเสียจนทำเอาข้อมือของทหารคนแทบแตกเป็นชิ้นๆ   ทหารผู้นั้นร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดจนในที่สุดดาบก็หลุดจากมือของทหารผู้นั้นไป

 

 

“ปล่อยฉันนะ!”  ทหารคนนั้นแหกปากร้อง  แต่ทว่ามือของแอนนายังคงบีบแรงขึ้นเรื่อยๆ  ทหารคนที่เหลือเอาแต่มองสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าอย่างตกตะลึง   ทุกคนไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

 

 

“ป๊อก!” ในที่สุดเสียงของกระดูกหักก็ดังขึ้นเงียบๆ  ก่อนจะตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวนของทหารผู้โชคร้ายนั้น

 

 

“ทุกคนบุก!” ทหารอีกคนร้องออกมาอย่างร้อนรนด้วยความกลัวมากกว่าความฮึกเหิม   คนที่เหลือพากันชักดาบออกมา  ก่อนจะพร้อมใจกันพุ่งเข้ามาหาแอนนาโดยทันที

 

 

แอนนากระโดดถอยหลังไปเพียงก้าวนึงก็สามารถหลบคมดาบทั้งหมดของทหารพวกนั้นได้อย่างปลอดภัย   ท่าทางของเธอคล่องแคล่วเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด     ทันใดนั้นหญิงสาวก็แบมือทั้งสองข้างออกมา   เมื่อนั้นกระดาษก็ถูกเสกขึ้น ก่อนที่ในนาทีถัดมากระดาษเหล่านั้นจะกลายมาเป็นดาบกระดาษซึ่งตอนนี้นอนนิ่งสนิทในมือของเธอ

 

 

“พลังนั้นมัน...เดอะเปเปอร์!”  ทหารคนหนึ่งร้องขึ้นด้วยความหวาดหวั่น

 

 

“เป็นไปไม่ได้...”

 

 

“พวกเราถอยกันก่อนดีไหม?”

 

 

แต่ทว่าแอนนากลับขยับตัวเสียก่อนแล้ว    เธอกระชับดาบในมือก่อนจะพุ่งเข้าใส่ทหารคนนั้นอย่างไม่ลังเล  เพียงเสี้ยววินาทีเธอก็เข้าประชิดทหารคนนั้น พริบตาถัดมากว่าเขาจะรู้สึกตัวดาบกระดาษนั้นก็ถูกปาดเข้าลำคอของชายผู้นั้นจนเลือดพุ่งกระจายออกจากร่างเสียแล้ว   เลือดแดงสดไหลท่วมจนซึมไปทั่วดาบกระดาษและร่างของหญิงสาว   ไม่ต้องบอกก้รู้ว่าทหารผู้นั้นสิ้นลมหายใจลงไปอย่างง่ายดายซะแล้ว

 

 

“แก...”

 

 

“ฉันจะฆ่าแก!”

 

 

ทหารที่เหลือเมื่อเห็นเพื่อนของตนถูกฆ่าก็บุกเข้ามาอย่างไม่กลัวตายทันที  แอนนาขยับดาบในมืออีกครั้ง   ภายในไม่กี่นาทีหลังจากนั้นการต่อสู้ก็จบลง   หญิงสาวสามารถหลบการโจมตีของทหารเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย   และทุกครั้งที่เธอฟันดาบลงไปนั้นหมายถึงหนึ่งชีวิตจะต้องดับสิ้นลง

 

 

ดาบกระดาษที่เคยมีสีขาวบริสุทธิ์บัดนี้ชุ่มด้วยเลือดจนกลายเป็นสีแดง  ดาบกระดาษที่ถูกย้อมด้วยเลือด  แม้จะทำเรื่องแบบนั้นลงไปแต่หญิงสาวก็ยังคงมีใบหน้าไร้อารมณ์อยู่เช่นเดิม   เมื่อการต่อสู้จบลงแล้วแอนนาก็ทิ้งดาบกระดาษลงกับพื้นราวกับเป็นของหมดประโยชน์แล้วจึงออกเดินต่อไป    เธอเดินต่อไปอย่างเหม่อลอยขณะที่ทิ้งร่างอันไร้วิญญาณของทหารนับสิบเอาไว้เป็นฉากหลัง

 

 

 

**********

 

 

 

“ฉันได้กลิ่นเลือดล่ะ....จำนวนมากด้วย  กลิ่นมันอยู่ในทิศทางเดียวกับที่ที่แอนน์อยู่เลย” โมโมะพูดขึ้นด้วยความตระหนก    ขณะนี้ทั้งมันและชินกำลังวิ่งไปตามทางเดินที่มืดมิด

 

 

“เกิดเรื่องอะไรข้างหน้าแน่ๆ  รีบไปเถอะ!” น้ำเสียงของชินก็ร้อนรนไม่แพ้กัน

 

 

“อื้ม”  โมโมะตอบรับพลางเร่งความเร็วของตนเองให้มากขึ้นอีก

 

 

ทันใดนั้นเองจิ้งจอกขาวที่วิ่งนำหน้าไปก็หยุดวิ่งโดยฉับพลัน

 

 

“ชิน!” น้ำเสียงของโมโมะทำให้ชินรู้สึกไม่ดีอย่างรุนแรง    ชายหนุ่มรีบรุดมาทันที

 

 

“ชิน...ที่พื้นเปียกอะไรก็ไม่รู้  ไม่น่าจะเป็นไปได้ นี่มันเลือดทั้งนั้นเลยนี่หน่า!” โมโมะก้มลงมองอุ้งเท้าของตน  ก็พบว่ามันกำลังยืนอยู่บนกองเลือด

 

 

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่?  โมโมะ....พ่นไฟออกมาหน่อยสิ  ฉันอยากรู้ว่าเรากำลังพบกับอะไรอยู่”

 

 

“ได้สิ....”  โมโมะพ่นไฟออกมา  เมื่อนั้นชินก็ยกมือขึ้นมาปิดปากแทบไม่ทัน

 

 

“นี่มัน...” เสียงของชินยามนี้แทบจะเรียกได้ว่าตื่นตระหนกถึงที่สุด   เสียงของเจ้าชายสั่นเครืออย่างควบคุมไม่อยู่เมื่อเขามองเห็นสิ่งที่กระจัดกระจายอยู่ห่างออกไปเล็กน้อยในที่สุด

 

 

ศพของทหารนอนเกลื่อนกลาดกระจายไปทั่วตามทางเดิน  เหตุการณ์นองเลือดนี้คงเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่เพราะเลือดบางส่วนยังคงไหลซึมออกมาจากบาดแผลที่ถูกทำร้ายไม่มีหยุด  กลิ่นคาวของเลือดคละคลุ้งไปหมด  แม้ว่าชินจะเคยเจอเรื่องแบบนี้มาบ้างแต่เขาก็ไม่เคยเห็นการฆ่าฟันที่โหดร้ายถึงขนาดนี้มาก่อนเลย

 

 

“ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะ?” เสียงของโมโมะบ่งบอกถึงความหวาดกลัวสุดขีด

 

 

“เหตุการณ์พึ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่นี้เอง...” ชินพึมพำ  ตอนนี้เขาพอจะรวบรวมสติกลับมาได้บางส่วนแล้ว

 

 

“ทหารฝ่ายไหนกัน หรือว่า...”

 

 

“ไม่  นี่เป็นทหารจากพวกพ่อมดแม่มด  ทหารของเราไม่ได้ใส่เครื่องแบบแบบนี้”

 

 

“ใครกันที่ทำเรื่องโหดร้ายแบบนี้ได้?”

 

 

“ฉันไม่รู้” ชินตอบอย่างจนปัญญา “ฉันไม่รู้จริงๆ”

 

 

“เดอะมิลเลอร์หรือเปล่า?” โมโมะร้องขึ้นมา

 

 

“เดอะมิลเลอร์จะฆ่าทหารพวกนี้ไปทำไมกัน” ชินขัดขึ้น   แต่แล้วเขาก็เห็นของบางสิ่งบางอย่างจมอยู่ในกองเลือดจนได้

 

 

ชินค่อยๆคุกเข่าลงเก็บของสิ่งนั้นขึ้นมา   ของสิ่งนั้นทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

 

 

“อะไรน่ะ ชิน?”

 

 

ชินไม่อาจตอบออกมาเป็นคำพูดได้  เขาทำได้เพียงแค่ยื่นของสิ่งนั้นให้โมโมะเห็นด้วยตาของตนเองเพียงเท่านั้น

 

 

“ไม่จริง!” โมโมะร้องเสียงหลง

 

 

“ไม่มีใครมีอาวุธแบบนี้ได้ นอกจาก....”

 

 

“ต้องเป็นการเข้าใจผิด    มันต้องเป็นการเข้าใจผิดแน่ๆ  แอนน์อาจจะแค่บังเอิญทำตกไว้นะ”

 

 

“ดาบกระดาษเล่มนี้ชุ่มไปด้วยเลือดถึงข้างในน่ะ  พวกเราก็รู้กันอยู่ว่าทหารพวกนี้พึ่งถูกฆ่า   ถ้าดาบเล่มนั้นมันตกเฉยๆละก็....”

 

 

“ชิน   แอนน์จะไม่เป็นไรใช่ไหม?”  โมโมะทำท่าเหมือนจะร้องไห้   มันเดาไม่ออกจริงๆว่าตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

 

 

“แอนน์   นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย?”  ชินพูดขึ้นพร้อมกับกำดาบกระดาษที่ตอนนี้ชุ่มโชกไปด้วยเลือดในมือเอาไว้แน่น

 

 

 

**********

 

 

 

แอนนาที่ตอนนี้ทั้งร่างเปรอะไปด้วยเลือดยังไงออกเดินมาเรื่อยๆจนกระทั่งมาหยุดนิ่งอยู่ที่หน้าโบสถ์แห่งหนึ่ง   ในที่สุดก็หญิงสาวยกมือขึ้นผลักบานประตูแล้วจึงก้าวเดินเข้าไปภายใน    แสงสว่างจากดวงจันทร์ส่องผ่านกระจกที่ถูกแกะสลักอย่างงามวิจิตรภายในโบสถ์นั้น  ทำให้ภายในโบสถ์ไม่มืดจนเกินไปนัก  ความเงียบบังเกิดขึ้น  ให้ความรู้สึกเหมือนกับทะเลที่เงียบสงบก่อนที่จะมีพายุลูกใหญ่ผ่านมาอย่างบอกไม่ถูก

 

 

หญิงสาวเดินมาเรื่อยๆจนมาหยุดอยู่ที่หน้าแท่นบูชา

 

 

“ปัง!” ทันใดนั้นเสียงของประตูโบสถ์ก็ดังขึ้น  พ่อมดและแม่มดหลายคนกรูเข้ามาภายในโบสถ์ตามมาด้วยทหารอีกหลายสิบนาย  ทั้งหมดพายืนกั้นประตูทางออกเอาไว้ไม่ให้หญิงสาวมีโอกาสหนีไปไหนได้

 

 

“ข้าสัมผัสได้ถึงพลังอันแข็งกล้า...  เจ้าคือผู้ถูกเลือกละสินะ”  พ่อมดคนหนึ่งถามขึ้นพลางยกไม้เท้าเพื่อเตรียมร่ายมนต์

 

 

หญิงสาวเพียงแต่ยืนนิ่ง  หยดเลือดที่ได้มาจากการต่อสู้เมื่อครู่ยังหยดไหลลงจากชายผ้าของเธอ   ทหารบางคนที่เห็นถึงกลับกระเดือกน้ำลายลงคอ

 

 

“หึ” พ่อมดคนนั้นยิ้มกริ่ม  ดูเหมือนเขาจะไม่ต้องการคำตอบอีกต่อไปแล้ว  เขาท่องมนตราพร้อมกับร่ายเวทย์ใส่หญิงสาวในทันที

 

 

แอนนาขยับตัวเพียงนิดเดียวก็สามารถหลบเวทย์นั้นพ้น    หลังจากนั้นเธอก็รีบใช้ความเร็วพุ่งเข้าหาตัวของพ่อมด   แต่ทว่าพ่อมดผู้นั้นกลับใช้เวทมนต์ป้องกันตนเองอยู่ทำให้หญิงสาวไม่สามารถเข้าประชิดร่างนั้นได้   จังหวะนั่นเองพ่อมดก็รีบร่ายเวทมนต์อีก  แต่แน่นอนว่าหญิงสาวยังคงหลบได้อย่างว่องไว

 

 

“ไวนักนะ  เจอนี่หน่อยเป็นไง!”  พ่อมดควงไม้เท้า “เวทย์ดึงดูด” เขากล่าว

 

 

ทันใดนั้นร่างของหญิงสาวก็หยุดนิ่งอยู่กับที่  เวทย์ดึงดูดนั้นมีผลทำให้เธอขยับร่างกายไม่ได้  พ่อมดไม่ปล่อยให้ช่องว่างนั้นหลุดไปเขารีบร่ายคาถาเพลิงใส่ทันที   พลังนั้นโดนร่างของหญิงสาวเข้าไปเต็มๆ

 

 

“นึกว่าจะแน่แค่ไหนกัน....”  เมื่อเห็นว่าคาถาเพลิงพุ่งเข้าโจมตีฝ่ายตรงข้ามแล้ว  พ่อมดก็คลายเวทย์ดึงดูดออก  

 

 

ตอนนั้นเองพ่อมดก็รู้สึกเจ็บแปลบ  อย่างไม่ทันรู้ตัวดาบกระดาษเล่มหนึ่งก็พุ่งทะลุจากแผ่นหลังของเขามาถึงด้านหน้าซะแล้ว    พ่อมดคนนั้นถึงกลับกระอักเลือดเมื่อเขาเอี้ยวตัวกลับไปก็เห็นหญิงสาวถือดาบกระดาษปักร่างเขาอยู่

 

 

“นี่มัน...” ร่างของหญิงสาวที่รับการโจมตีจากพ่อมดเมื่อครู่พลันสลายกลายเป็นเศษกระดาษไปจนหมดซะอย่างนั้น

 

 

“ร่างปลอมรึ” พ่อมดคนนั้นพูดขึ้นเป็นประโยคสุดท้ายพร้อมๆกับที่แอนนากระชากดาบออก  ร่างของพ่อมดก็ล้มลง  เขากระตุกเพียงแค่ไม่กี่ครั้งก็นิ่งไป

 

 

“ทุกคนกระจายตัวกันออกไปเร็ว!”

 

 

พ่อมดแม่มดคนอื่นกับพวกทหารที่เหลือพากันกระจายไปโดยรอบในทันที  ทุกคนยืนล้อมกันเป็นวงกลมโดยมีร่างของแอนนายืนนิ่งอยู่กลางวงล้อม

 

 

ยามนั้นเมฆเคลื่อนที่มาบดบังแสงของพระจันทร์เอาไว้อย่างแช่มช้า   แอนนาเสกกระดาษขึ้นมาจำนวนนับไม่ถ้วน   เธอทำให้กระดาษเหล่านั้นมีลักษณะเปรียบเสมือนมีดที่คบกริบ   ส่วนพวกพ่อมดแม่มดก็เตรียมร่ายมนตราเอาไว้  ทหารที่เหลือต่างพร้อมใจกันยกอาวุธขึ้นมาไมว่าจะเพื่อโจมตีหรือป้องกันตัวก็ตามแต่   เมฆยังคงเคลื่อนที่ต่อไป.....เมื่อแสงสว่างของดวงจันทร์หวนกลับมาอีกครั้ง  ทั้งสองฝ่ายก็เริ่มเปิดฉากโจมตีกันโดยทันที

 

 

 

*********

 

ปล. บทนี้เนื้อหาพาเอาอารมณ์เปลี่ยจากบทก่อนแบบ 180 องศาเลยเนอะ แหะๆๆๆ มาลงช้ากว่าที่ตั้งใจไว้ไปนิดนึงอ่า...
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันน๊า 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
6.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา