Tale of Utopia

6.9

เขียนโดย The_Paper

วันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 เวลา 18.12 น.

  15 บท
  8 วิจารณ์
  19.50K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2556 12.54 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) บทนำ (ของจริง)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทนำ

 

                “แอนนา เบลล์” คือชื่อที่ทุกคนพากันเรียกหาตัวฉัน    ฉันเป็นหนึ่งในสมาชิกของตระกูล “เบลล์” ตระกูลที่เรียกได้ว่าเคยมั่งคั่งที่สุดในเมืองนี้   อันที่จริง...ตอนนี้ตระกูลของเราก็ยังคงมั่งคั่งอยู่นะถึงจะไม่ใช่อันดับหนึ่งอีกต่อไปแล้วก็ตาม   แต่ข่าวร้ายก็คือ...ณ เวลานี้ฉันกลับเป็นสมาชิกคนเดียวของตระกูลที่ยังคงมีชีวิตอยู่    ฉันอายุเพียงสิบเจ็ดแต่กลับมีทรัพย์สินจากมรดกอยู่ล้นมือดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ใครๆพากันอิจฉาว่าไหม?   แต่กลับกลายเป็นว่าเรื่องนี้เองที่ทำให้พวกชาวเมืองคนอื่นๆพากันพูดว่าตระกูลของฉันถูกสาปไปเสียอย่างนั้น    บ้างก็บอกกันว่าตระกูลของฉันสืบทอดสายเลือดมาจากพ่อมดแม่มดผู้ชั่วร้ายในอดีตซึ่งไม่เคยมีมูลความจริงอยู่เลย    มันจะเป็นอย่างนั้นไปได้อย่างไรกัน    ทั้งๆที่ฉันไม่เคยพบเจอเวทมนต์จากที่ไหนสักแห่งในบ้านเลยด้วยซ้ำเนี่ยนะ      และที่แย่ที่สุดก็คือตอนนี้ฉันกำลังกลายเป็นเป้าหมายสำคัญของนักซุบซิบนินทาทั้งหลายว่าเมื่อไหร่... ฉันถึงจะตาย..   นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ไม่ใช่วัยรุ่นวัยสิบเจ็ดทุกคนต้องเจออีกเหมือนกัน

 

 

                ฉันยอมรับนะว่าประเด็นที่ว่าฉันจะตายเมื่อไหร่นี้ดังพอสมควรทีเดียว   ทุกคนรู้จักฉันเพราะเหตุนี้... และนั้นทำให้ฉันต้องอยู่ลำพังเรื่อยมา  ไม่มีใครอยากคุยกับฉันอีกแล้ว..   พวกเขากลัวว่าถ้าคุยกับฉันแล้วตนจะถูกคำสาปไปด้วย  ไร้สาระแท้ๆ   แต่ฉันก็ไม่ได้เดือนร้อนนักหรอก   อย่างน้อยฉันก็มีบ้าน  อย่างน้อยฉันก็มีเงิน  อย่างน้อยทุกคนก็ยังยอมใช้เงินของตระกูลฉันอย่างน้อยฉันก็ยังมีชีวิตอยู่ด้วยตนเองได้

 

 

                  จริงสิ...คงจะสงสัยสินะว่าทำไมฉันถึงอยู่คนเดียว  เกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวของฉันกันแน่   ฉันก็จะเล่าให้ฟังเอง... 

 

 

                ครอบครัวของฉันเคยเป็นครอบครัวที่เคยอบอุ่นและสมบูรณ์  แต่แล้ว...มันกลับค่อยพังทลายลงโดยที่ฉันยังไม่ทราบเลยว่าเกิดอะไรขึ้นหรือว่าเป็นเพียงการเล่นตลกของโชคชะตา    คนแรกที่จากไปคือท่านพ่อกับท่านแม่ของฉัน  พ่อกับแม่ที่แสนดีที่สุดในโลกของฉันจากไปพร้อมกันในอุบัติเหตุเครื่องบินตก   คุณย่าและคุณปู่ที่ล้มป่วยอยู่แล้วก็จากไปหลังจากนั้นไม่นาน    คุณตาท่านเสียไปก่อนหน้านั้นอีก   ดังนั้นในคฤหาสน์หลังใหญ่โตจึงเหลือแต่ฉันซึ่งเป็นบุตรสาวคนเดียวกับคุณยายเท่านั้น  น่าแปลกที่บ้านเราออกจะมั่งคั่งแท้ๆแต่กลับแทบไม่มีญาติมิตรสหายอาศัยอยู่ที่อื่น   จริงสิ....นอกจากนี้บ้านเรายังมีคนใช้อีกคนด้วย  เธอชื่อ มากาเร็ต     และแล้วในวันหนึ่งสิ่งที่ฉันกลัวที่สุดก็มาถึง...เช้าวันนั้นคุณยายก็ไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย   ฉันได้แต่เฝ้ามองใบหน้าของท่านยายด้วยความสงสัยนับแต่นั้นเรื่อยมา  ใบหน้าที่ดูเหมือนมีความสุขของท่านยามหลับนั้นยังตราตรึงอยู่ในหัวใจของฉัน  ท่านยายมีความสุขเหรอ...ที่ต้องจากฉันไป  ที่ต้องทิ้งฉันเอาไว้ในโลกนี้เพียงลำพัง  

 

 

                เมื่อนั้นฉันถึงตระหนักได้ว่าตอนนี้มีฉันเป็นสมาชิกของตระกูลอยู่เพียงลำพังเท่านั้น      มากาเร็ตก็กำลังจะไปเหมือนกัน  เธอได้งานที่ดีกว่า  และเธอก็เริ่มกลัวคำสาปเหมือนกับคนอื่นๆ    ฉันไม่เคยคิดที่รั้งเธอไว้

 

 

                ยามนี้คฤหาสน์กว้างกว่าที่เคยเป็น   ฉันได้แต่ยืนมองทางเดินภายในคฤหาสน์ที่ทอดยาวอย่างโดดเดี่ยว    มากาเร็ตจะไปวันนี้แล้ว  เธอขอโทษฉันที่จะไปแล้วต้องปล่อยให้ฉันอยู่เพียงลำพัง  เธอบอกว่าเธอกลัวที่นี่   เธออยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว   เธอบอกให้ฉันหาคนใช้คนใหม่  ฉันแต่เพียงรับปากเธอเพื่อให้เธอสบายใจเท่านั้น     ในใจของฉันไม่มีความคิดที่จะจ้างคนใหม่มาอีกแล้ว

 

 

                อีกไม่กี่เดือนฉันจะมีอายุครบ 18 ปีเต็ม  ฉันไม่ใช่เด็กแล้ว  แต่...ก็ยังไม่ใช่ผู้ใหญ่เหมือนกัน  เอาเถอะ....อย่างน้อยฉันก็สามารถดูแลตัวเองได้อย่างเต็มที่จนได้ก็แล้วกัน   ในไม่ช้าสมบัติทั้งหมดของตระกูลก็จะถูกโอนมาเป็นกรรมสิทธิ์ของฉันอย่างสมบูรณ์   ถึงตอนนั้นทุกคนจะกลับมาให้ความสนใจและเพิ่มความเป็นมิตรต่อฉันหรือเปล่า   แต่ถ้ามันเป็นเพราะทรัพย์สมบัติ  ฉันคงพอใจที่จะอยู่คนเดียวต่อไปมากกว่า

 

 

                นอกจากข่าวลือเรื่องคำสาปของตระกูลที่ทำให้ทุกคนพากันหลีกเลี่ยงฉันแล้ว   น่าจะเป็นเรื่องนิสัยส่วนตัวของฉันอีกเรื่องหนึ่งที่ค่อนข้างจะแปลกประหลาดจากเด็กวัยรุ่นคนอื่นๆในเมือง     ฉันพูดได้เต็มปากเลยว่า  ฉันเป็นรักสันโดษและความสงบอย่างมาก  ฉันไม่สนใจที่จะไปเที่ยวเล่นหรือเหลวไหลนอกบ้าน   แม้แต่ในโลกออนไลน์ฉันก็ไม่ค่อยสนใจ  ฉันใช้ชีวิตแทบทั้งหมดภายในคฤหาสน์ของฉัน    แน่นอนว่าบริเวณบ้านกว้างมาก  และฉันก็ยังมีสวนที่ตอนนี้รกร้างเต็มทีเพราะขาดคนดูแล   ฉันรู้ดีว่าที่นี่คือบ้านของฉัน   ที่ที่ปลอดภัยที่สุดของฉัน     สิ่งเดียวที่เป็นความสุขของฉันก็คือการอ่านหนังสือ    ฉันพนันได้เลยว่าจำนวนหนังสือที่ฉันอ่านมาทั้งหมดถ้านำมารวมกันคงจะมากกว่าจำนวนหนังสือที่ทุกคนในเมืองอ่านรวมกันซะอีก   เพราะอย่างนั้นฉันเลยไม่ได้กังวลอะไรกับสถานภาพของตัวเองมากเท่าใดนัก     เพราะถ้าเป็นคนอื่นอาจจะประสาทกินไปแล้วก็ได้

 

 

                หนังสือคือ “ชีวิตของฉัน” ฉันไม่ได้ชอบอ่านหนังสือแนวไหนเป็นพิเศษ  ฉันรู้สึกท้าทายเสมอเวลาที่อ่านหนังสือเล่มหนาๆเหล่านั้น    ฉันคงสืบทอดนิสัยแบบนี้มาจากบรรพบุรุษกระมัง   ทุกคนในตระกูลรักการอ่าน   ในคฤหาสน์ของเรามีห้องหนังสือบรรจุหนังสือไว้หลายพันเล่ม  หรืออาจจะมากกว่านั้น    ฉันจึงไม่จำเป็นต้องไปห้องสมุดประจำเมือง  ไม่ต้องไปปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนเท่าใดนัก   สำหรับชีวิตการเรียนของฉัน  มันไม่เคยเป็นปัญหากับฉันเลยแม้แต่ครั้งเดียว  ฉันลงเรียนหลักสูตรแบบเร่งรัด และตอนนี้ฉันก็จบการศึกษาระดับปริญญาตรีเป็นที่เรียบร้อยแล้วแล้ว    ฉันเป็นอัจฉริยะเหรอ?   อาจารย์ชมฉัน  ฉันปฏิเสธ   ฉันบอกว่าฉันแค่อ่านมากกว่าคนอื่น  และจำทุกสิ่งทุกอย่างที่อ่านได้ก็เท่านั้น   และฉันก็มีความสุขกับมัน  ฉันจบปริญญาตรีมาทางด้านวรรณกรรม   ถ้าเป็นไปได้ฉันอาจจะเรียนต่อ....แต่เรื่องนั้นไว้อีกสักพักค่อยคิดก็คงไม่สาย

 

 

                อย่างไรก็ตามมีสิ่งหนึ่งที่ฉันคิดอยากจะทำมันให้ได้  ฉันมีความฝัน...ฉันฝันที่จะเป็นนักเขียนชื่อดังระดับโลก    ฝันของฉันเป็นอะไรที่ดูเหมือนจะไกลเกินเอื้อม  ฉันอ่านมากก็จริง  แต่ฉันกลับไม่มีความสามารถในการเขียนเอาซะเลย    ฉันแต่งหนังสือไว้หลายเรื่อง  แต่เรื่องที่จบกลับไม่มีสักเรื่อง   ทุกอย่างดูเหมือนจะวนเวียนอยู่แต่ในหัวของฉัน   พอจรดปากกาเพื่อที่จะบันทึกมันลงไปในกระดาษ  ฉันก็ไม่สามารถจะเขียนอะไรต่อไปได้อีก  ทุกอย่างมันพลันหายไปหมดราวกับอากาศธาตุ     สงสัยฉันจะเขียนได้แต่ไดอารี่ละมั้ง

 

 

                วันนี้ฉันก็ยังคงใช้ความพยายามแบบเก่าในการเริ่มต้นเขียนเรื่องสักเรื่องหนึ่ง   แต่ฉันก็ทำได้ดีที่สุดแค่จับปากกาแล้วนั่งนิ่งงันไปหลายชั่วโมงเท่านั้น   แผ่นกระดาษยังคงว่างเปล่า   ฉันยอมแพ้และถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะวางปากกาลงกับโต๊ะ     ฉันนั่งครุ่นคิดถึงปัญหาในการแต่งเรื่องราวของฉัน   บางทีฉันอาจจะขาดแรงบันดาลใจ...อย่างนั้นหรือเปล่านะ?

 

 

 

**********

 

 

 

                   ทันใดนั้นฉันก็รู้สึกเหมือนกับว่ามีใครจ้องมองฉันอยู่  ฉันสะดุ้งเฮือกแล้วหันไปมองรอบๆในทันที  ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าฉันไม่ได้อยู่ตามลำพังภายในห้องนี้น่ะ    ฉันผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างรวดเร็วแล้วมองไปรอบๆอีกครั้ง   แต่กลับไม่เห็นอะไรที่ผิดปกติไปเลย

 

 

                นี่มันตอนเริ่มต้นของหนังสือแฟนตาซีหรือเปล่า...ฉันคิดเล่นๆตอนทรุดตัวลงนั่งกับเก้าอี้อย่างเดิม ถึงบ้านหลังนี้จะเป็นคฤหาสน์หลังโตที่เก่าแก่แต่ฉันยังไม่เคยเห็นอะไรที่เป็นประเภทวิญญาณเลยนะ   แล้วสิ่งที่ฉันไม่คาดคิดว่าจะเกิดก็เกิดขึ้น  แน่นอนว่ามันเกิดขึ้นต่อหน้าฉันเอง   กระดาษเปล่าที่วางอยู่ตรงหน้าฉันขยับทั้งๆที่ไม่มีลมพัดเลยสักนิด   ฉันตะลึงมองมันด้วยความอัศจรรย์ใจ   ก่อนที่กระดาษแผ่นนั้นค่อยๆพับตัวเองราวกับมีมือล่องหนมาพับกระดาษต่อหน้าฉัน  ชั่วพริบตาเดียวกระดาษแผ่นนั้นก็มีรูปร่างเป็นนกกระเรียน    มันบินขึ้นเหนือโต๊ะของฉันอย่างช้าๆ   และพุ่งไปที่ชั้นวางหนึ่งทางทิศตะวันออกภายในห้องหนังสือนั้น   ด้วยสัญชาตญาณมากกว่าจะรู้สึกตัวฉันเอื้อมมือไปคว้าสมุดบันทึกของฉันแล้ววิ่งตามนกกระเรียนกระดาษตัวนั้นไปทันที  ฉันไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่าหัวใจของฉันเต้นรัวมากแค่ไหน

 

 

                พอวิ่งเข้ามาท่ามกลางหนังสือแล้ว  ฉันกลับมองหานกกระเรียนกระดาษตัวนั้นไม่พบ  ฉันกวาดสายตาไปรอบๆอย่างผิดหวัง  แต่ก่อนที่ฉันจะทำอะไรต่อไปนั้นเอง  ทันใดนั้นเสียงพรึ่บพรั่บของกระดาษก็ดังขึ้น  ฉันหันไปทางซ้ายมือจึงเห็นนกกระเรียนตัวนั้นบินอยู่เฉยๆเหมือนจะรอฉันอยู่  พอฉันเดินไปหามัน  มันก็บินออกนำไปอีก   ฉันยิ้มแทนที่จะรู้สึกกลัว...ฉันรู้แล้วว่ามันต้องการให้ฉันตามไป    ตอนนี้ฉันไม่ต้องกลัวว่าจะพลัดหลงกับมันอีกแล้ว 

 

 

                   ถ้าจะถามว่าตอนนั้นฉันตัดสินใจผิดหรือเปล่า  ฉันคงตอบว่าไม่....ฉันรู้ตัวดีว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่   ฉันไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวแต่กลับตื่นเต้นยิ่งกว่าที่เคยรู้สึก    ความรู้สึกแปรเปลี่ยนจนกลายเป็นความดีใจและความอยากรู้อยากเห็นในบางสิ่งบางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้นเบื้องหน้า    มันเป็นเหมือนความรู้สึกที่หนีออกจากบ้านครั้งแรกไม่มีผิด ไม่ว่าจะมีอะไรรออยู่ข้างหน้าก็ตามฉันก็อยากจะเผชิญหน้ากับมันด้วยตาของตัวเอง    ตอนนี้สิ่งที่ฉันกลัวมีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น...ฉันกลัวว่าจะไม่พบสิ่งนั้นมากกว่า

 

 

                ในที่สุดฉันพบก็ว่านกกระเรียนกระดาษตัวนั้นนำฉันมาที่ประตูบานหนึ่ง   

 

 

                 “เอ๊ะ?”  ฉันอุทานออกมาอย่างตกใจ   ประตูบานนี้ไม่เคยอยู่ตรงนี้มาก่อนแน่ๆฉันมั่นใจ แม้ว่าฉันจะจำประตูที่มีอยู่ภายในบ้านทั้งหมดที่มีอยู่เป็นร้อยไม่ได้ก็ตาม  แต่ประตูบานนี้แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง  ประตูบานนั้นมีสีขาวตัดกับกำแพงสีหม่นของคฤหาสน์จนดูราวกับจะเปล่งแสงออกมาได้  รูปร่างของประตูแปลกตากว่าที่ฉันพบเห็นจากที่ไหนมาก่อน    ที่พิเศษไปกว่านั้นคือมันถูกสลักลวดลายเอาไว้ทั้งสวยงามอ่อนช้อยราวกับถูกสร้างขึ้นจากเวทมนต์   

 

 

                   บัดนั้นคำถามข้อหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัวของฉัน   ประตูบานนี้จะนำฉันไปไหนกัน?

 

 

                ทันใดนั้นนกกระเรียนกระดาษที่อยู่ตรงหน้าฉันก็ขยับอีกครั้ง   ฉันยืนมองมันด้วยใจระทึก  มันค่อยๆคลายตัวออก  ในไม่ช้ามันก็กลับเป็นกระดาษแผ่นเรียบเหมือนเก่า   พอฉันเอื้อมมือไปรับกระดาษนั้นข้อความในกระดาษก็พลันปรากฏขึ้น

 

 

                “ถึงท่านผู้ถูกเลือก  “แอนนา  เบลล์”

 

 

                ประตูที่อยู่เบื้องหน้าท่านจะนำท่านไปสู่ ยูโทเปีย

 

 

                หากท่านยังไม่ตระหนักว่าสิ่งใดคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของท่าน  โปรดจงใช้พลังของท่านเพื่อเปิดประตูบานนี้เถิด 

 

 

                ภารกิจกำลังรอคอยท่านอยู่...”

 

 

                ฉันเลิกคิ้วสูง   ฉับพลันตัวหนังสือในกระดาษก็หายไป    ฉันยืนนิ่งจ้องมองข้อความในกระดาษด้วยสีหน้าประหลาดใจ    ข้อความในกระดาษไม่ได้ให้ความกระจ่างอะไรแก่ฉันเท่าใดนัก   แต่แล้วฉันก็พอจะสรุปออกมาได้ว่า อีกด้านของประตูคือ ยูโทเปีย   ยูโทเปียคืออะไร?  ฉันถามตัวเองด้วยความสงสัย    ถ้าต้องการสิ่งสำคัญอย่างนั้นเหรอ   ภารกิจ....     หมายความว่าถ้าอยากได้สิ่งสำคัญนั้นก็ต้องทำภารกิจให้สำเร็จสินะ   ฉันคิดในใจ

 

 

                ไม่มีอะไรต้องกลัว  ฉันตัดสินใจในสุดก่อนจะคว้าเอากระดาษแผ่นนั้นมาสอดไว้ในสมุดบันทึกพร้อมกับเอื้อมมือไปเปิดประตูนั้น     แต่แล้วประตูกลับเปิดไม่ออกอย่างที่คาดไว้   มันถูกล็อคอยู่...ฉันคิด  แล้วฉันจะทำยังไงดี   ฉันเอามือลูบคางพลางคิดทบทวนข้อความในกระดาษนั้น  ทันใดนั้นความคิดของฉันก็มาสะดุดอยู่ที่ประโยคประโยคหนึ่ง

 

 

                “โปรดจงใช้พลังของท่านเพื่อเปิดประตูบานนี้เถิด”

 

 

                “พลังของฉันอย่างนั้นเหรอ  ฉันมีพลังที่ไหนกัน!”  เร็วเท่าความคิด ฉันฉุกใจแล้วหยิบกระดาษแผ่นนั้นออกมาจากสมุดทันที

 

 

                “ช่วยให้ฉันได้ไปสู่ “ยูโทเปีย”ด้วยเถอะ” ฉันกระซิบกับกระดาษ  ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรดลใจให้ฉันทำแบบนั้น     แต่เมื่อกระดาษสั่นไหวฉันก็ทำได้แค่เพียงเบิกตากว้าง  พอฉันปล่อยมือจากกระดาษมันก็ค่อยๆ พับตัวเองจนกลายเป็นกุญแจดอกหนึ่งต่อหน้าฉัน

 

 

                “หมายความว่า...” ฉันเอื้อมมือไปรับกุญแจ 

 

 

                ฉันลังเลเล็กน้อยขณะที่ยื่นกุญแจออกมาไขประตูตรงหน้า เสียงกริ๊กจากประตูทำให้ฉันรู้ว่าฉันทำสำเร็จ     ฉันค่อยผ่อนลมหายใจที่กลั้นอยู่ชั่วครู่ใหญ่ออกมา    ดูเหมือนฉันจะไม่อาจก้าวถอยหลังได้อีกต่อไปแล้ว  นี่เป็นความจริงอย่างนั้น....หรือว่าฉันกำลังฝันกลางวันอยู่

 

 

                ฉันเอื้อมมือไปเปิดประตูอย่างกล้าๆกลัวๆอีกครั้ง  คราวนี้มันเปิดออกได้อย่าง่ายดาย   แสงสว่างพุ่งออกมาจากประตูนั้นจนฉันต้องเอามือบังตาเอาไว้   ตอนนั้นเองฉันรู้สึกเหมือนถูกลมดูดให้เข้าไปภายในประตูนั้น  ในไม่ข้าฉันก็ไม่อาจทนแรงนั้นได้....ร่างของฉันก็พุ่งผ่านเข้าไปในประตูอย่างรวดเร็ว    ฉันมองเห็นตัวคฤหาสน์ของตระกูลเบลล์เพียงแว่บเดียวเท่านั้นก่อนที่บานประตูจะปิดลง    ฉันยังไม่ทันได้เอ่ยลาด้วยซ้ำไป

 

 

                 นี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่?....ฉันทำอะไรลงไป.... 

 

 

                  สิ่งที่ฉันทำต่อไปนั่นคือกลั้นใจลืมตาเมื่อรู้สึกว่าแสงสว่างบางตาลงบ้างแล้ว    ตอนนั้นเองฉันก็พบว่าตนเองอยู่ในท้องฟ้า     ฉันกำลังจะตกลงไปเบื้องล่าง   ฉันรู้สึกตกใจแทบจะสิ้นสติ    สิ่งที่ฉันทำได้ก็คือส่งเสียงกรีดร้องออกมาอย่างควบคุมไม่ได้เท่านั้น    แต่ฉันยังคงไม่ลืมเรื่องที่สำคัญที่สุดอีกเรื่องหนึ่ง  นั้นก็คือเรื่องที่ฉันกำลังจะไปสู่ ยูโทเปีย

 

 

                ณ  คฤหาสน์ตระกูล “เบลล์” ที่แห่งนั้นนั้นยังคงเงียบสนิทเหมือนอย่างเคย   ประตูบานวิเศษนั้นค่อยๆปิดลงอย่างเงียบเชียบก่อนจะส่งเสียงดังแกร็กเบาๆ  ประตูบานนั้นถูกล็อคอีกครั้งแล้ว    แล้ในไม่ช้าภาพของประตูก็ค่อยๆเลือนหายไปจากกำแพงตรงนั้นทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่า

 

 

 

 

**********

 

 

 

อันนี้เหมือนเป็นบทนำของจริงเลยเนอะ ฮ่าๆๆ....ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกัน และอย่าลืมติชมกันบ้างนะจ๊ะ  พบกันใหม่บทหน้าขอเวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์จ้า

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
6.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา