ชมรมวิจัยเรื่องลึกลับ (หลังเลิกเรียน)
6.8
เขียนโดย shotaro
วันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 เวลา 15.35 น.
32 ตอน
8 วิจารณ์
37.23K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 15.39 น. โดย เจ้าของนิยาย
8) คาบเรียนที่ 5 : ความลับ และ ชมรม
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความคาบเรียนที่ 5 : ความลับ และ ชมรม (บทท้าทาย)
ออด ขณะนี้เวลา 16.00 น. หมดเวลาการเรียนการสอน เสียงจากลำโพงที่ติดตั้งตามมุมอาคารเรียนดังขึ้น
ไคสะพายกระเป๋าวิ่งออกมาจากห้องเรียนของระดับชั้น ม.4 หยุดชะงักอยู่หน้าห้อง ท่าทางลุกลี้ลุกลน มองซ้ายแลขวา เหมือนว่าจะกลัวอะไรบางอย่าง เด็กหนุ่มสังเกตบริเวณโดยรอบอย่างถี่ถ้วนแล้ว จึงค่อยนำมือมาปาดเหงื่อที่หน้าผาก
“ฟู่ว เหมือนจะปลอดภัยแฮะ” เด็ก หนุ่มก้มหน้าพูดกับตัวเองเบาๆ หายใจเข้าออกลึกๆ จากนั้นเดินขึ้นบันไดเพื่อไปยังห้องชมรม ตลอดทางเดินเขามองดูรอบๆ ตัวอยู่เสมอ ผ่านไปทีละชั้น ทีละชั้น จนเมื่อมาถึงหน้าประตูชมรม (‘โอเคล่ะ มาถึงตรงนี้ก็น่าจะวางใจได้แล้ว’) เด็กหนุ่มคิดในใจขณะกำลังจะหมุนลูกบิดประตู
ฟั่บ ทันใดนั้นก็มีอ้อมแขนเนียนขาวเรียวงาม โผล่เข้าสอดใต้รักแร้ โอบรัดไคจากทางด้านหลังอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันตั้งตัว
(‘วันนี้ก็หนีไม่พ้นอีกแล้วสินะ’) ไคถอนหายใจเบาๆ พลางเหล่ตาไปมองแอนนาที่กำลังกอดตัวเขาอยู่ เธอยิ้มอย่างใสซื่อก่อนจะกล่าวทักทาย
“นี่กริยา วันนี้ก็เข้าชมรมเหรอ” หญิงสาวถามขึ้น มองมือของเขาที่จับลูกบิดประตู
“ก..ก็ใช่อ่านะ แหะๆ” ไคยิ้มหัวเราะแห้งๆ (‘แล้วนี่ฉันกำลังจะเข้าห้องน้ำหรือไง’)
“เหรอ ” แอนนาขมวดคิ้วครุ่นคิด
“ฉันไปก่อนล่ะนะ ” ไคเหงื่อตกเล็กน้อย
“ นี่ช่วงนี้เหมือนเธอจะพยายามหนีเราด้วยสิ มีอะไรหรือเปล่า” แอนนาค่อยๆ คลายมือที่โอบกอด ทำท่าทางสงสัย
“ก็ไม่ได้จะหนีอะไรหรอกนะเพียงแต่ว่า”
“ว่า..” เธอเอียงศีรษะเล็กน้อย
“คือเราเป็นแค่เพื่อนกันใช่มั้ย” ไคหลับตาก้มหน้าลง
“ก็ใช่น่ะสิ”
“ก็เพราะว่าเป็นเพื่อนนี่แหละ เพราะฉะนั้น”
“เพราะฉะนั้น”
“ช่วยเลิกทักทายด้วยการโผเข้าโอบกอดแบบนี้ซักทีจะได้มั้ย คนอื่นเขาลือกันให้แซดไปหมดแล้วนะ” ไคพูดแบบฝืนใจตัวเอง ใบหน้าเขาแดงไปด้วยความเขินอาย เขาชอบใจที่เด็กสาวโผกอดหากแต่ก็เจ็บใจทุกครั้งที่เธอคิดกับตนเองแค่เพื่อน
“แหมไม่เห็นจะเป็นไรเลยก็เพื่อนกันนี่นา”
“นี่เพื่อนระหว่างชายหญิงที่ดวงจันทร์เขาทักทายกันอย่างนี้เรอะ”
“ก็เปล่านะ” เธอตอบด้วยท่าทีไร้เดียงสาอย่างบริสุทธิ์ใจ
“ก็ เข้าใจอยู่หรอก ว่าเธอต้องอยู่ใกล้ฉันทุกวันเพื่อที่จะเติมเต็มอายุขัยที่เสียไป แต่ว่าอย่างน้อยๆ ก็อย่าให้ความหวังกับฉันจะได้มั้ยเนี่ย”
“เอ๋”
“เอ่อ..ช่างมันเถอะฉันไปล่ะ เดี๋ยวจะโดนพี่โตเทศนาว่ามาสาย”
“เห..จะไปอีกแล้วเหรอ” หญิงสาวทำท่าทีเหมือนไม่อยากจะจากเด็กหนุ่ม เธอมองเขาด้วยสายตาออดอ้อน
“เอา น่าถ้าเธอเข้าใกล้คนอื่น อายุขัยของคนเหล่านั้นจะลดน้อยลงนี่ ฉันเองก็อยากจะอยู่กับเธอล่ะนะ แต่ก็มีกิจกรรมชมรมเหมือนกัน งั้นเอาไว้เจอกันพรุ่งนี้” ไคใช้หลังมือยกขึ้นโบกลา
“อื้ม”
“พรุ่งนี้แค่โบกมือทักทายก็พอนะ” ไคพูดกับแอนนาก่อนที่จะเปิดประตูเข้าไปในห้อง (‘ให้ตายสิ ถ้าหากพูดแค่นี้ได้ง่ายๆ ก็ไม่ต้องมาระแวงตลอดหลายวันที่ผ่านมาสินะฉัน’)
แอ้ด เสียงประตูแง้มเปิดออก
“นายเข้าช้านะ” โตทักทายรุ่นน้องที่กำลังปิดประตูห้อง ขณะกำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่หน้าโต๊ะบาร์
“วันนี้เป็นไงบ้างล่ะชีวิตคู่” อีฟเดินถือแก้วน้ำมาหาไค แซวเล่นตามประสาพี่น้องด้วยรอยยิ้ม
“พอทีเถอะครับพี่อีฟ ติดธุระนิดหน่อยน่ะครับพี่โต” ไคยิ้มตอบอีฟ จากนั้นจึงหันหน้ามาตอบประธานหนุ่มตามลำดับ วางเป้ลงกับพื้นช้าๆ แล้วเดินเข้าไปหาโต
“วันนี้มีธุระกันนิดหน่อยล่ะนะ อยากให้นายช่วยอยู่พอดี” โตหันเก้าอี้มาทางเด็กหนุ่ม เปลี่ยนมานั่งไขว่ห้าง แล้วจิบน้ำชาด้วยท่าทางตามแบบผู้ดีอังกฤษ
“ธุระหรือครับ ก็คงจะเป็นเรื่องผีๆ อีกสินะครับ” ไคเดินมานั่งเก้าอี้ซึ่งอยู่ข้างๆ โต
. โตหันเก้าอี้กลับมาตรงหน้าโต๊ะบาร์ “ตอน ที่ฉันมาเปิดห้องชมรม บังเอิญไปพบจดหมายซองสีชมพูฉบับหนึ่งสอดไว้ใต้บานประตู ตอนแรกก็นึกว่าจะเป็นจดหมายรักน่ะนะแต่ว่าพอเปิดอ่านดู”
“พอเปิดอ่านดูแล้วเป็นยังไงหรือครับ” ไคมองหน้ารุ่นพี่ด้วยทีท่าสนใจ
อีฟค่อยๆ เดินมาวางแก้วน้ำที่โต๊ะขณะสองคนคุยกันอยู่ “พอพี่โตเปิดอ่านดูก็พบว่าเป็นจดหมาย ขอความช่วยเหลือจากชมรมเราน่ะ”
“เห..ชมรมเรามีคนขอให้ช่วยด้วยหรือครับ” ไคทำท่าทางตกใจเล็กน้อย
“มัน ก็น่าแปลกตรงนี้แหละ ทั้งๆ ที่ชมรมวิจัยเรื่องลึกลับของเราเป็นความลับ แต่ทำไมถึงมีคนมาขอร้องให้พวกเราช่วยได้ แถมยังจ่าหน้าถึงชมรมวิจัยอีก” โตพูดพลางจิบน้ำชา
“สรุปก็คือมีคนที่รู้เรื่องชมรมของเรา แล้วแอบมาขอความช่วยเหลือสินะครับ”
โตค่อยๆ วางแก้วลงบนจานรอง “อาจจะมีคนแอบเอาเรื่องของชมรมเราไปเปิดเผยอย่างลับๆ แล้วพอมีคนรู้เรื่องก็เลยมาขอความช่วยเหลือก็ได้”
อีฟเดินมานั่งลงข้างไค “ที่น่ากลัวน่ะไม่ใช่คนที่มาขอความช่วยเหลือ แต่คือคนที่รู้ความลับของชมรมเราต่างหากล่ะ” หากความลับถูกเผยแพร่ออกไปชมรมนี้คงจะถูกยุบอย่างแน่นอน ทุกคนในชมรมหวั่นเช่นนั้น
“แต่ว่าไหนๆ ก็มีคนมาขอให้ช่วย เราก็น่าจะช่วยหน่อยนะครับ” ไคเสนอ
โตหันหน้ามาหาไค “ถ้าเรื่องนั้นฉันให้โจกับโซเฟียและแทงค์ไปสืบให้แล้วล่ะ”
“แล้วเนื้อความมันเป็นยังไงหรือครับ”
“ก็แหงอยู่แล้ว ต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณน่ะสิถึงได้ต้องพึ่งนายไง” โตตบไหล่เด็กหนุ่มเบาๆ
“ผีสินะครับยังไงยังไงก็ต้องผีสินะครับ แต่เอาเถอะยังไงอายุขัยระดับผมก็ไม่มีวันตายอยู่แล้วนี่นะ” เด็กหนุ่มพูดด้วยความเหนื่อยหน่าย เขาอยากจะกลับไปเป็นคนปกติโดยไวที่สุด
“อย่าประมาทจะดีกว่านะ” โตหลับตาลงขณะพูด
“ทำไมหรือครับ”
“นายบอกว่านายเป็นอมตะใช่มั้ย แต่ถ้าสมมุติว่านายโดนมีดบาดแล้วแผลของนายจะหายไปทันทีเลยรึเปล่าล่ะ”
“ก็ไม่นะครับวันก่อนผมลื่นตกบันไดที่บ้านไปตั้ง 5 ขั้น แผลก็ยังมีอยู่เกือบสัปดาห์ถึงจะหายช้ำ”
“ก็หมายความว่าถึงอายุขัยจะเพิ่มขึ้นเป็นอมตะ แต่ร่างกายก็ไม่ได้เป็นอมตะอยู่ดียังไงล่ะ”
“เอ๋ ไม่เห็นผมจะรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย”
“นาย คงจะรู้สินะ ว่าก็ยังมีคนที่ตายไปก่อนอายุขัยแล้วต้องอยู่เร่ร่อนจนกว่าจะสิ้นอายุทั้ง หมดอย่างเช่นพวกที่ฆ่าตัวตายอยู่เหมือนกัน แล้วถ้าสมมติว่านายที่ไม่มีขีดจำกัดอายุขัยตายไปละก็จะเป็นยังไง” ประธานหนุ่มพูดจาชวนให้คิด
“ผมก็จะต้องอยู่เร่ร่อนไปตลอดกาล” ไคตกใจเป็นอย่างมากเมื่อเขาได้รับรู้ความจริง มันช่างทำใจยากที่จะยอมรับว่าแม้เขาจะมีอายุที่ยืนนานแต่ก็ใช่ว่าจะไม่ตาย
“ใจเย็นก่อนนะไค ที่พี่โตพูดก็แค่เพื่อเตือนไว้ให้ระวังไม่ใช่ว่าเธอจะตายวันตายพรุ่งซักหน่อย” อีฟเรียกสติรุ่นน้องด้วยรอยยิ้มของเธอ
“เอาล่ะจะเข้าเรื่องล่ะนะ” โตทำสีหน้าเคร่งเครียด
“ครับ” ไคตอบรับด้วยใบหน้าจริงจัง (‘ต้องระวังตัวบ้างแล้วสิโดยเฉพาะกับไอ้เจ้าเอธร ไม่รู้ว่ามันจะมาเอาคืนเมื่อไหร่’)
“จดหมาย ตอนนี้อยู่กับโจดังนั้นจะเล่าให้ฟังคร่าวๆ นะ ในนั้นเขียนเล่าถึงเรื่องวิญญาณของหญิงสาวในห้องศิลปะตอนเที่ยงคืน เห็นว่าเขาอยู่ในการเข้าค่ายของชมรมเพราะต้องนอนที่โรงเรียนตอนดึกก็เลยได้ เจอเข้าระหว่างที่เดินไปเข้าห้องน้ำคนเดียว เขาเล่าว่าพบผู้หญิงผมยาวสลวยมองเห็นหน้าตาไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ แต่งชุดสีหม่นๆ ท่ามกลางแสงจันทร์ เนื้อตัวเลอะไปด้วยสีเหมือนจิตรกร เธอกำลังวาดภาพอยู่ในห้องศิลปะที่ปิดไฟมืดๆ แล้วพอลองเปิดประตูเพื่อไปดูว่าเป็นใครเธอคนนั้นก็หายไปซะแล้ว พอเดินไปดูที่รูปภาพที่เธอวาดก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าเธอวาดภาพเหมือนของเขา นั่นเอง อะไรประมาณนั้น”
“จะบอกว่าไปเจอผู้หญิงที่ไม่เคยเจอกันมาก่อนวาดภาพเหมือนให้ แล้วก็หายตัวไปอย่างลึกลับ สินะครับ” ไคสรุปเรื่องราวจากทั้งหมดที่โตเล่า
“ก็ประมาณนั้นแหละ ฉันเองก็มองของแบบนี้ไม่ค่อยจะเห็นซะด้วย เลยต้องพึ่งนายล่ะนะ” โตกอดอกหลวมๆ ขณะเอ่ย
“ผม ก็สงสัยมานานแล้วนะครับ ทั้งที่คนปกติจะมองไม่เห็นวิญญาณแล้วก็มีแค่ผมที่มองเห็น แต่ทำไมถึงยังมีคนบอกว่าเจอผีบ้างล่ะ เห็นนู่นนี่บ้างล่ะอยู่ล่ะครับ” ไคทำท่าสะกิดใจ
“ความจริงคนเราทุกคนสามารถมองเห็นของแบบนี้ได้หมดแหละนะ แต่ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ และสถานที่ด้วย อย่างเช่นในกรณีวิญญาณของนาย A ต้องการอย่างแรงกล้าที่จะให้นาย B มอง เห็นแล้วบังเอิญว่าไปอยู่ในสถานที่ที่มีพลังงานสูงมันก็จะเกื้อหนุนให้มอง เห็น อะไรประมาณนั้นแต่ก็ได้แค่แวบเดียวล่ะ ในกรณีของนายมันพิเศษกว่าคนอื่นคือมองได้ทุกที่ทุกเวลายังไงล่ะยินดีด้วยนะ”
“เป็นสิ่งพิเศษก็จริง แต่ทำไมผมไม่เห็นจะดีใจเลยล่ะ” ไคทำหน้ากลุ้มใจ
“พลัง ของนายถ้าหากฝึกฝนดีๆ ละก็ นอกจากจะมองเห็น ได้กลิ่น รับรู้การมีอยู่ หรือฟังเสียงได้แล้ว อาจจะถึงขั้นสัมผัสตัววิญญาณเลยก็เป็นได้นะ”
“มีถึงขั้นนั้น ผมก็แย่น่ะสิครับ”
“พี่โตละก็ ไคเค้ากลัวแล้วนะคะพอเถอะ” อีฟที่พูดเพื่อช่วยเหลือไคนั้นสำหรับเขาแล้วเปรียบเสมือนอุ้งมืออันบอบบางจากสวรรค์ที่ยื่นลงมาดึงเด็กหนุ่มขึ้นจากนรก
“เอาน่าๆ พี่ก็แค่บอกสิ่งที่ควรจะรู้เอาไว้ให้ไคทราบก่อนเท่านั้นเอง” โตลุกขึ้นแล้วยกแก้วชาเดินเอาไปไว้ที่อ่างล้างจานหลังบาร์
ไคลุกขึ้นจากเก้าอี้ “ถ้างั้น เดี๋ยวผมจะไปหาพวกพี่โจก่อนนะครับเผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง”
“ไค” อีฟดึงชายเสื้อของรุ่นน้อง
“มีอะไรหรือครับพี่อีฟ” ไคหันก้มลงมามองหญิงสาว
“รับสิ่งนี้ไว้นะ เป็นเครื่องรางนะ” เธอยื่นสร้อยคอให้เด็กหนุ่ม
ไครับมาสังเกตดูดีๆ แล้วจึงได้รู้ “พระ” (‘ ผู้หญิงให้พระดีใจจังเลย ซะเมื่อไหร่เล่า’)
“ใช่จ้ะ ’พระ’ เป็นพระพุทธรูปประจำโรงเรียนเราซะด้วยนะ”
“เห..โรงเรียนเรามีด้วยหรือครับฟังดูเท่ดีแฮะ” ไคทำท่าทีสงสัยเพราะเขายังไม่เคยรู้เรื่องประวัติโรงเรียนมาก่อนเลย
“ก็นะ ‘พระสินปราบมาร’ น่ะเป็นพระพุทธรูปที่โรงเรียนเราสร้างไว้ให้พระอาจารย์สินที่มรณภาพไปไงล่ะ ก็ตอนที่นายไปห้องพระไงเรื่องเล่านั้นแหละ”
“พระสินสินะครับ” ไคยิ้มเฝื่อนๆ (‘ถ้าปราบผีได้จริงๆ จะกราบบูชาทุกวันเลย’)
“อย่าลบหลู่เชียวนะ” โตหันหน้ามาพูดกับไคขณะล้างถ้วยชา
“ค..ครับ” ไครับคำเขาพนมมือไหว้พระก่อนที่จะสวมไว้กับคอแล้วจึงเดินไปเปิดประตูออกนอกห้อง แอ้ดปึง! ไคปิดประตูหลังจากเดินออกมาข้างนอกห้องเสร็จ
“วันนี้เลิกเร็วเหรอ” แอนนาเดินลงบันไดมาจากดาดฟ้าพอดีกับจังหวะที่เด็กหนุ่มก้าวออกมา
“ก็ยังนะวันนี้กิจกรรมนอกห้องเรียนน่ะ ว่าแต่เธอยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ”
“บ้าน..บ้านไหน” แอนนาหันซ้ายแลขวาประโยคนั้นสร้างความประหลาดใจแก่เด็กหนุ่ม
“นี่เธออยู่ที่โรงเรียนมาตลอดเลยเหรอ” ไคตกใจไม่แพ้กับตอนที่รู้ความจริงเรื่องอายุขัย เขาสะเทือนใจอย่างมากเมื่อคิดว่าเธอไม่ได้ออกจากโรงเรียนเลยตลอดเวลาที่กลับมาโลก
“อื้ม..เราก็นอนอยู่บนดาดฟ้านี่แหละทำไมหรอ” แอนนาถามด้วยแววตาไร้เดียงสา
“แล้วยุงไม่กัด ไข้ไม่กิน ฝนไม่ตก ลมไม่หนาวแย่งั้นหรอ”
“ชาวดวงจันทร์ภูมิคุ้มกันจะดีมากๆ เมื่ออยู่บนโลกนะ ถึงอายุจะสั้นก็ตามที”
“แต่ แบบนี้มันก็ดูไม่ดีแฮะวันก่อนเธอก็จามไม่ใช่เหรอ ถ้าไม่ว่าอะไรจะไปอยู่ที่บ้านฉันก็ได้นะจะได้ให้น้องสาวดูแลเรื่องข้าวของ พอดีมีห้องว่างอยู่น่ะ” ไคชักชวนสาวน้อยผู้น่าสงสาร
“เฮ้ๆ นี่ๆ เป็นผู้ชายจู่ๆ ไปชวนผู้หญิงมาอยู่บ้านมันก็ไงๆ อยู่นะ” เสียงของโจดังขึ้นมาจากทางขึ้นบันไดชั้น 7 เขาค่อยๆ เดินขึ้นมาจนถึงตัวไค “ไคนายนี่เริ่มตั้งแต่เด็กเชียวนะ” โจกระเซ้าเย้าแหย่รุ่นน้อง
(‘เออ..จริงแฮะลืมคิดไปเลย คราวนี้เราเป็นฝ่ายผิดสินะ’) “แล้วเฮ่ยพี่โจ!” ไคตกใจเมี่อหันไปพบรุ่นพี่ร่างท้วมเดินสะพายกล้องเข้ามา
“ก็เออสิพี่ไงทำสีหน้าอย่างกะเห็นผี” โจเดินมาหาไคที่ยืนอยู่ติดกับแอนนา
“จริงสิพูดถึงผี พี่โจครับแล้วเป็นยังไงบ้างหรือครับเรื่องวิญญาณ”
“ก็ลองไปดูแล้วล่ะนะ แต่พี่ว่ามันออกจะเหมือนเรื่องโกหกซะมากกว่า” โจทำท่ากอดอกครุ่นคิด
“หมายความว่าไงหรือครับ”
“ก็ พี่ลองใช้พลังตรวจสอบความทรงจำในบริเวณห้องศิลปะดูแล้ว แต่กลับไม่เห็นมีความทรงจำของวิญญาณตรงไหนเลยซักจุด สงสัยว่าชมรมของเราจะถูกหลอกแล้วล่ะแบบนี้มันดูถูกกันชัดๆ” โจขมวดคิ้ว
“หมายความว่าเป็นจดหมายหลอกลวงสินะ แล้วโซเฟียกับแทงค์ล่ะครับ” ไคถามหาเด็กชายและเด็กหญิง
“ทั้งสองคนอยู่ที่ห้องศิลปะชั้น 4 น่ะ กำลังตรวจเช็คเพื่อความแน่ใจ” โจชี้ไปยังทางลงบันไดก่อนจะหันไปยังประตูห้องชมรม
“งั้นเดี๋ยวผมจะไปสมทบกับพวกเขาแล้วกัน” ไคพูดเสร็จแล้วจึงเดินลงบันไดไป
“รอด้วยสิกริยาเราไปด้วย” แอนนาวิ่งตามหลังเด็กหนุ่มลงบันได
หลังจากที่ทั้งสองคนลงบันไดไปแล้วโจจึงเปิดประตูเดินเข้าไปในห้องชมรม ส่วนทางด้านแอนนาและไคก็เดินลงบันไดเรื่อยๆ ลงมาจนถึงตีนบันไดชั้น 4 ทั้งคู่หยุดยืน
“ถึงจะลงมาชั้น 4 แล้วก็เถอะนะ แต่ว่าห้องศิลปะมันห้องไหนกันล่ะ” ไคหันซ้ายหันขวามองไปยังระเบียงทางเดินอย่างมึนงง
“เราว่าน่าจะเป็นห้องที่ใหญ่ๆ ตรงกลางๆ ชั้นนะ” แอนนาเสนอพลางยิ้มอย่างนุ่มนวล เธอเคยอยู่ที่โรงเรียนนี้มาก่อนแต่ก็ไม่เคยได้เข้าใช้ห้องศิลปะเลยสักครั้ง จึงไม่สามารถนำทางให้เด็กหนุ่มได้
“ถ้าอย่างนั้นก็เปิดเช็คมันให้ครบไปทุกห้องเลยแล้วกัน” ไค เดินไปยังประตูบานแรกแล้วเริ่มทำการไล่เปิดไปทีละห้อง ผ่านห้องพักครูบ้าง ห้องเรียนบ้าง ห้องธุรการบ้าง จนมายังห้องสุดท้ายที่ตีนบันไดอีกฝั่งหนึ่ง
“เหลือห้องสุดท้ายแล้วสิ” ไคค่อยๆ สูดลมหายใจเข้าออกช้าๆ ก่อนจะเปิดประตูไม้เล็กๆ บานหนึ่ง
ทันใดนั้นสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น แอ้ดโป๊ก! เด็กสาวผลักประตูออกมากระแทกหน้าผากของไคอย่างแรง
“ โอ๊ย” ไคเดินถอยหลังขณะกุมหน้าผาก
“ พี่ไค” โซเฟียตกใจหลังจากที่เจ้าตัวได้พบว่าการเปิดประตูเพียงบานเดียวของเธอก็อาจทำให้คนบาดเจ็บสาหัสได้เช่นกัน
“กริยาเป็นอะไรรึเปล่า” แอนนาจับมือของเด็กหนุ่มที่กุมหน้าผากออกเพื่อดูแผล “คิกๆ แดงไปหมดเลยแหละ อย่างกับก้นลิงแน่ะ” เธอยิ้มพร้อมกับเก็บเสียงหัวเราะเล็กน้อยขณะมองหน้าผากของเด็กหนุ่มที่ปูดโนออกมา
“นี่ๆ หัวเราะเยาะคนเจ็บเนี่ยนะ” ไคน้ำตาซึมเขานึกโทษความโชคร้ายของตัวเองไปพลางๆ ขณะเอามือกุมหน้าผาก
“ฮือๆ พี่ไคหนูขอโทษค่ะไม่น่าเลย” โซเฟียน้ำตาไหลเป็นทางขณะมองเด็กหนุ่มทุกข์ทรมาน “ไม่น่าเลยจริงๆ”
“นี่ๆ ไม่ต้องร้องขนาดนั้นก็ได้ ฉันเจ็บเฉยๆ ไม่ได้ตาย”
แทงค์เดินตามหลังโซเฟียออกมาจากห้อง “พี่ชายนี่นา มาทำอะไรหรือครับ” เด็กชายเห็นไคจึงทักทายด้วยความดีอกดีใจ
“ก็กะจะมาถามความคืบหน้านะแต่กลับได้แผลมาฟรีๆ” ไคคลายมือออกจากหน้าผาก
“เดี๋ยวหนูไปโรงอาหารแล้วเอาผ้าชุบน้ำแข็งมาให้นะคะ” เมื่อโซเฟียรู้สึกว่าผิดอยู่เต็มอกเธอก็รีบวิ่งตรงไปยังโรงอาหารซึ่งอยู่ติดกับศาลเจ้ากลางแจ้งทางด้านขวาของโรงเรียน
“เป็นเด็กผู้หญิงที่วิ่งไวจริงๆ” เด็กหนุ่มได้แต่เพียงมองแผ่นหลังของสาวน้อยที่วิ่งลงบันไดอย่างรวดเร็ว
“แล้วเป็นยังไงบ้างล่ะ” ไคหันกลับมาถามแทงค์
“พอลองตรวจดูแล้วก็ไม่น่าจะมีอะไรนะครับ แต่ผมสงสัยอยู่นิดหน่อย” แทงค์กัดเล็บทำท่าครุ่นคิดแบบผู้ใหญ่ เมื่อมองก็อดคิดไม่ได้ว่ามาจากการดูการ์ตูนแนวสืบสวนหรืออะไรเป็นแน่
“แล้วที่น่าสงสัยมันคืออะไรล่ะ” ไคย่อเข่าลงมาคุยกับรุ่นน้อง
“ตอนแรกที่พี่โจลงมาตรวจกับพวกเรา ได้ลองไปสอบถามจากพวกชมรมศิลปะดูแล้ว ก็ดูมีความน่าเชื่อถืออยู่เพราะที่หลายๆ คนเล่ามามีเนื้อหาคล้ายคลึงกันในหลายจุด แต่พอพี่โจใช้พลังดูแล้วกลับไม่พบดวงวิญญาณเลยแม้แต่นิดเดียว”
เมื่อไคฟังแทงค์เล่าเสร็จสรรพแล้วจึงค่อยๆ ยืนขึ้น “จะบอกว่าทั้งที่มีผู้พบเห็นหลายคนแต่กลับไม่มีผีอยู่ จะว่าเป็นข่าวลือมันก็ได้สินะ” ไคคิดตาม
“แต่ว่าถ้าเป็นข่าวลือก็ไม่น่าจะมีผู้พบเห็นจริงๆ แต่ถึงขนาดมาขอให้ชมรมเราช่วยเนี่ย ถ้าเอาข่าวลือมาให้มันก็ยังไงอยู่นะครับ”
“เราคิดว่าเป็นไปได้มั้ยว่าสิ่งที่พวกเขาเห็นจะเป็นแค่คนธรรมดา” แอนนายกมือขึ้นเสนอความเห็น
“จริงสิถ้าหากว่าเป็นคนละก็ถึงแม้จะมีผู้พบเห็นอยู่หลายคน แต่ก็ไม่ใช่วิญญาณอยู่ดีพลังของพี่โจเลยไม่ได้ผลสินะครับ” แทงค์เงยขึ้นมองหน้าแอนนา
“ใช่มั้ยล่า ใช่มั้ยล่า” แอนนายิ้มอย่างภูมิใจที่มีคนเห็นด้วยกับเธอ
“แต่ฉันคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอก” ไคเอ่ยขึ้น
“ทำไมกันล่ะ” หญิงสาวหันมองมายังไคซึ่งมีความเห็นขัดแย้งกับเธอ
“ก็ถ้าเป็นคนแล้วละก็ จะเอาเวลาที่ไหนไปซ่อนตัวล่ะ ตามเรื่องที่เล่ามาพอเปิดประตูเธอก็จะหายไปในทันที ยิ่งกว่านั้นคนธรรมดาคงจะวาดภาพเหมือนไม่เร็วขนาดนั้นหรอก” ไคหลับตาขณะอธิบาย
“ชิ ก็เค้าไม่เคยฟังหรืออ่านเรื่องนี้ซักหน่อย ก็แค่เสนอความเห็นจากที่ฟังเธอคุยกันเองนี่” ดูเหมือนแอนนาจะงอนเด็กหนุ่ม เธอกอดอกทำหน้าบึ้งหันหลังให้เขา
(‘เอ้าเราผิดอีก’) ไคถอนหายใจก่อนจะยกมือไหว้ “ขอโทษด้วยละกัน”
“งั้นเดี๋ยวผมขอขึ้นไปบอกให้พวกพี่โตรู้กันก่อนนะครับ” แทงค์เอ่ยก่อนเดินขึ้นบันไดกลับห้องชมรม
“เอาล่ะ ถ้างั้นฉันจะขอเข้าไปดูในห้องบ้างละ” ไค พูดพลางบิดขี้เกียจเล็กน้อย เขาเดินเข้าไปในห้องโดยมีแอนนาตามหลังมาติดๆ แต่ทั้งคู่ก็ต้องสะดุดหยุด เมื่อหลังจากที่เปิดประตูบานนั้นไปแล้วพบว่ามี เด็กผู้หญิงไว้ผมยาวถึงสะโพกและปกบังใบหน้า เธอกำลังนั่งวาดภาพอยู่ตามที่ได้ยินมาจากรุ่นพี่ราวกับถอดแบบออกมาจากจดหมาย ‘ขณะนี้ท้องฟ้าได้มืดลงแล้ว’
จบตอน
โปรดติดตามตอนต่อไป
ปล.รักนะคนอ่าน
ออด ขณะนี้เวลา 16.00 น. หมดเวลาการเรียนการสอน เสียงจากลำโพงที่ติดตั้งตามมุมอาคารเรียนดังขึ้น
ไคสะพายกระเป๋าวิ่งออกมาจากห้องเรียนของระดับชั้น ม.4 หยุดชะงักอยู่หน้าห้อง ท่าทางลุกลี้ลุกลน มองซ้ายแลขวา เหมือนว่าจะกลัวอะไรบางอย่าง เด็กหนุ่มสังเกตบริเวณโดยรอบอย่างถี่ถ้วนแล้ว จึงค่อยนำมือมาปาดเหงื่อที่หน้าผาก
“ฟู่ว เหมือนจะปลอดภัยแฮะ” เด็ก หนุ่มก้มหน้าพูดกับตัวเองเบาๆ หายใจเข้าออกลึกๆ จากนั้นเดินขึ้นบันไดเพื่อไปยังห้องชมรม ตลอดทางเดินเขามองดูรอบๆ ตัวอยู่เสมอ ผ่านไปทีละชั้น ทีละชั้น จนเมื่อมาถึงหน้าประตูชมรม (‘โอเคล่ะ มาถึงตรงนี้ก็น่าจะวางใจได้แล้ว’) เด็กหนุ่มคิดในใจขณะกำลังจะหมุนลูกบิดประตู
ฟั่บ ทันใดนั้นก็มีอ้อมแขนเนียนขาวเรียวงาม โผล่เข้าสอดใต้รักแร้ โอบรัดไคจากทางด้านหลังอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันตั้งตัว
(‘วันนี้ก็หนีไม่พ้นอีกแล้วสินะ’) ไคถอนหายใจเบาๆ พลางเหล่ตาไปมองแอนนาที่กำลังกอดตัวเขาอยู่ เธอยิ้มอย่างใสซื่อก่อนจะกล่าวทักทาย
“นี่กริยา วันนี้ก็เข้าชมรมเหรอ” หญิงสาวถามขึ้น มองมือของเขาที่จับลูกบิดประตู
“ก..ก็ใช่อ่านะ แหะๆ” ไคยิ้มหัวเราะแห้งๆ (‘แล้วนี่ฉันกำลังจะเข้าห้องน้ำหรือไง’)
“เหรอ ” แอนนาขมวดคิ้วครุ่นคิด
“ฉันไปก่อนล่ะนะ ” ไคเหงื่อตกเล็กน้อย
“ นี่ช่วงนี้เหมือนเธอจะพยายามหนีเราด้วยสิ มีอะไรหรือเปล่า” แอนนาค่อยๆ คลายมือที่โอบกอด ทำท่าทางสงสัย
“ก็ไม่ได้จะหนีอะไรหรอกนะเพียงแต่ว่า”
“ว่า..” เธอเอียงศีรษะเล็กน้อย
“คือเราเป็นแค่เพื่อนกันใช่มั้ย” ไคหลับตาก้มหน้าลง
“ก็ใช่น่ะสิ”
“ก็เพราะว่าเป็นเพื่อนนี่แหละ เพราะฉะนั้น”
“เพราะฉะนั้น”
“ช่วยเลิกทักทายด้วยการโผเข้าโอบกอดแบบนี้ซักทีจะได้มั้ย คนอื่นเขาลือกันให้แซดไปหมดแล้วนะ” ไคพูดแบบฝืนใจตัวเอง ใบหน้าเขาแดงไปด้วยความเขินอาย เขาชอบใจที่เด็กสาวโผกอดหากแต่ก็เจ็บใจทุกครั้งที่เธอคิดกับตนเองแค่เพื่อน
“แหมไม่เห็นจะเป็นไรเลยก็เพื่อนกันนี่นา”
“นี่เพื่อนระหว่างชายหญิงที่ดวงจันทร์เขาทักทายกันอย่างนี้เรอะ”
“ก็เปล่านะ” เธอตอบด้วยท่าทีไร้เดียงสาอย่างบริสุทธิ์ใจ
“ก็ เข้าใจอยู่หรอก ว่าเธอต้องอยู่ใกล้ฉันทุกวันเพื่อที่จะเติมเต็มอายุขัยที่เสียไป แต่ว่าอย่างน้อยๆ ก็อย่าให้ความหวังกับฉันจะได้มั้ยเนี่ย”
“เอ๋”
“เอ่อ..ช่างมันเถอะฉันไปล่ะ เดี๋ยวจะโดนพี่โตเทศนาว่ามาสาย”
“เห..จะไปอีกแล้วเหรอ” หญิงสาวทำท่าทีเหมือนไม่อยากจะจากเด็กหนุ่ม เธอมองเขาด้วยสายตาออดอ้อน
“เอา น่าถ้าเธอเข้าใกล้คนอื่น อายุขัยของคนเหล่านั้นจะลดน้อยลงนี่ ฉันเองก็อยากจะอยู่กับเธอล่ะนะ แต่ก็มีกิจกรรมชมรมเหมือนกัน งั้นเอาไว้เจอกันพรุ่งนี้” ไคใช้หลังมือยกขึ้นโบกลา
“อื้ม”
“พรุ่งนี้แค่โบกมือทักทายก็พอนะ” ไคพูดกับแอนนาก่อนที่จะเปิดประตูเข้าไปในห้อง (‘ให้ตายสิ ถ้าหากพูดแค่นี้ได้ง่ายๆ ก็ไม่ต้องมาระแวงตลอดหลายวันที่ผ่านมาสินะฉัน’)
แอ้ด เสียงประตูแง้มเปิดออก
“นายเข้าช้านะ” โตทักทายรุ่นน้องที่กำลังปิดประตูห้อง ขณะกำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่หน้าโต๊ะบาร์
“วันนี้เป็นไงบ้างล่ะชีวิตคู่” อีฟเดินถือแก้วน้ำมาหาไค แซวเล่นตามประสาพี่น้องด้วยรอยยิ้ม
“พอทีเถอะครับพี่อีฟ ติดธุระนิดหน่อยน่ะครับพี่โต” ไคยิ้มตอบอีฟ จากนั้นจึงหันหน้ามาตอบประธานหนุ่มตามลำดับ วางเป้ลงกับพื้นช้าๆ แล้วเดินเข้าไปหาโต
“วันนี้มีธุระกันนิดหน่อยล่ะนะ อยากให้นายช่วยอยู่พอดี” โตหันเก้าอี้มาทางเด็กหนุ่ม เปลี่ยนมานั่งไขว่ห้าง แล้วจิบน้ำชาด้วยท่าทางตามแบบผู้ดีอังกฤษ
“ธุระหรือครับ ก็คงจะเป็นเรื่องผีๆ อีกสินะครับ” ไคเดินมานั่งเก้าอี้ซึ่งอยู่ข้างๆ โต
. โตหันเก้าอี้กลับมาตรงหน้าโต๊ะบาร์ “ตอน ที่ฉันมาเปิดห้องชมรม บังเอิญไปพบจดหมายซองสีชมพูฉบับหนึ่งสอดไว้ใต้บานประตู ตอนแรกก็นึกว่าจะเป็นจดหมายรักน่ะนะแต่ว่าพอเปิดอ่านดู”
“พอเปิดอ่านดูแล้วเป็นยังไงหรือครับ” ไคมองหน้ารุ่นพี่ด้วยทีท่าสนใจ
อีฟค่อยๆ เดินมาวางแก้วน้ำที่โต๊ะขณะสองคนคุยกันอยู่ “พอพี่โตเปิดอ่านดูก็พบว่าเป็นจดหมาย ขอความช่วยเหลือจากชมรมเราน่ะ”
“เห..ชมรมเรามีคนขอให้ช่วยด้วยหรือครับ” ไคทำท่าทางตกใจเล็กน้อย
“มัน ก็น่าแปลกตรงนี้แหละ ทั้งๆ ที่ชมรมวิจัยเรื่องลึกลับของเราเป็นความลับ แต่ทำไมถึงมีคนมาขอร้องให้พวกเราช่วยได้ แถมยังจ่าหน้าถึงชมรมวิจัยอีก” โตพูดพลางจิบน้ำชา
“สรุปก็คือมีคนที่รู้เรื่องชมรมของเรา แล้วแอบมาขอความช่วยเหลือสินะครับ”
โตค่อยๆ วางแก้วลงบนจานรอง “อาจจะมีคนแอบเอาเรื่องของชมรมเราไปเปิดเผยอย่างลับๆ แล้วพอมีคนรู้เรื่องก็เลยมาขอความช่วยเหลือก็ได้”
อีฟเดินมานั่งลงข้างไค “ที่น่ากลัวน่ะไม่ใช่คนที่มาขอความช่วยเหลือ แต่คือคนที่รู้ความลับของชมรมเราต่างหากล่ะ” หากความลับถูกเผยแพร่ออกไปชมรมนี้คงจะถูกยุบอย่างแน่นอน ทุกคนในชมรมหวั่นเช่นนั้น
“แต่ว่าไหนๆ ก็มีคนมาขอให้ช่วย เราก็น่าจะช่วยหน่อยนะครับ” ไคเสนอ
โตหันหน้ามาหาไค “ถ้าเรื่องนั้นฉันให้โจกับโซเฟียและแทงค์ไปสืบให้แล้วล่ะ”
“แล้วเนื้อความมันเป็นยังไงหรือครับ”
“ก็แหงอยู่แล้ว ต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณน่ะสิถึงได้ต้องพึ่งนายไง” โตตบไหล่เด็กหนุ่มเบาๆ
“ผีสินะครับยังไงยังไงก็ต้องผีสินะครับ แต่เอาเถอะยังไงอายุขัยระดับผมก็ไม่มีวันตายอยู่แล้วนี่นะ” เด็กหนุ่มพูดด้วยความเหนื่อยหน่าย เขาอยากจะกลับไปเป็นคนปกติโดยไวที่สุด
“อย่าประมาทจะดีกว่านะ” โตหลับตาลงขณะพูด
“ทำไมหรือครับ”
“นายบอกว่านายเป็นอมตะใช่มั้ย แต่ถ้าสมมุติว่านายโดนมีดบาดแล้วแผลของนายจะหายไปทันทีเลยรึเปล่าล่ะ”
“ก็ไม่นะครับวันก่อนผมลื่นตกบันไดที่บ้านไปตั้ง 5 ขั้น แผลก็ยังมีอยู่เกือบสัปดาห์ถึงจะหายช้ำ”
“ก็หมายความว่าถึงอายุขัยจะเพิ่มขึ้นเป็นอมตะ แต่ร่างกายก็ไม่ได้เป็นอมตะอยู่ดียังไงล่ะ”
“เอ๋ ไม่เห็นผมจะรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย”
“นาย คงจะรู้สินะ ว่าก็ยังมีคนที่ตายไปก่อนอายุขัยแล้วต้องอยู่เร่ร่อนจนกว่าจะสิ้นอายุทั้ง หมดอย่างเช่นพวกที่ฆ่าตัวตายอยู่เหมือนกัน แล้วถ้าสมมติว่านายที่ไม่มีขีดจำกัดอายุขัยตายไปละก็จะเป็นยังไง” ประธานหนุ่มพูดจาชวนให้คิด
“ผมก็จะต้องอยู่เร่ร่อนไปตลอดกาล” ไคตกใจเป็นอย่างมากเมื่อเขาได้รับรู้ความจริง มันช่างทำใจยากที่จะยอมรับว่าแม้เขาจะมีอายุที่ยืนนานแต่ก็ใช่ว่าจะไม่ตาย
“ใจเย็นก่อนนะไค ที่พี่โตพูดก็แค่เพื่อเตือนไว้ให้ระวังไม่ใช่ว่าเธอจะตายวันตายพรุ่งซักหน่อย” อีฟเรียกสติรุ่นน้องด้วยรอยยิ้มของเธอ
“เอาล่ะจะเข้าเรื่องล่ะนะ” โตทำสีหน้าเคร่งเครียด
“ครับ” ไคตอบรับด้วยใบหน้าจริงจัง (‘ต้องระวังตัวบ้างแล้วสิโดยเฉพาะกับไอ้เจ้าเอธร ไม่รู้ว่ามันจะมาเอาคืนเมื่อไหร่’)
“จดหมาย ตอนนี้อยู่กับโจดังนั้นจะเล่าให้ฟังคร่าวๆ นะ ในนั้นเขียนเล่าถึงเรื่องวิญญาณของหญิงสาวในห้องศิลปะตอนเที่ยงคืน เห็นว่าเขาอยู่ในการเข้าค่ายของชมรมเพราะต้องนอนที่โรงเรียนตอนดึกก็เลยได้ เจอเข้าระหว่างที่เดินไปเข้าห้องน้ำคนเดียว เขาเล่าว่าพบผู้หญิงผมยาวสลวยมองเห็นหน้าตาไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ แต่งชุดสีหม่นๆ ท่ามกลางแสงจันทร์ เนื้อตัวเลอะไปด้วยสีเหมือนจิตรกร เธอกำลังวาดภาพอยู่ในห้องศิลปะที่ปิดไฟมืดๆ แล้วพอลองเปิดประตูเพื่อไปดูว่าเป็นใครเธอคนนั้นก็หายไปซะแล้ว พอเดินไปดูที่รูปภาพที่เธอวาดก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าเธอวาดภาพเหมือนของเขา นั่นเอง อะไรประมาณนั้น”
“จะบอกว่าไปเจอผู้หญิงที่ไม่เคยเจอกันมาก่อนวาดภาพเหมือนให้ แล้วก็หายตัวไปอย่างลึกลับ สินะครับ” ไคสรุปเรื่องราวจากทั้งหมดที่โตเล่า
“ก็ประมาณนั้นแหละ ฉันเองก็มองของแบบนี้ไม่ค่อยจะเห็นซะด้วย เลยต้องพึ่งนายล่ะนะ” โตกอดอกหลวมๆ ขณะเอ่ย
“ผม ก็สงสัยมานานแล้วนะครับ ทั้งที่คนปกติจะมองไม่เห็นวิญญาณแล้วก็มีแค่ผมที่มองเห็น แต่ทำไมถึงยังมีคนบอกว่าเจอผีบ้างล่ะ เห็นนู่นนี่บ้างล่ะอยู่ล่ะครับ” ไคทำท่าสะกิดใจ
“ความจริงคนเราทุกคนสามารถมองเห็นของแบบนี้ได้หมดแหละนะ แต่ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ และสถานที่ด้วย อย่างเช่นในกรณีวิญญาณของนาย A ต้องการอย่างแรงกล้าที่จะให้นาย B มอง เห็นแล้วบังเอิญว่าไปอยู่ในสถานที่ที่มีพลังงานสูงมันก็จะเกื้อหนุนให้มอง เห็น อะไรประมาณนั้นแต่ก็ได้แค่แวบเดียวล่ะ ในกรณีของนายมันพิเศษกว่าคนอื่นคือมองได้ทุกที่ทุกเวลายังไงล่ะยินดีด้วยนะ”
“เป็นสิ่งพิเศษก็จริง แต่ทำไมผมไม่เห็นจะดีใจเลยล่ะ” ไคทำหน้ากลุ้มใจ
“พลัง ของนายถ้าหากฝึกฝนดีๆ ละก็ นอกจากจะมองเห็น ได้กลิ่น รับรู้การมีอยู่ หรือฟังเสียงได้แล้ว อาจจะถึงขั้นสัมผัสตัววิญญาณเลยก็เป็นได้นะ”
“มีถึงขั้นนั้น ผมก็แย่น่ะสิครับ”
“พี่โตละก็ ไคเค้ากลัวแล้วนะคะพอเถอะ” อีฟที่พูดเพื่อช่วยเหลือไคนั้นสำหรับเขาแล้วเปรียบเสมือนอุ้งมืออันบอบบางจากสวรรค์ที่ยื่นลงมาดึงเด็กหนุ่มขึ้นจากนรก
“เอาน่าๆ พี่ก็แค่บอกสิ่งที่ควรจะรู้เอาไว้ให้ไคทราบก่อนเท่านั้นเอง” โตลุกขึ้นแล้วยกแก้วชาเดินเอาไปไว้ที่อ่างล้างจานหลังบาร์
ไคลุกขึ้นจากเก้าอี้ “ถ้างั้น เดี๋ยวผมจะไปหาพวกพี่โจก่อนนะครับเผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง”
“ไค” อีฟดึงชายเสื้อของรุ่นน้อง
“มีอะไรหรือครับพี่อีฟ” ไคหันก้มลงมามองหญิงสาว
“รับสิ่งนี้ไว้นะ เป็นเครื่องรางนะ” เธอยื่นสร้อยคอให้เด็กหนุ่ม
ไครับมาสังเกตดูดีๆ แล้วจึงได้รู้ “พระ” (‘ ผู้หญิงให้พระดีใจจังเลย ซะเมื่อไหร่เล่า’)
“ใช่จ้ะ ’พระ’ เป็นพระพุทธรูปประจำโรงเรียนเราซะด้วยนะ”
“เห..โรงเรียนเรามีด้วยหรือครับฟังดูเท่ดีแฮะ” ไคทำท่าทีสงสัยเพราะเขายังไม่เคยรู้เรื่องประวัติโรงเรียนมาก่อนเลย
“ก็นะ ‘พระสินปราบมาร’ น่ะเป็นพระพุทธรูปที่โรงเรียนเราสร้างไว้ให้พระอาจารย์สินที่มรณภาพไปไงล่ะ ก็ตอนที่นายไปห้องพระไงเรื่องเล่านั้นแหละ”
“พระสินสินะครับ” ไคยิ้มเฝื่อนๆ (‘ถ้าปราบผีได้จริงๆ จะกราบบูชาทุกวันเลย’)
“อย่าลบหลู่เชียวนะ” โตหันหน้ามาพูดกับไคขณะล้างถ้วยชา
“ค..ครับ” ไครับคำเขาพนมมือไหว้พระก่อนที่จะสวมไว้กับคอแล้วจึงเดินไปเปิดประตูออกนอกห้อง แอ้ดปึง! ไคปิดประตูหลังจากเดินออกมาข้างนอกห้องเสร็จ
“วันนี้เลิกเร็วเหรอ” แอนนาเดินลงบันไดมาจากดาดฟ้าพอดีกับจังหวะที่เด็กหนุ่มก้าวออกมา
“ก็ยังนะวันนี้กิจกรรมนอกห้องเรียนน่ะ ว่าแต่เธอยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ”
“บ้าน..บ้านไหน” แอนนาหันซ้ายแลขวาประโยคนั้นสร้างความประหลาดใจแก่เด็กหนุ่ม
“นี่เธออยู่ที่โรงเรียนมาตลอดเลยเหรอ” ไคตกใจไม่แพ้กับตอนที่รู้ความจริงเรื่องอายุขัย เขาสะเทือนใจอย่างมากเมื่อคิดว่าเธอไม่ได้ออกจากโรงเรียนเลยตลอดเวลาที่กลับมาโลก
“อื้ม..เราก็นอนอยู่บนดาดฟ้านี่แหละทำไมหรอ” แอนนาถามด้วยแววตาไร้เดียงสา
“แล้วยุงไม่กัด ไข้ไม่กิน ฝนไม่ตก ลมไม่หนาวแย่งั้นหรอ”
“ชาวดวงจันทร์ภูมิคุ้มกันจะดีมากๆ เมื่ออยู่บนโลกนะ ถึงอายุจะสั้นก็ตามที”
“แต่ แบบนี้มันก็ดูไม่ดีแฮะวันก่อนเธอก็จามไม่ใช่เหรอ ถ้าไม่ว่าอะไรจะไปอยู่ที่บ้านฉันก็ได้นะจะได้ให้น้องสาวดูแลเรื่องข้าวของ พอดีมีห้องว่างอยู่น่ะ” ไคชักชวนสาวน้อยผู้น่าสงสาร
“เฮ้ๆ นี่ๆ เป็นผู้ชายจู่ๆ ไปชวนผู้หญิงมาอยู่บ้านมันก็ไงๆ อยู่นะ” เสียงของโจดังขึ้นมาจากทางขึ้นบันไดชั้น 7 เขาค่อยๆ เดินขึ้นมาจนถึงตัวไค “ไคนายนี่เริ่มตั้งแต่เด็กเชียวนะ” โจกระเซ้าเย้าแหย่รุ่นน้อง
(‘เออ..จริงแฮะลืมคิดไปเลย คราวนี้เราเป็นฝ่ายผิดสินะ’) “แล้วเฮ่ยพี่โจ!” ไคตกใจเมี่อหันไปพบรุ่นพี่ร่างท้วมเดินสะพายกล้องเข้ามา
“ก็เออสิพี่ไงทำสีหน้าอย่างกะเห็นผี” โจเดินมาหาไคที่ยืนอยู่ติดกับแอนนา
“จริงสิพูดถึงผี พี่โจครับแล้วเป็นยังไงบ้างหรือครับเรื่องวิญญาณ”
“ก็ลองไปดูแล้วล่ะนะ แต่พี่ว่ามันออกจะเหมือนเรื่องโกหกซะมากกว่า” โจทำท่ากอดอกครุ่นคิด
“หมายความว่าไงหรือครับ”
“ก็ พี่ลองใช้พลังตรวจสอบความทรงจำในบริเวณห้องศิลปะดูแล้ว แต่กลับไม่เห็นมีความทรงจำของวิญญาณตรงไหนเลยซักจุด สงสัยว่าชมรมของเราจะถูกหลอกแล้วล่ะแบบนี้มันดูถูกกันชัดๆ” โจขมวดคิ้ว
“หมายความว่าเป็นจดหมายหลอกลวงสินะ แล้วโซเฟียกับแทงค์ล่ะครับ” ไคถามหาเด็กชายและเด็กหญิง
“ทั้งสองคนอยู่ที่ห้องศิลปะชั้น 4 น่ะ กำลังตรวจเช็คเพื่อความแน่ใจ” โจชี้ไปยังทางลงบันไดก่อนจะหันไปยังประตูห้องชมรม
“งั้นเดี๋ยวผมจะไปสมทบกับพวกเขาแล้วกัน” ไคพูดเสร็จแล้วจึงเดินลงบันไดไป
“รอด้วยสิกริยาเราไปด้วย” แอนนาวิ่งตามหลังเด็กหนุ่มลงบันได
หลังจากที่ทั้งสองคนลงบันไดไปแล้วโจจึงเปิดประตูเดินเข้าไปในห้องชมรม ส่วนทางด้านแอนนาและไคก็เดินลงบันไดเรื่อยๆ ลงมาจนถึงตีนบันไดชั้น 4 ทั้งคู่หยุดยืน
“ถึงจะลงมาชั้น 4 แล้วก็เถอะนะ แต่ว่าห้องศิลปะมันห้องไหนกันล่ะ” ไคหันซ้ายหันขวามองไปยังระเบียงทางเดินอย่างมึนงง
“เราว่าน่าจะเป็นห้องที่ใหญ่ๆ ตรงกลางๆ ชั้นนะ” แอนนาเสนอพลางยิ้มอย่างนุ่มนวล เธอเคยอยู่ที่โรงเรียนนี้มาก่อนแต่ก็ไม่เคยได้เข้าใช้ห้องศิลปะเลยสักครั้ง จึงไม่สามารถนำทางให้เด็กหนุ่มได้
“ถ้าอย่างนั้นก็เปิดเช็คมันให้ครบไปทุกห้องเลยแล้วกัน” ไค เดินไปยังประตูบานแรกแล้วเริ่มทำการไล่เปิดไปทีละห้อง ผ่านห้องพักครูบ้าง ห้องเรียนบ้าง ห้องธุรการบ้าง จนมายังห้องสุดท้ายที่ตีนบันไดอีกฝั่งหนึ่ง
“เหลือห้องสุดท้ายแล้วสิ” ไคค่อยๆ สูดลมหายใจเข้าออกช้าๆ ก่อนจะเปิดประตูไม้เล็กๆ บานหนึ่ง
ทันใดนั้นสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น แอ้ดโป๊ก! เด็กสาวผลักประตูออกมากระแทกหน้าผากของไคอย่างแรง
“ โอ๊ย” ไคเดินถอยหลังขณะกุมหน้าผาก
“ พี่ไค” โซเฟียตกใจหลังจากที่เจ้าตัวได้พบว่าการเปิดประตูเพียงบานเดียวของเธอก็อาจทำให้คนบาดเจ็บสาหัสได้เช่นกัน
“กริยาเป็นอะไรรึเปล่า” แอนนาจับมือของเด็กหนุ่มที่กุมหน้าผากออกเพื่อดูแผล “คิกๆ แดงไปหมดเลยแหละ อย่างกับก้นลิงแน่ะ” เธอยิ้มพร้อมกับเก็บเสียงหัวเราะเล็กน้อยขณะมองหน้าผากของเด็กหนุ่มที่ปูดโนออกมา
“นี่ๆ หัวเราะเยาะคนเจ็บเนี่ยนะ” ไคน้ำตาซึมเขานึกโทษความโชคร้ายของตัวเองไปพลางๆ ขณะเอามือกุมหน้าผาก
“ฮือๆ พี่ไคหนูขอโทษค่ะไม่น่าเลย” โซเฟียน้ำตาไหลเป็นทางขณะมองเด็กหนุ่มทุกข์ทรมาน “ไม่น่าเลยจริงๆ”
“นี่ๆ ไม่ต้องร้องขนาดนั้นก็ได้ ฉันเจ็บเฉยๆ ไม่ได้ตาย”
แทงค์เดินตามหลังโซเฟียออกมาจากห้อง “พี่ชายนี่นา มาทำอะไรหรือครับ” เด็กชายเห็นไคจึงทักทายด้วยความดีอกดีใจ
“ก็กะจะมาถามความคืบหน้านะแต่กลับได้แผลมาฟรีๆ” ไคคลายมือออกจากหน้าผาก
“เดี๋ยวหนูไปโรงอาหารแล้วเอาผ้าชุบน้ำแข็งมาให้นะคะ” เมื่อโซเฟียรู้สึกว่าผิดอยู่เต็มอกเธอก็รีบวิ่งตรงไปยังโรงอาหารซึ่งอยู่ติดกับศาลเจ้ากลางแจ้งทางด้านขวาของโรงเรียน
“เป็นเด็กผู้หญิงที่วิ่งไวจริงๆ” เด็กหนุ่มได้แต่เพียงมองแผ่นหลังของสาวน้อยที่วิ่งลงบันไดอย่างรวดเร็ว
“แล้วเป็นยังไงบ้างล่ะ” ไคหันกลับมาถามแทงค์
“พอลองตรวจดูแล้วก็ไม่น่าจะมีอะไรนะครับ แต่ผมสงสัยอยู่นิดหน่อย” แทงค์กัดเล็บทำท่าครุ่นคิดแบบผู้ใหญ่ เมื่อมองก็อดคิดไม่ได้ว่ามาจากการดูการ์ตูนแนวสืบสวนหรืออะไรเป็นแน่
“แล้วที่น่าสงสัยมันคืออะไรล่ะ” ไคย่อเข่าลงมาคุยกับรุ่นน้อง
“ตอนแรกที่พี่โจลงมาตรวจกับพวกเรา ได้ลองไปสอบถามจากพวกชมรมศิลปะดูแล้ว ก็ดูมีความน่าเชื่อถืออยู่เพราะที่หลายๆ คนเล่ามามีเนื้อหาคล้ายคลึงกันในหลายจุด แต่พอพี่โจใช้พลังดูแล้วกลับไม่พบดวงวิญญาณเลยแม้แต่นิดเดียว”
เมื่อไคฟังแทงค์เล่าเสร็จสรรพแล้วจึงค่อยๆ ยืนขึ้น “จะบอกว่าทั้งที่มีผู้พบเห็นหลายคนแต่กลับไม่มีผีอยู่ จะว่าเป็นข่าวลือมันก็ได้สินะ” ไคคิดตาม
“แต่ว่าถ้าเป็นข่าวลือก็ไม่น่าจะมีผู้พบเห็นจริงๆ แต่ถึงขนาดมาขอให้ชมรมเราช่วยเนี่ย ถ้าเอาข่าวลือมาให้มันก็ยังไงอยู่นะครับ”
“เราคิดว่าเป็นไปได้มั้ยว่าสิ่งที่พวกเขาเห็นจะเป็นแค่คนธรรมดา” แอนนายกมือขึ้นเสนอความเห็น
“จริงสิถ้าหากว่าเป็นคนละก็ถึงแม้จะมีผู้พบเห็นอยู่หลายคน แต่ก็ไม่ใช่วิญญาณอยู่ดีพลังของพี่โจเลยไม่ได้ผลสินะครับ” แทงค์เงยขึ้นมองหน้าแอนนา
“ใช่มั้ยล่า ใช่มั้ยล่า” แอนนายิ้มอย่างภูมิใจที่มีคนเห็นด้วยกับเธอ
“แต่ฉันคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอก” ไคเอ่ยขึ้น
“ทำไมกันล่ะ” หญิงสาวหันมองมายังไคซึ่งมีความเห็นขัดแย้งกับเธอ
“ก็ถ้าเป็นคนแล้วละก็ จะเอาเวลาที่ไหนไปซ่อนตัวล่ะ ตามเรื่องที่เล่ามาพอเปิดประตูเธอก็จะหายไปในทันที ยิ่งกว่านั้นคนธรรมดาคงจะวาดภาพเหมือนไม่เร็วขนาดนั้นหรอก” ไคหลับตาขณะอธิบาย
“ชิ ก็เค้าไม่เคยฟังหรืออ่านเรื่องนี้ซักหน่อย ก็แค่เสนอความเห็นจากที่ฟังเธอคุยกันเองนี่” ดูเหมือนแอนนาจะงอนเด็กหนุ่ม เธอกอดอกทำหน้าบึ้งหันหลังให้เขา
(‘เอ้าเราผิดอีก’) ไคถอนหายใจก่อนจะยกมือไหว้ “ขอโทษด้วยละกัน”
“งั้นเดี๋ยวผมขอขึ้นไปบอกให้พวกพี่โตรู้กันก่อนนะครับ” แทงค์เอ่ยก่อนเดินขึ้นบันไดกลับห้องชมรม
“เอาล่ะ ถ้างั้นฉันจะขอเข้าไปดูในห้องบ้างละ” ไค พูดพลางบิดขี้เกียจเล็กน้อย เขาเดินเข้าไปในห้องโดยมีแอนนาตามหลังมาติดๆ แต่ทั้งคู่ก็ต้องสะดุดหยุด เมื่อหลังจากที่เปิดประตูบานนั้นไปแล้วพบว่ามี เด็กผู้หญิงไว้ผมยาวถึงสะโพกและปกบังใบหน้า เธอกำลังนั่งวาดภาพอยู่ตามที่ได้ยินมาจากรุ่นพี่ราวกับถอดแบบออกมาจากจดหมาย ‘ขณะนี้ท้องฟ้าได้มืดลงแล้ว’
จบตอน
โปรดติดตามตอนต่อไป
ปล.รักนะคนอ่าน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.6 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ