Tale of Utopia

6.9

เขียนโดย The_Paper

วันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 เวลา 18.12 น.

  15 บท
  8 วิจารณ์
  19.22K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2556 12.54 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

10) บทที่ 9 เอสคาราส

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 9 เอสคาราส

 

เช้าตรู่วันต่อมาแคทเธอรีนเดินออกมาส่งชินด้วยตนเอง  นั้นทำให้ฉันพยายามเดินห่างออกมาจากตรงนั้นทันที

 

 

“รักษาตัวด้วยนะ”  อาเรนพูดกับฉัน

 

 

“ขอบใจนะ อาเรนไม่ต้องห่วงหรอก  อาเรนเองก็ระวังตัวให้มากนะ”

 

 

“อืม” อาเรนพยักหน้ารับ

 

 

“ได้เวลาแล้ว  ทุกคนออกเดินกันได้แล้ว”  เอเรียสกล่าวขึ้นเมื่อมองไปยังทิศตะวันออก  แสงจากดวงอาทิตย์เริ่มฉายขึ้นบนท้องฟ้าแล้ว    ฉันผละจากอาเรนในขณะที่ชินก็ผละออกมาจากแคทเธอรีนได้สำเร็จ

 

 

การเดินทางครั้งนี้เราทุกคนเดินทางกันด้วยม้า   ชินไม่สามารถใช้พลังพาทุกคนไปพร้อมๆกันได้  ในขณะที่ฉันก็ไม่อยากใช้พลังของตนเองอีก

 

 

“ชิน  ฉันจะรออยู่ที่เอเทอนอลนะ”  เสียงของแคทเธอรีนตะโกนไล่หลังมา

 

 

ชินเพียงแต่พยักหน้าว่ารับรู้แล้วเท่านั้น

 

 

“แคทเธอรีนจะกลับเอเทอนอลงั้นเหรอ?”  ฉันถาม

 

 

“อืม  ที่นี่ไม่ปลอดภัยเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว   ที่เอเทอนอลเหตุการณ์ยังสงบกว่านี้มาก  ที่ที่ห่างไกลออกไปถึงที่นั่นตอนนี้ปลอดภัยแล้วล่ะ  ท่านพ่อกับท่านแม่ของฉันเองก็จะไปกับแคทเธอรีนด้วย”

 

 

ทุกคนเตรียมตัวกันถึงขนาดนี้....ครั้งนี้คงจะเป็นศึกตัดสินระหว่างพ่อมดแม่มดกับนักเวทย์แล้วสินะ  ฉันคิดในใจ

 

 

“ฉันยังไม่มีโอกาสกล่าวลาพวกท่านเลย...” 

 

 

“อย่าคิดมากหน่า  พวกท่านเข้าใจดี  พอจบศึกตรงนี้แล้วเดี๋ยวก็ได้พบกันแหละน่า  ไปกันเถอะ”

 

 

“อืม” 

 

 

เราจะได้...พบพวกท่านอีกงั้นเหรอ  ฉันคิดในใจ

 

 

เอเรียสคงเคยเดินผ่านเส้นทางนี้มาแล้วจริงๆ  เขานำทางด้วยความชำนาญพอสมควร  โมโมะดูจะตื่นเต้นเป็นพิเศษ  อาจเป็นเพราะได้เดินทางในป่าอีกครั้งกระมัง  ก็หลังๆมานี้มันต้องอยู่แต่ในเมืองมาโดยตลอดนี่หน่า    ภูมิประเทศแถบนี้งดงามมากจริงๆ   ถึงฉันจะยังคงมีเรื่องกังวลอยู่ในใจอีกมาก  แต่ก็อดที่จะรู้สึกดีไปกับบรรยากาศแวดล้อมไปไม่ได้

 

 

“เหนื่อยไหม?”  ชินมักจะคอยถามฉันด้วยความเป็นห่วงอยู่เสมอ    มาถึงตอนนี้มันทำให้ฉันเกิดคำถามขึ้นอยู่ตลอดเวลาว่าที่เขาดีกับฉัน  เพราะฉันคล้ายกับเดอะเปเปอร์อีกคนหรือเปล่านะ?

 

 

ยิ่งฉันระแคะระคายเรื่องของเดอะเปเปอร์คนก่อนมากขึ้นเท่าไหร่  ฉันก็ยิ่งอยากรู้มากขึ้นเท่านั้น....แต่ยิ่งรู้มากเท่าไหร่ทำไมกลับยิ่งรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้นกันแน่นะ?

 

 

การขี่ม้าไม่ได้น่าเบื่ออย่างที่คิด   ฉันยอมรับว่าฉันชอบการเดินทางแบบนี้มากเลยทีเดียว   สัตว์ชนิดนี้ดูเป็นสัตว์ที่รักสงบ  และดูสง่างามอย่างน่าประหลาด   ม้าที่นี่ต่างจากที่โลกของฉันเล็กน้อย  มันตัวใหญ่กว่าขนยาวกว่า   ฉันลูบแผงคอของมันอย่างใจลอย  ขณะที่กำลังรอเอเรียสกำลังตรวจสอบเส้นทางอยู่

 

 

“เราใกล้จะถึงกันแล้วล่ะ”  เอเรียสพูดขึ้น  ชินถอนหายใจโล่งอกด้วยความยินดี

 

 

“งั้นรีบไปกันเถอะ!”

 

 

“อืม  โอเวอร์โซลจะไม่ต้อนรับใครหลังตะวันตกดินซะด้วยสิ”   เอเรียสกล่าวพลางมองไปที่ดวงอาทิตย์ด้วยความกังวล  ยามนี้ดวงตะวันคล้อยมากแล้ว  ยามเย็นกำลังจะมาถึงในไม่ช้า

 

 

“รีบเข้าเถอะ!”  ทั้งหมดรีบควบม้าด้วยความเร็วไปตามทิศทางที่เอเรียสนำไปทันที

 

 

“ถึงแล้วล่ะ....”  เอเรียสหยุดม้าอยู่ที่หน้าประตูขนาดยักษ์ที่สร้างจากท่อนซุงขนาดใหญ่เกินกว่าที่ฉันจินตนาการถึง   มันสูงเสียดฟ้า  ดูน่ากลัวและน่าเกรงขามในเวลาเดียวกัน   แสงอาทิตย์สุดท้ายกำลังจะลับขอบฟ้าไป

 

 

ก่อนที่ทั้งหมดจะทำอะไรต่อไปนั้นเอง   ประตูนั้นก็เปิดออกอย่างช้าๆ  เหล่าภูตพรูออกมาจากอีกฟากของประตูเข้าล้อมรอบทุกคนเอาไว้ในทันทีสร้างความตื่นตระหนกต่อฉันและคนอื่นๆเป็นอย่างมาก

 

 

“ลงจากม้ากันเถอะ”  เสียงของเอเรียสกระซิบบอกทุกคน

 

 

ทุกๆคนจึงค่อยลงจากหลังม้าอย่างเงียบเชียบ

 

 

“พวกเราเป็นผู้คุ้มครองผู้ถูกเลือก  ได้โปรดให้เราได้ผ่านเข้าไปในโอเวอร์โซลด้วยเถิด”  เสียงของชินดังก้องไปในความเงียบ

 

 

ภูตตนหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าก้าวออกมาข้างหน้า  “ถ้าเช่นนั้น  จงแสดงพลังของผู้ถูกเลือกให้เราเห็นด้วย”

 

 

ฉันสะดุ้งขณะที่ทุกสายตาเบนมาที่ฉันในทันที  มือของฉันที่วางอยู่ข้างลำตัวกำแน่นก่อนที่จะคลายออก  ดูเหมือนจะไม่มีทางเลือกอื่นสำหรับฉันเลย

 

 

ฉันรวบรวมพลัง  เพื่อทุกคน...ครั้งนี้ฉันจะขอผิดสัญญาที่ให้ไว้กับตัวเองสักครั้ง  ฉันใช้เวลานานกว่าจะรวบรวมพลังได้   ฉันต้องทำให้ได้  ความหวังของทุกคนฝากอยู่ที่ฉัน   ฉันให้กำลังกับตัวเอง  ทันใดนั้นกระดาษแผ่นหนึ่งก็ถูกเสกขึ้น   ฉันหลับตาลงกระดาษนั้นพับไปด้วยเวทมนต์ของฉันเอง   ในไม่ช้าดอกไอริสก็ปรากฏต่อสายตาทุกคน มันนอนสงบนิ่งอยู่ในมือของฉัน  ฉันมองมันด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก   ทั้งๆที่ฉันตัดสินใจไปแล้วแท้ๆ...ชินเองก็จ้องดอกไอริสนั้นนิ่งไปเหมือนกัน

 

 

ตอนนั้นเองเหล่าภูตทั้งหมดก็คุกเข่าลงกับพื้น  ภูตที่เป็นหัวหน้ากล่าวออกมาในทันทีว่า “ยินดีต้อนรับผู้ถูกเลือกและคณะเดินทางทั้งหลาย  ราชินีของพวกเราได้รอพวกท่านอยู่แล้ว”

 

 

ชิน เอเรียสและโมโมะพากันลอบถอนใจออกมาด้วยความโล่งอก   รอฉันอยู่....ราชินีรู้ว่าฉันจะต้องเดินทางมาที่นี่อย่างนั้นหรือ...

 

 

เรากลับขึ้นไปนั่งบนม้าในขณะที่พวกภูตเป็นคนจูงม้าให้กับพวกเรา   ฉันมองไปรอบๆด้วยความอัศจรรย์ใจเพราะที่นี่เต็มไปด้วยต้นไม้สีเขียวชะอุ่มไปหมด  พอเราข้ามฟากผ่านประตูมาปุ๊บสิ่งที่ฉันสัมผัสได้เป็นสิ่งแรกคือกลิ่นของต้นไม้ใบหญ้าที่ทับถมกันมานานหลายสิบปี   สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือทางเดินที่ทอดยาวไปข้างหน้า   ข้างทางมีต้นไม้สูงใหญ่คอยทำหน้าที่กำบังไอแดดที่สาดส่องมา   แต่ในยามเย็นนี้อาจทำให้ดูอึมครึมลึกลับอย่างน่าประหลาด

 

 

หลังจากเดินไปพักใหญ่ทางเดินนั้นก็สิ้นสุดลง    ฉันมองไปรอบๆแล้วจึงรู้สึกเหมือนกับว่าตนเองได้เข้ามาอยู่ในอีกโลกหนึ่ง    บรรดาต้นไม้ยังคงปรากฏให้เห็นเต็มไปหมด  แต่ละต้นล้วนสูงจนมองไม่เห็นยอด  ลำต้นของมันก็ใหญ่มโหฬาร   ที่ลำต้นนั้นดูเหมือนจะมีสิ่งที่คล้ายบันไดอยู่  บันไดนั้นหมุนเป็นเกลียวตามลักษณะของลำต้นนั้นสูงขึ้นไปเรื่อยๆ    ตามจุดต่างๆตามความสูงที่ต่างกันไปก็จะมีกระท่อมอยู่เป็นระยะๆ  พวกเขาอาศัยอยู่บนต้นไม้อย่างนั้นหรือ... ฉันคิด

 

 

“โมโมะ!” ฉันร้องออกมาอย่างตกใจ  อยู่ดีๆร่างของโมโมะก็กลายมาเป็นร่างจิ้งจอกขนาดใหญ่

 

 

“เกิดอะไรขึ้น?” ชินถาม

 

 

“ที่นี่เต็มไปด้วยไอเวทย์บริสุทธิ์   มันจะเผยความจริงทุกอย่าง  จิ้งจอกเก้าหางของพวกท่านจึงกลายร่างมาเป็นร่างจริงยังไงล่ะ” ภูตที่เป็นหัวหน้าเป็นคนตอบ

 

 

“ท่านมีนามว่าอะไรหรือ  ท่านภูต?”  ฉันถาม  รู้สึกถึงความเป็นมิตรจากภูตตนนี้

 

 

“ลูซิเฟอร์ครับ  ท่านแอนนา เบลล์”

 

 

“ท่านรู้จักฉัน...”

 

 

“ทุกคนที่นี่รู้จักผู้ถูกเลือกครับ  เอสคาราสเองก็ทำนายบอกเราว่าท่านจะมาเยือนในไม่ช้า”

 

 

“คำทำนาย...เอสคาราส?”

 

 

“ภูตทุกตนต่างก็เป็นนักทำนายโดยสายเลือดอยู่แล้วครับ   ส่วนสิ่งอื่นใดที่ท่านต้องการรู้  เมื่อท่านได้พบกับราชินี  ท่านจะได้ถามด้วยตนเองครับ  เชิญทางนี้เลยครับ”

 

 

 

*********

 

 

 

ลูซิเฟอร์นำพวกเราเดินขึ้นต้นไม้ผ่านบันไดวนเหล่านั้น  ถึงเวลาที่พวกเราจะต้องลงจากม้าแล้ว   น่าแปลกที่ระยะทางเดินไกลขนาดนั้น แต่ฉันกลับไม่รู้สึกเมื่อยหรืออ่อนล้าเลย   ฉันกลับรู้สึกสุขใจ อบอุ่น และสงบเมื่อได้อยู่ที่นี่

 

 

พวกเราเดินผ่านที่พักอาศัยที่อยู่ตามระดับความสูงขึ้นไปเป็นลำดับ   จนในที่สุดเราก็มาถึงยอด  ฉันไม่คาดคิดเลยว่าจะได้มาเห็นลานกว้างปรากฏอยู่บนที่แห่งนี้   เพดานของที่นี่ก็คือท้องฟ้ายามราตรีที่พรั่งพรายไปด้วยดวงดารานั้นเอง

 

 

ราชินีอยู่ที่นั่น  ฉันรู้สึกได้ในทันที  พระนางเองก็ดูเหมือนจะรู้ถึงการมาของฉันแล้ว   เมื่อเราเข้ามาใกล้กันจนสามารถมองเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายได้   ดวงตาของเราก็ประสานกันในทันที

 

 

วินาทีนั้นดูเหมือนโลกทั้งใบจะมีเพียงฉันกับองค์ราชินีเท่านั้น   เราทั้งสองอยู่ห่างกันเพียงแค่เอื้อม   ฉันไม่สามารถละสายตาไปจากพระนางได้เลย

 

 

“ยินดีต้อนรับแอนนา เบลล์” เสียงของพระนางช่างไพเราะจับใจ  ใบหน้าที่แสนงดงามส่งยิ้มมาให้ฉันอย่างอ่อนโยน

 

 

“ไม่เป็นไรแล้วล่ะ...”

 

 

“เอ๊ะ!”  ฉันสะดุ้ง  เมื่อพระนางยื่นมือมาแตะที่แก้มของฉัน

 

 

“อดีตที่ผ่านไปแล้วนั้นไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้แล้วก็จริง   แต่ปัจจุบันและอนาคตยังคงรอเจ้าอยู่นะ เพราะฉะนั้นเรามาทำปัจจุบันให้ดี  เพื่ออนาคตที่สดใสกันเถอะนะ”

 

 

ฉันร้องไห้ออกมาอย่างตื้นตันใจ  พระนางใช้มือซับน้ำตาของฉันเอาไว้อย่างแผ่วเบา

 

 

ชั่วขณะนั้นเองฉันก็กลับมาสู่โลกของความเป็นจริง

 

 

“แอนน์...เหม่ออะไรนะ?” โมโมะนี่เองที่ดึงฉันกลับสู่ความเป็นจริง

 

 

“ไม่มีอะไรหรอก...”  เมื่อครู่นี้มันคือความฝันหรือเปล่านะ   อย่างไรก็ตามฉันก็ยังคงรู้สึกถึงความชื้นที่ดวงตา

 

 

บัดนี้ฉันและองค์ราชินีอยู่ใกล้กันจนมองเห็นอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจนแล้ว  พระนางดูเหมือนในความฝันเมื่อครู่เสียเหลือเกิน  ผมสีทองยาวสลวย  ดวงตาสีฟ้าดั่งท้องฟ้า

 

 

ทันใดนั้นองค์ราชินีก็แอบส่งยิ้มให้กับฉัน  ฉันตระหนักได้ในชั่วขณะนั้นเองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ไม่ใช่ความฝัน

 

 

“ยินดีต้องรับสู่ทุกคนสู่โอเวอร์โซล  ข้ามีนามว่าเกริด้า  ซีน เป็นคนปกครองที่นี่ในขณะนี้”

 

 

เอเรียสก้าวออกไปข้างหน้ากว่าทุกคนแล้วจึงคุกเข่าลง “ข้าเอเรียส  รู้สึกเป็นเกียรติอย่างสูงสุดที่ได้พบพระองค์”  เขาพูดแล้วจึงยืนขึ้นพร้อมกับถอยหลังกลับเข้ามาดั่งเดิม    ฉันพึ่งจะเห็นว่าใบหน้าของเอเรียสดูเหมือนอายุมากขึ้นหลายปี  เพราะไอเวทย์ที่นี่งั้นรึ?

 

 

ชินทำท่าจะคุกเข่าตาม  แต่องค์ราชินีกลับยกมือห้ามไว้  “ท่านเป็นถึงเจ้าชายไม่ต้องคุกเข่าให้ข้าหรอก”

 

 

ชินจึงเพียงแต่โค้งคำนับ “ข้าชิน อาเชอร์  เจ้าชายแห่งอาณาจักรฟรีดอม  ขอบคุณมากที่ให้การต้อนรับพวกเรา”

 

 

“ฉันต้องยินดีอยู่แล้ว  เอสคาราสบอกว่าผู้ถูกเลือกจะมา  ฉันเองก็ตั้งตารอเวลานี้มานานแสนนาน”

 

 

“ส่วนฉันชื่อโมโมะ  เอ่อ...ที่นี่ต้นไม้เยอะดีนะ”  คำพูดตอนหลังของโมโมะทำให้ทุกคนอมยิ้ม  แม้แต่องค์ราชินีเองก็ตาม

 

 

“ขอบใจเจ้ามาก   ข้ายินดีเหลือเกินที่ได้พบจิ้งจอกเก้าหางอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้พบเห็นมานาน”

 

 

“ฉัน...” ฉันทำท่าจะพูดแนะนำตัวเอง

 

 

“เธอคือแอนนา เบลล์ จากฟลอเรนซ์  อาศัยอยู่บนโลกอีกโลกหนึ่งที่อยู่คนละมิติกับยูโทเปีย  ผู้ถูกเลือกผู้ได้รับคำทำนายว่า  เป็นสายลมแห่งความหวังของยูโทเปีย” องค์ราชินีเอ่ยขึ้น  ฉันรู้สึกแปลกใจ  พระนางรู้ได้อย่างไรว่าฉันมาจากเมืองที่ชื่อฟลอเรนซ์  แล้วคำทำนายนั่น....

 

 

“พวกท่านคงจะเดินทางมาเหนื่อยๆ  คืนนี้จงพักผ่อนให้สบายก่อนเถิด   เรายังมีเวลาที่จะสนทนากันต่อจากนี้อีกนานพอดู”

 

 

ทุกคนถูกนำไปยังที่พักที่อยู่ในบริเวณเดียวกัน  แม้แต่โมโมะก็มีที่พักเฉพาะของมันเอง  ฉันมองดูรอบๆที่พักด้วยความพอใจ   ห้องของฉันอยู่สูงกว่าของคนอื่นๆ  และเมื่อเดินออกไปที่ระเบียงฉันก็สามารถมองท้องฟ้ายามค่ำคืนได้อย่างกระจ่างตา   สายลมแห่งโอเวอร์โซลพัดผ่านมาพร้อมกับหอบเอาความกังวลต่างๆที่ติดตัวฉันอยู่ไปกันมันด้วย   ฉันรู้สึกสบายใจและสงบมากกว่าที่ผ่านมา  และในค่ำคืนนั้นก็เป็นอีกค่ำคืนหนึ่งในไม่กี่คืนที่ฉันหลับไปโดยไม่ได้ฝันถึงอะไรเลย

 

 

เช้าตรู่เมื่อทุกคนลงมาพบกัน ณ จุดนัดพบ  ฉันก็ค่อยโล่งอกที่พบว่าทุกคนอยู่ในชุดพื้นเมืองของโอเวอร์โซลกันหมด  นั่นก็เพราะฉันเองก็แอบกึ่งถูกบังคับให้ใส่กระโปรงสีเขียวอ่อนที่งดงามตัวหนึ่งที่เป็นชุดพื้นเมืองเข้าเหมือนกัน   มันทำให้ฉันรู้สึกแปลกๆไปบ้างแต่ก็ใส่สบายดี    ตั้งแต่เช้าฉันถูกพวกภูตมาช่วยทำอะไรให้เสียจนเกือบจะทุกอย่าง   มันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนกับฉันเป็นเจ้าหญิงเลยทีเดียว

 

 

วันนี้ลูซิเฟอร์ยังคงเป็นผู้นำพาเราไปเช่นเคย  ทั้งหมดถูกนำมายังต้นไม้ขนาดยักษ์ต้นหนึ่ง  ใบของมันมีสีเขียวแต่อีกด้านกลับเป็นสีขาวเต็มต้น  เสียงของนกร้องระงมไปทั่ว   ฉันมองไปยังต้นไม้นั้นราวกับต้องมนต์สะกด   ฉันเคยต้นไม้นี้ที่ไหนกันนะ....

 

 

“เอสคาราส...  พวกท่านรู้สึกอย่างไรบ้างเมื่อได้มองต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ต้นนี้”  องค์ราชินีอยู่ในชุดสีทองวิจิตรเอ่ยขึ้น  ไม่มีใครรู้ว่าพระนางมาอยู่ข้างๆตั้งแต่เมื่อใด

 

 

 

 

“ผมรู้สึกสงบอย่างประหลาด”  เอเรียสกล่าว  เขาเอามือแตะที่หน้าอกแล้วก้มลงเหมือนจะอธิษฐาน

 

 

“ฉันรู้สึกคิดถึงแม่”  โมโมะเอ่ยขึ้นอย่างเศร้าๆ  องค์ราชินีลูบหัวของมันด้วยความห่วงใย

 

 

“แม่เจ้าได้ไปอยู่ในที่ที่ดีแล้วนะ  นางต้องดีใจแน่  เมื่อได้รู้ว่าเจ้าเติบโตขึ้นเป็นจิ้งจอกเก้าหางที่แข็งแกร่งและองอาจถึงเพียงนี้”

 

 

“จิตวิญญาณแห่งยูโทเปีย....” ชินกระซิบ  แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นสัมผัสอันฉับไวขององค์ราชินีไปได้

 

 

“ใช่แล้ว เจ้าชาย  หัวใจของยูโทเปียอยู่ที่นี่”

 

 

“หมายความว่าอย่างไรกัน?”  ฉันถาม

 

 

“ต้นไม้ต้นนี้คือ แหล่งกำเนิดเวทมนต์ทั้งหมดทั้งปวงยังไงล่ะ  ถ้าต้นไม้นี้ตายไปพลังที่ค้ำจุนยูโทเปียก็จะสลายไปด้วย  และเมื่อถึงเวลานั้นยูโทเปียก็จะถึงกาลอวสาน”

 

 

ฉันมองต้นไม้ที่อยู่เบื้องหน้าด้วยความรู้สึกที่แปลกใหม่

 

 

“เข้าไปในเอสคาราสกันเถอะ”   องค์ราชินีกล่าวจับมือฉันเอาไว้        แล้วออกเดินนำทุกคนเข้าไปภายในโพรงต้นไม้เอสคาราสนั้น

 

 

ข้างในเอสคาราสเป็นภาพที่ฉันไม่คาดคิดจะได้เห็น   ภายในเอสคาราสคือห้องหนังสือขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นมา    พื้นตรงกลางเป็นที่โล่งๆแต่พื้นที่ส่วนที่ติดกับลำต้นนั้นล้วนแต่เป็นชั้นวางหนังสือทั้งสิ้น     ชั้นหนังสือนี้ดูเหมือนจะสูงขึ้นไปเรื่อยๆอย่างไม่มีที่สิ้นสุด   เป็นครั้งแรกที่ฉันตกตะลึงไปกับหนังสือจำนวนที่มากมายถึงเพียงนี้     ที่นี่คงจะใหญ่กว่าห้องหนังสือที่บ้านฉันถึงหลายร้อยพันเท่า      นอกจากนั้นภายในเอสคาราสมีบางสิ่งบางอย่างคล้ายกับหิ่งห้อยลอยอยู่เต็มไปหมดด้วย  มันส่องแสงสีทองออกมาและลอยละล่องไปทั่ว     ฉันรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก   การได้อยู่กับหนังสือจำนวนมากมายถึงเพียงนี้ช่างเป็นความรู้สึกที่ดีเสียเหลือเกิน

 

 

“ที่นี่คือแหล่งรวบรวมความทรงจำของยูโทเปียยังไงล่ะ”  องค์ราชินีกล่าวกับทุกคน

 

 

ทุกคนพากันมองไปรอบๆด้วยความตื่นตาตื่นใจ  ฉันไล่นิ้วไปตามสันหนังสือด้วยความคุ้นเคย  จะบอกว่าฉันสามารถอยู่ที่นี่ได้ตลอดทั้งชีวิตของฉันเลยก็ว่าได้

 

 

“ดูเจ้าจะชอบที่นี่มากนะ”  องค์ราชินีกล่าวกับฉันขณะที่ทุกคนแยกย้ายกันไปตามมุมต่างๆภายในเอสคาราส    ต่างจากฉันที่เอาแต่นั่งนิ่งมองไปยังชั้นหนังสือแล้วอมยิ้มโดยที่ไม่ได้ไปเดินค้นหาหนังสือเหมือนคนอื่นๆ

 

 

“ที่นี่เหมือนกับที่บ้านฉันมากเลยคะ”

 

 

“งั้นหรือ  ถ้าเช่นนั้นบ้านเจ้าคงเป็นสถานที่ที่วิเศษมาก”

 

 

“ใช่คะ  ฉันใช้ชีวิตอยู่ในห้องหนังสือมาโดยตลอด  มันทำให้ฉันมีกำลังใจที่จะอยู่ต่อไป  แม้ว่าจะต้องอยู่เพียงลำพังคะ”

 

 

“แต่ตอนนี้เจ้าไม่ได้อยู่เพียงลำพังแล้วนี่”

 

 

“เอ๊ะ...!”

 

 

“เจ้ามีมิตรสหายมากมายที่นี่  ข้าเองก็เป็นหนึ่งในนั้นนะ”

 

 

“องค์ราชินี...ฉันดีใจมากที่ได้มาที่ยูโทเปีย   แม้ว่าฉันจะต้องจากที่นี่ไปในสักวันฉันก็จะไม่ลืมความทรงจำเหล่านี้ที่เกิดขึ้นแน่นอนคะ”

 

 

“ถ้าถึงเวลานั้น  ที่นี่ก็จะไม่ใครลืมเจ้าเหมือนกัน”

 

 

ฉันทำหน้าสงสัย

 

 

“นับตั้งแต่เจ้าก้าวประตูเพื่อมาสู่ยูโทเปีย  เรื่องราวของเจ้าก็ได้ถูกบันทึกเอาไว้ ณ ที่แห่งนี้แล้ว”

 

 

ตอนนั้นเองฉันก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้  “งั้น...เรื่องราวของเดอะเปเปอร์อีกคนก็ต้องถูกบันทึกเอาไว้ที่นี่เหมือนกันสินะคะ”

 

 

“เจ้าอยากรู้เรื่องของเดอะเปเปอร์อีกคนงั้นหรือ?”

 

 

“คะ...ฉันอยากรู้”

 

 

“จะว่ายังไงดีล่ะ  หนังสือที่นี่ถึงแม้จะบันทึกทุกเรื่องราว  แต่ก็ใช่ว่าเจ้าจะได้รู้ในเรื่องราวนั้นๆหรอกนะ....  มันต้องขึ้นอยู่กับเวลาที่เหมาะสมด้วย   ถ้าเจ้าอยากรู้จริงๆละก็....ลองหลับตาแล้วอธิษฐานดูสิจ๊ะ   แล้วเอสคาราสจะเป็นคนตัดสินเอง”

 

 

ฉันพยักหน้าแล้วจึงหลับตาลงเพื่ออธิษฐานทันที   แต่พอเวลาผ่านไปกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นแม้แต่น้อย  ฉันถอนหายใจออกมาอย่างผิดหวัง  นี่ฉันยังต้องรอไปอีกนานเท่าไหร่กัน...เวลาที่เหมาะสมงั้นหรือ...?

 

 

“อย่ารีบร้อนนักเลยแอนนา   มีเรื่องที่เจ้าจะทำ ณ ตอนนี้มากมาย”  องค์ราชินีกล่าวเหมือนจะให้กำลังใจ “เจ้าอยากรู้เรื่องเดอะเปเปอร์คนนั้นไปทำไมหรือ?”

 

 

“ฉันได้รู้มาว่าเดอะเปเปอร์อีกคนก็มีพลังแบบเดียวกัน...ไม่สิฉันต่างหากที่มีพลังเหมือนเดอะเปเปอร์   นอกจากนั้นยังทราบอีกว่าตอนนี้เดอะเปเปอร์คนนั้นถูกครอบงำด้วยด้านมืด   ฉันสงสัยมาตลอดเลย...แต่ทุกคนก็พากันปิดบังฉัน  ฉันอยากรู้ว่าทำไม?  และเพราะอะไรกันแน่นะคะ?”

 

 

“อืม...จะว่ายังไงดีล่ะเดอะเปเปอร์คนนั้นก็เคยเป็นผู้ถูกเลือกมาก่อนนะ  เจ้ารู้มาก่อนหรือเปล่า?”  องค์ราชินีกล่าว  ฉันรู้สึกใจหายเป็นอย่างมาก  นี่มัน...เหมือนที่ฉันคิดไว้ไม่มีผิด

 

 

“เธอคนนั้นก็เคยมาที่นี่ครั้งหนึ่งเช่นเดียวกัน   และฉันพูดได้เต็มปากเลยว่าแว่บแรกตอนที่ได้เจอเจ้า  ฉันก็คิดว่าเจ้ามีส่วนคล้ายกับเดอะเปเปอร์คนนั้นมากเหมือนกัน”  ฉันเงียบกริบ “แต่กลับมีส่วนที่แตกต่างกันมากกว่า” องค์ราชินีพูดต่อ  คำพูดนั้นทำให้ฉันรู้สึกโล่งใจอย่างประหลาด

 

 

“เกิดอะไรขึ้นกับเดอะเปเปอร์คนนั้นคะ?”

 

 

“ความกระหายในอำนาจ  กระหายในพลังที่ตนไม่สมควรได้น่ะสิที่ทำให้เด็กสาวคนนั้นต้องกลายเป็นปิศาจร้าย  แต่ฉันรู้ดีว่าเธอจะไม่เลือกทางแบบนั้น แอนนา  เบลล์”

 

 

จากน้ำเสียงขององค์ราชินี  พระนางคงไม่อยากจะสนทนาเรื่องนี้ต่อเท่าใดนัก  ฉันจึงไม่ได้ถามต่อ

 

 

“คือแล้วก็...ตอนนี้ฉันกำลังตามหาหนังสือเล่มหนึ่งอยู่คะ” จู่ๆ เรื่องนี้ก็ผุดขึ้นมาในหัวของฉัน   ฉันไม่คิดเหมือนกันว่าตนเองจะกล้าถามคำถามนี้ออกมา

 

 

“หนังสืออะไรล่ะ?”

 

 

ฉันรู้สึกว่าเรื่องหนังสือในความฝันเป็นเรื่องที่ควรจะเล่าให้ใครสักคนฟัง   ฉันจึงตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดแม้กระทั่งเรื่องเรื่องภาพของผู้หญิงปริศนาในหนังสือที่ฉันเห็นเป็นครั้งสุดท้ายนั้นด้วย

 

 

“หนังสือเล่มนั้นจะมาหาเจ้าเองในที่สุด...” หลังจากเงียบไปนานองค์ราชินีก็เอ่ยขึ้น 

 

 

“ทุกๆคนจะมีสิ่งที่เอาไว้กักเก็บจิตวิญญาณของตัวเองเอาไว้ทั้งนั้น....ในรูปแบบของเจ้ามันคงเป็นหนังสือ  จากที่เจ้าเล่าเจ้าคงถูกกระตุ้นให้เปิดหนังสือออกอ่านก่อนจะถึงเวลาอันควร  ภาพในหนังสือจึงบิดเบือนไป  นอกจากนี้เดอะมิลเลอร์บอกว่าเทพธิดาได้ฝากหนังสือเล่มนั้นเอาไว้ด้วยใช่ไหม    ถ้าอย่างนั้นหนังสือเล่มนั้นต้องมีอะไรมากกว่าที่ควรจะเป็นแน่”

 

 

“เดอะมิลเลอร์เขาต้องการหนังสือของฉันไปทำไมกันคะ?”

 

 

“อย่าไปสนใจพ่อหนุ่มหลงผิดคนนั้นเลย  เมื่อก่อนเขาเป็นคนที่ดีมากนะ  แต่ตอนนี้กลายเป็นตัวอันตรายไปซะแล้ว  แต่เจ้าเองก็รอดมาอย่างหวุดหวิดไม่ใช่หรือ...”

 

 

“คะ?”

 

 

“ถ้าเจ้าโดนขโมยหนังสือไปในขณะที่มันยังไม่พร้อมละก็....  เจ้าจะไม่ได้เป็นตัวของตัวเองอีกต่อไป”  ฉันฟังแล้วขนลุกซู่

 

 

“เจ้ามีบางสิ่งบางอย่างคุ้มครองอยู่ ข้ารู้สึกได้”

 

 

ฉันรู้สึกแปลกใจ  ตอนนั้นเองฉันก็เอามือไปแตะที่สร้อยคออย่างไม่รู้ตัว

 

 

“สร้อยเส้นนี้...”  ฉันถอดมันออกแล้วยื่นให้กับองค์ราชินี   ฉันนึกออกแล้ว...

 

 

“ครั้งแรกที่ฉันเอสคาราส  ฉันรู้สึกคุ้นตามากเหมือนเคยที่ไหนมาก่อน  ทั้งๆที่ฉันพึ่งจะมาที่นี่เป็นครั้งแรก  ฉันจำได้แล้วคะ....ฉันเคยเห็นต้นไม้แบบนี้มาแล้วจริงๆ  ถึงจะต้นเล็กกว่ามากก็ตาม  แต่ต้นไม้ที่ให้สร้อยคอนี้กับฉันคือเอสคาราสไม่ผิดแน่”

 

 

องค์ราชินีพิจารณาสร้อยเส้นนั้นด้วยความสนใจก่อนที่จะส่งคืนให้ฉัน  “อา...ข้าก็จำได้แล้วเช่นกัน  กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว  โอเวอร์โซลได้มอบต้นกล้าต้นหนึ่งของเอสคาราสให้กับเดอะลาสเดสติเนชั่นไปต้นหนึ่ง   ข้าเชื่อว่าไวท์ลีฟของเจ้าต้องมาจากต้นนั้นแน่  พลังเวทย์แบบนี้ข้าจำได้ดี  ไม่น่าแปลกใจที่เจ้าจะรู้สึกคุ้นเคยกับเอสคาราส   ไวท์ลีฟนี่เองสินะที่คุ้มครองเจ้าไว้   ไม่เช่นนั้นหนังสืออาจจะถูกขโมยไปแล้วก็ได้”

 

 

วันนั้นฉันได้สนทนากับองค์ราชินีอีกหลายเรื่อง   เรารู้สึกถูกชะตาในกันและกันเป็นอย่างมาก  วันพรุ่งนี้เราทุกคนนัดพบกันอีกที่เอสคาราสนี้   ฉันกำลังตั้งหน้าตั้งตารออย่างใจจดใจจ่อ  และภาวนาให้วันพรุ่งนี้มาถึงโดยไว  

 

 

นานมาแล้วที่ฉันเกิดความรู้สึกอยากให้วันพรุ่งมาถึง....

 

 

 

***********

 

 

 

ตั้งแต่ฉันมาอยู่ที่โอเวอร์โซลฉันยอมรับว่าตนเองเปลี่ยนไปในหลายๆอย่าง  ฉันสามารถพูดคุยได้กับทุกคนอย่างเป็นปกติอีกครั้งและสามารถมองโลกผ่านสายคู่นี้ได้อย่างไม่มีความรู้สึกหม่นหมองอย่างที่เคยเป็นอีกต่อไป แต่ทว่าตั้งแต่คืนนั้นที่ฉันให้คำมั่นสัญญากับแคทเธอรีนไป  ฉันก็เป็นคนสร้างกำแพงกั้นระหว่างฉันกับชินขึ้นมาอย่างเงียบๆ  

 

 

ฉัน...แทบจะไม่ได้พูดกับชินเลย

 

 

ในทุกๆวันของที่นี่เราทุกคนต่างก็มีกิจกรรมที่ตนเองรักที่จะทำ   เอรียสมักจะไปขลุกอยู่กับพวกภูตที่เป็นหมอสมุนไพรของโอเวอร์โซล    โมโมะก็ออกไปตระเวนในป่าภายในโอเวอร์โซลบ่อยๆเป็นประจำ  บางครั้งก็มีพวกภูตไปด้วยกัน  น่ายินดีเหลือเกินที่โมโมะเข้ากับทุกคนที่นี่ได้เป็นอย่างดี  ภูตทุกตนดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสพบเห็นจิ้งจอกเก้าหางอีกครั้ง   ชินเองบางครั้งก็ออกไปเดินป่ากับโมโมะด้วย  แต่โดยส่วนมากแล้วเขาจะไปฝึกอาวุธกับพวกภูตที่เป็นทหาร  หรือไม่ก็ศึกษาตำราการปกครอง    เขาดูเป็นเจ้าชายยิ่งกว่าที่ฉันเคยรู้สึกมาก่อน   ในอนาคตเขาจะต้องเป็นเจ้าชายที่ดีและสามารถปกครองอาณาจักรฟรีดอมได้แน่   ส่วนตัวฉันก็ไปนั่งคุยกับองค์ราชินีอยู่ทุกเวลาเท่าที่จะเป็นไปได้   ได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับยูโทเปียมากมาย   องค์ราชินีทรงมีงานมาก  ดังนั้นฉันจึงใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในเอสคาราสเพียงลำพังเสียมากกว่า  ซึ่งนั่นก็ถูกใจฉันเป็นอย่างมาก

 

 

“เรื่องของเศษกระจกที่ยังคงหลงเหลือยู่ในตัวของเจ้าน่ะ   ข้าคิดว่าเราพอจะหาทางออกกันได้แล้วล่ะ” องค์ราชินีเอ่ยขึ้น ขณะที่รับประทานของว่างยามบ่ายร่วมกับฉันเพียงสองคน

 

 

“จริงเหรอคะ!”  จะว่าไปฉันก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องเศษกระจกอีกเลยนับตั้งแต่ได้ก้าวเข้ามาที่นี่  ฉันลืมจุดประสงค์ที่เรามาที่นี่จนหมดได้ยังไงกันนะ

 

 

“ข้าได้ปรึกษากับเอเรียสและพวกหมอของทางเราแล้ว  การที่จะทำให้เศษกระจกที่เดอะมิลเลอร์ถ่ายทอดมายังเจ้าสลายไป  เราคงต้องให้เจ้าใช้พลังจิตวิญญาณของตัวเจ้าเองขจัดมันออกมา”

 

 

“เศษกระจก...พลังจิตวิญญาณของฉัน  ทำอย่างไรหรือคะ?”

 

 

“แม้ว่การที่เจ้ามาอยู่ที่นี่จะทำให้พลังด้านมืดเบาบางลงมากก็ตาม  แต่เจ้าก็คงไม่มีทางหายสนิทถ้าปล่อยเอาไว้แบบนี้ยังคงมีบางคืนใช่ไหม...ที่เจ้าต้องฝันร้าย สิ่งที่ทำให้ด้านมืดของเจ้าขึ้นเป็นใหญ่ในเวลานั้นก็คือเศษกระจกของเดอะมิลเลอร์ยังไงล่ะ   มันยังคงเหลือบางส่วนอยู่ในตัวของเจ้า   เจ้าต้องเป็นผู้ขจัดมันออกไปเองนะ  ไม่เช่นนั้นเจ้าก็จะไม่สามารถกลับมาใช้พลังได้อย่างดั่งเดิมตลอดกาล”

 

 

“แต่ฉันสัญญากับตัวเองไว้แล้วว่าจะไม่ใช้พลังนั่นอีกนี่คะ”  ฉันเอ่ยตอบกลับไปอย่างดื้อดึง

 

 

“เจ้ากลัวงั้นรึ?”  องค์ราชินีเอ่ยถามฉันอย่างอ่อนโยน  ฉันได้แต่พยักหน้า

 

 

“ถ้าเราสลายเศษกระจกพวกนั้นได้   เจ้าก็จะสามารถควบคุมพลังของตนเองได้อย่างสมบูรณ์อีกครั้งหนึ่ง   เจ้าไม่จำเป็นต้องไปกลัวด้านมืดของตัวเจ้าเองอีกแล้ว”

 

 

“ถ้าฉันทำไม่ได้ละคะ  ฉันไม่อยากจะฆ่าใครอีกแล้ว  ภาพเหตุการณ์วันนั้น  ฉันไม่สามารถลบมันออกไปจากใจได้เลย”  ยิ่งพูดภาพในวันนั้นก็ทำท่าจะกลับมาหลอกหลอนฉันอีกครั้ง   แต่ตอนนั้นเองอย่างคาดไม่ถึงองค์ราชินีรั้งตัวฉันเข้าไปมากอด

 

 

“เจ้าช่างเป็นเด็กที่อ่อนโยนเสียเหลือเกินนะ   พลังนั้นเป็นของเจ้าอย่างแน่อนอน  แอนนา เบลล์   ถ้าเจ้าควบคุมมันไม่ได้ก็คงไม่มีใครสามารถทำได้อีกแล้ว   เจ้ายังต้องก้าวเดินต่อไปข้างหน้านะ  อนาคตของยูโทเปียก็อยู่ในมือของเจ้า....”

 

 

“ฉัน....”  ฉันจะทำได้งั้นเหรอ

 

 

“ข้าเชื่อในตัวเจ้านะ” 

 

 

หลังจากที่ฉันนิ่งเงียบไปนาน  ในที่สุดฉันก็พยักหน้า  “คะ  ฉันจะลองดู...” ฉันพูดในที่สุด

 

 

“ไม่ต้องกลัวหรอก  ตอนนี้เจ้าอยู่ที่โอเวอร์โซลนะ  ที่นี่ทุกคนจะเป็นนายของตัวเอง  ที่นี่เอสคาราสจะคอยคุ้มครองเจ้า”  ฉันก้มหน้ารับ

 

 

นับจากวันนั้นองค์ราชินีและฉันก็ได้ใช้เวลาร่วมกันมากขึ้นกว่าแต่ก่อน  ฉันต้องเก็บตัวและไม่ได้พบกับชิน  โมโมะและเอเรียสเลย  องค์ราชินีบอกว่านับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป  ฉันจะต้องไม่ไปพบคนเหล่านั้นจนกว่าจะถึงวันปลดปล่อย

 

 

“อีกสิบห้าวันที่จะถึงนี้จะมีงานประจำปีที่จัดขึ้นในหมู่ภูตของพวกเรา   เป็นการฉลองให้กับเอสคาราสที่ปกป้องคุ้มครองเรามาโดยตลอด  ทุกปีทางเราจะมีการจัดการแสดงครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น   ปีนี้ข้าจะให้เจ้าและเพื่อนของเจ้าเข้าร่วมการแสดงครั้งนี้   พวกเจ้าแต่ละคนจะต้องมีการแสดงหนึ่งอย่างที่แสดงถึงจิตวิญญาณของตนเอง”

 

 

“หมายความว่า...”

 

 

“ใช่แล้วแอนนา เบลล์  ข้าจะทำให้เจ้าพร้อมก่อนที่จะถึงวันนั้น”

 

 

“ฉันยังไม่รู้เลยว่าจะแสดงอะไรดี   ฉันเองก็ไม่มีความสามารถพิเศษอะไร”

 

 

“ทุกคนมีความสามารถพิเศษในตัวเองทั้งนั้นแหละจ๊ะ”

 

 

“แต่...”

 

 

“เจ้าชอบทำอะไรยามว่างล่ะ”

 

 

“อ่านหนังสือคะ ฉันไม่คิดว่า....”

 

 

“เวลาที่เจ้าไม่สบายใจละ”

 

 

“อืม ฉันก็ชอบนั่งมองท้องฟ้า   ขี่จักรยาน และก็ร้องเพลงมั้งคะ”

 

 

“นั้นละๆ  เสียงของเจ้าน่ะไพเราะมากเลยนะ”

 

 

“เอ๊ะ....?” ฉันตกใจ  ฉันชอบร้องเพลงนะ  แต่ฉันไม่เคยร้องเพลงต่อหน้าคนเยอะๆมาก่อน

 

 

“ข้าเชื่อว่าเจ้าจะต้องมีสักเพลงที่เป็นเพลงของเจ้าอย่างแน่นอน” องค์ราชินีพูดต่อ แล้วฉันก็รู้ตัวในทันทีว่า  ฉันคงไม่สามารถคัดค้านอะไรได้แล้วแน่ๆ 

 

 

ฉันพยายามคิดว่าตนเองควรจะร้องเพลงอะไรดี   แต่ก็หาเพลงที่เหมาะสมไม่ได้เลย  ไม่ว่าจะทำยังไงฉันก็อดคิดไม่ได้ว่าฉันต้องไม่สำเร็จแน่ๆ....ยิ่งใกล้วันงานเท่าไหร่ความกังวลของฉันก็มีแต่จะทวีเพิ่มขึ้นเท่านั้น

 

 

เมื่อวันเฉลิมฉลองใกล้เข้ามาเหล่าภูตต่างก็วุ่นอยู่กับการเตรียมงานกันใหญ่    ทั้งชิน โมโมะและเอเรียสก็คงกำลังซ้อมการแสดงของตนเองอยู่แน่  ฉันคิดขณะที่ออกมายืนที่ระเบียง  สายลมของที่นี่ยังคงให้ความรู้สึกดีๆเช่นเคย   ฉันสูดลมหายใจลึกก่อนที่เดินลงจากที่พักเพื่อไปยังจุดนัดพบ

 

 

“โอ้  ในที่สุดก็ได้เวลาสักทีนะ”  องค์ราชินีพูดขึ้นอย่างยินดีทันทีที่เห็นฉัน

 

 

“ได้เวลาอะไรเหรอคะ...?”  ฉันสงสัยในคำพูดขององค์ราชินี

 

 

“แอนนา  ไม่มีใครในยูโทเปียที่มีผมและดวงตาสีดำหรอกนะ  แม้ว่าคนผู้นั้นจะมาจากต่างโลกก็ตาม”

 

 

“เอ๊ะ....แต่ฉัน...”

 

 

“ลองมองดูตัวเองสิ”  องค์ราชินีชี้มือไปยังอ่างน้ำที่ตั้งอยู่ไม่ห่างออกไปนัก  ฉันรีบเดินไปแล้วก้มลงมองทันที  ภาพที่สะท้อนกลับมาทำเอาฉันตกตะลึงไปชั่วขณะ

 

 

หญิงสาวงดงามผู้หนึ่งมองฉันตอบกลับมา  ดวงตาของฉันที่เคยมีสีดำสนิทตอนนี้กลายเป็นสีฟ้าใสดูราวกับท้องฟ้ายามฤดูร้อน   ส่วนผมของฉันที่เคยสีดำเช่นเดียวกันก็กลับกลายเป็นสีเงินดูราวกับพายุแต่กลับเป็นประกายเมื่อกระทบกับแสงสว่าง   

 

 

นี่คือ...ตัวฉันงั้นหรือ

 

 

“เกิดอะไรขึ้น?” ฉันกระซิบ....

 

 

“มันคือตัวจริงของเจ้า”

 

 

“ตัวจริง?”

 

 

“ไอเวทย์ที่นี่บริสุทธิ์  มันจะเผยความจริงทุกสิ่ง...” องค์ราชินีพูดประโยคเดียวกับที่ลูซิเฟอร์เคยพูด

 

 

“แต่ผมกับสีตาของฉัน ก็เป็นสีดำมาโดยตลอดนี่หน่า...แล้วทำไม?”

 

 

“โลกของเจ้าไม่มีพลังเวทย์นี่  ที่เจ้าตาสีฟ้าบ่งบอกถึงท้องฟ้าที่แสนกว้างใหญ่และเต็มไปด้วยอิสระ    ผมสีเงินหมายถึงพลังอันมหาศาลและคาดการณ์ไม่ได้     อา...ยามนี้เจ้าช่างดูงดงามสมกับที่เป็นความหวังของยูโทเปียเสียจริง!”  ฉันจ้องมองไปที่องค์ราชินีที่มีผมสีทองสว่างและดวงตาสีฟ้าสดใสก่อนจะหันกลับมามองตนเองในกระจกด้วยความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย

 

 

“หมายความว่าสีตาสีผมของฉันจะไม่มีวันกลับเป็นอย่างเดิมแล้วเหรอคะ?”  ฉันอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมาด้วยความกังวล

 

 

“ตราบใดที่เจ้ายังอยู่ในยูโทเปียเท่านั้นแหละจ๊ะ    หากเจ้าไม่ใช่พลังปลอมแปลงตนเองล่ะก็นะ........แต่เมื่อเจ้าไปจากยูโทเปียและกลับสู่โลกเดิมของเจ้าสีผมกับสีตาของเจ้าก็จะค่อยๆกลับมาเป็นดั่งเดิมเอง เจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอกนะ   เจ้าไม่ชอบรูปลักษณ์ของตนเองในตอนนี้อย่างนั้นหรือ...แอนนา  เบลล์?”

 

 

“ไม่รู้สิคะ...แต่ฉันมองตัวเองในตอนนี้แล้วรู้สึกแปลกจริงๆ”

 

 

“เขื่อฉันเถอะ....ไม่ว่าจะเป็นใครในตอนนี้หากได้เห็นโฉมของเจ้าเขาจะต้องไม่มีวันลืมอย่างแน่นอน  ยากนะ...ที่จะพบใครสักคนที่มีตัวจริงที่งดงามและบริสุทธิ์เช่นนี้”

 

 

“องค์ราชินีกล่าวเกินไปแล้วล่ะคะ    เอ๊ะ...แล้วถ้าเป็นแบบนี้งั้นสีผมและสีตาของชิน โมโมะและเอเรียส  ทุกคน....”

 

 

“ทุกคนเป็นชาวยูโทเปียแต่กำเนิดน่ะ   เพราะอย่างนั้นสีผมและดวงตาของพวกเขาเป็นอย่างนั้นมาแต่ต้นแล้วล่ะจ๊ะ”

 

 

“อย่างนั้นเองเหรอคะ...”  ฉันจ้องมองเงาสะท้อนของตัวเองให้เต็มตาอีกครั้ง...พอได้มองเห็นตัวเองแบบชัดๆแล้ว   ฉันก็เริ่มรู้สึกว่าภาพที่สะท้อนกลับมานั้นเป็นภาพของตัวฉันเองขึ้นมาหน่อยหนึ่งแล้วแฮะ

 

 

ตัวจริงของฉัน....ชินจะมองเห็นตัวจริงของฉันขึ้นมาบ้างหรือเปล่านะ?

 

 

“นั้นผู้ถูกเลือกใช่ไหมคะ?”  ตอนนั้นเองที่เสียงใสๆของหญิงสาวคนหนึ่งเรียกร้องความสนใจของฉัน   เมื่อฉันหันไปมองก็เห็นภูตสาวตนหนึ่งกำลังเดินมาพร้อมกับรอยยิ้ม  ผมของเธอมีสีน้ำตาลอ่อนและดวงตาสีฟ้าสดใสเช่นเดียวกับองค์ราชินี   

 

 

“ใช่แน่ๆเลย   เธอช่างงดงามมากจริงๆ!”  ภูตตนนั้นกล่าวอีกครั้ง  เธอคำนับให้กับองค์ราชินีเล็กน้อย

 

 

“สวัสดีจ๊ะฉันชื่อเกริด้า  มารีนเป็นน้องสาวขององค์ราชินีเองล่ะ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ  ในขณะที่ฉันฟังแล้วก็รู้สึกอึ้งๆ

 

 

“สวัสดีคะ ฉันแอนนา เบลล์” ฉันรีบแนะนำตัวทันที  ทำท่าจะทำความเคารพ

 

 

“ทำตัวตามสบายเถอะนะ  ยังไงฉันก็ไม่ใช่ราชินีสักหน่อย  ฮ่าๆๆ ต่อจากนี้ก็ฝากตัวด้วยล่ะ”

 

 

“ค่ะ?”  ฉันเริ่มงง

 

 

“หลังจากนี้ข้าเองก็คงต้องวุ่นอยู่กับการเตรียมงานเหมือนกัน  เพราะฉะนั้นต่อจากไปมารีน...น้องสาวของข้าจะเป็นคนดูแลเจ้าต่อล่ะกันนะ  นางเก่งเรื่องพวกนี้มากเพราะฉะนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น” องค์ราชินีรีบอธิบายให้ฉันฟัง  ฉันพยักหน้าอย่างเข้าใจ

 

 

“พี่คะ  พี่น่ะรีบกลับไปทำงานได้แล้ว ทุกคนรออยู่นะ  ตอนนี้ผู้ถูกเลือกเป็นของหนูแล้วนะ”

 

 

“เข้าใจแล้ว  ฝากด้วยนะ”

 

 

“จ้า...”

 

 

ฉันมององค์ราชินีกับน้องสาวพูดกันด้วยความรู้สึกประหลาด  ทั้งสองดูเหมือนจะมีนิสัยต่างกันมากเสียเหลือเกิน  องค์ราชินีที่ดูสุขุมเยือกเย็นเหมือนกับน้ำนิ่ง  แต่มารีนผู้เป็นน้องสาวกลับเต็มไปด้วยความสดใสร่าเริงเหมือนท้องทะเลที่เต็มไปด้วยคลื่นไม่มีผิด

 

 

“เอาล่ะ  จากนี้ไปเธอก็เรียกฉันว่ามารีนนะ  แล้วฉันจะให้ฉันเรียกเธอว่าอะไรดีล่ะ?” มารีนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงร่าเริงทันทีที่อยู่กันฉันเพียงสองคน

 

 

“แอนน์ก็ได้คะ”

 

 

“ไม่ต้องยืนเกร็งขนาดนั้นก็ได้  บอกให้ทำตัวตามสบายไง”  ฉันยืนนิ่งอึ้งยังคงปรับอารมณ์ตามไม่ทันสักเท่าไหร่

 

 

“ถ้างั้นอันดับแรกเรามาวัดตัวกันก่อนดีไหม?”

 

 

“เอ๊ะ....วัดตัวงั้นเหรอคะ?”

 

 

“ใช่….”  แล้วมารีนก็ดึงมือฉันไปวัดตัวอย่างที่พูดจริงๆ

 

 

“ฉันคิดว่าอย่างเธอน่าจะเหมาะกับสีขาวนะ  อืม...คิดเพลงที่จะร้องออกรึยัง?”

 

 

“ฉันยังไม่รู้เลยคะ”

 

 

“ลองร้องเพลงที่แต่งเองสิ...แบบนั้นเธอน่าจะสื่ออารมณ์ออกมาได้ดีกว่านะ”

 

 

“คะ?  คือ...ฉันไม่มีหรอกคะ เพลงที่แต่งเองนะ”

 

 

“ลองแต่งดูสิ  ยังมีเวลาอีกหลายวันกว่างานเฉลิมฉลองจะมาถึงนี่หน่า”

 

 

“คะ...พอมารีนแนะนำแบบนี้  ฉันก็เลยคิดลองแต่งเพลงดูก็น่าจะดีเหมือนกัน”  ฉันกับมารีนหันมายิ้มให้แก่กัน

 

 

“แล้วเธอมีคนรักหรือยังเอ่ย...?”   อยู่ดีๆมารีนก็ถามขึ้น  ฉันหน้าแดงขึ้นทันทีทั้งที่ตัวเองสั่นหน้าปฏิเสธ

 

 

“มีสินะ  ใครกันน๊าหนุ่มผู้โชคดีคนนั้น?”  มารีนรีบถามต่อทันที

 

 

“แต่ฉันไม่ได้บอกว่าฉันมีเลยนะคะ...”

 

 

“หรือว่าเจ้าชายขี้เก็กคนนั้น?”  มารีนพร้อมกับเหล่ตามองฉัน

 

 

“เจ้าชายขี้เก็ก?”

 

 

“ก็เจ้าชายแห่งฟรีดอมไง  คนที่ผมสีน้ำเงิน  ตาสีเขียวน่ะ”

 

 

ฉันยิ่งหน้าแดงเข้าไปใหญ่

 

 

“ถูกเผงเลยใช่ไหมล่ะ!”

 

 

ฉันรู้สึกว่าตัวเองหน้าร้อนวูบ  แต่ชั่วขณะนั้นเองฉันก็คิดถึงความเป็นจริงและคำมั่นสัญญาที่เคยให้ไว้  รอยยิ้มก็เลือนหายไปจากใบหน้าของฉันในทันที

 

 

“มีอะไรหรือเปล่า?”  มารีนเห็นฉันเงียบไปจึงเอ่ยถามขึ้นมา

 

 

“ไม่คะ.... ไม่มีอะไรคะ”

 

 

มารีนจ้องฉันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเอ่ยว่า “งานฉลองที่กำลังจะถึงนี้  ถือโอกาสบอกความในใจกับเขาไปเลยดีไหมล่ะ?”

 

 

“ว่าไงนะคะ!” ฉันสะดุ้ง

 

 

“เอาอย่างนี้ดีกว่านะ....”   มารีนเอี้ยวตัวมากระซิบที่ข้างหูของฉัน  ฉันนั่งนิ่งแล้วฟังไปด้วยความอัศจรรย์ใจ  ประหลาดใจ และสนใจในที่สุดฉ

 

 

 

***********

 

ปล. อยากลงตอนที่เกี่ยวกับโอเวอร์โซลและเอสคาราสมานานแล้ว แหะๆ.....  ขอให้ทุกคนอ่านกันอย่างมีความสุขเนอะ มีอะไรติชมได้เสมอจ้า  พบกันใหม่ตอนหน้านะทุกคน      

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
6.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา