Tale of Utopia
เขียนโดย The_Paper
วันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 เวลา 18.12 น.
แก้ไขเมื่อ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2556 12.54 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) บทที่ 1 ณ ดินแดนยูโทเปีย
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 1 ณ ดินแดนยูโทเปีย
ฉันร่วงลงต่ำมาเรื่อยๆ ฉันต้องตายแน่ๆเลย นี่ความคิดแวบแรกที่เกิดขึ้นกับฉัน ใบหน้าของฉันปะทะกับสายลมจนรู้สึกเจ็บ ฉันใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าจะใจเย็นลง อย่างน้อยฉันคงตกลงมาจากที่สูงมากแน่ๆไม่อย่างนั้นคงได้โหว่งพื้นจนสลบไปแล้ว ตอนนี้ฉันคิดว่าฉันสามารถควบคุมสติไว้ได้แล้วนะ แต่ฉันก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดีว่าจะทำยังไงต่อไปดี...
ฉันจะมาตายตั้งแต่เริ่มอย่างนี้ไม่ได้นะ!
ตอนนั้นเองที่กุญแจกระดาษในมือของฉันสั่น ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าฉันหยิบติดมือมาด้วยเพราะนึกว่าได้เสียบคาอยู่ที่ประตูบานนั้น ฉันปล่อยมือจากมันอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นกระดาษก็ขยายตัวใหญ่ขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ก่อนจะกลับกลายมาเป็นจรวดกระดาษขนาดใหญ่แล้วบินมาอยู่ใต้ตัวฉันเพื่อรองรับฉันไว้
ในที่สุดฉันก็ได้นั่งอยู่บนจรวดกระดาษนั้นอย่างปลอดภัย ฉันถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก...นึกว่าจะต้องตายแล้วซะอีก เมื่อนั้นฉันถึงได้มีโอกาสมองไปรอบๆตัว ฉันกำลังบินอยู่บนท้องฟ้าจริงหรือนี่....แถมยังเป็นท้องฟ้าในวันอากาศดีซะด้วย ตะกี้ฉันกลัวแทบตายแต่วินาทีนี้กลับตื่นเต้นจนไม่รู้สึกกลัวอะไรอีกต่อไปแล้ว ฉันสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอดก่อนจะเผลออบยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว มันช่างเป็นความรู้สึกที่ดีจริงๆ อย่างกับความฝันเลย ฉันคิด
เมื่อฉันต้องการจะบังคับทิศทางของจรวดกระดาษนั้นฉันก็สามารถทำได้อย่างง่ายดายโดยเพียงแค่ฉันคิดเท่านั้นจรวดก็จะบินไปในทิศทางที่ฉันคิดทันที ดังนั้นแล้วฉันจึงพาจรวดกระดาษนั้นบินมาใต้ก้อนเมฆเบื้องล่างอย่างไม่รอช้า พอฉันมองลงไปยังด้านล่างฉันก็เห็นเมืองในที่สุด
ฉันพลันอุทานออกมาด้วยความดีใจแทบจะในทันที “ว้าว....เหมือนกับเมืองในเทพนิยายเลย” ฉันรู้สึกตื่นเต้นมากจริงๆ เบื้องล่างมีหมู่บ้านแล้วก็ปราสาท ปราสาทนั้นดูงดงามและมีสีขาว มันสวยงามและดูน่าเกรงขามมากเหลือเกิน ฉันเคยมองเห็ยภาพปราสาทแค่เพียงภาพวาด แต่พอมาเห็นด้วยตาก็คิดว่ามันช่างให้วามรู้สึกที่ต่างกันเสียจริง เมื่อฉันบินต่ำลงมาอีกก็พลันเห็นแสงสีเขียวแวบๆพุ่งมาจากหอคอยปราสาทหอคอยหนึ่ง
ฉันบินไปยังที่มาของแสงนั้นด้วยความสงสัยจึงเห็นว่ามีคนหนึ่งกำลังโบกไม้เท้าที่ส่องแสงนั้นได้อยู่ พอฉันเข้าไปใกล้อีกนิดจึงเห็นว่าเขาเป็นชายชราคนหนึ่งที่ไว้หนวดเครายาวถึงช่วงท้อง เขาสวมเสื้อคลุมสีดำและกำลังโบกไม้เท้าอยู่ แสงสีเขียวที่ฉันเห็นนั้นมาจากปลายไม้เท้าของเขานั้นเอง ฉันมองท่าทีของเขายังแปลกใจ พอบินเข้าไปใกล้ขึ้นฉันจึงตระหนักได้ว่า คนที่เขากำลังโบกไม้เท้าให้ก็คือ ฉัน นั้นเอง
คงจะเป็นคนที่จะมาบอกภารกิจเราละมั้ง ฉันคิดแล้วจึงตัดสินใจบินไปทางนั้น แต่ก่อนที่จะถึงหอคอยนั้นนั่นเอง ลมแรงวูบไหนไม่รู้ก็พัดมาโดนฉันเข้าอย่างจัง ฉันที่ไม่ได้ทันตั้งตัวจึงหล่นลงจากจรวดกระดาษในทันที
“ว้าย!!!” ฉันร้องออกมาอย่างตกใจ
พ่อมดที่อยู่บนหอคอยเห็นดังนั้นจึงรีบใช้เวทมนต์ช่วยเหลือฉันทันที ชั่วขณะนั้นฉันรู้สึกเหมือนมีลมอีกวูบหนึ่งมาช่วยประคองฉันไม่ให้ตกลงไปแล้วพาร่างของฉันไปยังยอดหอคอยแห่งนั้น
“เฮ้อ...” ฉันลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเท้าทั้งสองของฉันอยู่บนหอคอย เกือบตายครั้งที่สองแล้วสิเรา....
“น่าประทับใจมาก” ชายชราพูดพลางแล้วหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี
“คะ?” ฉันไม่รู้ว่าจะตอบว่ายังไงดี ไอ้เหตุการณ์เมื่อกี้เนี่ยนะที่น่าประทับใจ
“สวัสดีฉันชื่อ ราเมียส เป็นพ่อมด” ชายชราพูดขึ้นโดยเร็วพร้อมกับยื่นมือมาให้ฉัน ฉันได้แต่จับมือเขาตอบอย่างงงๆ พ่อมดเหรอ นี่...ฉันได้จับมือกับพ่อมดตัวจริงเสียงจริงใช่ไหมเนี่ย ยอดไปเลย แต่จะว่าไปฉันเองก็ใช้เวทมนต์เหมือนกันไม่ใช่รึไง ฉันรู้สึกขำกับสิ่งที่ตัวเองพึ่งจะนึกออกอยู่เหมือนกัน
“อา...ที่เธอมาที่นี่ได้ก็หมายความว่า เธอสามารถเปิดปะตูนั้นด้วยพลังของเธอเองสินะ”
ฉันพยักหน้าตอบ
“ดีมาก ตอนนี้พระราชากำลังต้องการพบเธอ พระองค์รอการมาของเธอมาพักใหญ่แล้วล่ะ ตั้งแต่คำทำนายบอกว่าจะมีผู้ถูกเลือกมา” เขาพูดขณะที่พาฉันออกเดินไปยังท้องพระโรง
“คำทำนาย?”
“ใช่ ยามที่ ยูโทเปีย มีภัยท่านเทพธิดาจะเรียกคนต่างแดนมาที่ ยูโทเปีย อยู่ทุกครานั้นแหละ”
“ใครคือ เทพธิดา คะ?”
“ไม่เคยมีใครพบท่านหรอก นอกจากผู้ถูกเลือกอย่างเธอ ท่านจะเป็นคนมอบสิ่งสำคัญนั้นเพื่อตอบแทนเธอยังไงล่ะ”
“แล้วทำไมคนๆนั้นถึงเป็นฉันละคะ”
“ท่านเทพธิดาทรงมีเหตุผลของท่านเองเสมอนั้นแหละ เจ้าดูต่างจากที่ข้าคิดเอาไว้ทีเดียวนะผู้ถูกเลือก...”
“เอ๊ะ ยังไงเหรอคะ?” ฉันทำหน้าสงสัย
“เอาล่ะ....เรามาถึงกันแล้ว” ราเมียสไม่ตอบคำถามของฉัน เขาหยุดบทสนทนาไว้เพียงเท่านั้น
จู่ๆฉันก็รู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ตายละ พระราชางั้นเหรอ ฉันยังไม่พร้อมที่จะพบกับพระราชาหรอกนะ
ราเมียสคงไม่ได้ยินความคิดของฉันแน่ๆ เพราะเขาเปิดประตูอันมโหฬารแล้วนำฉันเข้าไปทันที ฉันจึงจำใจต้องเดินตามเขาเข้าไปอย่างช่วยไม่ได้
ไม่มีอะไรต่างจากที่ฉันคาดการไว้เท่าใดนัก ฉันจิตนาการท้องพระโรงเอาไว้หลายแบบ และนี่ก็แสดงว่าฉันเดาถูกล่ะ แต่ฉากแบบนี้มันของฝ่ายผู้ร้ายชัดๆนี่หน่า ฉันรู้สึกเสียววาบในใจ รู้สึกลางไม่ดีเสียแล้ว ท้องพระโรงแห่งนี้ถูกตกแต่งอย่างสวยงามดูวิจิตรตระการตา แต่สิ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกไม่ดีนั้นก็คือสีเขียวเข้มจนออกดำที่เป็นสีที่ใช้ตกแต่งท้องพระโรงแห่งนี้นั้นเอง มีธงสีเขียวเช่นเดียวกันปักอยู่รอบ กลางธงนั้นมีรูปไม้เท้าพ่อมดคล้ายกับของรีเมียสสีขาววาดอยู่ ภายในท้องพระโรงเต็มไปด้วยผู้คน ซึ่งส่วนใหญ่คงจะเป็นพ่อมดแม่มด เพราะเห็นว่าแต่งกายคล้ายราเมียสอยู่มาก ทุกสายตาจับจ้องมาที่ฉันจนฉันรู้สึกเกร็งไปทั้งตัว ในที่สุดฉันก็มายืนอยู่ตรงหน้าพระราชาที่นั่งอยู่บนที่สูงกว่าฉัน
“ยินดีต้อนรับผู้ถูกเลือกสู่ ยูโทเปีย” เขากล่าว เสียงของเขาราวกับมีมนต์สะกด ฉันรู้สึกกลัวพระราชาขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ใบหน้าของเขาถูกคลุมด้วยผ้าจนมองเห็นแค่ดวงตาสีเขียวเป็นประกายที่กำลังจับจ้องมายังฉันเท่านั้น บนศีรษะของเขามีมงกุฎงามวิจิตรสวมใส่อยู่
“เจ้ามีนามว่าอะไรหรือ?” เสียงของพระราชาปลุกฉันตื่นจากภวังค์
“แอนนา เบลล์คะ” ฉันตอบ บ้าจัง ทำไมฉันถึงรู้สึกไม่ดีอย่างนี้นะ รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ทั้งๆที่ตอนอยู่บนฟ้ายังรู้สึกสดชื่นมากเลยแท้ๆ
“ข้าหมายถึงอีกชื่อนะ” พระราชาถามขึ้นอีกครั้ง เสียงของเขาทำให้ฉันรู้สึกวิงเวียนศีรษะแปลกๆ จู่ๆฉันก็รู้สึกง่วงนอนขึ้นมาอย่างประหลาด
“คะ?” ฉันไม่เข้าใจคำถามของพระราชา
“ชื่อจริงของเจ้าน่ะ?” พระราชาถามย้ำพลางจ้องมองฉันนิ่ง
“....” ฉันรู้สึกไม่ดีจนแทบจะยืนต่อไปไม่ไหว
“แอน.....” ริมฝีปากของฉันขยับไปโดยที่ฉันไม่อาจห้ามได้ แต่ทันใดนั้นเสียงๆหนึ่งก็ดังก้องขึ้นในหัวของฉัน
อย่าตอบชื่อจริงออกไปนะ! ราวกับมีเสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งตะโกนที่ข้างหูของฉัน ฉันสะดุ้งเฮือก ความง่วงงุ่นปนอึดอัดพลันจางหายไปอย่างรวดเร็ว นี่เมื่อครู่ฉันกำลังจะตอบชื่ออะไรออกไปละนี่?
“ฉันไม่มีอีกชื่อนี่คะ” ฉันตอบ ดูเหมือนคำตอบนั่นจะทำให้พระราชาผิดหวังเล็กน้อย
“ท่าทางเธอจะเหนื่อยนะ วันนี้ไปพักผ่อนก่อนแล้วกัน” พระราชาพูดขึ้น ฉันแอบรู้สึกโล่งอกขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เสียงเมื่อครู่เป็นเสียงของใครกัน ดูเหมือนเสียงนั้นจะช่วยฉันไว้จากอันตรายอย่างไรไม่รู้
“ราเมียส...เจ้าจงพาผู้ถูกเลือกไปที่ห้องพักเถิด”
ราเมียสน้อมรับแล้วจึงพาฉันออกมาจากท้องพระโรง ตอนนั้นเองที่ฉันพึ่งจะนึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้
“จริงสิคะ แล้วเรื่องภารกิจ” ฉันเอ่ยปากถามราเมียส
“พระราชาคงจะบอกเจ้าในวันพรุ่งนี้ล่ะ วันนี้ท่านเห็นเจ้าเหนื่อยเลยอย่างให้พักผ่อนก่อน”
“ว่าแต่...สิ่งสำคัญที่จะมอบให้ฉันนี่คืออะไรกันเหรอคะ?” พอออกห่างจากท้องพระโรงฉันก็รู้สึกดีและผ่อนคลายขึ้นมาก
“ไม่รู้สิ แต่ผู้ถูกเลือกที่แล้วมาต่างก็พอใจในสิ่งที่ท่านเทพธิดามอบให้”
“งั้นเหรอคะ แล้วผู้ถูกเลือกคนก่อนมาที่นี่เมื่อนานรึยังคะ?”
“ก็ไม่นานเท่าไหร่....” ราเมียสตอบไม่เต็มปากมากนัก ฉันเองก็ไม่ได้ซักต่อ
“แล้วถ้าทำภารกิจไม่สำเร็จ ฉันก็จะไม่ได้กลับบ้านยังงั้นเหรอคะ”
“คงจะเป็นแบบนั้น...” คำตอบของราเมียสทำให้ฉันรู้สึกใจหาย ฉันรู้สึกกลัวขึ้นมานิดๆ ที่ฉันตัดสินใจมาที่นี่นั้นเป็นสิ่งที่ควรทำหรือเปล่านะ
หลังจากนั้นฉันก็ไม่ได้ถามอะไรพ่อมดราเมียสอีกเลยจนเราทั้งสองเดินมาถึงหน้าห้องที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้ฉัน
“อย่าออกจากห้องมาเดินเผ่นพ่านล่ะ ตอนนี้ยูโทเปียกำลังไม่สงบ อันตรายมีอยู่ทุกฝีก้าว” ราเมียสเตือนฉัน
“คะ เข้าใจแล้วคะ” ฉันตอบรับ แล้วราเมียสจึงจากไป
**********
ค่ำวันนั้นฉันนอนกลิ้งไปมาอยู่บนเตียงจนหัวหมุนติ้วไปหมด ตั้งแต่ที่ฉันเหยียบย่างเข้ามาในดินแดนแห่งนี้ในหัวฉันก็เต็มไปด้วยคำถามมากมายจนนับไม่ถ้วน
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ฉันยังจะเปิดประตูหรือเปล่านะ...แน่นอนสิ ฉันต้องเปิดฉันมั่นใจ นาทีแรกที่ฉันอยู่บนท้องฟ้าฉันรู้สึกสดชื่นและมีชีวิตชีวาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ฉันมีพลังวิเศษเป็นของตนเองอย่างไม่น่าเชื่อ ฉันบินอยู่กลางอากาศ ฉันได้พบพระราชาที่อาศัยอยู่ในปราสาทหลังใหญ่มโหฬาร
แต่ทำไมฉันถึงรู้สึกไม่ดีเลยนะ...โดยเฉพาะหลังจากที่ได้พบพระราชาเมื่อตอนกลางวัน เสียงของเด็กหนุ่มปริศนาคนนั้นคือใคร... จู่ๆฉันก็รู้สึกว่าที่นี่จะไม่ใช่ที่ที่ฉันควรจะอยู่เสียแล้ว
“ฉันจะทำยังไงต่อไปดีล่ะทีนี้ ตอนนี้ก็ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว” ฉันกระซิบกับตนเองอย่างจนปัญญา “หรือจะหนี...หนีไปไหนเล่า กลับบ้านยังไงฉันยังไม่รู้เลย!” จะว่าไปเรื่องขากลับนี่ฉันก็ลืมคิดไปเสียสนิทเลยจริงๆ แต่จะมานั่งกังวลตอนนี้มันก็คงสายไปแล้ว
“เฮ้...เธอได้ยินฉันรึเปล่า?” ทันใดนั้นเสียงของเด็กหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นเบาๆ มันดังขึ้นมาจากที่ไหนสักแห่งภายในห้อง ฉันผุดลุกขึ้นนั่งทันทีด้วยความตกใจทันที แต่พอฉันมองไปรอบๆก็ไม่เห็นมีใครสักคน
หูแว่วงั้นเหรอ? หรือว่าผี อึ๋ย..... ฉันนึกอย่างขวัญเสีย
“ฉันอยู่นี่ เธอได้ยินฉันใช่ไหม?” เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง ฉันจึงกลั้นใจแล้วมองไปรอบๆห้องอย่างพิจารณาอีกครั้ง คราวนี้เองที่ฉันเห็นอะไรสักอย่างใกล้หน้าต่างที่ผิดปกติไป เงารูปคน!!!!
“เธอต้องฟังฉันให้ดีนะ ที่นี่ไม่ปลอดภัยอีกต่อไปแล้ว เธอต้องรีบหนีไป!” เงานั้นพูดขึ้นอย่างร้อนรน
“เงาพูดได้เหรอเนี่ย...” ฉันเอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจ เวทมนต์งั้นสินะ…ว้าวทำอย่างนี้ได้ด้วยเหรอ
“ก็พลังของฉันยังไงเล่า ยัยงี่เง่า!”
“หา...นายว่ายังไงนะ” ฉันฉุนกึก จู่ๆก็ถูกเงาแปลกหน้าว่าเอาซึ่งๆหน้า แถมเรื่องประหลาดแบบนี้คนอย่างฉันจะไปเคยเห็นได้ไงเล่า
“อย่าเสียงดังสิ เดี๋ยวพวกนั้นก็รู้ตัวกันหมดพอดี” เงานั้นส่งเสียงเครียด
“พวกไหน?” ฉันถาม ความไม่พอใจเมื่อครู่มลายหายไปอย่างรวดเร็วขณะที่ความกังวลเกิดขึ้นมาแทนที่
“พวกพ่อมด-แม่มดไงเล่า”
“เอ๊ะ.....”
“ฉันไม่มีเวลาอธิบายแล้วเพียงแต่ว่า พวกพ่อมดแม่มดที่เธอพบเมื่อตอนกลางวันน่ะ ไม่มีทางหวังดีกับเธอแน่ โดยเฉพาะเจ้าแบล็กฮาร์ทนั่น”
“แบล็กฮาร์ท ...ใครนะ?”
“เจ้าพระราชาจอมปลอมที่มันแย่งชิงบัลลังก์ไปจากท่านพ่อของฉันนะสิ เธอเองก็ได้พบมันที่ห้องรพะโรงแล้วนี่หน่า เอาเถอะ...ตอนนี้ฉันเองก็ถูกขังอยู่คงช่วยเธอได้แค่นี้”
“เกิดอะไรขึ้นที่นี่กันแน่เนี่ย?” ทุกเรื่องกลับตาลปัตรไปหมด นี่เมื่อครู่ที่ฉันพบไม่ใช่พระราชาจริงๆอย่างนั้นเหรอ แล้วฉันเชื่อเจ้าเงาพูดได้นี่มากสักเท่าไหร่กัน
“ไม่มีเวลาอธิบายแล้ว รีบหนีไปเร็วเข้าก่อนที่พวกนั้นจะรู้ตัว เร็วเข้าสิ....”
“จะให้หนียังไงละ?” ฉันถามตอนนี้คงไม่มีทางเลือกนอกจากเชื่อเงาตนนี้ไปก่อนล่ะสินะ แต่เจ้าเงานี่คงไม่คิดจะให้ฉันเดินเชิดอกอย่างสง่าผ่าเผยออกไปเฉยๆหรอกนะ
“พลังของเธอไง...” น้ำเสียงของเงานั้นกำลังหมดความอดทนลงทุกที
“พลังของฉัน?...” ฉันลืมไปเลยว่าฉันใช้เวทมนต์ได้ แต่จะว่าไปกระดาษแผ่นนั้นมันปลิวหายไปแล้วนี่หน่า แล้วจะใช้เวทมนต์ได้ยังไงล่ะ
“เธอต้องได้พลังแล้วสิไม่งั้นเธอคงผ่านประตูมิติมาไม่ได้หรอก”
“ก็จริงอยู่ แต่ฉันทำมันปลิวหายไปแล้ว” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงหมดหวัง
“ปลิวหาย เธอพูดบ้าอะไรของเธอเนี่ย!”
ฉันจึงจำต้องอธิบายให้เงานั้นฟังอย่างเร็วๆ
“ยัยบ้าเอ้ย...ของแบบนั้นเธอหากระดาษแผ่นอื่นแล้วใช้พลังก็เท่านั้นเอง ง่ายๆแค่นี้เธอคงทำได้อยู่แล้วใช่ไหม?”
“อย่างนั้นเองหรอกเหรอ?” ฉันลองพยายามหากระดาษดูอย่างไม่รอช้า ก่อนที่ในที่สุดฉันจะพบกระดาษกองหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะหนังสือ ฉันบังคับกระดาษเหล่านั้นให้เคลื่อนไหวตามที่ใจต้องการได้อย่างง่ายดาย นี่คือ พลังของฉันอย่างนั้นเหรอเนี่ย ยอดไปเลย...
“เอาล่ะ....คราวนี้เธอก็หนีออกทางหน้าต่างเนี่ยแหละ พวกพ่อมดประมาทเธอมากเกินไปจึงไม่ได้เสกมนตรากักขังเธอไว้”
“แล้วนายล่ะ ตอนนี้อยู่ที่ไหน?”
“คุกใต้ดิน ฉันบอกเธอแล้วไงว่าฉันถูกขังอยู่”
“ถ้าอย่างนั้นฉันจะลงไปช่วยเธอ”
“ไม่ได้ เธอต้องหนีไปให้ไกลที่สุด อนาคตของยูโทเปียอยู่ในมือของเธอ เธอจะมาถูกจับที่นี่ไม่ได้เด็ดขาด”
“ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ถ้านายไม่ไปด้วย ฉันไม่รู้เรื่องอะไรของยูโทเปียเลยนะ ถ้าอนาคตของยูโทเปียอยู่ในมือฉัน ฉันก็ต้องการคนช่วย และคนๆนั้นก็คือนาย เข้าใจไหม!” ฉันยื่นคำขาด
เงานั้นเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงพูดเหมือนจะยอมจำนนในที่สุด “เข้าใจแล้ว ฉันจะนำทางเธอไปที่คุกใต้ดินเอง ว่าแต่เธอเถอะ...พร้อมแล้วใช่ไหม?”
“พร้อม...” ฉันไม่ลืมที่จะคว้าสมุดบันทึกมาด้วย
เงานั้นไม่กล่าวอะไรอีก มันเคลื่อนที่ไปยังหน้าต่างยังเงียบกริบก่อนที่พุ่งลงไปตามกำแพงอย่างว่องไวจนฉันมองแทบไม่ทัน ฉันยื่นหน้าออกมานอกหน้าต่างอย่างกล้าๆกลัวๆก่อนจะพึ่งตระหนักได้ว่า...ห้องของฉันอยู่สูงกว่าพื้นดินมากแค่ไหน เฮ้อ...ฉันชักจะเริ่มหวั่นในใจขึ้นมาซะแล้วสิ อย่างน้อยก็ยังดีที่มีความมืดมาช่วยทำให้ฉันไม่สามารถรู้ได้ว่ามีอะไรรออยู่เบื้องล่างล่ะนะ เมื่อนั้นฉันก็บังคับให้กระดาษเหล่านั้นประกอบกันมาเป็นปีกที่หลังของฉันก่อนจะสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดแล้วจึงกระโดดตามลงไป
ความมืดเข้ามาปกคุลมร่างของฉันอย่างรวดเร็ว แต่ฉันกลับไม่รู้สึกกลัวมากอย่างที่คิด ทั้งๆที่ได้พลังมาไว้ในมือได้ไม่นานแต่ฉันกลับเชื่อมั่นพลังนี้อย่างเต็มที่ ฉันรู้ว่าฉันจะไม่มีวันตกลงไปเหมือนเมื่อตอนกลางวันอีกแล้ว นี่คือพลังของฉัน...ฉันต้องเชื่อมั่นในพลังของฉัน ฉันพร้อมที่จะบินยิ่งกว่าเมื่อตอนกลางวันเสียอีก
หลังจากผ่านไปไม่ถึงนาทีฉันก็พบว่าเงารอฉันอยู่ที่คูน้ำรอบปราสาทแล้ว เมื่อเงาตนนั้นเห็นฉันลงมาถึงก็รีบนำฉันไปยังทางเข้าที่ปรากฏอยู่ตรงกำแพงใต้ปราสาทติดชิดกับคูน้ำอย่างไม่รอช้า อันที่จริงทางเข้าที่ว่านั้นดูน่าจะเป็นทางระบายน้ำของปราสาทเสียมากกว่า เงาตนนั้นพุ่งผ่านลูกกรงที่กั้นอยู่อย่างสบายๆ ในขณะที่ฉันต้องลองเสกดาบกระดาษออกมาแล้วจึงฟันไปยังลูกกรงเหล่านั้นอย่างไม่มั่นใจนัก น่ายินดีที่ลูกกรงขาดออกจากกันได้อย่างง่ายดาย แม้จะอยู่ในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแต่ฉันก็อดไม่ได้อยู่ดีที่จะมองไปที่ดาบกระดาษที่ตัวเองสร้างขึ้นมาด้วยความทึ่งจัด
พอพุ่งเข้ามาลึกเรื่อยๆ ฉันก็รู้ถึงกลิ่นอับชื้นของถ้ำอากาศหนักอึ้งจนแทบหายใจไม่ออก กลิ่นอุ่นๆของสายน้ำรวมกับกลิ่นของตะไคร่น้ำที่สะสมมานานหลายปีทำให้ฉันรู้สึกอึดอัดอยู่ไม่น้อย ฉันจำไม่ได้ว่าเดินไปตามทางที่มืดและเปียกชื้นนั้นนานเท่าไหร่....รู้ตัวอีกทีก็เมื่อเห็นแสงสว่างมาจากความมืดในทางระบายน้ำนั้น
เงานั้นนำฉันมาที่ทางเข้าแห่งหนึ่ง...มันคือท่าจอดเรือนั้นเอง บันไดหินและซุ้มประตูขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ไม่ห่างออกไปมากนัก หน้าประตูนั้นมียามสองคนยืนเฝ้าทางเข้าคุกใต้ดินอยู่
“พวกนั้นไม่ใช่พ่อมดแต่เป็นทหาร” เงานั้นกระซิบบอกฉัน แต่ยามนี้ฉันไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจดี ฉันหวังไว้ลึกๆว่าไม่ต้องเจอใครเลยน่าจะดีกว่า
“เราคงต้องแยกกันตรงนี้แล้วล่ะ” เงานั้นพูดขึ้น
“ว่าไงนะ!” ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย
“ฉันจะต้องกลับไปยังร่างจริงของฉัน หลังจากนั้นฉันจะพยายามดึงความสนใจจากยามสองคนนั้นไว้ เธอก็อาศัยช่วงจังหวะนั้นแอบตามยามคนนั้นมาแล้วก็จะเจอฉันเองแหละ พอเธอพบตัวฉันแล้วก็ให้ซ่อนตัวไว้จนกว่ายามพวกนั้นจะกลับออกมาข้างนอกเข้าใจไหม
เมื่อนั้นฉันจะบอกวิธีให้เธอทำลายวงเวทย์ที่สะกดฉันอยู่ให้เอง ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผนตอนนั้นฉันก็คงพอจะช่วยตัวเองได้แล้วล่ะ เธอเข้าใจแล้วนะ” ว่าจบเงาร่างนั้นก็แวบหายเข้าไปในคุกใต้ดินผ่านยามทั้งสองไปอย่างหน้าตาเฉย
ฉันอ้าปากค้าง แผนนี้มันมีช่องโหว่อยู่เต็มไปหมดเลยนะ...สิ่งที่เจ้าเงานั่นบอกอาจจะฟังง่าย แต่พอคิดดูแต่ละขั้นตอนมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ บ้าที่สุด! นายนั่นไม่เปิดโอกาสให้ฉันค้านเลยด้วยซ้ำ ผู้ชายอะไรเอาแต่ใจชะมัด ชักอยากจะเห็นหน้าขึ้นมาซะแล้วละสิ
แต่ในเมื่อตัวฉันเองก็คงไม่สามารถคิดหาแผนที่เข้าท่ากว่านี้ ฉันก็เลยไม่มีทางเลือกนอกจากยอมรับงั้นสินะ
“เฮ้อ...” ฉันยกมือขึ้นเกาหัวอย่างอ่อนอกอ่อนใจก่อนจะพยายามปลุกใจตัวเองให้กล้าหาญเข้าไว้ เป็นไงเป็นกันล่ะ ฉันคิดพลางเสกกระดาษในมือให้เป็นดาบแล้วกำมันเอาไว้แน่นขณะที่เฝ้ารอดูเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วยใจระทึก
ไม่นานเกินรอ.... ฉันก็ได้ยินเสียงของใครสักคนกรีดร้อง ไม่ผิดแน่ นั้นคือเสียงของเงาตนนั้น มันเป็นเสียงเดียวกันไม่มีผิด นอกจากนั้นฉันยังได้ยินเสียงของโซ่ตรวนกับเสียงของประตูเหล็กดังแว่วปนมาอีกด้วย เสียงนั้นทำให้ฉันรู้สึกขนลุก...ตอนนี้เจ้าของเงาอยู่ในสภาพแบบไหนกัน? แค่คิดฉันก็กลัวแล้ว
“มันแผลงฤทธิ์อีกแล้วว่ะ” ยามคนหนึ่งพูดขึ้น
“เห็นเงียบไปนานนึกว่าจะถอดใจไปแล้วซะอีก” ยามคนที่สองตอบ
“ฉันจะเข้าไปดูให้เอง คงไม่มีอะไรหรอก นายเฝ้าอยู่ตรงนี้ก็แล้วกันนะ” ยามคนแรกพูดก่อนที่จะเดินผลุบหายเข้าไปในคุกใต้ดิน ปล่อยให้ยามอีกคนยืนเฝ้าประตูอยู่แต่เพียงลำพัง
เป็นเรื่องแล้วไง ฉันคิด คิดแล้ว...ว่าแผนนี้มันไม่มีทางสำเร็จ คราวนี้จะทำยังไงดีละเนี่ย จะให้ถอยหลังกลับก็ไม่ได้ซะแล้วด้วย ใครก็ได้ช่วยฉันหน่อยสิ ฉันคิดอย่างร้อนรน
ทันใดนั้นดาบกระดาษในมือของฉันก็สั่นแรงขึ้นเรื่อยๆจนฉันต้องปล่อยมือออก กระดาษเลห่านั้นประสานกันเป็นผืนเดียวก่อนจะลอยมาคลุมตัวฉันเอาไว้ ฉันยืนจังงันอยู่อย่างนั้นเพราะไม่รู้แน่ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่แล้วจึงฉุกใจคิดขึ้นมาได้ อย่าบอกนะว่า...สิ่งที่ฉันคาดการณ์เอาไว้มันจะถูกหรือเปล่า แต่ถ้าไม่ลองดูแผนที่จะช่วยเงาตนนั้นต้องล้มเหลวแน่ เมื่อนั้นฉันก็สูดลมหายใจเข้าปอดให้ได้มากที่สุดแล้วจึงกลั้นหายใจเดินตรงดิ่งไปที่ประตูทางเข้าคุกใต้ดินทันที
ฉันต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ฉันเดินเข้าไปใกล้ยามคนนั้นขึ้นไปอีก ถ้าหากเกิดมันไม่ได้ผลล่ะ? ฉันต้องตายแน่ๆ แล้วก็คงช่วยผู้ใช้เงานั้นไม่ได้ด้วย ฉันเข้าไปใกล้มากจริงๆ แต่ยามคนนั้นก็ยังคงไม่ไหวติง ยามคนนั้นทำตัวปกติเหมือนกับว่าเขาไม่เห็นฉันเดินเข้ามาอย่างนั้นแหละ ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความทรมานแต่ในที่สุดฉันก็เดินผ่านยามคนนั้นมาจนได้ ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นภายในเวลาแค่เพียงไม่กี่นาทีแท้ๆ แต่ฉันกลับรู้สึกเหมือนนานเป็นชาติ
มันได้ผล....ฉันตระหนักได้ในที่สุด ความคิดนี้ลิงโลดอยู่ในใจของฉัน ฉันมีความมั่นใจมากขึ้นทุกทีขณะที่เดินลึกเข้าไปในคุกใต้ดินมากขึ้นเรื่อยๆ
“ถ้าแกยังขืนทำแบบนี้อีก ท่านแบล็กฮาร์ทต้องไม่เอาแกเอาไว้แน่!” ฉันได้ยินเสียงของคนตะคอกดังมากจากมุมมืดเบื้องหน้า
ฉันรีบเบี่ยงตัวหลบก่อนจะค่อยๆเขยิบร่างกายออกมาสังเกตการณ์ด้วยใจที่เต้นระทึก ยามคนนั้นกำลังยืนอยู่หน้ากรงเหล็กขนาดใหญ่ห้องหนึ่ง ผู้ใช้เงาอยู่ในนั้นสินะ ฉันคิด ยามคนนั้นยืนเอามือเท้าเอวมองเข้าไปภายในกรงเหล็กด้วยความหงุดหงิดอยู่ครู่เดียวแล้วจึงหันหลังเดินกลับออกมาทางที่ฉันหลบอยู่ ฉันรีบทำตัวลีบไปกับกำแพงทันที พอยามคนนั้นลับตาไปแล้ว ฉันก็รีบตรงไปที่ห้องขังที่ยามผู้นั้นเคยยืนอยู่เบื้องหน้าทันที
ภาพเบื้องหน้าที่ฉันเห็นทำเอาฉันตะลึงงันไปชั่วครู่ ชายหนุ่มคนหนึ่งคิดว่าน่าจะมีอายุราวๆกับฉัน ถูกขึงไว้กลางอากาศด้วยโซ่ขนาดใหญ่ เสื้อผ้าที่เขาใส่อยู่นั้นขาดรุ่งริ่งเผยให้เห็นบาดแผลที่แห้งกรังบนร่างของเขาที่มีอยู่นับไม่ถ้วน เขาต้องโดนทรมานมาอย่างหนักแน่ๆ ร่างนั้นดูอ่อนระโหยแต่ยังคงหายใจอยู่
แต่ก่อนที่ฉันจะร้องเรียกอะไรต่อไปนั้นเอง ร่างนั้นก็เงยหน้าขึ้นมา เขามองเห็นฉัน ฉันรู้สึกได้...น่าแปลกที่คนอื่นไม่เห็นแต่คนๆนี้กลับมองเห็น เขาผงกศีรษะให้ฉันครั้งหนึ่ง เมื่อนั้นฉันถึงได้สติขึ้นมาจึงรีบวิ่งตรงเข้าไปที่กุญแจที่ล็อคกรงเหล็กอยู่ บนแม่กุญแจขนาดใหญ่นั้นมีวงแหวนอะไรสักอย่างเขียนอยู่ ฉันพยายามลบมัน แต่มันกลับไม่ยอมจางหายไป
“มันลบไม่ออก”
“ทำลายมันซะเลย” เสียงของเขาแหบพร่า ฉันตัดสินใจปลดผ้าคลุมพรางตัวออกเปลี่ยนมันให้เป็นค้อน แล้วจึงใช้มันทุบกุญแจนั้นสุดแรงเกิด
กุญแจนั้นแตกละเอียดในทันที ฉันแทบจะกรีดร้องออกมาด้วยความดีใจ แต่ฉันกลับดีใจอยู่ได้เพียงครู่เดียวเท่านั้น เมื่อได้ยินเสียงของฝีเท้าหลายคู่ดังมาจากด้านหลัง ฉันรีบหันกลับมาจึงเห็นว่ามีทหารวิ่งลงมาเต็มไปหมดพร้อมกับบรรดาพ่อมดแม่มดจำนวนหนึ่ง
“หยุดนะ!” ฉันตะโกนก้อง กระดาษที่คุมตัวฉันอยู่แปรเปลี่ยนรูปร่างไปอย่างรวดเร็วตามสถานการณ์
เราถูกจับได้เสียแล้ว...คราวนี้จบแน่
“ยอมให้เราจับแต่โดยดีเถิด....ผู้ถูกเลือก” แม่มดคนหนึ่งพูดขึ้น
“ไม่มีทาง!” ฉันตอบ
เมื่อนั้นทหารที่ดาหน้ากันเข้ามาพากันถอยกรูออกไปพวกพ่อมดแม่มดก้าวขึ้นมาข้างหน้าแทนที่ พวกเขาร่ายเวทย์มนต์ขึ้นมาเป็นเกราะกำบัง จนถึงตอนนี้ฉันยังไม่กล้าที่จะโจมตีคนเหล่านี้ ฉันไม่เคยต่อสู้มาก่อน...ตอนนี้ฉันกำลังกลัวมากแต่ก็พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะไม่แสดงมันออกมาให้ใครเห็น
“ผู้ถูกเลือก...ท่านกำลังเดินทางผิดอยู่นะ” พ่อมดคนหนึ่งพูดกับฉัน ราเมียสนั้นเอง
“ฉันไม่เชื่อคุณหรอก” ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่ฉันเชื่อคำพูดของเงาตนนั้น
แล้วฉันจะทำยังไงต่อไปดีล่ะ นี่ฉันต้องสู้กับพ่อมดแม่มดพวกนี้จริงๆเหรอเนี่ย ฉันได้แต่คิดอย่างร้อนรน
“แอนนา เบลล์!” ราเมียสตวาดก้อง ทำเอาฉันสะดุ้งด้วยความตกใจ
“ราเมียส นายเป็นพ่อมดก็น่าจะรู้ดีไม่ใช่เหรอไง ว่าถ้าไม่ใช่ชื่อจริง ยังไงก็ไม่มีทางควบคุมคนๆนั้นได้อย่างที่ต้องการหรอก” เสียงของเจ้าของเงาคนนั้นดังขึ้นเบื้องหลังฉัน เขาเดินมายืนข้างๆฉันพร้อมกับจับมือของฉันเอาไว้ ทันใดนั้นฉันก็พลันรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
“เจ้าชาย...เจ้าไม่มีวันหนีออกไปได้หรอก ข้าไม่มีวันยอมปล่อยเจ้ากับผู้ถูกเลือกไปแน่ ถึงข้าจำเป็นจะต้องปลิดชีพพวกเจ้าก็ตาม” ตาของราเมียสหรี่ลง เขายกไม้เท้าที่ใช้ร่ายเวทย์ขึ้นมาพร้อมกับขยับปากเตรียมจะร่ายมนต์
“นายนี่มันพวกเนรคุณจริงๆ ท่านพ่อเป็นคนชุบเลี้ยงแกมาโดยตลอดแท้ๆ ฉันคือเจ้าชายรัชทายาทของอาณาจักรแห่งนี้ ชินแห่งอาบาเรส....ราเมียส เจ้าไม่มีวันเอาชนะฉันได้หรอก” เจ้าของเงาพูดขึ้น พอเขาพูดจบไม้เท้าของราเมียสก็สั่นอยู่รุนแรง ในที่สุดมันก็หลุดออกจากมือของราเมียสแล้วตกลงบนพื้น
“แก.......” ราเมียสส่งเสียงร้องออกมาอย่างโกรธแค้น
“นายเป็นเจ้าชายงั้นเหรอ?” ฉันกระซิบหันไปทางชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆฉัน
เขาไม่ตอบคำถามของฉัน แต่กลับบีบมือของฉันแน่นจนฉันรู้สึกเจ็บ และก่อนที่ฉันจะทำอะไรต่อไปนั้นเอง พ่อมดกับแม่มดคนอื่นๆก็พากันร่ายมนต์ใส่ฉันกับเจ้าชายทันที สีหน้าของเจ้าชายเต็มไปด้วยอาการเคร่งเครียดจนฉันกังวล ฉันพยายามจะปล่อยมือเขาเพื่อเตรียมตัวต่อสู้บ้าง แต่เจ้าชายกลับตวาดใส่ฉันทันที
“เธอในตอนนี้ยังไม่พร้อมจะสู้กับเจ้าพวกนี้หรอก” เมื่อนั้นเขารั้งก็ฉันมาไว้ในอ้อมกอด ฉันร้องออกมาอย่างตกใจ ในขณะที่เจ้าชายกลายร่างเป็นเงาอีกครั้ง วินาทีเขาก็พาฉันพุ่งทะลุผ่านกำแพงคุกใต้ดินออกมาซะแล้ว
“ว้าย!”
“เกาะฉันไว้แน่นๆ”
“จับพวกมันเอาไว้!” เสียงของราเมียสตะโกนสั่งการอีกครั้ง นั้นเป็นประโยคสุดท้ายที่ฉันได้ยินภายในอ้อมกอดของชายแปลกหน้าคนนี้ ฉันตระหนักได้ว่าตนเองและเจ้าชายกำลังเคลื่อนที่ออกห่างจากปราสาทด้วยความเร็วสูง มันเป็นความเร็วเท่าที่เงาตนหนึ่งสามารถที่จะนำพาไปได้
*********
ในที่สุดร่างเงาของเจ้าชายและตัวฉันที่อยู่ในอ้อมกอดก็ออกมานอกบริเวณของปราสาทได้ในที่สุด ฉันมัวแต่ตกใจกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่นี้จนแทบมองไม่เห็นอะไรรอบตัว แต่อย่างน้อยจากความรู้สึกส่วนตัวฉันก็บอกได้ว่าตอนนี้เราทั้งสองกำลังล่วงเข้าสู่บริเวณของหมู่บ้านซึ่งอยู่ถัดออกมาเป็นลำดับถัดไป น่าเสียดายที่ในสถานการณ์แบบนี้ทำให้ฉันมองเห็นภาพอันสวยงามของหมู่บ้านนั้นได้เพียงแค่ภาพลางๆเท่านั้น เจ้าชายยังคงพาฉันเคลื่อนที่ต่อไปโดยไม่หยุดพักกลิ่นอับของใบไม้ที่ทับถมกันมานานหลายสิบปีลอยเข้ามาเตะจมูกของฉัน ฉันออกมานอกเมืองแล้วอย่างนั้นหรือนี่...กลิ่นของป่าทำให้ฉันรู้สึกโล่งใจ เพราะคิดว่าเราน่าจะหนีมาไกลได้มากพอดู พอมาถึงจุดนี้ฉันก็หันกลับไปว่าจะเอ่ยอะไรบางอย่างกับเจ้าชายแต่แล้วก็พึ่งจะสังเกตได้ว่าเรากำลังเคลื่อนที่ช้าลง
“ว้าย!” ฉันร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่อตนเองกระเด็นหลุดไปจากอ้อนแขนของเจ้าชายโดยไม่ทันตั้งตัว โชคดีที่ผืนดินทั้งนุ่มและมีกองใบไม้รองรับอยู่ทำให้ฉันไม่เจ็บมากนัก ฉันรีบหันขวับกลับไปด้วยความตกใจก็เห็นเงาตนนั้นนอนนิ่งอยู่กับพื้นดิน เงาตนนั้นกำลังค่อยๆกลายร่างกลับไปเป็นมนุษย์
“นี่นาย....” ฉันร้องเรียกอย่างเป็นห่วงขณะที่รีบเข้าไปประคองร่างนั้น ในที่สุดฉันก็ได้เห็นใบหน้าของเจ้าชายแบบชัดๆเสียที ใบหน้าอันหล่อเหลาได้รูปนั้นซีดเผือดเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ เสียงหอบหายใจของเขาดังก้องเข้าไปถึงในใจของฉัน ดวงตาสีเขียวหยกราวกับอัญมณีคู่นั้นดูเหนื่อยล้าเสียเหลือเกิน
พลังของเขากำลังอ่อนลง... ฉันคิด จะว่าไปฉันก็ไม่ได้แปลกใจอะไรเขาทั้งถูกขังแล้วก็โดนทรมานมาขนาดนั้นแล้วยังต้องมาใช้พลังพาฉันหนีออกมาอีก คนอะไรใช้พลังไม่ได้คำนึงถึงตัวเองเลย แย่จริงๆ
“นี่...นายพอจะลุกไหวไหม นายจะมานอนตรงนี้ไม่ได้นะ...อย่างน้อยก็หาที่พักที่ดีกว่านี้กันเถอะ” ฉันเอ่ย แต่เจ้าชายนั้นเหมือนจะไม่ได้ยินคำพูดของฉัน เขายังคงหายใจหอบและไม่ยอมลืมตาขึ้นมาเสียทีจนฉันชักเป็นห่วงมากขึ้นทุกที
“นี่...” ฉันเรียกเขา
“นี่...นาย” ฉันเอ่ยพลางเขย่าตัวเจ้าชาย อย่าพึ่งมาเป็นอะไรตอนนี้นะ...!
“นายเข้มแข็งหน่อยสิ อย่ามาทิ้งให้ฉันอยู่คนเดียวตอนนี้นะ!” คาวนี้ฉันแทบจะตะโกนกรอกหูของเขา ในที่สุดเจ้าชายก็ลืมตาตื่นขึ้นมาจนได้เขาสะดุ้งเฮือกพร้อมกับทำท่าตกใจสุดขีด อย่างไรก็ตามดูเหมือนเขาจะกลับมาเข้าใจสถานการณ์ตอนนี้ได้อย่างรวดเร็วทีเดียว
“บ้าจริง...ฉันหมดสติไปงั้นเหรอเนี่ย นี่เรายังหนีกันไม่พ้นเลยนะ” ใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าที่เขาจะยอมพูดกับฉัน
“เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะ ห่วงเรื่องของนายเองก่อนดีกว่า ใช้พลังเกินตัวแบบนั้นเดี๋ยวก็ได้ตายพอดี”
“แล้วจะให้ฉันทำยังไงเล่า!” เขาพูดแบบคนกำลังอารมณ์เสียกลับมา “พวกเราหนีกันมาขนาดนี้แล้วถูกจับได้ทุกอย่างก็ไร้ประโยชน์พอดีน่ะสิ เธอน่ะไม่น่าดึงดันมาช่วยฉันเลย ถ้าหนีไปคนเดียวตอนนี้คนที่ปราสาทคงยังไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำ”
“นายนี่มัน...” ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย ตะกี้เป็นห่วงแทบแย่แต่ตอนนี้ฉันล่ะอยากจะชกหน้าคนตรงหน้าซักทีซะจริง ถ้าไม่ติดที่ว่าเขากำลังหมดสภาพหรอกนะ พอเห็นแล้วฉันก็โกรธไม่ลงจริงๆ ตอนนี้คนที่อยู่ตรงหน้าของฉันก็แค่ผู้ชายคนหนึ่งที่เหนื่อยมากจนเหมือนจะขาดใจก็เท่านั้นเอง
“เอาเถอะ...หยุดพูดเรื่องที่ผ่านไปแล้วซะที” ฉันตัดบท “ถ้าอย่างนั้นต่อจากนี้ฉันจะเป็นคนพาหนีต่อเองล่ะกัน เพราะฉะนั้นนายไม่ต้องฝืนใช้พลังอีกแล้วนะ”
“เธอเนี่ยนะจะพาฉันหนี” เขาแทบจะไม่มีแรงพูดอยู่แล้ว
ดูถูกกันจริงนะ ฉันไม่ตอบคำถามของเขา นอกจากทำในสิ่งที่ต้องทำ...โชคดีที่กระดาษที่ฉันขโมยมาจากปราสาทยังเหลืออยู่บ้าง ฉันใช้พลังทำให้กระดาษแผ่นเล็กๆเหล่านั้นผนึกเป็นกระดาษแผ่นใหญ่เพียงแผ่นเดียวอย่างไม่รอช้า หลังจากนั้นก็ใช้พลังพับกระดาษแผ่นยักษ์นั้นให้กลายเป็นรูปจรวดทันที ฉันบังคับให้มันบินเหนือผืนดินเล็กน้อยใจคิดว่ามันต้องได้ผล
“เอาล่ะ...นายขึ้นไปได้แล้ว” ฉันเอ่ย เจ้าชายทำหน้างงงันกับสิ่งที่ฉันเสกขึ้นมา แต่เขาก็ยอมขึ้นไปบนนั้นแต่โดยดี ฉันปีนขึ้นไปบนนั้นตามเขาไป และแล้วฉันหลับตาเพื่อรวบรวมพลังอีกครั้งหนึ่ง ฉันต้องทำได้สิ....ตอนนั้นยังทำได้เลยนี่หน่า จรวดกระดาษลอยสูงขึ้นมาอย่างช้าๆตามความต้องการของฉัน
ฉันรู้สึกถึงหยดเหงื่อที่ไหลมาตามใบหน้าแต่เมื่อฉันสัมผัสได้ถึงสายลมเย็นเฉียบที่พัดมากระทบร่างฉันก็รู้ว่าฉันทำสำเร็จ ฉันผ่อนลมหายใจออกก่อนจะลืมตาขึ้นมาในที่สุด จรวดกระดาษกำลังบินอยู่สูงลิบลิ่วจากพื้นดิน ฉันยิ้มก่อนจะปลดปล่อยพลังอีกครั้ง...จรวดกระดาษพุ่งไปในทิศทางตามความคิดของฉันอย่างรวดเร็ว
จรวดกระดาษพุ่งฉิวไปในท้องฟ้ายามค่ำคืน ยามนี้ฉันรู้สึกดีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ฉันกำลังล่องลอยอยู่ในท้องฟ้ายามค่ำคืน....ท้องฟ้าในวันนี้เต็มไปด้วยดวงดาวส่องแสงเป็นประกาย ฉันลุกขึ้นยืนบนจรวดนั้นด้วยความมั่นใจแล้วสูดอากาศเย็นฉ่ำเข้าไปในปอดพร้อมกับกางแขนออกทั้งสองข้างเพื่อที่จะรับลมให้เต็มที่ ฉันรู้สึกดีมากจริงๆ....จู่ๆความกังวลเกี่ยวกับการถูกตามล่าถูกลืมเลือนไปสิ้น
เจ้าชายที่นั่งมาด้วย เอาแต่นั่งเงียบกริบซะจนฉันอดที่จะหันไปมองไม่ได้ แต่พอฉันหันไปมองเจ้าชาย ฉันก็พบว่าเขากำลังมองฉันด้วยสายตาที่ฉันไม่คาดคิดมาก่อน ในแววตาคู่นั้นดูเหมือนเขาเองก็คงไม่คาดคิดว่าฉันจะทำได้ถึงขนาดนี้ แต่อีกส่วนหนึ่งฉันกลับรู้สึกได้ถึงความเศร้าสุดซึ้งที่อยู่ในดวงตานั้น...ความกลัวซ่อนเร้นอยู่ในแววตาของเขา และสุดท้ายก็คือสายตาของเขาที่กำลังมองฉันอยู่ราวกับว่าเขากำลังมองคนรักอยู่ไม่มีผิด ฉันมองเขากลับด้วยความประหลาดใจเป็นอย่างมาก เจ้าชายเมินสายตาหลบไปในทันที ฉันพยายามที่จะไม่ใส่ใจแต่เสียงที่เขาพึมพำออกมาหลังจากนั้นกลับนำข้อกังขามาสู่ใจฉันอย่างมากมาย
“เดอะเปเปอร์สินะ...” ฉันไม่เข้าใจเลย พอฉันจะเอ่ยปากถาม เจ้าชายเงาผู้นั้นก็กลับหลับตาและหนีฉันไปเข้าสู่ห้วงนิทราไปเสียแล้ว
ฉันกลัวว่าเขาจะร่วงลงไปจึงต้องประคองให้เขาใช้ตักของฉันมาหนุนแทนหมอนเสียซึ่งดูเหมือนเจ้าชายจะไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย หลังจากนั้นฉันก็ตัดสินใจบังคับให้จรวดกระดาษบินตรงไปยังป่าทึบที่อยู่ไกลออกไปหน่อย ฉันไม่รู้หรอกว่าถ้าไปถึงที่นั้นแล้วจะหนีพ้นหรือเปล่า แต่เราคงบินกันอย่างนี้ทั้งคืนไม่ได้แน่ๆ
ในไม่ช้าฉันก็นำจรวดกระดาษร่อนลงในที่สุด ฉันพบเวิ้งถ้ำที่คิดว่าพอจะมาเป็นที่พักในค่ำคืนนี้ได้...จึงรีบจัดการพาร่างเจ้าชายเข้าไปพักภายในนั้นอย่างรวดเร็ว ฉันก่อไฟขึ้นมาอย่างยากลำบากแต่ก็สำเร็จจนได้... จะว่าไปตัวฉันเองก็เพลียไปไม่น้อยไปกว่าเจ้าชายที่มาด้วยกันเลย วันนี้มีเรื่องเกิดขึ้นมากมายเหลือเกิน ฉันยังไม่ได้ถามชื่อของเจ้าชายเลย พวกพ่อมดเรียกเขาว่าอย่างไรนะ...ช่างเถอะไว้พรุ่งนี้พอเขาตื่นแล้วค่อยถามก็แล้วกัน อย่างไม่อยากที่จะคิดอะไรอีกต่อไปแล้วฉันก็ล้มตัวลงนอนทางฝั่งตรงข้ามกับเจ้าชายแล้วหลับไปอย่างรวดเร็วด้วยความอ่อนเพลีย
ปล. บทนึงยาวไปไหมเนี่ย แต่ถ้าอยู่บนหน้ากระดาษขนาดเอสี่ก็ประมาณสิบหน้าได้ล่ะนะ พบกันใหม่บทหน้าในอีกหนึ่งสัปดาห์จ้า อย่าลืมติชมกันบ้างนะ ขอบคุณมากจ้า
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ