ชมรมวิจัยเรื่องลึกลับ (หลังเลิกเรียน)
เขียนโดย shotaro
วันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 เวลา 15.35 น.
แก้ไขเมื่อ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 15.39 น. โดย เจ้าของนิยาย
9) คาบเรียนที่ 5.5 : ความลับ และ ชมรม
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความคาบเรียนที่ 5.5 : ความลับ และ ชมรม (บทสรุปคดีรูปภาพ)
แอนนายืนกอดหลังไคไว้แน่น เธอตัวสั่นราวกับกระต่ายที่กลัวฟ้าร้องไม่มีผิด “นั่นใครน่ะ”
“ผ..ผีสินะ” ไคพูดกับตัวเองที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ ขณะจ้องไปที่สาวน้อยศิลปินแบบไม่คลาดสายตา
ไคคิดในใจ (‘ต..ต้องตั้งสติไว้ แอนนาก็มองเห็นวิญญาณตนนี้ แสดงว่าต้องมีพลังรุนแรงมากอย่างที่พี่โตบอกไว้ แล้วทำไมพี่โจถึงจับพลังนี้ไม่ได้เลยล่ะ’) เขา กวาดสายตามองไปรอบๆ วิญญาณสาว เธอนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ มือของเธอจุ่มปลายพู่กันลงบนแผ่นแต้มสีแล้วระบายลงบนกระดาษอย่างช้าๆ เป็นเพราะในห้องมืดลง มีเพียงแค่แสงรำไรจากดวงจันทร์ผ่านกระจกหน้าต่างเข้ามาจึงทำให้มองไม่เห็นสี ที่เธอใช้วาดชัดเจนสักเท่าไหร่ ผมของเธอยาวลงมามากจนถึงสะโพกปกปิดใบหน้าอย่างมิดชิดแต่ก็ยังพอมองเห็นปาก ของเธออยู่บ้าง แลดูเป็นคนผิวขาว มองไปในความมืดจึงได้แต่คาดเดาว่าชุดของเธอเป็นผ้าคลุมสีขาวขุ่นเปราะเปื้อน ไปด้วยสีต่างๆ สมกับเป็นเสื้อผ้าของศิลปิน (‘วิญญาณครั้งนี้ถึงขนาดหยิบจับสิ่งของได้ ถ้าให้แอนนาอยู่ด้วยเธอจะเป็นอันตราย เราต้องให้เธอออกไปก่อน’) ไคเหลือบมองไปยังแอนนาซึ่งเธอตัวสั่นเทา น่าสงสารราวกับกระต่ายกลัวฟ้าผ่าในเวลาฝนตก “ไหวมั้ย”
“ม..ไม่เป็นไรหรอกกริยา เรายังไหวอยู่” เธอยิ้มให้แก่ความเป็นห่วงของเด็กหนุ่ม
“ง..งั้นก่อนอื่นก็ต้องเดินเข้าไปคุยสินะ” ไค รวบรวมความกล้าหันหน้ากลับมายังวิญญาณสาว แต่ครั้งนี้เธอได้หายไปแล้ว ทั้งคู่ใจหายกันพักใหญ่ เหลือเพียงแต่เก้าอี้หนึ่งตัวกับกระดานวาดภาพ
“น..นี่ปล่อยก่อนได้มั้ย” ไคบอกกับแอนนาที่ยังไม่ยอมปล่อยอ้อมแขนออกจากเด็กหนุ่ม
เธอค่อยๆ คลายมือช้าๆ ทำให้ไคเดินเข้าไปสำรวจได้อย่างสะดวก เขาค่อยเดินไปก้มมองรอบๆ เก้าอี้เผื่อจะเห็นอะไรบ้าง แต่ก็ต้องสะดุดทันทีเมื่อเขาหันมาเจอรูปภาพที่ถูกวาดทิ้งไว้ มันไม่ใช่ทั้งภาพดอกไม้ และไม่ใช่ทั้งภาพวิวหรือทะเลยามเย็น แต่มันเป็นภาพเหมือนของเขาเองซึ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าก็คือมีมีดปักอยู่บนอกด้วย ไคถึงกับเข่าอ่อนฮวบลงกับพื้น
“มีอะไรหรือกริยา” แอนนาที่ได้แต่ยืนมองเด็กหนุ่มถามขึ้นอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“ภาพ…ภาพเหมือนของฉัน ม..มันมีมีดปักอยู่บนอกด้วย”
“น..นี่รีบกลับกันเถอะเราไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว” น้ำเสียงของแอนนาเหมือนจะร้องไห้
“นั่นสินะรีบกลับกันเถอะ” (‘แต่ก่อนอื่นก็ต้องนำรูปนี้ไปให้พี่โตดูด้วย’) ไคค่อยๆ ลุกขึ้นคว้ารูปภาพจากกระดานวาด แล้วจับมือหญิงสาวพากันเดินออกจากห้องศิลปะอย่างรวดเร็วเพราะท่าทางเธอจะกลัวเป็นอย่างมาก
ทั้งคู่วิ่งอย่างเร่งรีบและขึ้นบันไดมาจนถึงจุดหมายปลายทางหรือก็คือห้อง ชมรมนั่นเอง เหงื่อของพวกเขาออกมามากจนดูราวกับไปตากแดดตากฝนมาอย่างไรอย่างนั้น
“นี่ปล่อยมือฉันได้แล้วน่า” เธอมองมือของไคซึ่งจับกุมมือเธอไว้แน่น ในที่สุดหญิงสาวก็เริ่มรู้สึกอายขึ้นมาบ้าง
“ข..ขอโทษที” เด็กหนุ่มปล่อยมือทันทีด้วยความรู้สึกเดียวกัน เขารีบหันกลับไปเปิดประตูห้องเพื่อกลบเกลื่อนใบหน้าอมชมพูของเขา
แอ้ด เสียงเปิดประตูดังขึ้น
แอนนาก้มหน้าจับชายเสื้อของไคก่อนที่เขาจะเข้าไปในห้อง เธอกระซิบบอกเบาๆ “เราคงเข้าไปด้วยไม่ได้สินะ” เธอทำหน้าซึมเศร้าเล็กน้อย ภายในแววตาแฝงด้วยความเหงาลึกๆ มาจากก้นบึ้งของหัวใจ
“เข้าไปได้สิ ตราบใดที่เธออยู่ติดกับฉันเอาไว้ก็คงจะดูดไปแต่อายุขัยของฉันคนเดียวล่ะนะ” เด็กหนุ่มหันมายิ้มให้เล็กน้อย (‘จะปล่อยให้ผู้หญิงตัวคนเดียวรออยู่ข้างนอกทั้งๆ ที่กลัวแบบนั้นได้ไง’) แอนนาเงยศีรษะขึ้น ใบหน้าเธอดูดีใจเหมือนเด็กที่ได้ของเล่นใหม่ทั้งสองคนก้าวเข้ามาในห้อง
“กลับมาแล้วครับ” ไคเอ่ยขึ้นพร้อมยกมือข้างซ้ายซึ่งถือรูปภาพเป็นหลักฐาน
ทันทีที่โตหันหน้ามามองไค ดวงตาของเขาก็เบิกโพลง “ไคโยนภาพนั้นทิ้งไปซะเดี๋ยวนี้เลย
“ทำไมหรือครับ” ไคทำท่าทีสงสัย
“เออน่าทิ้งเร็วเข้า”
แอนนาเมื่อได้ยินรุ่นพี่พูดดังนั้นจึงไม่รอช้ารีบปัดมือของไคอย่างรวดเร็วจนภาพกระเด็นตกพื้น
“โอ๊ย แอนนาจู่ๆ มาตีมือทำไมเนี่ยมันเจ็บนะ” ไคกุมมือตัวเองที่แดงก่ำ
“ข..ขอโทษนะ แต่เราคิดว่าควรจะทำตามที่เขาบอกน่ะ” แอนนาก้มหน้ารับผิด
“ไคสวมพระอยู่รึเปล่า” โตดูตื่นตระหนกมาก
อีฟที่ยืนดูอยู่ข้างโตเอ่ยถามอย่างตกใจ “มีอะไรเหรอ” เธอหันหน้ามองไปมาระหว่างไคกับแอนนาและโต
“ก็สวมอยู่นะครับ” ไคล้วงหยิบพระสินที่พี่อีฟให้ไว้ออกมาโชว์
“แม่สาวน้อยจากดวงจันทร์นั่นคงไม่ได้แตะต้องรูปภาพใช่มั้ย” โตยังไม่หมดความกังวลใจ
“ม..ไม่ได้แตะเลยค่ะ” แอนนายืนหลบอยู่หลังไค
“มันทำไมเหรอครับพี่โต” โจเดินเข้ามาหาโตกับอีฟ
“ฟังให้ดีนะ นั่นน่ะไม่ใช่ผีหรือวิญญาณทั้งนั้นแหละ”
บรรยากาศภายในห้องเงียบกริบและตึงเครียด แทงค์ที่นั่งเล่นคอมพ์อยู่หลังห้องหันมามองทั้งห้าคน “หมายความว่าไงครับ ผมกับแอนนาเห็นเต็มสองตาเลยนะครับว่ามีผู้หญิงนั่งวาดรูปอยู่จริงๆ จะไม่เป็นผีไปได้ไงกัน” ไคเถียงกลับทันทีที่ฟังรุ่นพี่
“ถ้านั่นเป็นผีหรือวิญญาณจริง แล้วทำไมพลังของโจถึงไม่เห็นความทรงจำของมันกันล่ะ” โตตอบกลับมาเป็นคำถาม
“นั่นสินะ พลังของผมเองก็หาไม่เจอเลยแม้แต่นิดเดียว” โจขมวดคิ้วขณะยืนคิด
“แต่พวกเราเห็นจริงๆ นะ” ไคยืนยันหนักแน่นโดยมีแอนนาพยักหน้าเห็นด้วย
โตล้วงสมุดบันทึกในกระเป๋ากางเกงขึ้นมา “ไคนายคงไม่ลืมหรอกนะว่าพลังของฉันคืออะไร”
“มองเห็นออร่ากับอายุขัยและมีสัมผัสกลิ่นไอได้สินะครับ”
“ใช่แล้วและนายรู้มั้ยว่ากลิ่นไอและสีของรูปวาดนั่นเป็นยังไง”
“ไม่รู้สิครับ” ไคก้มหน้าลง
“มันมีกลิ่นเหม็นคาวปะปนมากับกลิ่นธูปควันเป็นไอสีดำสนิท”
“ล..แล้วมันยังไงกันครับ”
ทุกคนมองมาที่โตเป็นสายตาเดียว โตค่อยๆ เปิดสมุดบันทึกไปทีละหน้าพลางบรรยาย “นี่ไม่ใช่ผีหรือวิญญาณก็จริง แต่เป็นสิ่งที่เลวร้ายกว่านั้นมากหลายเท่าเลยล่ะ”
“สรุปมันคืออะไรกันแน่ครับ” ไคมองมาที่โตเพื่อหวังคำตอบ ในขณะเดียวกันแอนนาก็จับชายเสื้อของเขาไว้แน่น
ทุกคนนิ่งเงียบและดูเหมือนบางคนอย่างเช่นโจกับอีฟจะพอเดาได้บ้างแล้วจึงดูไม่ลุ้นซักเท่าไร
“คำสาป มนต์ดำ ไสยศาสตร์ หรือก็คือเป็นฝีมือของมนุษย์ไงล่ะ” โตยื่นสมุดบันทึกเปิดหน้าที่เขียนเกี่ยวกับลักษณะกลิ่นไอให้ไค
ไครับสมุดจากมือโต “กลิ่น ไอสีดำมีสามประเภท หนึ่ง ลางร้าย ประเภทนี้จะไม่มีกลิ่นแต่จะมาในลักษณะคล้ายกลุ่มควัน หรือเงาคนเดินตามหลัง สอง ความตาย ประเภทนี้จะได้กลิ่นราวกับซากศพ และสาม มนต์ดำ พระเภทนี้ที่จะมาแน่ก็คือกลิ่นควันธูป สำคัญกว่าคือประเภทนี้จะเป็นควันสีดำซึ่งจะดำทมิฬกว่าประเภทอื่น” ไคอ่านตามที่เขียนในสมุด
“อย่างที่คิดไว้เลย แสดงว่าเราต้องเผาเจ้าภาพนั่นให้เร็วที่สุดสินะครับพี่โต” โจหันหน้าไปมองประธาน
“ใช้ ไฟเผาธรรมดาๆ น่ะไม่ได้ผลหรอก ถ้าเป็นมนต์ดำก็ต้องใช้มนต์ขาวเข้าช่วยเท่านั้น แต่ว่าตอนนี้มืดแล้วคงต้องรอเอาภาพไปให้พระอาจารย์พรุ่งนี้เช้า” โตมองดูที่รูปภาพขณะพูด
“แต่ว่าถ้าเป็นคำสาปทำไมผมถึงมองเห็นเป็นรูปเป็นร่างคนล่ะ แถมแอนนาก็ยังมองเห็นด้วย” ไคยังคงถามถึงสิ่งที่คาใจ
“จำ ที่พี่เคยบอกได้มั้ย เกี่ยวกับเรื่องความจริงที่คนเราทุกคนสามารถมองเห็นของแบบนี้ได้หมด แต่ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์น่ะ มนต์ที่มีพลังไปในทางบวกหรือลบสูงย่อมแสดงรูปร่างให้เห็นได้สูงตามๆ กัน บางคนอาจได้ยินเป็นเสียงเรียกหาตอนกลางคืนก็มีซึ่งถ้าขานรับก็จะโดนของเข้า ตัวทันที แต่ในกรณีนี้เป็นภาพน่ะ ออกเป็นรูปแบบการสาปแช่งซะด้วย การที่มีเรื่องแบบนี้ต้องมีคนอยู่เบื้องหลังแน่นอนดังนั้นพวกเราเองก็ต้อง ระวังตัวไว้ด้วย สำคัญกว่าคือตัวการอาจจะอยู่ในโรงเรียนนี้ก็เป็นได้” โตอธิบายให้รุ่นน้องฟังพลางเตือนให้ระวังไปด้วยในตัว
“น่ากลัวจังเลย” แอนนาพูดเสียงสั่นๆ
“ว่าแต่เหมือนเราจะลืมอะไรกันไปซักอย่างนะ” โจเอ่ยขึ้น
“ลืม ลืมอะไรหรือ” อีฟมองมาที่โจ เอียงคอเล็กน้อยด้วยความสงสัย
“จริงสิโซเฟีย โซเฟียอยู่ไหน” โจพูดออกมาทันทีที่นึกออก ดูเหมือนคำพูดของเขาจะทำให้ไคถึงกับดวงตาเบิกโพลงเมื่อนึกขึ้นได้
“โซเฟียเธอบอกว่าจะไปเอาผ้าชุปน้ำแข็งที่โรงอาหารมาประคบหัวให้ผม”
โตพูดเสียงดังลั่นสนั่นห้อง“เจ้าบ้ารีบลงไปตามหาเธอเดี๋ยวนี้เลย ถ้าดันไปเจอกับเจ้าตัวการเข้าละก็แย่แน่ๆ”
“เป็นไปได้มั้ยครับที่ตัวการจะเป็นเอธร” ไคก้มหน้าถามในมือของเขากำหมัดไว้แน่น
“อย่างเอธรคงไม่ลงมนต์ดำอย่างไร้เป้าหมายแบบนี้หรอก ดูจากที่คนอื่นๆ ในโรงเรียนก็เจอเหมือนกันแล้ว ถ้าเป็นหมอนั่นเท่าที่รู้จักคงไม่ปล่อยให้เป็นข่าวลือแน่นอน” โตพูดขณะเดินออกจากห้อง
ไคเดินตามโตไปโดยมีแอนนาตามหลังมาอีกที “ถ้าเป็นผีบดสวดมนต์ธรรมดาคงได้ผลบ้าง แต่นี่มันเป็นมนต์ดำนะครับเราจะเอาอะไรไปโต้กันล่ะครับ”
“เครื่องรางไงล่ะแล้วก็ไหวพริบกับสติด้วย อีฟ แทงค์ แล้วก็แม่สาวจากดวงจันทร์ ผู้หญิงกับเด็กน่ะรออยู่ข้างบนนี่แหละ” โตพูดด้วยท่าทีเร่งรีบ
“แต่เราออกห่างจากกริยาไม่ได้นี่” แอนนาเถียงขณะเดินตามหลังไคมา
“คงไม่เป็นไรมั้งครับพี่โต หนุ่มสาวเขารักกันจะไปแยกออกจากกันคงไม่ดีนัก” โจพูดเล่นขณะเดินตามทั้งสามคนมาติดๆ
“เธอมีเครื่องรางหรือเปล่า” โตถามขณะเดินลงบันได
“อ๊ะ เรามีโอมาโมริทำเองอยู่นะ” แอนนาเอ่ยขึ้นหลังจากนึกขึ้นมาได้ เธอล้วงหยิบโอมาโมริออกมาจากกระเป๋าเสื้อนักเรียนของเธอ
“ถ้าเป็นโอมาโมริก็น่าจะพอไหวอยู่นะ” โตหันมายิ้มให้แล้วหันกลับไป
“อะไรคือโอมาโมริหรือครับพี่โต” ไคทำท่าทีสงสัย
“โอ มาโมริเป็นเครื่องรางในศาสนาชินโตของชาวญี่ปุ่น ความสำคัญก็คล้ายๆ กับพระพุทธรูปหรือพระเครื่องในศาสนาพุทธนั่นแหล่ะ คำว่า โมริ แปลว่าปกป้อง ดังนั้นคำว่า โอมาโมริจึงหมายถึงเครื่องป้องกันศักดิ์สิทธิ์ โดยปกติแล้วโอมาโมริจะถูกห่อด้วยผ้า แล้วแนบกระดาษหรือเศษไม้ที่ผู้อธิษฐานเขียนข้อความเอาไว้น่ะนะ”
“เห็นบ่อยตามหนังหรือในการ์ตูนสินะครับ” โจเอ่ยขึ้น
“ว่า แต่โอมาโมริเนี่ยจะใช้ได้ผลหรือครับ ก็มันเป็นของคนละประเทศกันเลยนี่นาถ้าพูดเรื่องมนต์ดำขึ้นชื่อก็น่าจะเป็น เขมร แต่นี่มันของชาวญี่ปุ่นนะครับ” ไคถามตามหลักการในระหว่างที่ทุกคนเดินลงมาจนถึงชั้น 5
“ไม่ว่าจะประเทศไหนจะสู้กับอำนาจมืดก็ต้องพูดถึงแสงสว่างกันทั้งนั้นแหละ แล้วมันก็ขึ้นอยู่กับผู้ใช้อีกด้วย”
“ต่อไปก็เป็นห้องศิลปะชั้น 4 สินะ” แอนนาเอ่ยเบาๆ
“ถ้าจำไม่ผิดโรงอาหารนี่น่าจะอยู่ทางฝั่งขวาของโรงเรียนติดกับศาลเจ้าใช่มั้ยครับ” ไคเกาศีรษะ
“เอาเป็นว่าฉันกับโจจะดูที่ห้องศิลปะส่วนที่เหลือไปหาในโรงอาหารนะ นี่ก็เกือบจะ 2 ทุ่มแล้วด้วยสิ” โตออกคำสั่งก่อนจะพากันเดินลงไปถึงชั้นที่ 4 ของอาคารเรียน
“เข้าใจแล้วครับ แอนนาไปกันเถอะ” ไครับคำสั่งแล้วจูงมือแอนนาวิ่งลงบันไดเพื่อไปยังโรงอาหารให้เร็วที่สุด
. “อื้ม” เด็กสาวตอบรับ
ทั้งคู่ลงบันไดไปทีละชั้น ระหว่างเดินก็ตะโกนเรียกหาตัวโซเฟียไปตามทาง “โซเฟีย” “โซเฟีย” “โซเฟีย” เสียงเรียกของเด็กหนุ่มและหญิงสาวตะโกนเรียกสลับกันไปมา
“หวังว่าคงจะไม่เป็นไรหรอกนะ” แอ นนาพูดด้วยน้ำเสียงค่อนข้างเป็นห่วง สำหรับเธอแล้วถึงจะไม่ได้สนิทกับเด็กหญิงเท่าไรนักแต่ก็ยังคงมีความรู้สึก อยากจะช่วยเหลือในถานะเพื่อนเช่นกัน
“ยัยนั่นไม่มีทางที่จะหนีกลับบ้านไปก่อนแน่ ก็เป้ยังอยู่ที่ห้องชมรมนี่นา ถ้าเกิดอะไรขึ้นจริงๆ ก็น่าจะมีวี่แววกันบ้างสิ” ไคขมวดคิ้วขณะเดินลงบันได
“กริยา นี่มัน” แอนนาหยุดยืนอยู่กับที่
“มีอะไรเหรอ”
“ผ้าเช็ดหน้านี่” แอนนาชี้นิ้วไปที่ผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งที่ตีนบันได “แถมยังเปียกน้ำอีกด้วย”
“ผ้าเช็ดหน้า ค..คงไม่ใช่ของโซเฟียหรอกนะ”
“ถ้านี่เป็นของเธอจริงๆ ละก็ ต้องเกิดอะไรขึ้นแน่ๆ เลย” แอนนาจับไหล่ไคไว้แน่นเนื้อตัวสั่นเทา
“หรือว่าเจ้าตัวการ” ไคเอ่ยด้วยท่าทีสับสน
“เจ้าตัวการที่ว่านี่ ถ้าอยู่ในโรงเรียนนี้จริงๆ ละก็ แสดงว่าพวกเราอาจจะเจอเข้าก็ได้น่ะสิ”
“ให้ตายสิ ไหนจะผี ไหนจะอายุขัยนี่ยังต้องมาเจอคำสาปอีกเหรอ น่าเศร้าเกินไปแล้วฉัน”
ขณะที่สองคนเดินออกมาข้างนอกอาคารเรียนแอนนาชี้ไปที่โรงอาหาร “เรารีบไปที่โรงอาหารกันเถอะ ดูจากหน้าต่างแล้วยังมีไฟเปิดอยู่น่าจะยังมีคนอยู่ในโรงอาหารนะ”
“ภารโรงสินะ” (‘เพิ่งจะสองทุ่มยังมีพวกผู้ใหญ่อยู่ก็คงไม่แปลก’) ไคเหงื่อตก ทั้งคู่ค่อยๆ เดินผ่าน ศาลเจ้าไปยังโรงอาหารของโรงเรียน
(‘มีเงาคนกวาดขยะอยู่ แสดงว่าในโรงอาหารยังมีคนจริงๆ ซะด้วย ลองไปถามดูก็ดีเหมือนกันว่าเห็นโซเฟียบ้างมั้ย’) ไคคิดในใจขณะมองผ่านผ้าม่านที่หน้าต่างโรงอาหารซึ่งสะท้อนแสงไฟเป็นเงาภารโรง
ไคเดินเข้าไปในโรงอาหารประกอบกับหันซ้ายแลขวาอย่างระแวดระวัง
“เอ๊ะ แปลกจริงๆ เมื่อกี้น่าจะมีเงาคนกวาดขยะอยู่แถวๆ นี้นี่นา” ไคมองหาทั่วห้อง
“เงา..เงาอะไรเหรอ” แอนนาทำท่าทีสงสัย
“ก็เมื่อกี้ที่นอกหน้าต่างไงฉันเห็นเงาคนกวาดขยะอยู่นะ น่าจะเป็นภารโรงนี่” เด็กหนุ่มยืนยันในสิ่งที่ตนเห็น
“เราไม่เห็นจะมีเงาอะไรเลยนะ ไม่เอาไม่ล้อเล่นอย่างนี้นะกริยา” แอนนาหน้าซีดทันทีที่ฟังคำของเด็กหนุ่ม เธอกลัวมาก
ไคถอดสีหน้าตามๆ กัน (‘ไม่นะไม่ ไม่เอาอีกแล้ว’)
“คุณมองเห็นผมด้วยเหรอ” เสียงชายชราดังขึ้นเหนือศีรษะของเด็กหนุ่ม
ไคค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองเพดานด้วยความรู้สึกเตรียมใจไว้ครึ่งหนึ่ง (‘ชัดแจ๋วเลยชัดยิ่งกว่าที่เคยผ่านมาซะอีก นี่เราเห็นชัดกว่าเดิมอีก’) ภาพที่เด็กหนุ่มได้เห็นคือชายแก่คนหนึ่งแต่งชุดภารโรงเดินห้อยหัวลงมาจากเพดานเขากำลังกวาดพื้นเพดานด้วยไม้กวาดดอกหญ้า
“คุณมองเห็นผมจริงๆ” ชายชราค่อยลอยลงมายืนอยู่บนโต๊ะอาหารตรงหน้าเด็กหนุ่ม
“กริยามีอะไรเหรอ” แอนนาซึ่งเห็นภาพเด็กหนุ่มกำลังยืนเงยหน้ามองเพดานถามด้วยความสงสัย นั่นก็เพราะว่าเธอมองไม่เห็นนั่นเอง
ชายชรายื่นหน้าเข้ามาหาเด็กหนุ่ม “คุณมองเห็นผมจริงๆ สินะ ช่วยผมที”
ไคหลับตาลงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วลืมตา “อยากจะให้ผมช่วยอะไรล่ะ”
“ช่วย นำกระเป๋าสตางค์ที่เด็กผู้หญิง ม.3 ทำหล่นทิ้งไว้ใต้โต๊ะนั้น ไปวางไว้จุดรับฝากของตกหายที ผมพยายามเตือนเธอแล้วแต่ไร้ความหมาย เธอมองไม่เห็นผม” ชายชราทำสีหน้าเป็นห่วงสาวน้อย
(‘หรือว่าจะเป็นโซเฟีย’) ไคที่คิดดังนั้นได้จึงไม่ลืมที่จะเอ่ยถามเรื่องสำคัญ “คุณตาครับช่วยบอกทีได้มั้ยครับว่าเธออยู่ที่ไหน”
“ผมออกจากที่นี่ไม่ได้ เลยไม่รู้เรื่องภายนอกหรอก”
(‘วิญญาณติดที่งั้นเหรอ’) “เข้าใจแล้วครับจะพยายามหาเธอให้เจอแล้วนำไปคืนครับ” ไคเดินไปก้มเก็บกระเป๋าสตางค์ที่อยู่ใต้โต๊ะอาหาร เมื่อลองเปิดตรวจสอบดูแล้วก็พบบัตรประชาชนของโซเฟียอยู่จริงตามที่คาด
“ขอบใจนะพ่อหนุ่ม” ชายชราพูดเสร็จก็กลับไปห้อยศีรษะกวาดเพดานตามเดิม
“กริยาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วเธอคุยอะไรอยู่คนเดียวน่ะ” แอนนามองหน้าของเด็กหนุ่ม
“จริงสิฉันยังไม่เคยบอกเธอเลยสินะ ว่าที่จริงแล้วฉันสามารถมองเห็นสิ่งลี้ลับได้ล่ะ” ไคอธิบายให้แอนนาคลายสงสัย
“อะฮิ เล่นมุขในเวลาแบบนี้ไม่ตลกเลยนะกริยา” แอนนาพูดด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว
“ช่างมันเถอะ เรารีบไปหาโซเฟียที่ตึกเรียนกันก่อนดีกว่า” เมื่อ คิดว่าถ้าเล่าให้ฟังแอนนาจะกลัวเขาจึงเปลี่ยนเรื่องคุยทันที แต่ทว่าสิ่งที่เหนือความคาดหมายของทั้งสองคนนั้นก็ได้เกิดขึ้นโดยที่ไม่ทัน ตั้งตัว
“เอ มันน่าจะอยู่แถวนี้นี่นา” เสียงเด็กผู้หญิงฟังดูคุ้นหูดังขึ้น
ทั้งคู่หันกลับไปประกอบกับร้องอุทานพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย “โซเฟีย”
“อ๊ะ พี่ไคแล้วก็พี่สาวด้วยเห็นกระเป๋าสตางค์หนูมั้ยคะ หนูหาทั่วทั้งโรงเรียนแล้วก็ไม่เจอ” โซเฟียถามโดยไม่ได้รู้เลยว่าคนอื่นมากมายล้วนเป็นห่วงเธอทั้งนั้น
“อย่างนี้นี่เอง ที่ผ้าเช็ดหน้าไปตกอยู่ตรงตีนบันไดก็เพราะรีบร้อนหากระเป๋าสตางค์สินะ” ไคที่พอจะสรุปเรื่องราวได้แล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่
แอนนาเดินเข้ามาหลบอยู่ด้านหลังของไค “พวกเราเป็นห่วงเธอมากเลยนะ”
“เป็นห่วง” โซเฟียไม่เข้าใจว่าทำไมพวกรุ่นพี่ถึงต้องเป็นห่วงเธอ
“เอา ไว้พอกลับไปที่ห้องชมรมพวกเราจะอธิบายให้เธอเอง ตอนนี้รีบกันหน่อยเถอะถ้าขืนกลับบ้านดึกกว่านี้มีหวังพ่อแม่ดุยกใหญ่แน่ นี่กระเป๋าสตางค์เธอ” ไคยื่นกระเป๋าให้สาวน้อย
“ขอบคุณค่ะ ว่าแต่พี่ไปเจอตรงไหนหรือคะ”
“ใต้โต๊ะโน่นน่ะ” ไคชี้นิ้วไปยังโต๊ะที่ชายชรากล่าวไว้ก่อนหน้านี้
“อ๊ะจริงสิลืมไปเลยว่าจะต้องเอาผ้าชุบน้ำแข็งมาให้พี่ไค”
“ไม่ต้องแล้วรีบกลับกันเถอะ แล้วเดี๋ยวว่าไงว่าตามกันอีกที” ไค จูงมือสองสาวออกจากโรงอาหารมุ่งตรงไปยังอาคารเรียนเพื่อสมทบกับพวกรุ่นพี่ ทั้งสามเดินขึ้นบันไดจนไปถึงชั้นที่ 4 ได้พบกับพวกพี่โตซึ่งทั้งสองคนดูท่าทางลุกลี้ลุกลน
“ไคแย่แล้วล่ะ” โตพูดด้วยท่าทีและน้ำเสียงกระวนกระวาย
“มีอะไรครับรุ่นพี่ พวกผมก็เจอโซเฟียแล้วนี่” ไคมองดูรุ่นพี่ที่เหงื่อท่วมตัว
“ไม่ใช่เรื่องนั้นรูปภาพน่ะ รูปภาพนายมันหายไปแล้ว”
จบตอน โปรดติดตามตอนต่อไป
อย่างไรก็ช่วยติดตามกันต่อๆไปด้วยนะครับ
ปล.รักนะคนอ่าน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ