Tale of Utopia
เขียนโดย The_Paper
วันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 เวลา 18.12 น.
แก้ไขเมื่อ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2556 12.54 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) บทที่ 3 มงกุฎกระดาษกับชายแปลกหน้า
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 3 มงกุฎกระดาษกับชายแปลกหน้า
ช่างเป็นทุ่งดอกไม้ที่งดงามจริงๆ ท่านแม่มาเห็นจะต้องชอบมากแน่ๆ ฉันคิดขณะที่พาจรวดกระดาษร่อนลงในทุ่งดอกไม้ที่มีสีสันตระกาลตาที่อยู่เบื้องล่างนั้น
“สวยจังเลย ที่นี่คือที่ไหนกัน...?” โมะโมะร้องออกมาด้วยความดีใจ
“ทุกคนเรียกสถานที่แห่งนี้ว่าทุ่งพีโอนี ทุ่งดอกไม้ที่แสนสวยงามแห่งนี้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ นอกจากความสวยงามแล้วสถานที่แห่งนี้ยังเป็นจุดที่บอกว่าเรามาถึงสุดเขตแดนของอาณาจักรพีโอเนียกันแล้วด้วย แถมที่นี่ยังเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างยูโทเปียฝั่งตะวันออกกับยูโทเปียฝั่งตะวักตกอีกต่างหาก” ชินอธิบายให้เพื่อนร่วมทางคนอื่นๆฟัง
“เป็นที่ที่ยอดเยี่ยมไปเลย ว่าไหม..” ฉันพูดด้วยเสียงฝันๆ ถ้าได้ไปเดินท่ามกลางดอกไม้นานาพันธ์เหล่านั้นจะต้องรู้สึกเหมือนกับได้อยู่บนสรวงสวรรค์แน่เลย
“สวยมากก็จริง แต่ก็อันตรายเหมือนกันนะ ทุ่งดอกไม้นี้กว้างมาก ทำให้เกิดเหตุหลงทางขึ้นบ่อยๆ โดยเฉพาะตอนกลางคืน...เพราะเวลาลงไปในทุ่งดอกไม้พวกนั้นทุกทิศจะดูเหมือนกันไปหมด ถ้าอยากจะลงไปเดินเล่นหรือทำอะไรละก็......ระวังตัวหน่อยแล้วกัน บางคนเขาว่ากันว่าที่นี่เป็นทุ่งดอกไม้ต้องคำสาปเลยทีเดียว”
ฉันมองไปที่ทุ่งดอกไม้พลางขมวดคิ้วอย่างไม่เห็นด้วย น่าสงสารจังเลยนะ...อยู่ๆดีก็ถูกคนอื่นพากันว่าอย่างนั้น เหมือนฉันที่เป็นคนของตระกูลเบลล์ไม่มีผิด
“ไม่เป็นไรหรอกหน่า ถึงฉันหลงฉันก็เสกจรวดกระดาษแล้วก็บินขึ้นเหนือทุ่งดอกไม้ฉันก็หาพวกชินเจอแล้วล่ะ” ฉันเอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์ดี เพราะตั้งใจว่าจะต้องลงไปเดินท่ามกลางทุ่งดอกไม้นั้นให้ได้
“เฮ้อ....เธอลืมไปแล้วรึไงว่าเรากำลังหลบหนี เพราะฉะนั้นเรื่องที่เราเป็นนักเวทย์ก็ต้องเก็บไว้เป็นความลับด้วย นี่ยังไม่นับเรื่องที่เธอเป็นผู้ถูกเลือกอีกนะ เธอคงคิดแต่เรื่องจะลงไปเดินเที่ยวเล่นอย่างเดียวเลยล่ะสิ” ชินคัดค้านขึ้นมาทันที ฉันได้แต่ทำหน้าบึ้งใส่เขา
“แหม...ที่นี่ไม่เห็นจะมีใครเลยนี่หน่า นี่ชิน...เราแวะพักกันที่นี่สักพักเถอะนะ” ฉันทำเสียงอ้อนๆ
“แต่ถ้าเราไม่รีบ...”
“พักสักหน่อยเถอะชิน แอนน์เค้าใช้พลังในการเดินทางมาตลอดเลยนะ พักแค่หน่อยเดียวคงไม่เป็นไรหรอก” โมโมะช่วยพูดอีกแรง
“เฮ้อ ตามใจก็แล้วกัน” ชินยอมแพ้ในที่สุด หลังจากที่ฉันกับโมโมะส่งสายตาอ้อนวอนอยู่นาน “ถ้าอย่างนั้นเราไปที่ใต้ต้นไม้นั้นกันดีกว่า อย่างน้อยก็สามารถใช้เป็นจุดสังเกตได้” เขาเดินนำทุกคนขึ้นไปบนเนินเล็กๆเนินหนึ่ง บนเนินแห่งนั้นมีต้นไม้ขนาดใหญ่ต้นหนึ่งขึ้นอยู่ ดูร่มรื่นทีเดียว ชั่วจังหวะนั้นฉันจึงลอบส่งสายตาขอบคุณให้โมโมะเงียบๆ
**********
ตั้งแต่เหตุการณ์ในถ้ำวันนั้นทำให้ชินและโมโมะเลิกทะเลาะกันเป็นประจำและหันมาร่วมมือกันในที่สุด ถึงจะมีเถียงกันบ้างก็เถอะ ต่างจากฉันซึ่งนับวันก็ยิ่งเถียงกับชินอยู่ตลอดเวลา บางครั้งโมโมะก็ยังเข้าข้างชินอีก ใจร้ายกันชะมัดเลย
พอไปถึงจัดที่ชินกำหนดให้แวะพักปุ๊บ ชินก็ล้มตัวลงนอนโดยเอาศีรษะหนุนกับรากไม้ของต้นไม้นั้นแล้วหลับไปง่ายๆในทันที ในขณะที่โมโมะก็แยกตัวออกไปอีกทางแล้วขดตัวนอนอย่างสบายใจอยู่ที่โคนต้นไม้ในร่มเงาเช่นเดียวกัน ทำไมถึงต้องพร้อมใจกันปล่อยให้ฉันนั่งบื้ออยู่คนเดียวด้วยนะ ฉันรู้สึกน้อยใจนิดหน่อย ตอนนี้ฉันไม่รู้สึกง่วงเลยสักนิดทั้งๆที่ฉันเองก็เหนื่อยจากการเดินทางมาไม่น้อยไปกว่าคนอื่นๆเหมือนกัน แต่ฉันกลับตาสว่างสุดๆ ฉันได้แต่มองไปรอบๆตัวอย่างพอใจ
เมื่อเวลาผ่านไปชั่วครู่ฉันจึงตัดสินใจได้ว่าจะทำอะไรดี ฉันทรุดตัวนั่งลงในบริเวณร่มเย็นจุดหนึ่งที่ไม่ห่างไปจากชินและโมโมะมากนัก จากนั้นฉันจึงเสกกระดาษขึ้นมาจำนวนหนึ่ง ฉันจ้องมองกระดาษในมือแล้วจึงลงมือพับกระดาษภายใต้ร่มเงาของต้นไม้นั้นอย่างตั้งอกตั้งใจ
ในไม่ช้าผลของความพยายามของฉันก็สัมฤทธิ์ผล ฉันใช้เวลาอยู่พักใหญ่ทีเดียวกว่าจะทำมันสำเร็จ ฉันกำลังนั่งพับกระดาษแต่ละแผ่นให้กลายเป็นดอกไม้โดยดูต้นแบบจากดอกไม้ที่ทุ่งเบื้องหน้า จากนั้นฉันจึงนำดอกไม้กระดาษทีละดอกที่พับเสร็จแล้วมายึดติดกันให้เป็นวง จนสุดท้ายสิ่งที่อยู่ในมือของฉันก็คือมงกุฎดอกไม้กระดาษนั้นเอง ฉันแอบใช้เวทย์มนต์เล็กน้อยเพื่อให้กระดาษยึดโดยไม่หลุดออกจากกัน ฉันนั่งพับมงกุฎกระดาษออกมาอีกหลายอันแต่กลับไม่เป็นที่น่าพอใจนักบางอันก็เล็กไปมาก ใหญ่ไปบ้าง หรือไม่ก็เบี้ยวไปอีก กว่าจะได้อันที่ออกมาสวยงาม และขนาดพอดีพอที่สวมศีรษะฉันได้ก็เล่นเอาแขนล้าไปเลยทีเดียว รอบๆตัวฉันตอนนี้จึงมีเศษกระดาษกับมงกุฎกระดาษขนาดต่างๆเกลื่อนอยู่เต็มไปหมด ฉันหยิบอันที่คิดว่าสวยที่สุดและพอดีที่สุดมาสวมลงบนศีรษะอย่างภาคภูมิใจ
รู้สึกดีจังเลย.... ฉันคิดพลางทอดสายตาลงไปยังทุ่งดอกไม้เบื้องล่างทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวของฉัน ไม่ว่ายังไงฉันก็อยากลงไปเดินในทุ่งดอกไม้นั้นจังเลย... เร็วเท่าความคิด ฉันผุดลุกขึ้นยืนทันที พอเหลือบไปมองชินกับโมโมะที่ยังคงหลับสนิทกันอยู่ ฉันก็แอบยิ้มกริ่มในใจ
ไม่เป็นไรหรอก... ฉันคิดเข้าข้างตนเอง ตอนนี้ยังบ่ายๆอยู่เลย ไม่มีทางหลงหรอกนะ ขอนะ...ชิน ฉันไปไม่นานหรอก และแล้วฉันก็ออกเดินลงเนินไปอย่างเงียบกริบ มุ่งหน้าไปยังทุ่งดอกไม้ที่อยู่เบื้องล่างอย่างช้าๆ
“อย่าไปไกลนักล่ะ” ฉันสะดุ้งเฮือกแทบจะส่งเสียงอุทานออกมาเมื่อได้ยินเสียงของชิน พอฉันหันหลังกลับไปก็เห็นชินกำลังทำท่าบิดขี้เกียจอยู่
“ไม่ชวนโมโมะไปด้วยเหรอ” เสียงของเขาฟังดุเหมือนคนพึ่งตื่นนอน
“เห็นมันยังหลับอยู่นะ ฉันไปคนเดียวได้ไม่เป็นไรหรอก...” น้ำเสียงของฉันเหมือนเด็กที่ถูกผู้ใหญ่จับได้ว่าแอบหนีออกจากบ้านไม่มีผิด
“ฉันรู้ว่าเธออยากจะลงไปเดินเล่นในทุ่งนั้น เอาเถอะ...ยังไงก็ระวังตัวหน่อยก็แล้วกัน มีเรื่องอะไรก็ตะโกนเรียกแล้วกันแล้วก็รีบกลับด้วย เพราะตอนเย็นเราก็จะออกเดินทางกันต่อแล้ว เข้าใจใช่ไหม” ชินไม่ได้ดุอะไรฉัน ทำให้ฉันรู้สึกโล่งอกเป็นอย่างมาก ฉันพยักหน้ารับโดยเร็ว
“เจ้าค่า” ฉันลากเสียง รู้สึกว่าวันนี้ชินใจดีผิดปกติแฮะ
**********
ทุ่งดอกไม้สวยเกินคำบรรยายจริงๆโดยเฉพาะเมื่อได้มายืนดูมันใกล้ขนาดนี้ กลิ่นหอมของดอกไม้ส่งกลิ่นโชยไปทั่ว มันทำให้ฉันรู้สึกผ่อนคลายอย่างประหลาด ฉันเอามือลูบดอกไม้ตามทางที่ฉันเดินผ่านเบาๆอย่างหลงใหล ฉันเป็นคนชอบดอกไม้มาแต่เด็กๆแล้ว เพราะแบบนั้นคุณพ่อกับคุณแม่จึงมักจะซื้อดอกไม้มาไว้ที่บ้านเสมอ เหตุการณ์เหล่านั้นเป็นหนึ่งในความทรงจำดีๆที่ฉันไม่เคยลืม ชั่วขณะที่ความคิดฉันล่องลอยไปไกลแสนไกลฉันก็ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองกำลังเดินห่างออกจากเนินเขาที่ชินกับโมโมะพักอยู่ไกลออกไปเรื่อยๆ
หลังจากที่เวลาผ่านไปไม่นานเท่าไหร่ ฉันก็จำต้องยอมรับความจริงว่า ฉันหลงทางเสียแล้ว ฉันคิดว่าฉันเดินตรงมาเรื่อยๆแล้วนะ แต่พอฉันหันหลังกลับไปก็เห็นแต่ดอกไม้เสียแล้ว จะว่าไปพอเข้ามายืนใกล้ๆแบบนี้ ทุ่งดอกไม้ก็ดูสูงขึ้นทันตา อันที่จริงมันสูงท่วมหัวฉันเลยละ ฉันได้แต่ทำใจดีสู้เสือพลางออกเดินชมดอกไม้ต่อไป ทั้งๆที่ที่จริงแล้วฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้ฉันอยู่ส่วนไหนของทุ่งดอกไม้แล้วฉันจะกลับไปได้อย่างไร เดี๋ยวก็คงเจอทางออกเองนะแหละ ฉันคิดเข้าข้างตัวเองอีกครั้ง ถ้าถึงทางตันจริงๆใช้เวทย์มนต์ก็สิ้นเรื่องแล้ว....ถึงจะทนฟังชินบ่นสักหน่อยก็เถอะ พอคิดได้ดังนั้น ฉันก็เลยไม่รู้สึกกลัวอะไรมากนัก ฉันร้องเพลงให้ตัวเองฟังเพื่อจะสกัดกั้นความกลัวในใจเอาไว้ออกมาแล้วจึงออกเดินต่อไปอย่างไร้ทิศทาง
ในที่สุดก็หาทางออกได้แล้ว ฉันคิดขึ้นมาอย่างดีใจ เมื่อเห็นความสูงของทุ่งดอกไม้ค่อยๆลดระดับลง ฉันสามารถมองเห็นทางเบื้องหน้าในระยะไกลได้อีกครั้ง อย่างน้อยสิ่งที่ปรากฏแก่สายตาของฉันก็ทำให้ฉันรู้สึกโล่งใจ เบื้องหน้านั้นมีเนินเล็กๆอยู่เนินหนึ่ง เนินนั้น....ต้องเป็นเนินที่ชินกับโมโมะอยู่แน่ๆ ฉันหยุดร้องเพลงแล้วรีบตรงไปยังทิศทางนั้นในทันที พอเข้าไปใกล้ขึ้นอีกฉันก็เห็นว่าบนเนินนั้นมีต้นไม้ขนาดใหญ่อยู่ต้นหนึ่งเหมือนกัน นั้นทำให้ฉันยิ่งมั่นใจเข้าไปใหญ่ว่าตนเองกลับมาถูกทางแล้ว เราคงเดินวนไปวนมาจนอ้อมมาทางด้านหลังของเนินละมั้ง ฉันคิดเพราะฉันมองไม่เห็นชินกับโมโมะจากทางฝั่งนี้เลย จากนั้นฉันก็รีบวิ่งขึ้นไปบนยอดเนินทันที
“....” แต่ทว่าฉันกลับต้องหยุดกึกเมื่อวิ่งขึ้นมาถึงยอดเนิน มาถึงตอนนี้ฉันจำได้ในทันทีว่าต้นไม้ต้นนี้ไม่ใช่ต้นไม้ต้นเดียวกับที่ชินกับโมโมะนอนพักอยู่ ฉันใจเสียขึ้นมาโดยพลัน....อย่าบอกนะว่าแถวนี้มีเนินแบบนี้อยู่เต็มไปหมดน่ะ ฉันคิดอย่างหมดหวัง
ทันใดนั้นฉันก็สังเกตเห็นร่างหนึ่งขยับอยู่หลังต้นไม้ต้นนั้น ฉันยืนมองด้วยความประหลาดใจ ร่างนั้นลุกยืนขึ้นอย่างเชื่องช้าก่อนที่จะเดินอ้อมต้นไม้จนมาเผชิญหน้ากับฉันเข้า พอร่างนั้นเห็นฉันเข้าก็หยุดกึกเหมือนจะประหลาดใจอยู่เหมือนกัน
เขาเป็นชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่ง ฉันคิดในใจ ใบหน้าอันหล่อเหลาราวกับเทพบุตรนั้นจับจ้องอยู่ที่ฉันนิ่ง ดวงตาของเขาเขียวมรกตที่จ้องมายังฉันดูจริงจังอย่างน่าประหลาด ผมสีน้ำตาลเข้ม ฉันสาบานได้ว่าฉันไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหนที่ดูดีขนาดนี้มาก่อนเลย เขาเป็นใครกัน... ฉันตะลึงมองเขานานจนเขาต้องหลบสายตาฉันไป
ชายหนุ่มมองหญิงสาวแปลกหน้าที่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเขาด้วยประหลาดใจ อันที่จริงเขาเฝ้าแต่จับจ้องมองเธอ ตั้งแต่ที่เห็นหญิงสาวร้องเพลงแล้วเคลื่อนไหวไปรอบๆในทุ่งดอกไม้นั้นแล้ว เขาคิดว่าคงเป็นชาวพีโอเนีย เพราะบนเนินนี้สูงและไกลเกินกว่าที่เขาจะเห็นสิ่งอื่นได้ แต่แล้วไปๆมาๆเธอก็เคลื่อนที่ตรงมาที่ที่เขานั่งพักอยู่ ชั่วขณะนั้นอยู่ๆดีเธอก็หายตัวไป แต่แล้วตอนนี้เธอก็กลับมาปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าเขาโดยห่างกันไม่กี่เมตรเท่านั้น
ให้ตายสิ เธอดูโดดเด่นและไม่เหมือนใครเหลือเกิน ดวงตาและผมสีดำขลับของเธอช่างดูแปลกตาสำหรับเขาอยู่ไม่น้อย แล้วไหนจะมงกุฎกระดาษบนหัวเธอนั้นอีก สิ่งนั้นยิ่งทำให้เธอดูสะดุดตาเข้าไปใหญ่ เธอเป็นใครกันนะ..... แต่จะยังไงก็ตามที ตอนนี้เขากับเธอสบตากันมานานเกินไปแล้ว
“สวัสดี” ในที่สุดเขาก็เป็นฝ่ายพูดก่อน แต่เขากลับไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกไปดี เขาไม่สามารถละสายตาไปจากเธอได้
“สวัสดีคะ” ฉันเองก็มัวแต่ตะลึงมอง จนตอบคำทักทายตะกุกตะกักนั้นออกไป
ความเงียบเข้าปกคลุมฉันกับชายหนุ่มเบื้องหน้าไว้จนรู้สึกอึดอัด
“ขอโทษนะคะ ที่ฉันมารบกวนคุณ คือ.... ฉันจำต้นไม้ผิดต้นนะคะ ฉันก็เลย....” ฉันพูดไปตามความจริง เพราะฉันเหลือบมองไปเห็นหนังสือเล่มหนาในมือของเขา และฉันรู้ดีเป็นที่สุดว่าการขัดจังหวะการอ่านเป็นอะไรที่เสียมารยาทมากแค่ไหน
“ฮ่าๆๆ เธอนี่ตลกจังเลยนะ หลงทางอย่างนั้นเหรอ?” ชายหนุ่มรู้สึกขบขันกับท่าทางของหญิงสาว คำพูดแปลกๆของเธอกับท่าทางที่ดูจริงจังขณะที่เธอพูดนั้น ดูค้านกันอย่างชัดเจนจนน่าขัน
“อย่าหัวเราะแบบนั้นสิ” ฉันพูดเสียงอ่อย ผู้ชายคนนี้ดูเป็นคนขี้เล่น แล้วก็จริงจังน้อยกว่าที่เห็นภายนอกเหมือนกันแฮะ
“ขอโทษๆ เธอชื่อว่าอะไรล่ะ ฉันชื่ออาเรน ยินดีที่ได้รู้จัก” เขากล่าวพร้อมกับยื่นมือมา
ฉันจับมือนั้นตอบพร้อมกับพูดว่า “ฉันชื่อแอนนา แต่เรียกฉันว่าแอนน์เถอะนะ” มือของเขาอุ่นจัง “ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันคะ”
เรายิ้มให้กันแล้วเริ่มต้นคุยกันอย่างถูกคอ ไปๆมาๆ ฉันก็คุยกับชายแปลกหน้าคนนี้จนถึงขั้นลืมเรื่องที่ฉันหลงทางไปจนหมดสิ้น
“เธอกำลังจะเดินไปทางตะวันตกเหรอ?” ตอนนี้ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงมาแล้ว
“ฉันก็ไม่แน่ใจนักหรอก แล้วอาเรนล่ะ?”
“ฉันก็กำลังจะไปทางตะวันตกเพื่อกลับบ้านเกิดน่ะ” ชายหนุ่มพูดขึ้นอย่างสบายๆ “ว่าแต่....แอนน์จะเดินทางไปอาณาจักรไหนกันล่ะ? เธอหลงทางอยู่บางทีฉันอาจจะพอบอกทิศทางเธอได้บ้าง”
“ไม่รู้สิ” ฉันตอบไปตามความจริงอีกเช่นกัน
“เอ๊ะ...” อาเรนส่งเสียงออกมาอย่างประหลาดใจ
“พอดีว่าฉันไม่ใช่คนนำทางน่ะ แล้วบ้านเกิดของอาเรนคือที่ไหนกันเหรอ?” จะว่าไปฉันถามเรื่องนี้ไปทำไมก็ไม่รู้เหมือนกัน ฉันไม่รู้จักอาณาจักรต่างๆในยูโทเปียสักหน่อย
“ฉันกำลังจะไปที่เดอะ ลาสต์ เดสติเนชั่น”
“งั้นเหรอคะ...” ไม่รู้จักจริงๆด้วยสิ ฉันรู้สึกขำกับความคิดของตัวเอง “แล้วอาเรนมาทำอะไรที่ฝั่งตะวันออกเหรอ?”
“อืม...เพื่อนของฉันที่อยู่ทางตะวันออกเกิดเรื่องเดือนร้อนนะสิ ฉันก็เลยเดินทางมาเพื่อจะมาช่วยหมอนั่น แต่เพื่อนฉันคนนี้ดูเหมือนจะหาทางออกด้วยตัวเองได้แล้วล่ะ ใจร้อนไม่เปลี่ยนเลย เพื่อนสนิทของฉันคนนี้น่ะ...” เขายิ้มเมื่อพูดจบประโยค
“เพื่อนของอาเรนเป็นจะเป็นคนยังไงน๊า คงจะมีอะไรที่คล้ายกันอาเรนเยอะเลยสิ”
ชายหนุ่มตรงหน้าฉันหัวเราะออกมาทันที “ไม่เลยๆ เพื่อนฉันคนนี้ไม่มีอะไรเหมือนฉันสักอย่าง หมอนั่นทั้งใจร้อน ขี้โมโห เข้าใจยาก แต่...ถึงจะเป็นคนแบบนั้น หมอนั้นก็เป็นคนที่พึ่งพาได้นะ ฉันรู้จักกับเขามาตั้งแต่เด็กแล้ว เขาเป็นเพื่อนที่ดีมากจริงๆ ตอนนี้ฉันก็อดห่วงไม่ได้เหมือนกันว่าหมอนั่นจะเป็นอย่างไรบ้าง” อาเรนเหม่อลอยมองท้องฟ้าในใจคิดถึงใบหน้าของเพื่อนเก่า
“จริงสิ...หมายความว่าแอนน์ก็ไม่ใช่คนของอาณาจักรนี้น่ะสิ แอนน์เป็นคนอาณาจักรอะไรกันล่ะ?”
“ฟรีดอมนะ” ฉันตอบ ก็นั้นมันชื่ออาณาจักรของชินนี่หน่า
“บังเอิญจริง เพื่อนของฉันที่เราพูดถึงกันเมื่อครู่ เขาก็อยู่ที่ฟรีดอมเหมือนกัน” อาเรนทำท่าตกใจ
“อ๊ะ ตะวันตกดินแล้ว....” ฉันลุกยืนขึ้นเพื่อที่จะได้มองดวงอาทิตย์ตกดินได้ชัดเจนยิ่งขึ้น มันช่างสวยงามจริงๆ
ยามราตรีกำลังจะมาเยือนในไม้ช้า และแน่นอนความมืดนี่เองที่ทำให้ฉันนึกถึงเรื่องๆหนึ่งที่สำคัญมากๆขึ้นมาได้ในทันที ชินบอกให้กลับก่อนเย็นนี่หน่า...และเราก็กำลังหลงทาง ตายแน่เรา....
“จริงสิ...เธอคงต้องกลับไปหาคนที่มาด้วยกันแล้วใช่ไหมกำลังจะมืดแล้ว แล้วเพื่อนร่วมทางเธอล่ะอยู่ที่ไหนกัน?” อาเรนเอ่ยขึ้น คำพูดนั้นเหมือนจะแสดงให้เห็นว่าเขาดูเป็นห่วงฉันอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน ฉันได้แต่เบ้ปาก
“เอ่อ...” ฉันเริ่มอ้ำอึ้งพร้อมก้มหน้าลงมองทุ่งดอกไม้อย่างจนปัญญา ทันใดนั้นเองฉันก็มองไปเห็นร่างของโมโมะในร่างของเด็กสาวเดินเหมือนหาใครสักคนอยู่ในทุ่งดอกไม้เบื้องล่าง มือป้องอยู่ที่ปากเหมือนจะตะโกนเรียกชื่อใครสักคน
“นั้นไง!” ฉันชี้มือไปด้วยความโล่งใจ
“ใครกัน?”
“น้องสาวฉันเอง” ฉันพูดขึ้นมาด้วยความดีใจ “นึกว่าจะหาทางกลับไม่ได้ซะแล้ว” ฉันถอนหายใจ
“งั้นก็คงไม่เป็นไรแล้วสินะ” อาเรนเอ่ยพร้อมกับส่งยิ้มมาให้ฉัน
“ขอบคุณมากนะอาเรน ฉันคงต้องไปแล้วล่ะ” ฉันโบกมือให้เขาพลางทำท่าเหมือนกำลังจะเดินจากไป
“ฉันขอรู้ชื่อเต็มเธอหน่อยได้ไหม....แอนนา?” จู่ๆ อาเรนก็ถามขึ้น
ฉันชะงัก แต่ก็ยอมหันกลับไปตอบคำถามของเขา “แอนนา เบลล์ แล้วอาเรนล่ะ?”
“อาเรน แพทริค”
ฉันนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะหลุดปากพูดออกไปว่า “ชื่อยังกับเจ้าชายเลย” ฉันพูดพร้อมกับยิ้ม ในขณะที่อาเรนทำหน้าอึ้งๆ ตอนนั้นเองที่มีลมยามเย็นพัดมาแบบไม่ทันตั้งตัวจนมงกุฎกระดาษถูกพัดจนตกลงจากศีรษะของฉัน
“แอนน์....แอนน์...” เสียงของโมโมะร้องเรียกอยู่เบื้องล่าง
“ฉันอยู่นี่....” ฉันตะโกนตอบ ก่อนจะหันมาโบกมือให้กับอาเรนเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจึงวิ่งตรงไปหาโมโมะทันที โดยปล่อยให้อาเรนยืนส่งสายตาไล่หลังฉันมา
“โมโมะ!” ในที่สุดฉันกับโมโมะก็พบกัน
“เป็นห่วงแทบแย่” โมโมะพูดว่า
“ขอโทษจ้า”
“ไปทำอะไรบนนั้นน่ะ?”
“ไม่มีอะไรหรอก” ฉันเอ่ยโดยที่ไม่ได้หันกลับไปมองบนเนินแห่งนั้นอีก “เรารีบไปกันเถอะ”
บนเนินแห่งนั้นอาเรนก้มลงไปหยิบมงกุฎกระดาษนั้นขึ้นมา พอเขามองลงไปยังทุ่งดอกไม้เบื้องล่างเขากลับมองไม่เห็นแอนน์กับน้องสาวของเธอเสียแล้ว ยามนี้ความมืดกำลังเข้ามาปกคลุมทุ่งพีโอนีแห่งนี้อย่างรวดเร็ว
“แอนนา เบลล์” เขาเอ่ยชื่อนั้น พลางจ้องมองมงกุฎกระดาษในมือ
“ช่างเป็นหญิงสาวที่น่าประทับใจจริงๆ” เขากล่าวขณะที่ใช้พลังของตนเอง ทันใดนั้นต้นหญ้ารอบๆร่างของชายหนุ่มก็สั่นอย่างรุนแรงราวกับถูกพายุหมุนพัด พริบตาถัดมาร่างของชายหนุ่มก็แว่บหายไปจากบนเนินแห่งนั้นเสียแล้ว
**********
“เจ้าชายกลับมาแล้วหรือครับ?” ผู้ติดตามคนหนึ่งกล่าวขึ้น เมื่อเห็นชายหนุ่มมาถึงที่พัก
“อืม... เตรียมพร้อมออกเดินทางต่อเรียบร้อยแล้วใช่ไหม”
“พร้อมแล้วครับ” ผู้ติดตามอีกคนพูดขึ้นพร้อมกับจูงม้ามาให้
“ดีมาก” อาเรนพยักหน้ากระโดดขึ้นไปบนหลังม้าอย่างคล่องแคล่ว
“จุดหมายปลายทางต่อไปของเราคือที่ไหนกันครับ?”
“อาณาจักรมิด ไนท์” อาเรนกล่าวตอบเบาๆ
**********
“ฉันบอกแล้วว่าให้ระวังหลงทางแล้วก็ให้รีบกลับ แล้วเป็นไงดูสิ...เธอนี่ไว้ใจไม่ได้เลย!” ชินบ่นขึ้นทันทีที่เห็นฉันเดินกลับมาพร้อมกับโมโมะ
“ก็แหม... เอาน่า โมโมะก็หาฉันเจอแล้วนี่ ไม่เห็นจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นสักหน่อย” ฉันแก้ตัวน้ำขุ่นๆ
“เธอนี่นะ.... อ้าวแล้วมงกุฎกระดาษของเธอล่ะ ไปไหนซะแล้วล่ะ”
“ฉันทำหล่นน่ะ” ฉันพูดเสียงอ่อยๆ
“สมควรแล้วล่ะเธอน่ะ.... อีกอย่างที่นี่มันทุ่งดอกไม้นะ ฉันไม่เข้าใจเลยว่าเธอจะมานั่งพับมงกุฎกระดาษอยู่ทำไมให้มันเสียเวลา” ชินพูดพร้อมกับยื่นสิ่งๆหนึ่งให้กับฉัน
“อะไรน่ะ” ฉันยื่นมือไปรับ ทันใดนั้นฉันจึงรู้ว่าชินมอบมงกุฎดอกไม้ของจริงให้กับฉัน
“ว้าว! ชินเก่งจังเลย มงกุฎนี่สวยมาก...ให้ฉันจริงๆนะเหรอเนี่ย” ฉันร้องออกมาอย่างดีใจ รีบสวมลงบนศีรษะทันที
“อืม” ชินตอบรับเบาๆขณะที่หันหน้าไปอีกทาง
“ขอบคุณมากๆเลยนะ”
“ของแค่นี้เองหน่า...เร็วเข้า! เราต้องรีบออกเดินทางกันได้แล้วนะ เลยเวลาไปมากแล้ว” ชินรีบเอ่ยแทรกขึ้นมา
“จ้าๆ” ฉันเสกจรวดกระดาษออกมาทันที
“ของฉันก็มีเหมือนกันน่ะ เห็นไหม ฉันเป็นคนทำเองแหละ ชินไม่ยอมทำให้ฉันน่ะ” โมโมะในร่างเด็กสาวอวดมงกุฎดอกไม้ให้ฉันดู
“เธอสวมแล้วน่ารักจัง” ฉันชมจากใจจริง
“แอนน์ก็เหมือนกันนะ”
“ออกเดินทางกันได้แล้ว” ชินเร่งอีกครั้ง
ฉันกับโมโมะขึ้นไปบนจรวด และแล้วฉันก็บังคับให้จรวดกระดาษออกบินไปท่ามกลางท้องฟ้ายามราตรีอีกครั้ง ฉันก้มลงมองทุ่งพีโอนีในยามค่ำคืนเป็นครั้งสุดท้าย แม้แต่ในยามค่ำคืนทุ่งดอกไม้ที่นี่ก็ยังคงดูงดงามไม่เปลี่ยนแปลง
ฉันหวนนึกไปถึงอาเรน แพทริค เขาเป็นใครกันแน่นะ ... ช่างเถอะ ฉันหยุดความคิดไว้เพียงเท่านั้น เราคงไม่ได้พบเขาอีกแล้วล่ะ
**********
ในขณะเดียวกันนั้นเองเจ้าชายอาเรน แพทริคแห่งเดอะลาสต์ เดสติเนชั่น ก็กำลังควบม้าออกจากทุ่งพีโอนีไปทางทิศตะวันตกด้วยความเร็วสูงสุด เขากำลังเดินทางอย่างสุดกำลังเพื่อที่จะมุ่งหน้าไปยังมิด ไนท์ อาณาจักรจุดหมายปลายทางถัดไปโดยเร็วที่สุด เขาเองก็เหลียวหลังกลับมามองทุ่งพีโอนีเป็นครั้งสุดท้ายเช่นกัน ฉันจะไม่มีวันลืมเธอ แอนนา เบลล์ เขาย้อนนึกไปถึงมงกุฎกระดาษที่ตอนนี้ห้อยอยู่ข้างตัวเขา
ฉันหวังว่าเราคงจะได้พบกันอีก เขาคิด.....
**********
ทักทายกันหน่อย : บทที่แล้วยาวมาก แต่บทนี้สั้นลงเป็นเท่าตัวเลย (คนเขียนไม่มีความสมดุลเอาซะเล้ย!!!! 555+) บทนี้ขอแบบเบาๆพักสมอง ร่างกาย (และจิตใจ) เนอะ แหะๆๆๆ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านกันจ้า พบกันใหม่ต่อหน้าเนอะ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ