ตุ๊กตาแสนกล
5.3
เขียนโดย Glover
วันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 เวลา 17.54 น.
9 ตอน
1 วิจารณ์
14.64K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 16.39 น. โดย เจ้าของนิยาย
6) ตอนที่ 6
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 6
บุรพัชร์ออกจากลิฟต์ กำลังมองหาห้องอาหารที่คนคุ้นเคยได้นัดหมายเอาไว้...แต่แล้วก็มีร่างกายของ
ใครบางคนฉาบเข้ามาปะทะในขณะที่เขาไม่ทันรู้ตัว โชคดีร่างแกร่งกำยำไม่สะทกสะท้าน
ตรงกันข้ามร่างเพรียวระหงสมสัดส่วนของฝ่ายนั้นต่างหากล่ะที่รับน้ำหนักของเขาไม่ไหว จนต้องเป็นฝ่ายกระเด็นกระดอนออกไปเอง
“คุณเป็นอะไรมากหรือเปล่า?” บุรพัชร์เอ่ยเสียงนวล เมื่อเห็นเขาพอจะทรงตัวได้แล้ว
เริงรันอ้าปากเตรียมจะฉะด้วยความฉุนเฉียว แต่พอคมหน้าปรากฏแก่สายตา เรียวปากคู่นั้นก็เผยรอยยิ้มออกมาแทนที่
“ไม่เป็นไรครับ...ว่าแต่คุณคงไม่โกรธผมใช่ไหมที่เดินงุ่มง่ามเข้ามาชนคุณแบบนี้”
“เรื่องเล็กน้อยเท่านั้นล่ะครับ...ผมเองก็ไม่ทันได้สังเกตเหมือนกัน”
“ขอบคุณครับที่ไม่โกรธ...เอ่อ...ถ้าผมจำไม่ผิด คุณคือคุณเบียร์ใช่ไหมครับ” เป็นคำถามทำให้บุรพัชร์เลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความฉงน
“ใช่ครับ...ว่าแต่คุณรู้จักผมได้ยังไง?”
เนื้อเสียงที่บ่งบอกถึงความใคร่รู้ ทำให้เริงรันเผยรอยยิ้มที่สว่างไสวมากยิ่งขึ้น รูปหน้าที่สวยหวานเกินกว่าบุรุษเพศ มีผิวเนื้อที่ขาวกระจ่างบริสุทธิ์ เมื่อมีรอยยิ้มประทับอยู่ในนั้นยิ่งเสริมสร้างให้เขามีเสน่ห์น่าสนใจ
เริงรันเปล่งเสียงหัวเราะให้พอดูดีก่อนจะให้คำตอบออกไป
“ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกครับ...ในวงการแฟชั่น ใครบ้างที่จะไม่รู้จักดีไซน์เนอร์และเจ้าของห้องเสื้อที่โดดเด่นอย่างคุณ” ด้วยความสุภาพของคนพูดและอัธยาศัยที่ดูเป็นกันเอง ทำให้บุรพัชร์อดที่จะคุยระรื่นกลับไปไม่ได้
“พูดอย่างนี้ แสดงว่าคุณเองก็คงจะอยู่ในวงการแฟชั่นเหมือนกัน ยังไงรบกวนคุณช่วยแนะนำตัวเองหน่อยได้ไหมครับ เผื่อเราจะได้ทำความรู้จักกันมากกว่านี้” แต่แทนที่เริงรันจะต่อออกไปในทันที ชายหนุ่มกลับส่งรอยยิ้มขำ ๆ แกมน้อยใจออกมาในคราวเดียวกัน
“ว้า...น่าน้อยใจจังเลย ที่คุณเบียร์ไม่รู้จักผม”
แม้ฝ่ายตรงข้ามจะพูดทีเล่นมากกว่า เพราะหน้ายังแดงระเรื่อไปด้วยเลือดฝาด แต่บุรพัชร์ก็อดที่จะละอายอยู่ลึก ๆ ไม่ได้ ชายหนุ่มกะจะพูดอะไรออกไปแต่ฝ่ายนั้นก็แทรกขึ้นซะก่อน
“ผม เริงรันครับ...หรือจะเรียกผมว่ารันสั้น ๆ ก็ได้”
“เริงรัน ผมชักจะคุ้น ๆ ชื่อของคุณซะแล้วสิ”
“โชคดีนะครับที่คุณยังคุ้น ๆ ชื่อผมอยู่บ้าง แสดงว่าผมยังไม่ดับ...ที่ผ่านมาผมนึกว่าตัวเองเป็นนายแบบชื่อดังที่ใคร ๆ ต่างก็รู้จักดี แต่ที่ไหนได้แม้กระทั่งเจ้าของห้องเสื้อชั้นนำก็ยังไม่รู้ อย่างนี้ผมคงต้องพิจารณาผลงานของตัวเองใหม่แล้วล่ะครับ” บุรพัชร์ขำออกมาบ้าง
“ผมเองก็คงต้องพิจารณาตัวเองด้วยเหมือนกัน ที่ไม่รู้จักนายแบบชื่อดังอย่างคุณ ยังไงผมก็ยินดีนะครับที่ได้มาพบคุณที่นี่…คุณเริงรัน” บุร-พัชร์ยื่นมือออกไปเพื่อแสดงมิตรภาพและฝ่ายนั้นก็ไม่มีทีท่าที่จะปฏิเสธแต่อย่างใด
“เช่นกันครับ...หวังว่าในอนาคตเราคงได้ร่วมงานกันบ้างนะครับ”
“ผมก็หวังอย่างนั้นเหมือนกัน...นายแบบที่มากความสามารถอย่างคุณห้องเสื้อไหน ๆ ก็ต้องการ”
“แหม...คุณก็พูดเกินไป”
“ไม่เกินไปหรอกครับ ถึงผมเพิ่งจะเจอคุณวันนี้เป็นวันแรก แต่ก็เคยได้ยินคำชื่นชมของคุณมานักต่อนัก...งานแฟชั่นโชว์ของผมที่จะจัดขึ้นอีกสองอาทิตย์ข้างหน้า ยังไงผมขอเชิญคุณมาร่วมงานด้วยกันนะครับถ้าไม่เป็นการกระชั้นชิดจนเกินไป”
เป็นคำเชิญชวนที่ทำให้เริงรันแทบจะเต้นเร่า ๆ ด้วยความดีใจ...เพราะบุรพัชร์จัดเป็นเจ้าของห้องเสื้อที่ประสบความสำเร็จอันดับต้น ๆ เลยทีเดียว และที่สำคัญบุคคลที่อยู่ตรงหน้าเป็นหนุ่มสมาร์ทที่เขาหมายตามานานแสนนาน ไม่ใช่เฉพาะเริงรันเท่านั้น แต่ยังมีสาวน้อยสาวใหญ่และเพื่อน ๆ นายแบบ กลุ่มแอบจิตอีกมากมาย ที่กำลังหลงใหลได้ปลื้มเขาอยู่ไม่แพ้กัน
“จริงเหรอครับ...!”
“จริงสิครับ...ถ้าคุณจะให้เกียรติ”
“แหม...ต้องให้เกียรติ์สิครับ นายแบบอย่างผมต่างหากล่ะที่ต้องอ้อนวอนของานจากคุณ” คำพูดที่ดูถ่อมเกิน...ทำให้บุรพัชร์อดที่จะขำออกมาตามแบบฉบับของหนุ่มอารมณ์ดีไม่ได้
“เอาล่ะครับ ถ้ายิ่งพูดก็ยิ่งจะยกยอไปกันใหญ่ ยังไงวันนี้ผมต้องขอตัวก่อนนะครับ พอดีผมนัดกับเพื่อน เอาไว้เราคงได้เจอกันแน่นอนในโอกาสที่เหมาะสม” ชายหนุ่มกล่าวพร้อมกับเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ
เริงรันจึงกล่าวคำร่ำลาด้วยความสุภาพก่อนที่ฝ่ายนั้นจะละออกไป...ประกายสุกใสปรากฏขึ้นในดวงตา...โอกาสมาถึงขั้นนี้แล้ว ถือเป็นเสียงระฆังจากสรวงสวรรค์เลยทีเดียว ยังไงซะคนอย่างเริงรันเมื่อหมายปองใครเอาไว้ ชายหนุ่มคงไม่หยุดความสัมพันธ์อยู่เพียงแค่นี้แน่...!
************
จักรกฤษณ์ชักจะรำคาญเหลือทน เมื่อได้ยินเสียงร้องเพลงอันกึกก้องเหมือนดินระเบิดแตก...ชายหนุ่มมองเขม็งไปยังร่างยักษ์ที่กำลังเต้นแด๋ว ๆ อยู่ตรงหน้า โดยใช้อุปกรณ์ทำความสะอาดเป็นอาวุธในการร้องเพลง แม่บ้านสาวร่างอวบจึงแผดเสียงไปทำงานไปอย่างมีความสุขเมื่อไม่มีผู้ว่าจ้างอยู่ในบ้าน ณ เวลานี้ สิ่งมีชีวิตเดียวที่มีอยู่ตอนนี้ก็คือเจ้าแมวเหมียวจีเวอนี่เท่านั้น
แม่บ้านสาวตอนนี้จึงดูเหมือนจะเป็นเจ้าของบ้านมากกว่าจะเป็นคนรับใช้ เพราะไม่ว่าจะเดินเหินไปมุมไหน...จับต้องสิ่งของใด ก็ดูจะไม่ยี่หระในสามัญสำนึกเลยซักนิด หล่อนหยิบนั่นฉวยนี่ของผู้เป็นนายขึ้นมาดู ในขณะเดียวกันก็วิพากษ์วิจารณ์อะไรต่าง ๆ นานาอย่างมันปาก หารู้ไม่ว่ามีสิ่งใดสิ่งหนึ่งกำลังจับตาดูอยู่
“เหอะ...ไอ้พวกตุ๊ดพวกเกย์เนี่ยประเสริฐศรีดีจริงจริ๊ง... จะเอากันทั้งทีก็ต้องใช้อุปกรณ์มากมาย...แพงแสนแพง...อย่างนี้ใช้น้ำมันพืชหรือน้ำมันหมูแทนไม่ดีกว่าหรือไง ...ถูกกว่ากันเป็นไหน ๆ” แม่บ้านสาวแสดงความคิดเห็นอยู่คนเดียวเมื่อหยิบขวดเจลหล่อลื่นขึ้นมาดู
“ก็อย่างว่านั่นแหละ...เกิดมาผิดมนุษย์มนาอย่างนี้ จะเสียวกันทั้งทีก็เลยต้องลงทุนหน่อย” ไม่ว่าเปล่ายังทิ้งตัวลงนอนที่เตียงนุ่ม ๆ อย่างไม่เกรงใจเจ้าของห้อง
“...โชคดีนะที่ฉันไม่ได้เกิดมาวิปริตอย่างนี้ ไม่งั้นคงต้องขอกลับไปเกิดใหม่ดีกว่า ไม่อยากจะนึกสภาพตอนนั้นเลย...” หล่อนทำท่าทางขนลุกขนพองเสียเต็มประดา
จักรกฤษณ์ยิ่งดูก็ยิ่งฉุนจัดมากยิ่งขึ้น...ชายหนุ่มรังเกียจอย่างยิ่งคือบุคคลที่ชอบเหยียดหยามเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ไม่ใช่เพราะภาคภูมิใจเหลือเกินกับเพศที่เกิดมาแต่เป็นเพราะคนเราเลือกเกิดไม่ได้ต่างหากล่ะ
ใครกันบ้างที่อยากเกิดมาผิดธรรมชาติและกลายเป็นตัวประหลาดของสังคมแบบนี้ แต่คำพูดของแม่บ้านสาวนั่นสิ ฟังดูก็รู้ว่าจิตใจของหล่อนขาดการอบรมเป็นอย่างยิ่ง อย่าว่าแต่คนชั้นนี้เลย แม้กระทั่งคนที่ได้รับการศึกษาอย่างพ่อและพี่ชายของเขาก็ยังพูดจาถางถากหยามเหยียดมานักต่อนัก นับภาษาอะไรกับสาวใช้คนนี้ ที่ดูไม่มีการศึกษาเท่าไร...
“เฮ้อ...สบายจัง ไม่มีใครอยู่ของีบซักพักเถอะ” แม่บ้านสาวทอดเสียงอย่างสบายอารมณ์ ในขณะเดียวกันก็หลับตาพริ้มราวกับคนที่ทำงานหนักมานานแสนนาน แต่แล้วหล่อนก็ต้องลืมตาโพลงด้วยความแปลกใจเมื่อมีเสียงหนึ่งแทรกขึ้น
“ไม่มีมารยาท...!” จักรกฤษณ์อดที่จะตะคอกเสียงออกไปไม่ได้
แม่บ้านสาวลุกออกจากเตียงมองหาต้นเสียงแต่ก็หาไม่เจอ...เพราะสิ่งมีชีวิตที่เหลืออยู่ก็มีแต่เจ้าแมวเหมียวตัวเดียวเท่านั้น
“ใคร...?!”เนื้อเสียงสั่นเครือ แต่ก็มีแววข่มอยู่ในที...อึดใจหนึ่ง หล่อนอดที่จะคิดว่าเป็นเสียงของไปรวิทย์ไม่ได้
“ฉันถามว่าใคร ออกมาเดี๋ยวนี้นะ!” แม่บ้านสาวย้ำเสียงอีกครั้ง เมื่อมีแต่ความเงียบหล่อนจึงถอนหายใจลึก
“หรือว่าฉันหูฝาดไป!” แม้คำพูดจะเป็นอีกอย่างแต่หูตากลับเลิ่กลั่กด้วยความฉงนฉงาย
...จักรกฤษณ์เห็นดังนั้นก็อดที่จะแปลกใจไม่ได้...ที่ผ่านมาเขาตะโกนดังลั่นขนาดไหน ตายักษ์หน้าคมก็ไม่เห็นจะเคยได้ยินเลยซักครั้ง แต่แม่บ้านคนนี้กลับได้ยิน ชายหนุ่มจึงตะเบ็งเสียงออกไปอีกครั้งเป็นการทดลอง
“ไอ้พวกจิตต่ำ...ไม่มีการศึกษา!” คราวนี้ยิ่งชัดเจนใหญ่ แม่บ้านสาวถึงกลับหอบฝืด ดวงตาเบิกกว้างด้วยความกลัว...จะไม่ให้กลัวได้ยังไง...ก็มันมีแต่เสียงแต่ตัวคนกลับไม่มี นี่แสดงว่าต้องเป็น?
“ผะ...ผะ...ผะ...ผี!” แม่บ้านสาวพนมมือขึ้นพัลวัน จักรกฤษณ์ยิ่งเห็นก็ยิ่งรู้สึกสนุกอยากจะหาเรื่องกลั่นแกล้งมากยิ่งขึ้น
“ใช่!...ฉันเป็นผี ถ้าแกไม่ออกไปจากห้องนี้ฉันจะหักคอแกตาย”
ชายหนุ่มรู้สึกว่าแม่บ้านสาวกำลังร้องไห้ ฮือ...แต่ไม่มีเสียงใดเล็ดรอดออกมาเลย ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าจึงทำให้เขาอดที่จะขำไม่ได้ เพราะมันตลกสิ้นดี อย่าฉี่ออกมาละกัน...
“ค่ะ...ค่ะ...ลูกช้างจะออกไปเดี๋ยวนี้ อย่า...อย่ามาหลอกมาหลอนกันเลย”
จบประโยคหญิงสาวก็ถึงกับวิ่งแจ้นออกไปแทบไม่ทัน แต่จักรกฤษณ์ยังมิวายที่จะส่งเสียงไล่ตามไป
“จำเอาไว้...ถ้าแกกลับมาที่นี่อีก ฉันจะหักคอแกตาย”
เมื่อไม่มีแม่บ้านอยู่ในห้องชายหนุ่มถึงกับขำกลิ้ง...ถ้ากลิ้งได้เขากลิ้งไปแล้ว วูบหนึ่งเขาก็รู้สึกประหลาดกับมวลเสียงของตัวเอง มันเป็นไปได้ยังไงที่จะมีคนได้ยิน เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีวี่แววเลยสักนิด ว่าดวงจิตของเขาจะสื่อเสียงออกไปได้...ในระหว่างที่เขากำลังสนเท่ห์กับสิ่งแปลกใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้น เขาก็แทบจะใจหายใจคว่ำเมื่อได้ยินเสียงดัง...เพล้ง!...มาจากด้านข้างเหมือนมีสิ่งของที่เป็นแก้วกำลังตกแตก
สัญชาตญาณทำให้เขาหันหน้าไปมอง นึกว่าอะไรที่แท้ก็เจ้าแมวเหมียวจีเวอนี่นี่เอง มันคงคิดพิเรนทร์ ๆ อยากจะขึ้นไปนอนตรงโต๊ะหัวเตียงของผู้เป็นเจ้าของ เลยทำโคมไฟรูปโดมสีขาวขุ่นตัวนั้นตกลงมาแตก ในขณะที่มันไม่สนใจไยดีกับการกระทำของตัวเองเลย กลับนอนหลับอย่างปีติยินดี จักรกฤษณ์อดที่จะเอ็ดขำ ๆ ไม่ได้
ที่นอนของแกเนี่ย...ชั่งเหมาะเหม็งซะเหลือเกินนะ!
เมื่อไม่มีอะไรให้น่าสนใจแล้ว...ชายหนุ่มก็หันกลับมาที่เดิม กำลังจะคิดหาเหตุผลของเสียงนั่นอยู่แล้ว วูบหนึ่งชายหนุ่มถึงกับซ่านขึ้นมาในอก เมื่อจิตใต้สำนึกกระตุกให้รับรู้ความจริงเมื่อสักครู่...มันเป็นไปได้ยังไง สิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นอีกแล้ว เขาหันหน้าไปมองเจ้าแมวเหมียวและสามารถหันหน้ากลับมาได้
โอ้...จริงหรือนี่! เขาขยับร่างกายได้แล้วหรือนี่...?
จะเป็นความรู้สึกดีใจหรือเสียใจ ชายหนุ่มก็บอกไม่ถูก รู้แต่เพียงว่ามันทำให้เขาประหลาดใจล้ำ ถ้ามันเป็นอย่างนั้นได้ก็ดีสิ ต่อไปนี้เขาจะได้ไม่ต้องมานั่งทนเป็นของเล่นของใครอีก แถมตอนนี้ชายหนุ่มยังสามารถมีเสียงเพียงพอต่อการระบายอารมณ์ออกไปได้...ว่าแล้วจักรกฤษณ์จึงพยายามที่จะทดลองอีกครั้ง
เขาหันหน้าไปมองเจ้าแมวยักษ์แล้วก็หันกลับมาอีกครั้ง มันยังคงนอนอยู่ที่เดิม คราวนี้เขาลองพยายามยกแขนตุ๊กตาขึ้นมาบ้าง ทีแรกยังไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไรแม้มันจะไม่มีน้ำหนักและชายหนุ่มรู้สึกเบาหวิวเหลือเกิน แต่ถึงยังไงก็ไม่สามารถจะควบคุมมันได้ มันยังคงด้านชาราวกับคนเป็นอัมพาต
แต่ขึ้นชื่อว่าจักรกฤษณ์ย่อมเป็นบุคคลที่มีความหวัง ชายหนุ่มจึงสูดลมหายใจลึกพยายามรวบรวมพลังทั้งหมดเท่าที่มี แล้วปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้นจริงมันขยับขึ้นมาได้ แม้มันจะไม่รวดเร็วเหมือนกายเนื้อมนุษย์แต่สัญชาตญาณบอกให้เขารู้ได้โดยเร็วว่ามันต้องพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากช้าเป็นเร็ว จากการขยับแขนได้เป็นขยับขาและสามารถเดินเหินได้ด้วย
โอ้...ถึงเวลานี้ชายหนุ่มรู้แล้วว่าไม่ได้ฝันไป
เขาดีใจเหลือเกิน ที่อย่างน้อย ๆ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ได้ละเลยปล่อยให้เขาอ้างว้างอยู่อย่างเดียว ต่อไปนี้เขาจะกลายเป็นตุ๊กตาที่มีชีวิต...เป็นตุ๊กตาที่ไม่สามารถจะหาได้ที่ไหนในโลกใบนี้อีกแล้ว เป็นครั้งแรกที่จักรกฤษณ์รู้สึกมีความหวังและปลาบปลื้มกับสิ่งที่เพิ่งปรากฏขึ้น...แต่แล้วความคิดหนึ่งก็แทรกเข้ามา ดับอารมณ์อันเปรมปรีดิ์ได้ในฉับพลัน
จริงสิ นะเขาจะดีใจไปเพื่ออะไร...ถึงจะขยับตัวได้ พูดจาได้ แต่จะไปมีประโยชน์อะไรเมื่อเขาก็เป็นเพียงแค่ตุ๊กตาที่ไม่สามารถจะเสวนาปราศรัยกับใครได้เลย ดูอย่างแม่บ้านคนนั้นสิยังเข้าใจว่าเขาเป็นผี แล้วคนอื่นล่ะมีใครบ้างที่อยากจะคบกับสิ่งแปลกปลอม ถึงจะเป็นตุ๊กตาที่มีชีวิตก็ยังคงต้องอยู่อย่างลำพังเหมือนเดิม...
นอกจากจะต้องอยู่อย่างลำพังแล้ว ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นยังบอกให้รู้ได้อย่างชัดเจนว่าเขาจะต้องติดอยู่ในตุ๊กตาตัวนี้ไปอีกนานแสนนาน ยิ่งเขาขยับตัวได้ พูดคุยได้ ก็เท่ากับว่าดวงจิตของเขาหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกันกับตุ๊กตาตัวนี้ แล้วอย่างนี้โอกาสที่ดวงจิตของเขาจะได้ไปผุดไปเกิดก็มีน้อยลงทุกที
เฮ้อ...เวรกรรม! เขาต้องดีใจหรือเสียใจกันแน่
ทำไมเขาต้องหลุดเข้ามาอยู่ในตุ๊กตาตัวนี้ด้วยนะ
ไอ้ตุ๊กตาบ้า...
ตุ๊กตาแสนกล!
***************
บุรพัชร์ออกจากลิฟต์ กำลังมองหาห้องอาหารที่คนคุ้นเคยได้นัดหมายเอาไว้...แต่แล้วก็มีร่างกายของ
ใครบางคนฉาบเข้ามาปะทะในขณะที่เขาไม่ทันรู้ตัว โชคดีร่างแกร่งกำยำไม่สะทกสะท้าน
ตรงกันข้ามร่างเพรียวระหงสมสัดส่วนของฝ่ายนั้นต่างหากล่ะที่รับน้ำหนักของเขาไม่ไหว จนต้องเป็นฝ่ายกระเด็นกระดอนออกไปเอง
“คุณเป็นอะไรมากหรือเปล่า?” บุรพัชร์เอ่ยเสียงนวล เมื่อเห็นเขาพอจะทรงตัวได้แล้ว
เริงรันอ้าปากเตรียมจะฉะด้วยความฉุนเฉียว แต่พอคมหน้าปรากฏแก่สายตา เรียวปากคู่นั้นก็เผยรอยยิ้มออกมาแทนที่
“ไม่เป็นไรครับ...ว่าแต่คุณคงไม่โกรธผมใช่ไหมที่เดินงุ่มง่ามเข้ามาชนคุณแบบนี้”
“เรื่องเล็กน้อยเท่านั้นล่ะครับ...ผมเองก็ไม่ทันได้สังเกตเหมือนกัน”
“ขอบคุณครับที่ไม่โกรธ...เอ่อ...ถ้าผมจำไม่ผิด คุณคือคุณเบียร์ใช่ไหมครับ” เป็นคำถามทำให้บุรพัชร์เลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความฉงน
“ใช่ครับ...ว่าแต่คุณรู้จักผมได้ยังไง?”
เนื้อเสียงที่บ่งบอกถึงความใคร่รู้ ทำให้เริงรันเผยรอยยิ้มที่สว่างไสวมากยิ่งขึ้น รูปหน้าที่สวยหวานเกินกว่าบุรุษเพศ มีผิวเนื้อที่ขาวกระจ่างบริสุทธิ์ เมื่อมีรอยยิ้มประทับอยู่ในนั้นยิ่งเสริมสร้างให้เขามีเสน่ห์น่าสนใจ
เริงรันเปล่งเสียงหัวเราะให้พอดูดีก่อนจะให้คำตอบออกไป
“ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกครับ...ในวงการแฟชั่น ใครบ้างที่จะไม่รู้จักดีไซน์เนอร์และเจ้าของห้องเสื้อที่โดดเด่นอย่างคุณ” ด้วยความสุภาพของคนพูดและอัธยาศัยที่ดูเป็นกันเอง ทำให้บุรพัชร์อดที่จะคุยระรื่นกลับไปไม่ได้
“พูดอย่างนี้ แสดงว่าคุณเองก็คงจะอยู่ในวงการแฟชั่นเหมือนกัน ยังไงรบกวนคุณช่วยแนะนำตัวเองหน่อยได้ไหมครับ เผื่อเราจะได้ทำความรู้จักกันมากกว่านี้” แต่แทนที่เริงรันจะต่อออกไปในทันที ชายหนุ่มกลับส่งรอยยิ้มขำ ๆ แกมน้อยใจออกมาในคราวเดียวกัน
“ว้า...น่าน้อยใจจังเลย ที่คุณเบียร์ไม่รู้จักผม”
แม้ฝ่ายตรงข้ามจะพูดทีเล่นมากกว่า เพราะหน้ายังแดงระเรื่อไปด้วยเลือดฝาด แต่บุรพัชร์ก็อดที่จะละอายอยู่ลึก ๆ ไม่ได้ ชายหนุ่มกะจะพูดอะไรออกไปแต่ฝ่ายนั้นก็แทรกขึ้นซะก่อน
“ผม เริงรันครับ...หรือจะเรียกผมว่ารันสั้น ๆ ก็ได้”
“เริงรัน ผมชักจะคุ้น ๆ ชื่อของคุณซะแล้วสิ”
“โชคดีนะครับที่คุณยังคุ้น ๆ ชื่อผมอยู่บ้าง แสดงว่าผมยังไม่ดับ...ที่ผ่านมาผมนึกว่าตัวเองเป็นนายแบบชื่อดังที่ใคร ๆ ต่างก็รู้จักดี แต่ที่ไหนได้แม้กระทั่งเจ้าของห้องเสื้อชั้นนำก็ยังไม่รู้ อย่างนี้ผมคงต้องพิจารณาผลงานของตัวเองใหม่แล้วล่ะครับ” บุรพัชร์ขำออกมาบ้าง
“ผมเองก็คงต้องพิจารณาตัวเองด้วยเหมือนกัน ที่ไม่รู้จักนายแบบชื่อดังอย่างคุณ ยังไงผมก็ยินดีนะครับที่ได้มาพบคุณที่นี่…คุณเริงรัน” บุร-พัชร์ยื่นมือออกไปเพื่อแสดงมิตรภาพและฝ่ายนั้นก็ไม่มีทีท่าที่จะปฏิเสธแต่อย่างใด
“เช่นกันครับ...หวังว่าในอนาคตเราคงได้ร่วมงานกันบ้างนะครับ”
“ผมก็หวังอย่างนั้นเหมือนกัน...นายแบบที่มากความสามารถอย่างคุณห้องเสื้อไหน ๆ ก็ต้องการ”
“แหม...คุณก็พูดเกินไป”
“ไม่เกินไปหรอกครับ ถึงผมเพิ่งจะเจอคุณวันนี้เป็นวันแรก แต่ก็เคยได้ยินคำชื่นชมของคุณมานักต่อนัก...งานแฟชั่นโชว์ของผมที่จะจัดขึ้นอีกสองอาทิตย์ข้างหน้า ยังไงผมขอเชิญคุณมาร่วมงานด้วยกันนะครับถ้าไม่เป็นการกระชั้นชิดจนเกินไป”
เป็นคำเชิญชวนที่ทำให้เริงรันแทบจะเต้นเร่า ๆ ด้วยความดีใจ...เพราะบุรพัชร์จัดเป็นเจ้าของห้องเสื้อที่ประสบความสำเร็จอันดับต้น ๆ เลยทีเดียว และที่สำคัญบุคคลที่อยู่ตรงหน้าเป็นหนุ่มสมาร์ทที่เขาหมายตามานานแสนนาน ไม่ใช่เฉพาะเริงรันเท่านั้น แต่ยังมีสาวน้อยสาวใหญ่และเพื่อน ๆ นายแบบ กลุ่มแอบจิตอีกมากมาย ที่กำลังหลงใหลได้ปลื้มเขาอยู่ไม่แพ้กัน
“จริงเหรอครับ...!”
“จริงสิครับ...ถ้าคุณจะให้เกียรติ”
“แหม...ต้องให้เกียรติ์สิครับ นายแบบอย่างผมต่างหากล่ะที่ต้องอ้อนวอนของานจากคุณ” คำพูดที่ดูถ่อมเกิน...ทำให้บุรพัชร์อดที่จะขำออกมาตามแบบฉบับของหนุ่มอารมณ์ดีไม่ได้
“เอาล่ะครับ ถ้ายิ่งพูดก็ยิ่งจะยกยอไปกันใหญ่ ยังไงวันนี้ผมต้องขอตัวก่อนนะครับ พอดีผมนัดกับเพื่อน เอาไว้เราคงได้เจอกันแน่นอนในโอกาสที่เหมาะสม” ชายหนุ่มกล่าวพร้อมกับเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ
เริงรันจึงกล่าวคำร่ำลาด้วยความสุภาพก่อนที่ฝ่ายนั้นจะละออกไป...ประกายสุกใสปรากฏขึ้นในดวงตา...โอกาสมาถึงขั้นนี้แล้ว ถือเป็นเสียงระฆังจากสรวงสวรรค์เลยทีเดียว ยังไงซะคนอย่างเริงรันเมื่อหมายปองใครเอาไว้ ชายหนุ่มคงไม่หยุดความสัมพันธ์อยู่เพียงแค่นี้แน่...!
************
จักรกฤษณ์ชักจะรำคาญเหลือทน เมื่อได้ยินเสียงร้องเพลงอันกึกก้องเหมือนดินระเบิดแตก...ชายหนุ่มมองเขม็งไปยังร่างยักษ์ที่กำลังเต้นแด๋ว ๆ อยู่ตรงหน้า โดยใช้อุปกรณ์ทำความสะอาดเป็นอาวุธในการร้องเพลง แม่บ้านสาวร่างอวบจึงแผดเสียงไปทำงานไปอย่างมีความสุขเมื่อไม่มีผู้ว่าจ้างอยู่ในบ้าน ณ เวลานี้ สิ่งมีชีวิตเดียวที่มีอยู่ตอนนี้ก็คือเจ้าแมวเหมียวจีเวอนี่เท่านั้น
แม่บ้านสาวตอนนี้จึงดูเหมือนจะเป็นเจ้าของบ้านมากกว่าจะเป็นคนรับใช้ เพราะไม่ว่าจะเดินเหินไปมุมไหน...จับต้องสิ่งของใด ก็ดูจะไม่ยี่หระในสามัญสำนึกเลยซักนิด หล่อนหยิบนั่นฉวยนี่ของผู้เป็นนายขึ้นมาดู ในขณะเดียวกันก็วิพากษ์วิจารณ์อะไรต่าง ๆ นานาอย่างมันปาก หารู้ไม่ว่ามีสิ่งใดสิ่งหนึ่งกำลังจับตาดูอยู่
“เหอะ...ไอ้พวกตุ๊ดพวกเกย์เนี่ยประเสริฐศรีดีจริงจริ๊ง... จะเอากันทั้งทีก็ต้องใช้อุปกรณ์มากมาย...แพงแสนแพง...อย่างนี้ใช้น้ำมันพืชหรือน้ำมันหมูแทนไม่ดีกว่าหรือไง ...ถูกกว่ากันเป็นไหน ๆ” แม่บ้านสาวแสดงความคิดเห็นอยู่คนเดียวเมื่อหยิบขวดเจลหล่อลื่นขึ้นมาดู
“ก็อย่างว่านั่นแหละ...เกิดมาผิดมนุษย์มนาอย่างนี้ จะเสียวกันทั้งทีก็เลยต้องลงทุนหน่อย” ไม่ว่าเปล่ายังทิ้งตัวลงนอนที่เตียงนุ่ม ๆ อย่างไม่เกรงใจเจ้าของห้อง
“...โชคดีนะที่ฉันไม่ได้เกิดมาวิปริตอย่างนี้ ไม่งั้นคงต้องขอกลับไปเกิดใหม่ดีกว่า ไม่อยากจะนึกสภาพตอนนั้นเลย...” หล่อนทำท่าทางขนลุกขนพองเสียเต็มประดา
จักรกฤษณ์ยิ่งดูก็ยิ่งฉุนจัดมากยิ่งขึ้น...ชายหนุ่มรังเกียจอย่างยิ่งคือบุคคลที่ชอบเหยียดหยามเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ไม่ใช่เพราะภาคภูมิใจเหลือเกินกับเพศที่เกิดมาแต่เป็นเพราะคนเราเลือกเกิดไม่ได้ต่างหากล่ะ
ใครกันบ้างที่อยากเกิดมาผิดธรรมชาติและกลายเป็นตัวประหลาดของสังคมแบบนี้ แต่คำพูดของแม่บ้านสาวนั่นสิ ฟังดูก็รู้ว่าจิตใจของหล่อนขาดการอบรมเป็นอย่างยิ่ง อย่าว่าแต่คนชั้นนี้เลย แม้กระทั่งคนที่ได้รับการศึกษาอย่างพ่อและพี่ชายของเขาก็ยังพูดจาถางถากหยามเหยียดมานักต่อนัก นับภาษาอะไรกับสาวใช้คนนี้ ที่ดูไม่มีการศึกษาเท่าไร...
“เฮ้อ...สบายจัง ไม่มีใครอยู่ของีบซักพักเถอะ” แม่บ้านสาวทอดเสียงอย่างสบายอารมณ์ ในขณะเดียวกันก็หลับตาพริ้มราวกับคนที่ทำงานหนักมานานแสนนาน แต่แล้วหล่อนก็ต้องลืมตาโพลงด้วยความแปลกใจเมื่อมีเสียงหนึ่งแทรกขึ้น
“ไม่มีมารยาท...!” จักรกฤษณ์อดที่จะตะคอกเสียงออกไปไม่ได้
แม่บ้านสาวลุกออกจากเตียงมองหาต้นเสียงแต่ก็หาไม่เจอ...เพราะสิ่งมีชีวิตที่เหลืออยู่ก็มีแต่เจ้าแมวเหมียวตัวเดียวเท่านั้น
“ใคร...?!”เนื้อเสียงสั่นเครือ แต่ก็มีแววข่มอยู่ในที...อึดใจหนึ่ง หล่อนอดที่จะคิดว่าเป็นเสียงของไปรวิทย์ไม่ได้
“ฉันถามว่าใคร ออกมาเดี๋ยวนี้นะ!” แม่บ้านสาวย้ำเสียงอีกครั้ง เมื่อมีแต่ความเงียบหล่อนจึงถอนหายใจลึก
“หรือว่าฉันหูฝาดไป!” แม้คำพูดจะเป็นอีกอย่างแต่หูตากลับเลิ่กลั่กด้วยความฉงนฉงาย
...จักรกฤษณ์เห็นดังนั้นก็อดที่จะแปลกใจไม่ได้...ที่ผ่านมาเขาตะโกนดังลั่นขนาดไหน ตายักษ์หน้าคมก็ไม่เห็นจะเคยได้ยินเลยซักครั้ง แต่แม่บ้านคนนี้กลับได้ยิน ชายหนุ่มจึงตะเบ็งเสียงออกไปอีกครั้งเป็นการทดลอง
“ไอ้พวกจิตต่ำ...ไม่มีการศึกษา!” คราวนี้ยิ่งชัดเจนใหญ่ แม่บ้านสาวถึงกลับหอบฝืด ดวงตาเบิกกว้างด้วยความกลัว...จะไม่ให้กลัวได้ยังไง...ก็มันมีแต่เสียงแต่ตัวคนกลับไม่มี นี่แสดงว่าต้องเป็น?
“ผะ...ผะ...ผะ...ผี!” แม่บ้านสาวพนมมือขึ้นพัลวัน จักรกฤษณ์ยิ่งเห็นก็ยิ่งรู้สึกสนุกอยากจะหาเรื่องกลั่นแกล้งมากยิ่งขึ้น
“ใช่!...ฉันเป็นผี ถ้าแกไม่ออกไปจากห้องนี้ฉันจะหักคอแกตาย”
ชายหนุ่มรู้สึกว่าแม่บ้านสาวกำลังร้องไห้ ฮือ...แต่ไม่มีเสียงใดเล็ดรอดออกมาเลย ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าจึงทำให้เขาอดที่จะขำไม่ได้ เพราะมันตลกสิ้นดี อย่าฉี่ออกมาละกัน...
“ค่ะ...ค่ะ...ลูกช้างจะออกไปเดี๋ยวนี้ อย่า...อย่ามาหลอกมาหลอนกันเลย”
จบประโยคหญิงสาวก็ถึงกับวิ่งแจ้นออกไปแทบไม่ทัน แต่จักรกฤษณ์ยังมิวายที่จะส่งเสียงไล่ตามไป
“จำเอาไว้...ถ้าแกกลับมาที่นี่อีก ฉันจะหักคอแกตาย”
เมื่อไม่มีแม่บ้านอยู่ในห้องชายหนุ่มถึงกับขำกลิ้ง...ถ้ากลิ้งได้เขากลิ้งไปแล้ว วูบหนึ่งเขาก็รู้สึกประหลาดกับมวลเสียงของตัวเอง มันเป็นไปได้ยังไงที่จะมีคนได้ยิน เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีวี่แววเลยสักนิด ว่าดวงจิตของเขาจะสื่อเสียงออกไปได้...ในระหว่างที่เขากำลังสนเท่ห์กับสิ่งแปลกใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้น เขาก็แทบจะใจหายใจคว่ำเมื่อได้ยินเสียงดัง...เพล้ง!...มาจากด้านข้างเหมือนมีสิ่งของที่เป็นแก้วกำลังตกแตก
สัญชาตญาณทำให้เขาหันหน้าไปมอง นึกว่าอะไรที่แท้ก็เจ้าแมวเหมียวจีเวอนี่นี่เอง มันคงคิดพิเรนทร์ ๆ อยากจะขึ้นไปนอนตรงโต๊ะหัวเตียงของผู้เป็นเจ้าของ เลยทำโคมไฟรูปโดมสีขาวขุ่นตัวนั้นตกลงมาแตก ในขณะที่มันไม่สนใจไยดีกับการกระทำของตัวเองเลย กลับนอนหลับอย่างปีติยินดี จักรกฤษณ์อดที่จะเอ็ดขำ ๆ ไม่ได้
ที่นอนของแกเนี่ย...ชั่งเหมาะเหม็งซะเหลือเกินนะ!
เมื่อไม่มีอะไรให้น่าสนใจแล้ว...ชายหนุ่มก็หันกลับมาที่เดิม กำลังจะคิดหาเหตุผลของเสียงนั่นอยู่แล้ว วูบหนึ่งชายหนุ่มถึงกับซ่านขึ้นมาในอก เมื่อจิตใต้สำนึกกระตุกให้รับรู้ความจริงเมื่อสักครู่...มันเป็นไปได้ยังไง สิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นอีกแล้ว เขาหันหน้าไปมองเจ้าแมวเหมียวและสามารถหันหน้ากลับมาได้
โอ้...จริงหรือนี่! เขาขยับร่างกายได้แล้วหรือนี่...?
จะเป็นความรู้สึกดีใจหรือเสียใจ ชายหนุ่มก็บอกไม่ถูก รู้แต่เพียงว่ามันทำให้เขาประหลาดใจล้ำ ถ้ามันเป็นอย่างนั้นได้ก็ดีสิ ต่อไปนี้เขาจะได้ไม่ต้องมานั่งทนเป็นของเล่นของใครอีก แถมตอนนี้ชายหนุ่มยังสามารถมีเสียงเพียงพอต่อการระบายอารมณ์ออกไปได้...ว่าแล้วจักรกฤษณ์จึงพยายามที่จะทดลองอีกครั้ง
เขาหันหน้าไปมองเจ้าแมวยักษ์แล้วก็หันกลับมาอีกครั้ง มันยังคงนอนอยู่ที่เดิม คราวนี้เขาลองพยายามยกแขนตุ๊กตาขึ้นมาบ้าง ทีแรกยังไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไรแม้มันจะไม่มีน้ำหนักและชายหนุ่มรู้สึกเบาหวิวเหลือเกิน แต่ถึงยังไงก็ไม่สามารถจะควบคุมมันได้ มันยังคงด้านชาราวกับคนเป็นอัมพาต
แต่ขึ้นชื่อว่าจักรกฤษณ์ย่อมเป็นบุคคลที่มีความหวัง ชายหนุ่มจึงสูดลมหายใจลึกพยายามรวบรวมพลังทั้งหมดเท่าที่มี แล้วปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้นจริงมันขยับขึ้นมาได้ แม้มันจะไม่รวดเร็วเหมือนกายเนื้อมนุษย์แต่สัญชาตญาณบอกให้เขารู้ได้โดยเร็วว่ามันต้องพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากช้าเป็นเร็ว จากการขยับแขนได้เป็นขยับขาและสามารถเดินเหินได้ด้วย
โอ้...ถึงเวลานี้ชายหนุ่มรู้แล้วว่าไม่ได้ฝันไป
เขาดีใจเหลือเกิน ที่อย่างน้อย ๆ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ได้ละเลยปล่อยให้เขาอ้างว้างอยู่อย่างเดียว ต่อไปนี้เขาจะกลายเป็นตุ๊กตาที่มีชีวิต...เป็นตุ๊กตาที่ไม่สามารถจะหาได้ที่ไหนในโลกใบนี้อีกแล้ว เป็นครั้งแรกที่จักรกฤษณ์รู้สึกมีความหวังและปลาบปลื้มกับสิ่งที่เพิ่งปรากฏขึ้น...แต่แล้วความคิดหนึ่งก็แทรกเข้ามา ดับอารมณ์อันเปรมปรีดิ์ได้ในฉับพลัน
จริงสิ นะเขาจะดีใจไปเพื่ออะไร...ถึงจะขยับตัวได้ พูดจาได้ แต่จะไปมีประโยชน์อะไรเมื่อเขาก็เป็นเพียงแค่ตุ๊กตาที่ไม่สามารถจะเสวนาปราศรัยกับใครได้เลย ดูอย่างแม่บ้านคนนั้นสิยังเข้าใจว่าเขาเป็นผี แล้วคนอื่นล่ะมีใครบ้างที่อยากจะคบกับสิ่งแปลกปลอม ถึงจะเป็นตุ๊กตาที่มีชีวิตก็ยังคงต้องอยู่อย่างลำพังเหมือนเดิม...
นอกจากจะต้องอยู่อย่างลำพังแล้ว ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นยังบอกให้รู้ได้อย่างชัดเจนว่าเขาจะต้องติดอยู่ในตุ๊กตาตัวนี้ไปอีกนานแสนนาน ยิ่งเขาขยับตัวได้ พูดคุยได้ ก็เท่ากับว่าดวงจิตของเขาหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกันกับตุ๊กตาตัวนี้ แล้วอย่างนี้โอกาสที่ดวงจิตของเขาจะได้ไปผุดไปเกิดก็มีน้อยลงทุกที
เฮ้อ...เวรกรรม! เขาต้องดีใจหรือเสียใจกันแน่
ทำไมเขาต้องหลุดเข้ามาอยู่ในตุ๊กตาตัวนี้ด้วยนะ
ไอ้ตุ๊กตาบ้า...
ตุ๊กตาแสนกล!
***************
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
3.5 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ