Tale of Utopia
6.9
เขียนโดย The_Paper
วันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 เวลา 18.12 น.
15 บท
8 วิจารณ์
19.22K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2556 12.54 น. โดย เจ้าของนิยาย
12) บทที่ 11 แพนดอร่า
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 11 แพนดอร่า
ฉันก้าวออกมาจากโอเวอร์โซลทางอีกฟากหนึ่งได้ไม่เท่าไหร่ก็ตระหนักได้ว่าความอบอุ่นและความสบายใจได้จางหายไปหมดสิ้น เป็นความจริงที่ว่าเราพ้นจากการคุ้มครองจากเอสคาราสแล้วอย่างสิ้นเชิงแล้ว ไม่รู้ว่าฉันระแวงไปเองหรือเปล่า.....แต่ฉันรู้สึกเหมือนได้กลิ่นของเลือดล่องลอยมาตามสายลมอย่างไรไม่รู้
“ต่อจากนี้ไปพวกเราทุกคนคงต้องระวังตัวกันให้มากขึ้นแล้วล่ะ” ชินหันไปเตือนทุกคน
โมโมะยังคงสภาพอยู่ในร่างจริง
“ฉันคงต้องใช้เวลาอยู่นอกโอเวอร์โซลอีกพักหนึ่งแหละกว่าไอเวทย์บริสุทธิ์ที่อยู่ในตัวจะจางหายไป ช่วงนี้ฉันก็เลยต้องอยู่ในร่างจริงไปก่อนน่ะสิ”
“ไม่เป็นไร...ถึงจะพรางตัวไม่ได้ แต่ตอนนี้โมโมะก็พลังที่สำคัญอีกกำลังของพวกเราไปแล้วล่ะ” ชินเอ่ยพร้อมกับพยักหน้าให้จิ้งจอกเก้าหาง
อย่างไรก็ตามดูเหมือนเอเรียสจะกลับมามีใบหน้ากลับมาอ่อนเยาว์ดังเดิมแล้ว
ฉันลูบผมสีดำของตัวเองอย่างคิดถึงราวกับว่าฉันได้จากมันมานานแสนนาน ก่อนที่จะเดินทางออกจากโอเวอร์โซล ฉันขอให้องค์ราชินีช่วยปกปิดร่างจริงของฉันเอาไว้ ท่านจึงใช้พลังของเอสคาราสทำให้สีผมและสีตาของฉันกลับมาเป็นดังเดิม
“เมื่อเจ้าต้องการเช่นนั้น เอสคาราสก็จะมอบพลังนั้นเพื่อปกปิดเจ้า... แต่เจ้าต้องอย่าลืมตัวตนที่แท้จริงของตัวเจ้าเองซะล่ะ” เสียงของราชินีดังขึ้น เมื่อฉันหวนนึกไปถึงเหตุการณ์นั้น
พวกเราทุกคนในตอนนี้ต่างสวมเสื้อคลุมสีดำเพื่อที่จะได้ไม่เป็นที่สังเกตจนเกินไป แม้แต่โมโมะเองก็ต้องใช้ผ้าสีดำคลุมตัวเอาไว้เช่นกัน นี่ก็เป็นเวลาสามวันเต็มแล้วตั้งแต่ที่พวกเราเดินทางออกจากโอเวอร์โซล
“ต่อจากนี้ไป ถ้าไม่จำเป็นห้ามใช้เวทมนต์อีก” ชินประกาศขึ้น
“ตอนนี้ฉันกะประมาณว่าถ้าเราเดินทางกันไม่หยุดอีกราวๆครึ่งวันก็น่าจะถึงแพนดอร่าแล้วล่ะ เพราะฉะนั้นพวกเราคงต้องหยุดดูทีท่าของกองทัพกันตรงนี้ก่อน ถ้าเข้าไปใกล้เกินไปตอนนี้คงอันตรายน่าดู ส่วนคืนนี้ฉันจะลอบไปพบกับอาเรนที่ค่ายทหารเพื่อนัดหมายกำหนดการณ์ที่แน่นอนอีกครั้งหนึ่งเสียก่อน ระหว่างที่ฉันไม่อยู่นั้นอย่าใช้เวทมนต์โดยพร่ำเพรื่อล่ะ เพราะฉันกับอาเรนจะพาลคิดว่าเกิดอะไรขึ้น ยามนี้ทางฝั่งดาร์คอาเธอร์ก็คงพยายามจับพลังเวทย์แปลกปลอมอยู่เหมือนกัน ไม่ว่าจะทำอะไรก็ขอให้คิดให้รอบคอบก่อน เข้าใจกันนะทุกคน....” ทุกคนพยักหน้า ในขณะที่ฉันรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก
พลบค่ำวันนั้นฉันเดินออกมาส่งชินแต่เพียงลำพัง
“ชิน... ระวังตัวด้วยนะ” ฉันพูดด้วยเสียงเศร้าๆ
“อะไรกัน ฉันไปไม่นานหรอกหน่า อย่าทำหน้าเศร้าแบบนั้นสิ แอนน์มีอะไรหรือเปล่า...?” ชินถามด้วยความสงสัย
“ไม่มีหรอก....” ฉันโกหก
“ชินไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ชินก็จะไม่ลืมฉันใช่ไหม ในฐานะเพื่อนคนหนึ่ง....” ฉันเอ่ยประโยคหลังออกมาอย่างแผ่วเบา
“ใครจะไปลืมเธอลงได้กันละ พูดอะไรแปลกๆ...พูดยังกับจะไม่ได้เจอกันอีกแล้วงั้นแหละ...”
“เปล่าสักหน่อย รีบไปเถอะ อาเรนคงคอยอยู่แล้วล่ะ”
ชินปีนขึ้นไปบนหลังม้า
“นี่...” ก่อนจากไปชินหันมามองที่ฉันอีกครั้ง “อย่าลืมนะ ว่าฉันจะเป็นคนปกป้องเธอเอง”
“อืม” ฉันพยักหน้าพร้อมกับยิ้มให้ในขณะที่ชินควบม้าจากไปในยามราตรี วินาทีนั้นฉันได้แต่ยืนนิ่งน้ำตาไหลออกมาเงียบๆ ฉันหวังเอาไว้ลึกว่าคำทำนายที่ฉันฝันถึงจะไม่เป็นจริง แต่ดูเหมือนจะเลี่ยงไม่ได้ซะแล้ว
ถ้าความฝันนั้นเป็นจริง......นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉัน......
“เข้มแข็งหน่อยสิ..ตัวฉัน!” ฉันใช้เวลาเช็ดน้ำตาออกไปเพียงไม่นาน ก่อนจะปรับอารมณ์ตนเองแล้วเดินเข้าไปรวมกลุ่มกับโมโมะและเอรียสที่อยู่ห่างออกไม่มากนัก
พื้นดินแถบนี้ดูไร้ชีวิตชีวาแปลกๆ ทั้งๆที่มีต้นไม้ขึ้นอยู่ทั่วไปแต่กลับไม่รู้สึกถึงความเป็นป่าเลยแม้แต่น้อย พวกเรานั่งลงพักอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง จากตรงนั้นเมื่อฉันมองตรงไปยังทิศทางที่อาณาจักรแพนดอร่าตั้งอยู่ก็เห็นหอคอยสูงเสียดฟ้าหอหนึ่งตั้งเด่นห่างออกไป
“นั้นหอคอยอะไรน่ะ?” ฉันถามเอเรียสที่กำลังจับจ้องหอคอยนั้นอยู่เช่นกัน
“หอคอยแห่งแพนดอร่า เป็นหอคอยที่เกือบจะสูงที่สุดในยูโทเปีย ที่นั้นคือใจกลางของอาณาจักรแพนดอร่า ดาร์คอาเธอร์ตอนนี้ก็คงจะอยู่ที่นั่นนะแหละ”
“ทำไมดาร์คอาเธอร์ถึงไม่เคยออกจากนอกหอคอยนั้นเลยน๊า....” โมโมะพูดขึ้น
“ก็เพราะศาสตร์มืดยังไงล่ะ....” เอเรียสตอบ
“ศาสตร์มืด...?” ฉันถามด้วยความสงสัย
“ผู้ที่ถูกศาสตร์มืดครอบงำจิตใจทั้งหมดจะมีพลังมหาศาลจนไม่มีผู้ต้านทานก็จริง แต่ก็จะไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ใต้แสงสว่างได้อีกต่อไป”
“หมายความว่า....”
“ใช่แล้วล่ะ...ดาร์คอาเธอร์ไม่สามารถดำรงชีวิตภายใต้แสงสว่างของดวงอาทิตย์ได้ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยเขาจึงขังตัวเองไว้ในหอคอยชั่วร้ายนั่นยังไงล่ะ”
“ถ้าต้องแบบนั้น....ต้องขังตัวเองไว้ในความมืดแบบนั้นได้พลังมาแล้วจะมีประโยชน์อันใดกัน ทำไมเขาถึงคิดทำอะไรชั่วร้ายขนาดนี้ได้นะ...” ฉันรำพึงขึ้นมา ซึ่งเอเรียสก็ไม่ได้เอ่ยตอบคำใด
คืนนั้นทั้งฉัน โมโมะ และเอเรียสต่างเอนตัวพิงกับรากไม้แล้วงีบหลับไปทั้งๆอย่างนั้น ชินบอกว่าจะรีบนัดแนะกับอาเรนและกลับมาที่นี่ก่อนสว่าง แต่ทว่าในกลางดึกนั่นเองเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
ฉันรู้สึกตัวเป็นคนแรกเพราะรอรับสถานการณ์เอาไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว
“ค่ำคืนนี้ดูท่าจะยาวนานซะแล้วสิ....เอเรียส โมโมะรีบตื่นเถอะ!” ฉันพูดพร้อมกับลุกยืนขึ้นพร้อมกับรีบวิ่งเข้าไปดับกองไฟ
“ว่าไงนะ!” เอเรียสหันมาจ้องฉันเขม็ง
“โมโมะ เอเรียส เตรียมตัวเร็วเข้า! ท่าทางดาร์คอาเธอร์จะชิงลงมือก่อนซะแล้วล่ะ เวลาที่กองทัพของทั้งสองฝ่ายต้องปะทะกันคงมาถึงเร็วกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ สงสัยว่าพวกเราคงจะรอชินไม่ได้แล้วล่ะ...”
“เป็นไปได้ยังไง....ดาร์คอาเธอร์รู้แผนการณ์ของเราเข้าซะแล้วอย่างนั้นเหรอ?”
“ไม่หรอก...ดาร์คอาเธอร์คงไม่คิดว่าฉันที่เป็นผู้ถูกเลือกจะกล้าเอาตัวเองเข้าเสี่ยงแบบนี้หรอก เพราะอย่างนั้นเวลานี้แหละเหมาะที่สุดที่จะลอบเข้าไปในแพนดอร่า....ดาร์คอาเธอร์จะต้องคาดไม่ถึงอย่างแน่นอน” ฉันเอ่ยออกมาอย่างหนักแน่น
“เอ๊ะ....แล้วชินล่ะ?”
“เขากลับมาไม่ทันหรอก....พวกเราคงต้องลุยกันเองซะแล้วล่ะ”
“แต่ว่า...” โมโมะทำท่าจะทักท้วง
“ถ้าไม่ฉวยโอกาสนี้ไว้....แผนที่ทุกคนวางไว้อาจจะต้องพังทลายก็ได้นะ เราต้องลงมือเดี๋ยวนี้...”
เอเรียสและโมโมะไม่ถามว่าฉันมั่นใจขนาดนั้นได้อย่างไร แต่สุดท้ายทั้งสองลุกขึ้นยืนเตรียมพร้อมต่อสู้ทันที
ทันใดนั้นร่างสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งออกมาจากแพนดอร่า ดูเหมือนพวกมันจะยังไม่มีเป้าหมายที่แน่นอนแต่ก็ตรงดิ่งไปทางกองทัพของอาเรน เมื่อนั้นฉันจึงรีบตัดสินใจในทันที
“รีบขึ้นมาเร็ว...” ฉันเสกจรวดกระดาษขึ้นมาในชั่วพริบตา เอเรียสกับโมโมะไม่รอช้ารีบปีนขึ้นไปทันที วินาทีถัดมาฉันก็นำจรวดกระดาษขึ้นบินด้วยความเร็วสูงอย่างไม่รอช้า
“จะให้รู้ไม่ได้ว่าฉันมาถึงที่นี่แล้ว” ฉันคิด ฉันบังคับให้จรวดบินขึ้นไปเหนือเมฆ ฉันไม่เคยพาตัวเองบินสูงขนาดนี้มาก่อนตอนนี้ไม่มีสิ่งใดที่อยู่เบื้องล่างสามารถมองเห็นพวกเราได้แล้ว และสิ่งที่จะสามารถนำทางฉันได้ในขณะนี้ก็มีเพียงหอคอยแพนดอร่าสีดำสนิทที่สูงเสียดฟ้าเพียงเท่านั้น
“ถึงยังไงเราก็ควรจะรอชินอยู่ดีนะ....เขาเป็นคนที่รู้แผนการรบดีที่สุด” เอเรียสอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นมา
“เขาจะต้องเข้าใจแล้วตามเรามาเองล่ะ ขืนรอล่ะก็...ไม่ทันการณ์แน่” ฉันตอบ
“ฉันเชื่อใจเธอนะ....แอนน์” โมโมะเอ่ยพร้อมพยักหน้า
“เฮ้อ....แบบนี้คงต้องเป็นไงเป็นกันแล้วน่ะสิ!” เอเรียสเอ่ยพลางดึงคันธนูออกมาเตรียมพร้อมไว้
“ขอบใจมากนะทุกคน...”
เอเรียสกับโมโมะหันมามองหน้ากัน “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไปกันเลย!”
ฉันพยักหน้าอีกครั้งขณะที่ใช้พลังบังคับให้จรวดกระดาษพุ่งตรงไปยังแพนดอร่าทันที
ชิน...ฉันจะรอเธอนะ ขอให้ทันเวลาด้วยเถอะ....
**********
“ชิน...ฉันดีใจจริงๆที่เห็นนายอีกครั้ง นายขี่ม้ามาไกลแต่ตอนนี้เราคงมีเวลาเหลือไม่มากนัก....” อาเรนเอ่ยพลางตบหลังเพื่อนรักอย่างรักใคร่
“ฉันเข้าใจดี...อย่าเสียเวลาเลย พวกเจ้าวางแผนอย่างไรก็รีบบอกฉันมาเถอะ” ชินน้ำมาดื่มอย่างกระหายขณะที่ก้าวขาเข้าไปในกระโจมอย่างว่องไว
“แอนน์สบายดีใช่ไหม?” อาเรนอดที่จะถามไม่ได้
“อืม...โชคดีจริงๆที่แอนน์กลับมาปกติเหมือนเดิมแล้ว การที่พาเธอไปที่โอเวอร์โซลเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว”
“หมายความว่าเศษกระจกพวกนั้น....”
“ใช่....พลังของที่นั้นชำระล้างเศษเศษกระจกให้ออกไปจากตัวแอนน์จนหมดแล้วล่ะ ตอนนี้เธอพร้อมสู้เต็มที่เชียวล่ะ”
“ฉันอยากไปพบเธอด้วยตนเองจริงๆ” อาเรนเอ่ย
“รีบคุยเรื่องสำคัญกันก่อนเถอะในตอนนี้...” ชินเอ่ยเตือนด้วยเสียงคร่ำเครียด
“อืม...”
เมื่อเจ้าชายทั้งสองก้าวเข้าไปภายในกระโขมก็เห็นบรรดาแม่ทัพยืนรออยู่แล้ว
“เจ้าชายชิน!”
ชินที่ยามนี้องอาจยิ่งกว่าครั้งไหนพยักหน้าให้กับทุกคนก่อนที่จะก้มลงมอแผนที่ตรงหน้าอย่างใคร่ครวญ
“พวกเราจะเริ่มแผนการพรุ่งนี้ทันทีที่ตะวันขึ้น ณ ขอบฟ้าสินะ”
“ครับ ในช่วงที่พระอาทิตย์ปรากฏให้เห็นจะเป็นช่วงเวลาที่พวกเราได้เปรียบมากที่สุด พวกเราเชื่อว่าการยกทัพครั้งนี้จะต้องดึงความสนใจของดาร์คอาเธอร์มาที่พวกเราได้อย่างแน่นอน...”
“อืม ระหว่างนั้นฉันกับผู้ถูกเลือกจะลอบเข้าไปภายในแพนดอร่าเอง เป้าหมายของเราก็คือหอคอยแพนดอร่าที่เจ้าดาร์คอาเธอร์ผู้ชั่วช้ามันแอบซ่อนตัวอยู่นั่นเอง!”
“ผู้ถูกเลือกทราบแผนการนี้เป็นอย่างดีแล้วใช่ไหมครับ?”
“แน่นอนเธอพร้อมสู้เต็มที่แล้ว ที่สำคัญตอนนี้เธอก็เดินทางมาถึงแล้วแต่กำลังซ่อนตัวอยู่เพื่อทำตามแผนการที่วางไว้ ขอให้ทุกคนวางใจ” เมื่อได้ยินชินเอ่ยออกมาเช่นนี้ทุกคนก็พากันพยักหน้าด้วยความพอใจ
“อย่างไรก็ตามนอกจากทัพหน้าแล้ว ยังมีกองทหารหน่วยเล็กแทรกซึมแพนดอร่าจากทางอื่นด้วยยิ่งดึงความสนใจออกไปได้หลายทางมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีมากเท่านั้น” อาเรนเอ่ยเสริมขึ้นมา
“ศึกครั้งนี้พวกเราจะต้องถล่มแพนดอร่าและลากคอของดาร์คอาเธอร์ออกมาให้ได้ สงครามระหว่างพ่อมดแม่มดและนักเวทย์จะต้องจบลงในวันพรุ่งนี้ เพื่อความสงบสุขของยูโทเปีย!” ชินตะโกนก้อง
“เฮ....!” บัดนั้นทุกคนที่เหลือภายในกระโจมก็ส่งเสียงโห่รับอย่างฮึกเหิม
“ฟิ้ว....บึ้ม!”
“เสียงอะไรน่ะ!” ชินกับอาเรนพูดขึ้นพร้อมกัน เมื่อทั้งสองพุ่งออกจากกระโจมในค่ายก็เห็นร่างสีดำจำนวนมากมุ่งมาที่ค่ายด้วยความเร็วสูงพร้อมกับปรากฏแสงของเปลวเพลิงปรากฏอยู่ใกล้ๆค่ายรบ
“ดาร์คอาเธอร์... มันใช้ภูตดำเข้าโจมตีเราซะแล้ว!” อาเรนพูดพร้อมกับชักดาบออกมา
“อะไรกัน....ฉันคิดว่ามันจะยังไม่กล้าบุกมาอีกจนกว่าจะถึงรุ่งสาง แบบนี้พวกเราคงรอให้ถึงสว่างไม่ไหวซะแล้ว.... ทุกคนข้าศึกบุกแล้ว เตรียมรับมือเร็วเข้า!” อาเรนตะโกนก้อง เมื่อนั้นภายในค่ายก็วุ่นวายไปหมด
“แอนน์!” ชินใจหายวาบ
เขารีบวิ่งตรงไปที่คอกม้าในทันทีก่อนจะกระโดดขึ้นขี่ม้าอย่างรวดเร็ว เขากำลังจะควบม้าออกไปแล้วแต่ฉับพลันเขาก็ชะงักกึกไป พลังเวทย์มหาศาลนี้ของใครกัน...พลังที่เต็มไปด้วยแสงสว่างแบบนี้ไม่ใช่ของดาร์คอาเธอร์แน่ๆ
ความรู้สึกนี้....แอนน์!
แต่ก่อนที่เขาจะทำอะไรต่อไปนั้นเอง เสียงของแอนน์ก็ดังก้องขึ้นในหัวของเขา
“ชิน...ฉันจะรอเธอนะ” ชินมองขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างไม่ตั้งใจดวงตาทั้งสองข้างของเขาเบิกกว้างไปด้วยความตกตะลึง
“ชิน! ทำไมนายยังไม่รีบกลับไป....” อาเรนซึ่งอยู่บนหลังม้าเช่นกันรีบบังคับม้ามาอยู่ใกล้ชินที่ตอนนี้เอาแต่เหม่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
“ไปแล้ว..”
“ว่าไงนะ?”
“แอนน์ไปยังแพนดอร่าแล้ว เธอไปเพราะรู้ว่าต้องไปในทันที ตามกำหนดการณ์เธอรู้ว่าถ้าไม่อาศัยจังหวะนี้แผนของเราคงไม่สำเร็จ” ชินตอบด้วยน้ำเสียงปกติดวงตายังคงจ้องมองไปยังท้องฟ้า
“แล้วนายละชิน? นายจะปล่อยให้แอนน์ไปเผชิญหน้ากับดาร์คอาเธอร์เพียงลำพังหรือยังไง?”
“เหตุการณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว อาเรน...” ชินละสายตาจากท้องฟ้าในที่สุดก่อนที่จะเอื้อมมือมาบีบไหล่ของอาเรนแน่น “นาทีนี้...สิ่งที่ฉันควรทำก็คือร่วมต่อสู้กับนาย”
“ชิน!” อาเรนแปลกใจระคนยินดี พอเขามองเห็นแววตาที่แน่วแน่ของชินก็พยักหน้ารับ “ถ้ามีเพื่อนที่รู้ใจอย่างนายเคียงข้างฉันยามรบแล้วล่ะก็... ชิน...ไม่มีอะไรที่จะทำให้ฉันรู้สึกยินดีไปมากกว่านี้แล้ว”
ชายหนุ่มทั้งสองคนชูดาบของตนขึ้นเหนือศีรษะ
“เพื่อยูโทเปีย!” ชินพูด
“เพื่อยูโทเปีย!” อาเรนกล่าวตาม
เมื่อนั้นเจ้าชายทั้งสองก็พลันควบม้าเข้าสู่สนามรบไปพร้อมๆกัน
**********
“นั้นอะไรน่ะ?” เอเรียสร้องขึ้นเมื่อทุกคนเข้าไปใกล้อาณาจักรมากขึ้น ฉันเองก็รู้สึกเหมือนเอเรียส... มีบางสิ่งบางอย่างปกป้องที่นี่อยู่ บางสิ่งบางอย่างที่ไม่ยอมให้ใครผ่านเข้าไปภายในอาณาจักร.... ม่านเวทย์มนต์
“โมโมะ... ฝากด้วยนะ” ฉันพูด
จิ้งจอกเก้าหางพยักหน้ารับทันที มันเร่งพลังขึ้นจนขนสีขาวยาวของมันตั้งชัน หางทั้งเก้าของมันชูขึ้นอย่างงามสง่า
“จะทำอะไรน่ะ!” เอเรียสถามขึ้นอย่างตกใจ เขายังตามฉันกับโมโมะไม่ทัน
“จับเอาไว้แน่นๆก็แล้วกัน เราจะฝ่าเข้าไปภายในคราวเดียวนี่ล่ะ” ฉันพูดพร้อมกับหมอบตัวลง เอเรียสรีบทำตามทันที
จรวดกระดาษยังคงพุ่งเข้าไปใกล้ม่านเวทย์มนต์นั้นทุกขณะโดยไม่ได้ลดความเร็วลงเลยแม้แต่น้อย ยิ่งเข้าไปใกล้ฉันก็ยิ่งรู้สึกถึงแรงต้านที่แผ่ออกมาจากม่านเวทย์มนต์นั้น กลิ่นอายของเวทย์มนต์นี้เหมือนฉันจะเคยปะทะมาก่อนแต่ฉันยังนึกไม่ออกว่าเป็นของใคร...... อย่างไรก็ตามฉันก็ยังคงเร่งความเร็วของจรวดกระดาษเพื่อต้านพลังนั้นขึ้นไปอีก
ขณะเดียวกันนั้นเองโมโมะก็อ้าปาก....เมื่อนั้นเปลวไฟปรากฏขึ้นกลางอากาศ ในไม้ช้าเปลวไฟนั้นก็มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ตอนนั้นเองที่ฉันสังเกตเห็นว่าตรงข้อเท้าของโมโมะที่ห้อยกำไลอัญมณีสีแดงอยู่นั้นกำลังเปล่งแสงออกมาเป็นจังหวะ
“ท่านแอนน์! เราจะชนอยู่แล้วนะ!” เอเรียสร้องขึ้นมาอย่างตระหนก
ชั่วจังหวะนั้นเองโมโมะก็ปล่อยเปลวเพลิงขนาดยักษ์ลูกนั้นออกไปปะทะกับม่านเวทย์ ฉันนำจรวดพุ่งไปตามวิถีของเปลวเพลิงที่ถูกยิงออกไปทันที
พริบตาถัดมาฉันก็รู้ว่ามันจะต้องสำเร็จ ม่านเวทย์มนต์เกิดความเสียหายกลายเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่ขึ้น ฉันนำจรวดบินทะลุเข้าไปภายในอาณาจักรทันที ดูเหมือนฉันจะพาทุกคนผ่านม่านเวทมนต์มาได้สำเร็จอย่างหวุดหวิด เพราะหลังจากนั้นม่านเวทย์มนต์ก็ซ่อมตัวเองอย่างรวดเร็ว เพียงชั่วไม่กี่อึดใจม่านเวทมนต์นั้นก็กลับมาเป็นดังเดิมซะแล้ว
เมื่อผ่านจุดที่อันตรายที่สุดมาได้....ฉันก็หันกลับไปมองที่ม่านเวทย์มนต์นั้นอย่างใคร่ครวญมากขึ้น ในที่สุดฉันก็จำความรู้สึกนี้ได้... ฉันจำได้แล้วว่ากลิ่นอายแบบนี้เป็นของใคร แต่ตอนนั้นฉันไม่เอ่ยปากพูดอะไรออกไป
“นึกว่าจะตายซะแล้ว” เอเรียสพูดขึ้นด้วยเสียงหอบๆ
ฉันกับโมโมะหันมามองหน้ากันแล้วแอบหัวเราะออกมาเบาๆ
แต่ดูเหมือนว่าพวกเราทั้งสามจะสบายใจกันไม่ได้นานเท่าไหร่นัก ทันใดนั้นเวทย์มนต์โจมตีก็ถูกยิงมาจากเบื้องล่าง มันพุ่งมาเร็วมากจนฉันบังคับจรวดให้หลบไปได้อย่างฉิวเฉียด
“อะไรน่ะ!” โมโมะร้อง ไม่ทันขาดคำก็มีพลังเวทย์ถูกยิงขึ้นมาอีก คราวนี้ไม่ได้มาทีละลูก แต่มาทีเกือบจะเต็มท้องฟ้าไปหมด ฉันต้องบังคับจรวดกระดาษให้หลบการโจมตีอย่างเต็มที่จนไม่สามารถตอบโต้อะไรได้เลย
“แย่แล้ว...” จู่ๆกลางอากาศเบื้องหน้าก็มีร่างสีดำจำนวนหนึ่งปรากฏขึ้น ฉันยังไม่ทันมองเห็นพวกมันได้ชัดพอที่จะระบุว่ามันคืออะไร...พวกมันก็พุ่งเข้ามาโจมตีจรวดกระดาษซะแล้ว ฉันไม่มีทางเลือกนอกจากรีบเสกดาบขึ้นมาแล้วฟันร่างสีดำพวกนั้นกลับทันที ชั่วพริบตาที่ฉันเสียสมาธิไปพลังเวทย์สายหนึ่งก็ถูกยิงมาโดนที่ส่วนปลายของจรวดกระดาษเอาไว้จนได้
“กรี๊ด!” ฉันอุทานขณะที่จรวดกระดาษเสียสมดุลจนเอียงไปอีกทางหนึ่ง ทำเอาเอเรียสและโมโมะแทบจะตกลงไปข้างล่าง
“พวกนั้นคือภูตดำนี่หน่า...” น้ำเสียงของเอเรียสเต็มไปด้วยความหนักใจ
“พวกมันมาทำอะไรที่นี่?” โมโมะร้อง
“ฝีมือดาร์คอาเธอร์แน่ๆ การลอบเข้ามาในแพนดอร่าของพวกเราล้มเหลวซะแล้วสิ เขารู้แล้วว่ามีผู้บุกรุก!” เอเรียส เอ่ย ตอนนี้เขาพยายามยิงธนูเวทย์ใส่ภูตดำพวกนั้นแต่ไม่ได้ผลมากนัก ฉันเองก็ยังคิดหาทางออกไม่เจอนอกพยายามควบคุมจรวดกระดาษที่กำลังเสียสมดุลให้ไปในทิศทางที่ต้องการด้วยความยากลำบาก
เหล่าภูตดำเองก็ยังคงบุกดจมตีอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดฉันก็พลาดจนได้......จรวดกระดาษถูกยิงอีกครั้ง ตอนนี้จรวดกระดาษเสียหายจนกระทั่งฉันบังคับให้มันบินอยู่ต่อไม่ได้อีกแล้ว ฉันใจหายวูบ....แต่ก็ต้องยิ่งตระหนกไปมากกว่านั้นเมื่อคราวนี้ภูตดำตนหนึ่งบุกเข้ามาประชิดตัวของฉันพร้อมกับผลักฉันตกจากจรวดกระดาษอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด โมโมะกับเอเรียสยิ่งไม่สามารถบินต่อไปได้ด้วยจรวดกระดาษโดยเฉพาะยิ่งไม่มีฉันอยู่ สุดท้ายทั้งสองก็พลอยตกลงมาด้วย
“โมโมะช่วยเอเรียสด้วย ไม่ต้องห่วงฉัน!” ฉันตะโกนขณะที่ยังคงยันร่างของภูตดำเอาไว้สุดแรง แรงของภ๔ตมากมายจนฉันแทบจะต้านไม่ไหว.....แต่อยู่ดีๆภูตดำก็ค่อยๆสลายไป
“อะไรกัน....” ฉันสงสัยแต่เข้าใจในทันเมื่อเห็นจี้ไวท์ลีฟส่องแสงออกมาวูบหนึ่งแล้วจึงจางไป ฉันยกมันขึ้นมาพิจารณาด้วยความขอบคุณ สติกลับมาอย่างรวดเร็วเมื่อเป็นอิสระฉันก็ไม่รอช้าที่จะเสกกระดาษให้กลายมาเป็นปีกให้ฉันทันที
โมโมะพ่นไฟลูกมหึมาออกมาอีกครั้งเพื่อโจมตีภูตดำที่พากันบินตามลงมา มันพุ่งเข้าไปรับเอเรียสมาไว้บนหลังได้สำเร็จ ในที่สุดฉันก็ลงมาถึงพื้นได้อย่างปลอดภัยก่อน ในขณะที่เอรียสเองก็ขี่โมโมะลงมาถึงพื้นอย่างปลอดภัยเช่นกัน เราทั้งสามไม่มีเวลาแม้แต่จะพูดคำใดต่อกันนอกจากรีบออกวิ่งไปในทันที นั่นก็เพราะทั้งฉัน โมโมะ และเอรียสต่างก็สัมผัสได้ว่าฝ่ายตรงข้ามจำนวนไม่น้อยกำลังมุ่งเข้ามาใกล้ พลังเวทย์ที่ถูกยิงขึ้นมาจากเบื้องล่างหมายความว่าจะต้องมีพ่อมดแม่มดบางส่วนประจำการอยู่ในเมืองเป็นแน่
พวกเราพากันหอบด้วยเหนื่อยจากการวิ่งเมื่อครู่จนมาลงเอยกันอยู่ในตรอกแห่งหนึ่งหลังจากที่พยายามหลบเลี่ยงพวกพ่อมดแม่มดที่พยายามตามหาพวกเราอยู่ ขณะนี้หอคอยแห่งแพนดอร่าอยู่ห่างออกไปไม่มากเท่าไหร่แล้ว
“ยิ่งเข้าใกล้หอคอยเท่าไหร่ พวกพ่อแม่มดก็ยิ่งเพิ่มจำนวนขึ้น.....” ฉันกระซิบ
“พวกมันรู้ว่าถึงอย่างไรเราก็ต้องเข้าไปในหอคอย” เอเรียสกระซิบตอบ
“เพราะดาร์คอาเธอร์ออกมาไม่ได้สินะ” โมโมะพึมพำ
“จุดอ่อนของเค้านี่ล่ะ....” ฉันพูด “สิ่งที่ต้องตอบแทนกับพลังมหาศาลที่ได้รับมายังไงล่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นเราคงต้องคิดแผนด่วนแล้วล่ะ” เอเรียสเสนอ
“ทำยังไงล่ะ เรามีอยู่กันแค่สามคนเอง” โมโมะเอ่ยเสียงอ่อย
“แค่สาม.... หืม ฉันพอจะมีแผนแล้วล่ะ” ฉันยิ้มกริ่ม ขณะที่เอเรียสกับโมโมะหันมามองฉันทันที นาทีถัดมาเราสามคนก็สุมหัววางแผนกันอย่างไม่รอช้า
“ตกลงตามนี้นะ” ฉันสรุปหลังจากอธิบายแผนที่ตนพึ่งคิดขึ้นสดๆจบ
“บอกตามตรงฉันไม่ค่อยเห็นด้วยกับแผนเท่าไหร่หรอกนะ แต่ตอนนี้คงไม่แผนอะไรที่ดีไปกว่านี้แล้วล่ะ” เอเรียสกล่าวก่อนจะพยักหน้าตกลง
“ฉันก็รู้สึกไม่ดีเลย ถ้าเกิดพลาดขึ้นมา...” โมโมะพูดขึ้นอย่างขวัญเสีย
“เราต้องทำได้สิ!” ฉันยืนยัน “ฉันรู้ว่าแผนนี้มันออกจะเสี่ยงไปหน่อย แต่กว่าที่พวกพ่อมดแม่มดจะรู้ตัวก็คงจะต้องใช้เวลามากพอดูล่ะ ขึ้นอยู่กับเอเรียสแล้วก็โมโมะนะ..ช่วยฉันหน่อยได้ไหม?”
“เอาไงเอากัน....” โมโมะเอ่ยในที่สุด
“งั้นลุยเลย!” ฉันพูด
“อื้ม!” ทั้งสองตอบรับ
หลังจากนั้นร่างเลียนแบบของฉัน โมโมะและเอเรียสรวมทั้งห้ากลุ่มก็ถูกสร้างขึ้นด้วยพลังของฉัน ฉันไม่ค่อยจะถนัดในการใช้พลังในแบบนี้นักจึงรู้สึกเหนื่อยไม่น้อย แต่คิดว่าคงจะพอไหว แผนของฉันคือการลอกเลียนแบบร่างของฉันและคนอื่นๆด้วยกระดาษของฉันนั่นเอง
“ไป!” ฉันกระซิบ ทันใดนั้นร่างที่ฉันเสกขึ้นแยกทางกันไปตามทิศทางที่ฉันกำหนดทันที หลังจากนั้นฉันจึงหันกลับมาเสกร่างปลอมให้กับโมโมะและเอเรียสอีกคนละหนึ่งร่าง
“ระวังตัวด้วยนะ...” เอเรียสเตือนฉันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะจากกัน
“แอนน์...” โมโมะร้องเรียก
“อย่าทำเสียงแบบนั้นสิ ไม่ต้องห่วงหรอก เชื่อฉันสิ”
“เข้าใจแล้ว โชคดีนะ”
“อืม...” แล้วโมโมะและเอเรียสกับร่างปลอมของฉันก็พุ่งหายไปในอีกทิศทางหนึ่งทันที
ยามนี้มีเพียงฉันเท่านั้นที่ยังคงนั่งซุ่มอยู่ในที่ซ่อนเดิม แน่นอนว่าฉันสามารถรับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของร่างปลอมที่ฉันเสกขึ้นได้ในทุกขณะ ท่าทางว่าแผนของฉันจะได้ผล...พวกพ่อมดแม่มดดูเหมือนจะโจมตีใส่พวกร่างปลอมอย่างรวดเร็วในทันทีที่พบเห็น
“กลุ่มแรกเสร็จไปแล้ว..” ฉันกระซิบพร้อมกับลุกยืนขึ้น ดึงผ้าคลุมขึ้นคลุมศีรษะ “ถึงเวลาที่ฉันเองก็ต้องออกไปบ้างซะแล้วสิ”
สำหรับตัวเองฉันใช้เพียงแต่ใช้พลังพรางตัวเพื่อไม่ใครสามารถมองเห็นฉันได้เท่านั้น เพื่อความรวดเร็วฉันจึงติดปีกให้ตัวเองด้วยกระดาษแล้วออกบินไปที่หอคอยแห่งแพนดอร่าในทันที ดูเหมือนทุกอย่างจะเป็นไปตามแผน แต่ตอนนี้ร่างปลอมถูกทำลายไปแล้วสามกลุ่มยังเหลืออีกสองกลุ่ม และร่างปลอมอีกร่างหนึ่งที่อยู่กับโมโมะและเอเรียส
พอเข้ามาใกล้มากขึ้นฉันก็รู้ดีว่าไม่สามารถบินขึ้นไปบนหอคอยได้ทันที....มีม่านเวทย์มนต์ป้องกันไว้อีกแล้ว ตอนแรกฉันกำลังคิดว่าจะลอบเข้าไปทางไหนอีกดี แต่แล้วฉันก็จับพลังของใครคนหนึ่งได้เสียก่อน....
“เฮ้อ...” ฉันถอนหายใจก่อนที่จะปลดปีกของตนออกรวมทั้งพลังพรางตัวก่อนจะก้าวเดินผ่านประตูเข้าไปในหอคอยอย่างไม่เกรงกลัว ใครคนหนึ่งยืนรอฉันอยู่อย่างเปิดเผยไปไม่น้อยกว่ากัน ในไม่ช้าฉันก็ได้ยืนเผชิญหน้ากับใครคนนั้นเข้าจนได้ คนที่ฉันเผชิญหน้าอยู่ในขณะนี้ไม่ผิดจากที่ฉันคาดเอาไว้เลย เดอะมิลเลอร์..... ฉันรู้ดีว่าฉันไม่อาจหลบรอดสายตาเขาไปได้ คงมีแต่ต้องเผชิญหน้ากันตรงๆเพียงเท่านั้น
“ฉันคิดแล้วว่ายังไงเธอก็คงจะมาที่นี่จนได้” เดอะมิลเลอร์กล่าว
“ยังต้องการหนังสืออีกหรือไง?” ฉันพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยจนตนเองยังต้องแปลกใจ
“ตอนนี้ไม่แล้วล่ะ หืม...ดูเหมือนเธอจะกำจัดเศษกระจกของฉันออกไปจนหมดเลยนี่”
“ใช่...” ฉันตอบ
“ดูเธอเปลี่ยนไปนะ....ไม่มีท่าทีลังเลเหลืออยู่อีกแล้วนี่หน่า เกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่?”
“ฉันไม่ใช่คนเดิมเหมือนคนที่นายเคยทำร้ายอีกต่อไปแล้ว”
“.....”
“ฉันนึกว่าหลังจากเหตุการณ์นั้นฉันคงจะต้องเกลียดนายมากๆ แต่ตอนนี้ฉันกลับไม่รู้สึกอย่างนั้น ตอนนี้ฉันรู้สึกสงสารนายมากกว่า”
เดอะมิลเลอร์เอาแต่จ้องฉันนิ่ง
“ฉันรู้สึกได้ว่าสิ่งที่เธอทำไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการจะทำจากใจของเธอเอง เธอกำลังถูกครอบงำอยู่ใช่ไหม...?”
“นี่...เธอ...”
“ไม่ว่านายจะเป็นใคร เดอะมิลเลอร์....นักเวทย์ผู้แปรพักตร์หรืออะไรก็ตามแต่ อะไรกันแน่คือสิ่งที่นายต้องการจริงๆลองใช้กระจกของนายส่องดูในสิ่งที่หัวใจของนายกำลังเรียกร้องอยู่สิ!” ฉันเอ่ย ขณะที่รู้สึกได้ว่ากลุ่มตัวปลอมสองกลุ่มที่เหลือถูกทำลายจนสิ้นแล้ว แสดงว่าตอนนี้เหลือแต่กลุ่มของโมโมะกับเอเรียสแล้วสินะ...
“หึหึ เธอดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคนไปจริงๆด้วย ดูเข้มแข็งและเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากจนน่าขนลุกเชียวล่ะ”
“ฉันเองก็ได้เรียนรู้อะไรจากหลายๆสิ่ง นายเองก็เป็นคนหนึ่งที่สอนฉันนะ”
“ได้คำตอบแล้วงั้นเรอะ...”
“ใช่...ฉันคิดว่าฉันได้คำตอบแล้ว” เดอะมิลเลอร์นิ่งเงียบไปจนไม่สามารถเดาความรู้สึกออก
“ตอนแรกฉันก็กะว่าจะมาเอาเศษกระจกที่เหลือออกให้เธอ แต่ตอนนี้คงไม่จำเป็นแล้วสินะ เธอคงมาหาดาร์คอาเธอร์ล่ะสิ....คนๆนั้นอยู่ที่ชั้นบนสุดน่ะ” มิลเลอร์ตอบออกมาอย่างง่ายดาย
“งั้นเหรอ....” ฉันยิ้มพร้อมกับก้าวเดินออกไปข้างหน้า
แต่ทว่าขณะที่ฉันเดินผ่านเดอะมิลเลอร์นั่นเอง ฉันก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เรื่องที่ฉันอยากถามผู้ชายคนนี้มานานแล้ว “นายมีชื่อไหม... คือ..ฉันไม่อยากเรียกใครว่าเดอะมิลเลอร์เลย อยากเรียกนายด้วยชื่อมากกว่า...”
“ซาเกียร์” เขาตอบอย่างแผ่วเบา
“ลาก่อน ซาเกียร์...” ฉันยิ้มพร้อมออกเดินต่อไป
“เราจะได้พบกันอีกไหม?” เขาหลุดปากถามออกไปโดยไม่รู้ตัว
ฉันชะงักเท้าแล้วจึงหันกลับมายิ้มให้ซาเกียร์อีกครั้ง ฉันทำได้เพียงเท่านี้เองแล้วฉันจึงออกวิ่งขึ้นบันไดไปสู่ชั้นบนสุดของหอคอยปล่อยให้ชายหนุ่มยืนอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง
เดอะมิลเลอร์ เขาจ้องมองแผ่นหลังของหญิงสาวที่วิ่งจากไป แล้วจึงยิ้มให้กับตัวเอง
“ถือว่านี่เป็นคำขอโทษแล้วกันนะ....แอนนา เบลล์” ชายหนุ่มปลดผนึกม่านเวทย์ที่เขาเสกเอาไว้ทั้งที่ครอบคลุมอาณาจักร และหอคอยแพนดอร่าแล้วจึงหายตัวไป
“ผมกำลังจะกลับไปหาท่านแล้วนะครับ เดอะเปเปอร์...” ซาเกียร์ส่งจิตออกไปหาใครคนหนึ่งขณะที่หลับตาลง
**********
ฉันออกวิ่งไปสุดฝีเท้า.....เวลาเหลือไม่มากแล้ว ตอนนี้โมโมะกับเอเรียสกำลังดึงความสนใจของพ่อมดแม่มดคนอื่นๆเอาไว้อย่างสุดความสามารถ ถ้าพวกพ่อมดแม่มดข้างนอกนั้นเจอโมโมะกับเอเรียสล่ะก็.... ถ้าทั้งสองคนเป็นอะไรไปล่ะก็ ฉันต้องไม่ให้อภัยตัวเองแน่ๆ
บันไดเวียนนั้นนำฉันมาถึงจุดหมายปลายทางในที่สุด ฉันหยุดวิ่งพลางมองไปรอบๆจึงรู้ว่าตนเองกำลังอยู่ในห้องโถงขนาดใหญ่ ห้องโถงนั้นมีกำแพงและเพดานที่สร้างขึ้นจากกระจกทั้งหมด กระจกพวกนั้นไม่ใช่กระจกธรรมดาแต่เป็นกระจกสีดำ ฉันมองไม่เห็นท้องฟ้าภายนอกแต่จากที่กะเวลาแล้วว่าตอนนี้ควรจะเป็นตอนใกล้รุ่งเช้าไม่ผิดแน่
สุดท้ายฉันก็มองไปยังอีกฟากหนึ่งของห้องโถง ตอนนั้นเองฉันก็ได้เห็น...พ่อมดผู้ชั่วร้ายที่เป็นตัวการของสงครามครั้งนี้ ดาร์คอาเธอร์นั่งนิ่งเป็นรูปปั้นอยู่บนเก้าอี้หรูหราของกษัตริย์ ดวงตาและผมของเขามีสีดำสนิทผิดธรรมชาติของยูโทเปียเช่นเดียวกันกับฉัน ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะยังดูหนุ่มแน่นขนาดนี้ ดูจากใบหน้าแล้วเขาน่าจะมีอายุราว 30 ปีเท่านั้น อย่างไรก็ตามเพียงแค่ฉันได้เห็นสีหน้าของเขา และแววตาที่เขามองมายังฉัน ฉันก็กลับรู้สึกขนลุกซู่ขึ้นทั้งตัวอย่างไม่มีสาเหตุ
“ผู้ถูกเลือก...” เสียงเขาฟังดูน่าสะพรึงกลัว
“ดาร์คอาเธอร์!” ฉันกระซิบ
ทันใดนั้นเขาก็ผุดลุกขึ้นยืนแล้วกระแทกไม้เท้าในมือลงกับพื้นอย่างแรง วินาทีนั้นกระจกทั้งหมดภายในห้องโถงนั้นแตกกระจายจนหมดทันที
**********
ปล. ลงไปลงมาเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าลงจนใกล้จะจบแล้ว (เฮ้ย...อะไรกัน! 5555+) ตอนนี้ยังมีคนตามอ่านอยู่ใช่ไหมน๊า...ขอบคุณมากๆนะที่ตามอ่านกันมาถึงขนาดนี้ แล้วพบกันใหม่บทหน้าจ้า...
ฉันก้าวออกมาจากโอเวอร์โซลทางอีกฟากหนึ่งได้ไม่เท่าไหร่ก็ตระหนักได้ว่าความอบอุ่นและความสบายใจได้จางหายไปหมดสิ้น เป็นความจริงที่ว่าเราพ้นจากการคุ้มครองจากเอสคาราสแล้วอย่างสิ้นเชิงแล้ว ไม่รู้ว่าฉันระแวงไปเองหรือเปล่า.....แต่ฉันรู้สึกเหมือนได้กลิ่นของเลือดล่องลอยมาตามสายลมอย่างไรไม่รู้
“ต่อจากนี้ไปพวกเราทุกคนคงต้องระวังตัวกันให้มากขึ้นแล้วล่ะ” ชินหันไปเตือนทุกคน
โมโมะยังคงสภาพอยู่ในร่างจริง
“ฉันคงต้องใช้เวลาอยู่นอกโอเวอร์โซลอีกพักหนึ่งแหละกว่าไอเวทย์บริสุทธิ์ที่อยู่ในตัวจะจางหายไป ช่วงนี้ฉันก็เลยต้องอยู่ในร่างจริงไปก่อนน่ะสิ”
“ไม่เป็นไร...ถึงจะพรางตัวไม่ได้ แต่ตอนนี้โมโมะก็พลังที่สำคัญอีกกำลังของพวกเราไปแล้วล่ะ” ชินเอ่ยพร้อมกับพยักหน้าให้จิ้งจอกเก้าหาง
อย่างไรก็ตามดูเหมือนเอเรียสจะกลับมามีใบหน้ากลับมาอ่อนเยาว์ดังเดิมแล้ว
ฉันลูบผมสีดำของตัวเองอย่างคิดถึงราวกับว่าฉันได้จากมันมานานแสนนาน ก่อนที่จะเดินทางออกจากโอเวอร์โซล ฉันขอให้องค์ราชินีช่วยปกปิดร่างจริงของฉันเอาไว้ ท่านจึงใช้พลังของเอสคาราสทำให้สีผมและสีตาของฉันกลับมาเป็นดังเดิม
“เมื่อเจ้าต้องการเช่นนั้น เอสคาราสก็จะมอบพลังนั้นเพื่อปกปิดเจ้า... แต่เจ้าต้องอย่าลืมตัวตนที่แท้จริงของตัวเจ้าเองซะล่ะ” เสียงของราชินีดังขึ้น เมื่อฉันหวนนึกไปถึงเหตุการณ์นั้น
พวกเราทุกคนในตอนนี้ต่างสวมเสื้อคลุมสีดำเพื่อที่จะได้ไม่เป็นที่สังเกตจนเกินไป แม้แต่โมโมะเองก็ต้องใช้ผ้าสีดำคลุมตัวเอาไว้เช่นกัน นี่ก็เป็นเวลาสามวันเต็มแล้วตั้งแต่ที่พวกเราเดินทางออกจากโอเวอร์โซล
“ต่อจากนี้ไป ถ้าไม่จำเป็นห้ามใช้เวทมนต์อีก” ชินประกาศขึ้น
“ตอนนี้ฉันกะประมาณว่าถ้าเราเดินทางกันไม่หยุดอีกราวๆครึ่งวันก็น่าจะถึงแพนดอร่าแล้วล่ะ เพราะฉะนั้นพวกเราคงต้องหยุดดูทีท่าของกองทัพกันตรงนี้ก่อน ถ้าเข้าไปใกล้เกินไปตอนนี้คงอันตรายน่าดู ส่วนคืนนี้ฉันจะลอบไปพบกับอาเรนที่ค่ายทหารเพื่อนัดหมายกำหนดการณ์ที่แน่นอนอีกครั้งหนึ่งเสียก่อน ระหว่างที่ฉันไม่อยู่นั้นอย่าใช้เวทมนต์โดยพร่ำเพรื่อล่ะ เพราะฉันกับอาเรนจะพาลคิดว่าเกิดอะไรขึ้น ยามนี้ทางฝั่งดาร์คอาเธอร์ก็คงพยายามจับพลังเวทย์แปลกปลอมอยู่เหมือนกัน ไม่ว่าจะทำอะไรก็ขอให้คิดให้รอบคอบก่อน เข้าใจกันนะทุกคน....” ทุกคนพยักหน้า ในขณะที่ฉันรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก
พลบค่ำวันนั้นฉันเดินออกมาส่งชินแต่เพียงลำพัง
“ชิน... ระวังตัวด้วยนะ” ฉันพูดด้วยเสียงเศร้าๆ
“อะไรกัน ฉันไปไม่นานหรอกหน่า อย่าทำหน้าเศร้าแบบนั้นสิ แอนน์มีอะไรหรือเปล่า...?” ชินถามด้วยความสงสัย
“ไม่มีหรอก....” ฉันโกหก
“ชินไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ชินก็จะไม่ลืมฉันใช่ไหม ในฐานะเพื่อนคนหนึ่ง....” ฉันเอ่ยประโยคหลังออกมาอย่างแผ่วเบา
“ใครจะไปลืมเธอลงได้กันละ พูดอะไรแปลกๆ...พูดยังกับจะไม่ได้เจอกันอีกแล้วงั้นแหละ...”
“เปล่าสักหน่อย รีบไปเถอะ อาเรนคงคอยอยู่แล้วล่ะ”
ชินปีนขึ้นไปบนหลังม้า
“นี่...” ก่อนจากไปชินหันมามองที่ฉันอีกครั้ง “อย่าลืมนะ ว่าฉันจะเป็นคนปกป้องเธอเอง”
“อืม” ฉันพยักหน้าพร้อมกับยิ้มให้ในขณะที่ชินควบม้าจากไปในยามราตรี วินาทีนั้นฉันได้แต่ยืนนิ่งน้ำตาไหลออกมาเงียบๆ ฉันหวังเอาไว้ลึกว่าคำทำนายที่ฉันฝันถึงจะไม่เป็นจริง แต่ดูเหมือนจะเลี่ยงไม่ได้ซะแล้ว
ถ้าความฝันนั้นเป็นจริง......นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉัน......
“เข้มแข็งหน่อยสิ..ตัวฉัน!” ฉันใช้เวลาเช็ดน้ำตาออกไปเพียงไม่นาน ก่อนจะปรับอารมณ์ตนเองแล้วเดินเข้าไปรวมกลุ่มกับโมโมะและเอรียสที่อยู่ห่างออกไม่มากนัก
พื้นดินแถบนี้ดูไร้ชีวิตชีวาแปลกๆ ทั้งๆที่มีต้นไม้ขึ้นอยู่ทั่วไปแต่กลับไม่รู้สึกถึงความเป็นป่าเลยแม้แต่น้อย พวกเรานั่งลงพักอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง จากตรงนั้นเมื่อฉันมองตรงไปยังทิศทางที่อาณาจักรแพนดอร่าตั้งอยู่ก็เห็นหอคอยสูงเสียดฟ้าหอหนึ่งตั้งเด่นห่างออกไป
“นั้นหอคอยอะไรน่ะ?” ฉันถามเอเรียสที่กำลังจับจ้องหอคอยนั้นอยู่เช่นกัน
“หอคอยแห่งแพนดอร่า เป็นหอคอยที่เกือบจะสูงที่สุดในยูโทเปีย ที่นั้นคือใจกลางของอาณาจักรแพนดอร่า ดาร์คอาเธอร์ตอนนี้ก็คงจะอยู่ที่นั่นนะแหละ”
“ทำไมดาร์คอาเธอร์ถึงไม่เคยออกจากนอกหอคอยนั้นเลยน๊า....” โมโมะพูดขึ้น
“ก็เพราะศาสตร์มืดยังไงล่ะ....” เอเรียสตอบ
“ศาสตร์มืด...?” ฉันถามด้วยความสงสัย
“ผู้ที่ถูกศาสตร์มืดครอบงำจิตใจทั้งหมดจะมีพลังมหาศาลจนไม่มีผู้ต้านทานก็จริง แต่ก็จะไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ใต้แสงสว่างได้อีกต่อไป”
“หมายความว่า....”
“ใช่แล้วล่ะ...ดาร์คอาเธอร์ไม่สามารถดำรงชีวิตภายใต้แสงสว่างของดวงอาทิตย์ได้ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยเขาจึงขังตัวเองไว้ในหอคอยชั่วร้ายนั่นยังไงล่ะ”
“ถ้าต้องแบบนั้น....ต้องขังตัวเองไว้ในความมืดแบบนั้นได้พลังมาแล้วจะมีประโยชน์อันใดกัน ทำไมเขาถึงคิดทำอะไรชั่วร้ายขนาดนี้ได้นะ...” ฉันรำพึงขึ้นมา ซึ่งเอเรียสก็ไม่ได้เอ่ยตอบคำใด
คืนนั้นทั้งฉัน โมโมะ และเอเรียสต่างเอนตัวพิงกับรากไม้แล้วงีบหลับไปทั้งๆอย่างนั้น ชินบอกว่าจะรีบนัดแนะกับอาเรนและกลับมาที่นี่ก่อนสว่าง แต่ทว่าในกลางดึกนั่นเองเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
ฉันรู้สึกตัวเป็นคนแรกเพราะรอรับสถานการณ์เอาไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว
“ค่ำคืนนี้ดูท่าจะยาวนานซะแล้วสิ....เอเรียส โมโมะรีบตื่นเถอะ!” ฉันพูดพร้อมกับลุกยืนขึ้นพร้อมกับรีบวิ่งเข้าไปดับกองไฟ
“ว่าไงนะ!” เอเรียสหันมาจ้องฉันเขม็ง
“โมโมะ เอเรียส เตรียมตัวเร็วเข้า! ท่าทางดาร์คอาเธอร์จะชิงลงมือก่อนซะแล้วล่ะ เวลาที่กองทัพของทั้งสองฝ่ายต้องปะทะกันคงมาถึงเร็วกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ สงสัยว่าพวกเราคงจะรอชินไม่ได้แล้วล่ะ...”
“เป็นไปได้ยังไง....ดาร์คอาเธอร์รู้แผนการณ์ของเราเข้าซะแล้วอย่างนั้นเหรอ?”
“ไม่หรอก...ดาร์คอาเธอร์คงไม่คิดว่าฉันที่เป็นผู้ถูกเลือกจะกล้าเอาตัวเองเข้าเสี่ยงแบบนี้หรอก เพราะอย่างนั้นเวลานี้แหละเหมาะที่สุดที่จะลอบเข้าไปในแพนดอร่า....ดาร์คอาเธอร์จะต้องคาดไม่ถึงอย่างแน่นอน” ฉันเอ่ยออกมาอย่างหนักแน่น
“เอ๊ะ....แล้วชินล่ะ?”
“เขากลับมาไม่ทันหรอก....พวกเราคงต้องลุยกันเองซะแล้วล่ะ”
“แต่ว่า...” โมโมะทำท่าจะทักท้วง
“ถ้าไม่ฉวยโอกาสนี้ไว้....แผนที่ทุกคนวางไว้อาจจะต้องพังทลายก็ได้นะ เราต้องลงมือเดี๋ยวนี้...”
เอเรียสและโมโมะไม่ถามว่าฉันมั่นใจขนาดนั้นได้อย่างไร แต่สุดท้ายทั้งสองลุกขึ้นยืนเตรียมพร้อมต่อสู้ทันที
ทันใดนั้นร่างสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งออกมาจากแพนดอร่า ดูเหมือนพวกมันจะยังไม่มีเป้าหมายที่แน่นอนแต่ก็ตรงดิ่งไปทางกองทัพของอาเรน เมื่อนั้นฉันจึงรีบตัดสินใจในทันที
“รีบขึ้นมาเร็ว...” ฉันเสกจรวดกระดาษขึ้นมาในชั่วพริบตา เอเรียสกับโมโมะไม่รอช้ารีบปีนขึ้นไปทันที วินาทีถัดมาฉันก็นำจรวดกระดาษขึ้นบินด้วยความเร็วสูงอย่างไม่รอช้า
“จะให้รู้ไม่ได้ว่าฉันมาถึงที่นี่แล้ว” ฉันคิด ฉันบังคับให้จรวดบินขึ้นไปเหนือเมฆ ฉันไม่เคยพาตัวเองบินสูงขนาดนี้มาก่อนตอนนี้ไม่มีสิ่งใดที่อยู่เบื้องล่างสามารถมองเห็นพวกเราได้แล้ว และสิ่งที่จะสามารถนำทางฉันได้ในขณะนี้ก็มีเพียงหอคอยแพนดอร่าสีดำสนิทที่สูงเสียดฟ้าเพียงเท่านั้น
“ถึงยังไงเราก็ควรจะรอชินอยู่ดีนะ....เขาเป็นคนที่รู้แผนการรบดีที่สุด” เอเรียสอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นมา
“เขาจะต้องเข้าใจแล้วตามเรามาเองล่ะ ขืนรอล่ะก็...ไม่ทันการณ์แน่” ฉันตอบ
“ฉันเชื่อใจเธอนะ....แอนน์” โมโมะเอ่ยพร้อมพยักหน้า
“เฮ้อ....แบบนี้คงต้องเป็นไงเป็นกันแล้วน่ะสิ!” เอเรียสเอ่ยพลางดึงคันธนูออกมาเตรียมพร้อมไว้
“ขอบใจมากนะทุกคน...”
เอเรียสกับโมโมะหันมามองหน้ากัน “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไปกันเลย!”
ฉันพยักหน้าอีกครั้งขณะที่ใช้พลังบังคับให้จรวดกระดาษพุ่งตรงไปยังแพนดอร่าทันที
ชิน...ฉันจะรอเธอนะ ขอให้ทันเวลาด้วยเถอะ....
**********
“ชิน...ฉันดีใจจริงๆที่เห็นนายอีกครั้ง นายขี่ม้ามาไกลแต่ตอนนี้เราคงมีเวลาเหลือไม่มากนัก....” อาเรนเอ่ยพลางตบหลังเพื่อนรักอย่างรักใคร่
“ฉันเข้าใจดี...อย่าเสียเวลาเลย พวกเจ้าวางแผนอย่างไรก็รีบบอกฉันมาเถอะ” ชินน้ำมาดื่มอย่างกระหายขณะที่ก้าวขาเข้าไปในกระโจมอย่างว่องไว
“แอนน์สบายดีใช่ไหม?” อาเรนอดที่จะถามไม่ได้
“อืม...โชคดีจริงๆที่แอนน์กลับมาปกติเหมือนเดิมแล้ว การที่พาเธอไปที่โอเวอร์โซลเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว”
“หมายความว่าเศษกระจกพวกนั้น....”
“ใช่....พลังของที่นั้นชำระล้างเศษเศษกระจกให้ออกไปจากตัวแอนน์จนหมดแล้วล่ะ ตอนนี้เธอพร้อมสู้เต็มที่เชียวล่ะ”
“ฉันอยากไปพบเธอด้วยตนเองจริงๆ” อาเรนเอ่ย
“รีบคุยเรื่องสำคัญกันก่อนเถอะในตอนนี้...” ชินเอ่ยเตือนด้วยเสียงคร่ำเครียด
“อืม...”
เมื่อเจ้าชายทั้งสองก้าวเข้าไปภายในกระโขมก็เห็นบรรดาแม่ทัพยืนรออยู่แล้ว
“เจ้าชายชิน!”
ชินที่ยามนี้องอาจยิ่งกว่าครั้งไหนพยักหน้าให้กับทุกคนก่อนที่จะก้มลงมอแผนที่ตรงหน้าอย่างใคร่ครวญ
“พวกเราจะเริ่มแผนการพรุ่งนี้ทันทีที่ตะวันขึ้น ณ ขอบฟ้าสินะ”
“ครับ ในช่วงที่พระอาทิตย์ปรากฏให้เห็นจะเป็นช่วงเวลาที่พวกเราได้เปรียบมากที่สุด พวกเราเชื่อว่าการยกทัพครั้งนี้จะต้องดึงความสนใจของดาร์คอาเธอร์มาที่พวกเราได้อย่างแน่นอน...”
“อืม ระหว่างนั้นฉันกับผู้ถูกเลือกจะลอบเข้าไปภายในแพนดอร่าเอง เป้าหมายของเราก็คือหอคอยแพนดอร่าที่เจ้าดาร์คอาเธอร์ผู้ชั่วช้ามันแอบซ่อนตัวอยู่นั่นเอง!”
“ผู้ถูกเลือกทราบแผนการนี้เป็นอย่างดีแล้วใช่ไหมครับ?”
“แน่นอนเธอพร้อมสู้เต็มที่แล้ว ที่สำคัญตอนนี้เธอก็เดินทางมาถึงแล้วแต่กำลังซ่อนตัวอยู่เพื่อทำตามแผนการที่วางไว้ ขอให้ทุกคนวางใจ” เมื่อได้ยินชินเอ่ยออกมาเช่นนี้ทุกคนก็พากันพยักหน้าด้วยความพอใจ
“อย่างไรก็ตามนอกจากทัพหน้าแล้ว ยังมีกองทหารหน่วยเล็กแทรกซึมแพนดอร่าจากทางอื่นด้วยยิ่งดึงความสนใจออกไปได้หลายทางมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีมากเท่านั้น” อาเรนเอ่ยเสริมขึ้นมา
“ศึกครั้งนี้พวกเราจะต้องถล่มแพนดอร่าและลากคอของดาร์คอาเธอร์ออกมาให้ได้ สงครามระหว่างพ่อมดแม่มดและนักเวทย์จะต้องจบลงในวันพรุ่งนี้ เพื่อความสงบสุขของยูโทเปีย!” ชินตะโกนก้อง
“เฮ....!” บัดนั้นทุกคนที่เหลือภายในกระโจมก็ส่งเสียงโห่รับอย่างฮึกเหิม
“ฟิ้ว....บึ้ม!”
“เสียงอะไรน่ะ!” ชินกับอาเรนพูดขึ้นพร้อมกัน เมื่อทั้งสองพุ่งออกจากกระโจมในค่ายก็เห็นร่างสีดำจำนวนมากมุ่งมาที่ค่ายด้วยความเร็วสูงพร้อมกับปรากฏแสงของเปลวเพลิงปรากฏอยู่ใกล้ๆค่ายรบ
“ดาร์คอาเธอร์... มันใช้ภูตดำเข้าโจมตีเราซะแล้ว!” อาเรนพูดพร้อมกับชักดาบออกมา
“อะไรกัน....ฉันคิดว่ามันจะยังไม่กล้าบุกมาอีกจนกว่าจะถึงรุ่งสาง แบบนี้พวกเราคงรอให้ถึงสว่างไม่ไหวซะแล้ว.... ทุกคนข้าศึกบุกแล้ว เตรียมรับมือเร็วเข้า!” อาเรนตะโกนก้อง เมื่อนั้นภายในค่ายก็วุ่นวายไปหมด
“แอนน์!” ชินใจหายวาบ
เขารีบวิ่งตรงไปที่คอกม้าในทันทีก่อนจะกระโดดขึ้นขี่ม้าอย่างรวดเร็ว เขากำลังจะควบม้าออกไปแล้วแต่ฉับพลันเขาก็ชะงักกึกไป พลังเวทย์มหาศาลนี้ของใครกัน...พลังที่เต็มไปด้วยแสงสว่างแบบนี้ไม่ใช่ของดาร์คอาเธอร์แน่ๆ
ความรู้สึกนี้....แอนน์!
แต่ก่อนที่เขาจะทำอะไรต่อไปนั้นเอง เสียงของแอนน์ก็ดังก้องขึ้นในหัวของเขา
“ชิน...ฉันจะรอเธอนะ” ชินมองขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างไม่ตั้งใจดวงตาทั้งสองข้างของเขาเบิกกว้างไปด้วยความตกตะลึง
“ชิน! ทำไมนายยังไม่รีบกลับไป....” อาเรนซึ่งอยู่บนหลังม้าเช่นกันรีบบังคับม้ามาอยู่ใกล้ชินที่ตอนนี้เอาแต่เหม่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
“ไปแล้ว..”
“ว่าไงนะ?”
“แอนน์ไปยังแพนดอร่าแล้ว เธอไปเพราะรู้ว่าต้องไปในทันที ตามกำหนดการณ์เธอรู้ว่าถ้าไม่อาศัยจังหวะนี้แผนของเราคงไม่สำเร็จ” ชินตอบด้วยน้ำเสียงปกติดวงตายังคงจ้องมองไปยังท้องฟ้า
“แล้วนายละชิน? นายจะปล่อยให้แอนน์ไปเผชิญหน้ากับดาร์คอาเธอร์เพียงลำพังหรือยังไง?”
“เหตุการณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว อาเรน...” ชินละสายตาจากท้องฟ้าในที่สุดก่อนที่จะเอื้อมมือมาบีบไหล่ของอาเรนแน่น “นาทีนี้...สิ่งที่ฉันควรทำก็คือร่วมต่อสู้กับนาย”
“ชิน!” อาเรนแปลกใจระคนยินดี พอเขามองเห็นแววตาที่แน่วแน่ของชินก็พยักหน้ารับ “ถ้ามีเพื่อนที่รู้ใจอย่างนายเคียงข้างฉันยามรบแล้วล่ะก็... ชิน...ไม่มีอะไรที่จะทำให้ฉันรู้สึกยินดีไปมากกว่านี้แล้ว”
ชายหนุ่มทั้งสองคนชูดาบของตนขึ้นเหนือศีรษะ
“เพื่อยูโทเปีย!” ชินพูด
“เพื่อยูโทเปีย!” อาเรนกล่าวตาม
เมื่อนั้นเจ้าชายทั้งสองก็พลันควบม้าเข้าสู่สนามรบไปพร้อมๆกัน
**********
“นั้นอะไรน่ะ?” เอเรียสร้องขึ้นเมื่อทุกคนเข้าไปใกล้อาณาจักรมากขึ้น ฉันเองก็รู้สึกเหมือนเอเรียส... มีบางสิ่งบางอย่างปกป้องที่นี่อยู่ บางสิ่งบางอย่างที่ไม่ยอมให้ใครผ่านเข้าไปภายในอาณาจักร.... ม่านเวทย์มนต์
“โมโมะ... ฝากด้วยนะ” ฉันพูด
จิ้งจอกเก้าหางพยักหน้ารับทันที มันเร่งพลังขึ้นจนขนสีขาวยาวของมันตั้งชัน หางทั้งเก้าของมันชูขึ้นอย่างงามสง่า
“จะทำอะไรน่ะ!” เอเรียสถามขึ้นอย่างตกใจ เขายังตามฉันกับโมโมะไม่ทัน
“จับเอาไว้แน่นๆก็แล้วกัน เราจะฝ่าเข้าไปภายในคราวเดียวนี่ล่ะ” ฉันพูดพร้อมกับหมอบตัวลง เอเรียสรีบทำตามทันที
จรวดกระดาษยังคงพุ่งเข้าไปใกล้ม่านเวทย์มนต์นั้นทุกขณะโดยไม่ได้ลดความเร็วลงเลยแม้แต่น้อย ยิ่งเข้าไปใกล้ฉันก็ยิ่งรู้สึกถึงแรงต้านที่แผ่ออกมาจากม่านเวทย์มนต์นั้น กลิ่นอายของเวทย์มนต์นี้เหมือนฉันจะเคยปะทะมาก่อนแต่ฉันยังนึกไม่ออกว่าเป็นของใคร...... อย่างไรก็ตามฉันก็ยังคงเร่งความเร็วของจรวดกระดาษเพื่อต้านพลังนั้นขึ้นไปอีก
ขณะเดียวกันนั้นเองโมโมะก็อ้าปาก....เมื่อนั้นเปลวไฟปรากฏขึ้นกลางอากาศ ในไม้ช้าเปลวไฟนั้นก็มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ตอนนั้นเองที่ฉันสังเกตเห็นว่าตรงข้อเท้าของโมโมะที่ห้อยกำไลอัญมณีสีแดงอยู่นั้นกำลังเปล่งแสงออกมาเป็นจังหวะ
“ท่านแอนน์! เราจะชนอยู่แล้วนะ!” เอเรียสร้องขึ้นมาอย่างตระหนก
ชั่วจังหวะนั้นเองโมโมะก็ปล่อยเปลวเพลิงขนาดยักษ์ลูกนั้นออกไปปะทะกับม่านเวทย์ ฉันนำจรวดพุ่งไปตามวิถีของเปลวเพลิงที่ถูกยิงออกไปทันที
พริบตาถัดมาฉันก็รู้ว่ามันจะต้องสำเร็จ ม่านเวทย์มนต์เกิดความเสียหายกลายเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่ขึ้น ฉันนำจรวดบินทะลุเข้าไปภายในอาณาจักรทันที ดูเหมือนฉันจะพาทุกคนผ่านม่านเวทมนต์มาได้สำเร็จอย่างหวุดหวิด เพราะหลังจากนั้นม่านเวทย์มนต์ก็ซ่อมตัวเองอย่างรวดเร็ว เพียงชั่วไม่กี่อึดใจม่านเวทมนต์นั้นก็กลับมาเป็นดังเดิมซะแล้ว
เมื่อผ่านจุดที่อันตรายที่สุดมาได้....ฉันก็หันกลับไปมองที่ม่านเวทย์มนต์นั้นอย่างใคร่ครวญมากขึ้น ในที่สุดฉันก็จำความรู้สึกนี้ได้... ฉันจำได้แล้วว่ากลิ่นอายแบบนี้เป็นของใคร แต่ตอนนั้นฉันไม่เอ่ยปากพูดอะไรออกไป
“นึกว่าจะตายซะแล้ว” เอเรียสพูดขึ้นด้วยเสียงหอบๆ
ฉันกับโมโมะหันมามองหน้ากันแล้วแอบหัวเราะออกมาเบาๆ
แต่ดูเหมือนว่าพวกเราทั้งสามจะสบายใจกันไม่ได้นานเท่าไหร่นัก ทันใดนั้นเวทย์มนต์โจมตีก็ถูกยิงมาจากเบื้องล่าง มันพุ่งมาเร็วมากจนฉันบังคับจรวดให้หลบไปได้อย่างฉิวเฉียด
“อะไรน่ะ!” โมโมะร้อง ไม่ทันขาดคำก็มีพลังเวทย์ถูกยิงขึ้นมาอีก คราวนี้ไม่ได้มาทีละลูก แต่มาทีเกือบจะเต็มท้องฟ้าไปหมด ฉันต้องบังคับจรวดกระดาษให้หลบการโจมตีอย่างเต็มที่จนไม่สามารถตอบโต้อะไรได้เลย
“แย่แล้ว...” จู่ๆกลางอากาศเบื้องหน้าก็มีร่างสีดำจำนวนหนึ่งปรากฏขึ้น ฉันยังไม่ทันมองเห็นพวกมันได้ชัดพอที่จะระบุว่ามันคืออะไร...พวกมันก็พุ่งเข้ามาโจมตีจรวดกระดาษซะแล้ว ฉันไม่มีทางเลือกนอกจากรีบเสกดาบขึ้นมาแล้วฟันร่างสีดำพวกนั้นกลับทันที ชั่วพริบตาที่ฉันเสียสมาธิไปพลังเวทย์สายหนึ่งก็ถูกยิงมาโดนที่ส่วนปลายของจรวดกระดาษเอาไว้จนได้
“กรี๊ด!” ฉันอุทานขณะที่จรวดกระดาษเสียสมดุลจนเอียงไปอีกทางหนึ่ง ทำเอาเอเรียสและโมโมะแทบจะตกลงไปข้างล่าง
“พวกนั้นคือภูตดำนี่หน่า...” น้ำเสียงของเอเรียสเต็มไปด้วยความหนักใจ
“พวกมันมาทำอะไรที่นี่?” โมโมะร้อง
“ฝีมือดาร์คอาเธอร์แน่ๆ การลอบเข้ามาในแพนดอร่าของพวกเราล้มเหลวซะแล้วสิ เขารู้แล้วว่ามีผู้บุกรุก!” เอเรียส เอ่ย ตอนนี้เขาพยายามยิงธนูเวทย์ใส่ภูตดำพวกนั้นแต่ไม่ได้ผลมากนัก ฉันเองก็ยังคิดหาทางออกไม่เจอนอกพยายามควบคุมจรวดกระดาษที่กำลังเสียสมดุลให้ไปในทิศทางที่ต้องการด้วยความยากลำบาก
เหล่าภูตดำเองก็ยังคงบุกดจมตีอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดฉันก็พลาดจนได้......จรวดกระดาษถูกยิงอีกครั้ง ตอนนี้จรวดกระดาษเสียหายจนกระทั่งฉันบังคับให้มันบินอยู่ต่อไม่ได้อีกแล้ว ฉันใจหายวูบ....แต่ก็ต้องยิ่งตระหนกไปมากกว่านั้นเมื่อคราวนี้ภูตดำตนหนึ่งบุกเข้ามาประชิดตัวของฉันพร้อมกับผลักฉันตกจากจรวดกระดาษอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด โมโมะกับเอเรียสยิ่งไม่สามารถบินต่อไปได้ด้วยจรวดกระดาษโดยเฉพาะยิ่งไม่มีฉันอยู่ สุดท้ายทั้งสองก็พลอยตกลงมาด้วย
“โมโมะช่วยเอเรียสด้วย ไม่ต้องห่วงฉัน!” ฉันตะโกนขณะที่ยังคงยันร่างของภูตดำเอาไว้สุดแรง แรงของภ๔ตมากมายจนฉันแทบจะต้านไม่ไหว.....แต่อยู่ดีๆภูตดำก็ค่อยๆสลายไป
“อะไรกัน....” ฉันสงสัยแต่เข้าใจในทันเมื่อเห็นจี้ไวท์ลีฟส่องแสงออกมาวูบหนึ่งแล้วจึงจางไป ฉันยกมันขึ้นมาพิจารณาด้วยความขอบคุณ สติกลับมาอย่างรวดเร็วเมื่อเป็นอิสระฉันก็ไม่รอช้าที่จะเสกกระดาษให้กลายมาเป็นปีกให้ฉันทันที
โมโมะพ่นไฟลูกมหึมาออกมาอีกครั้งเพื่อโจมตีภูตดำที่พากันบินตามลงมา มันพุ่งเข้าไปรับเอเรียสมาไว้บนหลังได้สำเร็จ ในที่สุดฉันก็ลงมาถึงพื้นได้อย่างปลอดภัยก่อน ในขณะที่เอรียสเองก็ขี่โมโมะลงมาถึงพื้นอย่างปลอดภัยเช่นกัน เราทั้งสามไม่มีเวลาแม้แต่จะพูดคำใดต่อกันนอกจากรีบออกวิ่งไปในทันที นั่นก็เพราะทั้งฉัน โมโมะ และเอรียสต่างก็สัมผัสได้ว่าฝ่ายตรงข้ามจำนวนไม่น้อยกำลังมุ่งเข้ามาใกล้ พลังเวทย์ที่ถูกยิงขึ้นมาจากเบื้องล่างหมายความว่าจะต้องมีพ่อมดแม่มดบางส่วนประจำการอยู่ในเมืองเป็นแน่
พวกเราพากันหอบด้วยเหนื่อยจากการวิ่งเมื่อครู่จนมาลงเอยกันอยู่ในตรอกแห่งหนึ่งหลังจากที่พยายามหลบเลี่ยงพวกพ่อมดแม่มดที่พยายามตามหาพวกเราอยู่ ขณะนี้หอคอยแห่งแพนดอร่าอยู่ห่างออกไปไม่มากเท่าไหร่แล้ว
“ยิ่งเข้าใกล้หอคอยเท่าไหร่ พวกพ่อแม่มดก็ยิ่งเพิ่มจำนวนขึ้น.....” ฉันกระซิบ
“พวกมันรู้ว่าถึงอย่างไรเราก็ต้องเข้าไปในหอคอย” เอเรียสกระซิบตอบ
“เพราะดาร์คอาเธอร์ออกมาไม่ได้สินะ” โมโมะพึมพำ
“จุดอ่อนของเค้านี่ล่ะ....” ฉันพูด “สิ่งที่ต้องตอบแทนกับพลังมหาศาลที่ได้รับมายังไงล่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นเราคงต้องคิดแผนด่วนแล้วล่ะ” เอเรียสเสนอ
“ทำยังไงล่ะ เรามีอยู่กันแค่สามคนเอง” โมโมะเอ่ยเสียงอ่อย
“แค่สาม.... หืม ฉันพอจะมีแผนแล้วล่ะ” ฉันยิ้มกริ่ม ขณะที่เอเรียสกับโมโมะหันมามองฉันทันที นาทีถัดมาเราสามคนก็สุมหัววางแผนกันอย่างไม่รอช้า
“ตกลงตามนี้นะ” ฉันสรุปหลังจากอธิบายแผนที่ตนพึ่งคิดขึ้นสดๆจบ
“บอกตามตรงฉันไม่ค่อยเห็นด้วยกับแผนเท่าไหร่หรอกนะ แต่ตอนนี้คงไม่แผนอะไรที่ดีไปกว่านี้แล้วล่ะ” เอเรียสกล่าวก่อนจะพยักหน้าตกลง
“ฉันก็รู้สึกไม่ดีเลย ถ้าเกิดพลาดขึ้นมา...” โมโมะพูดขึ้นอย่างขวัญเสีย
“เราต้องทำได้สิ!” ฉันยืนยัน “ฉันรู้ว่าแผนนี้มันออกจะเสี่ยงไปหน่อย แต่กว่าที่พวกพ่อมดแม่มดจะรู้ตัวก็คงจะต้องใช้เวลามากพอดูล่ะ ขึ้นอยู่กับเอเรียสแล้วก็โมโมะนะ..ช่วยฉันหน่อยได้ไหม?”
“เอาไงเอากัน....” โมโมะเอ่ยในที่สุด
“งั้นลุยเลย!” ฉันพูด
“อื้ม!” ทั้งสองตอบรับ
หลังจากนั้นร่างเลียนแบบของฉัน โมโมะและเอเรียสรวมทั้งห้ากลุ่มก็ถูกสร้างขึ้นด้วยพลังของฉัน ฉันไม่ค่อยจะถนัดในการใช้พลังในแบบนี้นักจึงรู้สึกเหนื่อยไม่น้อย แต่คิดว่าคงจะพอไหว แผนของฉันคือการลอกเลียนแบบร่างของฉันและคนอื่นๆด้วยกระดาษของฉันนั่นเอง
“ไป!” ฉันกระซิบ ทันใดนั้นร่างที่ฉันเสกขึ้นแยกทางกันไปตามทิศทางที่ฉันกำหนดทันที หลังจากนั้นฉันจึงหันกลับมาเสกร่างปลอมให้กับโมโมะและเอเรียสอีกคนละหนึ่งร่าง
“ระวังตัวด้วยนะ...” เอเรียสเตือนฉันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะจากกัน
“แอนน์...” โมโมะร้องเรียก
“อย่าทำเสียงแบบนั้นสิ ไม่ต้องห่วงหรอก เชื่อฉันสิ”
“เข้าใจแล้ว โชคดีนะ”
“อืม...” แล้วโมโมะและเอเรียสกับร่างปลอมของฉันก็พุ่งหายไปในอีกทิศทางหนึ่งทันที
ยามนี้มีเพียงฉันเท่านั้นที่ยังคงนั่งซุ่มอยู่ในที่ซ่อนเดิม แน่นอนว่าฉันสามารถรับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของร่างปลอมที่ฉันเสกขึ้นได้ในทุกขณะ ท่าทางว่าแผนของฉันจะได้ผล...พวกพ่อมดแม่มดดูเหมือนจะโจมตีใส่พวกร่างปลอมอย่างรวดเร็วในทันทีที่พบเห็น
“กลุ่มแรกเสร็จไปแล้ว..” ฉันกระซิบพร้อมกับลุกยืนขึ้น ดึงผ้าคลุมขึ้นคลุมศีรษะ “ถึงเวลาที่ฉันเองก็ต้องออกไปบ้างซะแล้วสิ”
สำหรับตัวเองฉันใช้เพียงแต่ใช้พลังพรางตัวเพื่อไม่ใครสามารถมองเห็นฉันได้เท่านั้น เพื่อความรวดเร็วฉันจึงติดปีกให้ตัวเองด้วยกระดาษแล้วออกบินไปที่หอคอยแห่งแพนดอร่าในทันที ดูเหมือนทุกอย่างจะเป็นไปตามแผน แต่ตอนนี้ร่างปลอมถูกทำลายไปแล้วสามกลุ่มยังเหลืออีกสองกลุ่ม และร่างปลอมอีกร่างหนึ่งที่อยู่กับโมโมะและเอเรียส
พอเข้ามาใกล้มากขึ้นฉันก็รู้ดีว่าไม่สามารถบินขึ้นไปบนหอคอยได้ทันที....มีม่านเวทย์มนต์ป้องกันไว้อีกแล้ว ตอนแรกฉันกำลังคิดว่าจะลอบเข้าไปทางไหนอีกดี แต่แล้วฉันก็จับพลังของใครคนหนึ่งได้เสียก่อน....
“เฮ้อ...” ฉันถอนหายใจก่อนที่จะปลดปีกของตนออกรวมทั้งพลังพรางตัวก่อนจะก้าวเดินผ่านประตูเข้าไปในหอคอยอย่างไม่เกรงกลัว ใครคนหนึ่งยืนรอฉันอยู่อย่างเปิดเผยไปไม่น้อยกว่ากัน ในไม่ช้าฉันก็ได้ยืนเผชิญหน้ากับใครคนนั้นเข้าจนได้ คนที่ฉันเผชิญหน้าอยู่ในขณะนี้ไม่ผิดจากที่ฉันคาดเอาไว้เลย เดอะมิลเลอร์..... ฉันรู้ดีว่าฉันไม่อาจหลบรอดสายตาเขาไปได้ คงมีแต่ต้องเผชิญหน้ากันตรงๆเพียงเท่านั้น
“ฉันคิดแล้วว่ายังไงเธอก็คงจะมาที่นี่จนได้” เดอะมิลเลอร์กล่าว
“ยังต้องการหนังสืออีกหรือไง?” ฉันพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยจนตนเองยังต้องแปลกใจ
“ตอนนี้ไม่แล้วล่ะ หืม...ดูเหมือนเธอจะกำจัดเศษกระจกของฉันออกไปจนหมดเลยนี่”
“ใช่...” ฉันตอบ
“ดูเธอเปลี่ยนไปนะ....ไม่มีท่าทีลังเลเหลืออยู่อีกแล้วนี่หน่า เกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่?”
“ฉันไม่ใช่คนเดิมเหมือนคนที่นายเคยทำร้ายอีกต่อไปแล้ว”
“.....”
“ฉันนึกว่าหลังจากเหตุการณ์นั้นฉันคงจะต้องเกลียดนายมากๆ แต่ตอนนี้ฉันกลับไม่รู้สึกอย่างนั้น ตอนนี้ฉันรู้สึกสงสารนายมากกว่า”
เดอะมิลเลอร์เอาแต่จ้องฉันนิ่ง
“ฉันรู้สึกได้ว่าสิ่งที่เธอทำไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการจะทำจากใจของเธอเอง เธอกำลังถูกครอบงำอยู่ใช่ไหม...?”
“นี่...เธอ...”
“ไม่ว่านายจะเป็นใคร เดอะมิลเลอร์....นักเวทย์ผู้แปรพักตร์หรืออะไรก็ตามแต่ อะไรกันแน่คือสิ่งที่นายต้องการจริงๆลองใช้กระจกของนายส่องดูในสิ่งที่หัวใจของนายกำลังเรียกร้องอยู่สิ!” ฉันเอ่ย ขณะที่รู้สึกได้ว่ากลุ่มตัวปลอมสองกลุ่มที่เหลือถูกทำลายจนสิ้นแล้ว แสดงว่าตอนนี้เหลือแต่กลุ่มของโมโมะกับเอเรียสแล้วสินะ...
“หึหึ เธอดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคนไปจริงๆด้วย ดูเข้มแข็งและเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากจนน่าขนลุกเชียวล่ะ”
“ฉันเองก็ได้เรียนรู้อะไรจากหลายๆสิ่ง นายเองก็เป็นคนหนึ่งที่สอนฉันนะ”
“ได้คำตอบแล้วงั้นเรอะ...”
“ใช่...ฉันคิดว่าฉันได้คำตอบแล้ว” เดอะมิลเลอร์นิ่งเงียบไปจนไม่สามารถเดาความรู้สึกออก
“ตอนแรกฉันก็กะว่าจะมาเอาเศษกระจกที่เหลือออกให้เธอ แต่ตอนนี้คงไม่จำเป็นแล้วสินะ เธอคงมาหาดาร์คอาเธอร์ล่ะสิ....คนๆนั้นอยู่ที่ชั้นบนสุดน่ะ” มิลเลอร์ตอบออกมาอย่างง่ายดาย
“งั้นเหรอ....” ฉันยิ้มพร้อมกับก้าวเดินออกไปข้างหน้า
แต่ทว่าขณะที่ฉันเดินผ่านเดอะมิลเลอร์นั่นเอง ฉันก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เรื่องที่ฉันอยากถามผู้ชายคนนี้มานานแล้ว “นายมีชื่อไหม... คือ..ฉันไม่อยากเรียกใครว่าเดอะมิลเลอร์เลย อยากเรียกนายด้วยชื่อมากกว่า...”
“ซาเกียร์” เขาตอบอย่างแผ่วเบา
“ลาก่อน ซาเกียร์...” ฉันยิ้มพร้อมออกเดินต่อไป
“เราจะได้พบกันอีกไหม?” เขาหลุดปากถามออกไปโดยไม่รู้ตัว
ฉันชะงักเท้าแล้วจึงหันกลับมายิ้มให้ซาเกียร์อีกครั้ง ฉันทำได้เพียงเท่านี้เองแล้วฉันจึงออกวิ่งขึ้นบันไดไปสู่ชั้นบนสุดของหอคอยปล่อยให้ชายหนุ่มยืนอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง
เดอะมิลเลอร์ เขาจ้องมองแผ่นหลังของหญิงสาวที่วิ่งจากไป แล้วจึงยิ้มให้กับตัวเอง
“ถือว่านี่เป็นคำขอโทษแล้วกันนะ....แอนนา เบลล์” ชายหนุ่มปลดผนึกม่านเวทย์ที่เขาเสกเอาไว้ทั้งที่ครอบคลุมอาณาจักร และหอคอยแพนดอร่าแล้วจึงหายตัวไป
“ผมกำลังจะกลับไปหาท่านแล้วนะครับ เดอะเปเปอร์...” ซาเกียร์ส่งจิตออกไปหาใครคนหนึ่งขณะที่หลับตาลง
**********
ฉันออกวิ่งไปสุดฝีเท้า.....เวลาเหลือไม่มากแล้ว ตอนนี้โมโมะกับเอเรียสกำลังดึงความสนใจของพ่อมดแม่มดคนอื่นๆเอาไว้อย่างสุดความสามารถ ถ้าพวกพ่อมดแม่มดข้างนอกนั้นเจอโมโมะกับเอเรียสล่ะก็.... ถ้าทั้งสองคนเป็นอะไรไปล่ะก็ ฉันต้องไม่ให้อภัยตัวเองแน่ๆ
บันไดเวียนนั้นนำฉันมาถึงจุดหมายปลายทางในที่สุด ฉันหยุดวิ่งพลางมองไปรอบๆจึงรู้ว่าตนเองกำลังอยู่ในห้องโถงขนาดใหญ่ ห้องโถงนั้นมีกำแพงและเพดานที่สร้างขึ้นจากกระจกทั้งหมด กระจกพวกนั้นไม่ใช่กระจกธรรมดาแต่เป็นกระจกสีดำ ฉันมองไม่เห็นท้องฟ้าภายนอกแต่จากที่กะเวลาแล้วว่าตอนนี้ควรจะเป็นตอนใกล้รุ่งเช้าไม่ผิดแน่
สุดท้ายฉันก็มองไปยังอีกฟากหนึ่งของห้องโถง ตอนนั้นเองฉันก็ได้เห็น...พ่อมดผู้ชั่วร้ายที่เป็นตัวการของสงครามครั้งนี้ ดาร์คอาเธอร์นั่งนิ่งเป็นรูปปั้นอยู่บนเก้าอี้หรูหราของกษัตริย์ ดวงตาและผมของเขามีสีดำสนิทผิดธรรมชาติของยูโทเปียเช่นเดียวกันกับฉัน ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะยังดูหนุ่มแน่นขนาดนี้ ดูจากใบหน้าแล้วเขาน่าจะมีอายุราว 30 ปีเท่านั้น อย่างไรก็ตามเพียงแค่ฉันได้เห็นสีหน้าของเขา และแววตาที่เขามองมายังฉัน ฉันก็กลับรู้สึกขนลุกซู่ขึ้นทั้งตัวอย่างไม่มีสาเหตุ
“ผู้ถูกเลือก...” เสียงเขาฟังดูน่าสะพรึงกลัว
“ดาร์คอาเธอร์!” ฉันกระซิบ
ทันใดนั้นเขาก็ผุดลุกขึ้นยืนแล้วกระแทกไม้เท้าในมือลงกับพื้นอย่างแรง วินาทีนั้นกระจกทั้งหมดภายในห้องโถงนั้นแตกกระจายจนหมดทันที
**********
ปล. ลงไปลงมาเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าลงจนใกล้จะจบแล้ว (เฮ้ย...อะไรกัน! 5555+) ตอนนี้ยังมีคนตามอ่านอยู่ใช่ไหมน๊า...ขอบคุณมากๆนะที่ตามอ่านกันมาถึงขนาดนี้ แล้วพบกันใหม่บทหน้าจ้า...
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
6.8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ