ชมรมวิจัยเรื่องลึกลับ (หลังเลิกเรียน)
6.8
เขียนโดย shotaro
วันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 เวลา 15.35 น.
32 ตอน
8 วิจารณ์
36.96K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 15.39 น. โดย เจ้าของนิยาย
5) คาบเรียนที่ 3:สาวน้อย กับ พระจันทร์ และชมรม
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความคาบเรียนที่ 3 :สาวน้อย กับ พระจันทร์ และชมรม (ตำนานรักบทกลาง ปริศนาเจ้าหญิง คากุยะ)
(‘ที่นี่ที่ไหน’) ไคมองไปรอบกายเห็นแต่เพียงเงามืด (‘นี่มันเกิดอะไรขึ้น’) เขาก้มลงมองที่มือตัวเองซึ่งดูจะเลือนรางลงไปทุกที
แปะ แปะ แปะ เสียงปรบมือดังขึ้น “ในที่สุดก็ได้พบกันซะทีนะ ถึงแม้สถานที่จะไม่เอื้ออำนวยเท่าไหร่ เอาเถอะ แกไม่ต้องทำอะไรอีกแล้วล่ะ” เสียงปริศนาดังขึ้นอีกครั้ง
ไคหันกลับไป คราวนี้เขาพบเด็กนักเรียนชายรุ่นราวคราวเดียวกัน กลัดเข็มระดับ ม.4 ใบหน้าเรียวยาว หน้าตาดูคมเข้ม ปล่อยผมยาวสยายถึงแผ่นหลัง หากดูไกลๆ คล้ายเด็กผู้หญิง นัยน์ตาสีดำไร้แวว ชวนให้สะพรึงกลัว ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกเย็นวาบไปถึงหลังกำลังยืนปรบมือ รอยยิ้มที่มุมปากซ่อนเล่ห์ร้ายไว้มากมาย
“นี่แกที่พูดเมื่อกี้มันหมายความว่าไง” เด็กหนุ่มค่อนข้างมั่นใจว่าคนๆ นี้จะต้องไม่ได้มาดีอย่างแน่นอน
“จะให้บอกจริงๆ น่ะเหรอ” เด็กหนุ่มปริศนาพูด น้ำเสียงยียวนกวนอารมณ์จนไครู้สึกโกรธขึ้นมา
“อย่ามาเล่นลิ้นกับฉันนะ”
“ฮิฮิฮิ จะบอกให้ก็ได้ว่าแกน่ะตายไปแล้ว”
“อย่ามาซี้ซั้วพูด แกทำอะไรกับฉันที่นี่มันที่ไหนกัน” ไคจับคอเสื้อของชายหนุ่ม มือกำหมัดเตรียมจะปล่อยใส่หน้าอีกฝ่ายเต็มที่
“ฉันก็ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อยนี่นา แต่จะยอมบอกเอาบุญให้ก็ได้” เขาจับข้อมือของไคออกจากคอเสื้อ
“แกเป็นใครกันแน่”
“ตกลงจะเอาคำถามไหนก่อนหรือหลังกันดีล่ะ ไอ้นู่นก็จะถาม ไอ้นี่ก็จะถาม” เขาพูดช้าๆ พร้อมเดินวนรอบตัวของไคที่กำลังสั่นไหว
“หุบปากซะ มีอะไรก็พูดมาให้หมด นายคงไม่รู้หรอกว่าถ้าฉันโมโหถึงขีดสุดจะเป็นยังไง” ความหวาดกลัวกังวลและสับสนรวมเข้ากับความโกรธอัดแน่นในอกของไค ทำให้เขาไม่อาจที่จะเก็บอารมณ์ไว้ได้มากนัก
“ก็คงจะทำตัวเหมือนสมัยที่อยู่โรงเรียนเก่าสินะ ถ้าเรื่องประวัติของแกฉันก็สืบมาหมดแล้ว ทำตัวไม่สมกับชื่อเลยนะนายกริยา” ชายหนุ่มพูดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
ไครู้สึกโกรธออกท่าทางอึดอัดแต่ยังควบคุมสติได้ เด็กหนุ่มครุ่นคิดแล้วพูดว่า “รู้เรื่องของฉันได้ ก็แสดงว่าจะต้องมีการสืบค้นข้อมูลมาอย่างดี นี่แกน่ะไม่ใช่วิญญาณสินะ”
“หัวไวดีนี่ ใช่แล้วตอนที่แกหาฉันเท่าไหร่ก็ไม่พบ ถึงแม้ว่าสามารถมองเห็นวิญญาณได้ก็ตาม นั่นก็เพราะว่าฉันน่ะไม่ใช่วิญญาณแต่เป็นกายทิพย์ต่างหาก แกน่ะสามารถมองเห็นได้ก็เพียงแค่วิญญาณของคนที่ตายไปแล้วเท่านั้นยังไงล่ะ ไม่อาจที่จะมองเห็นจิตของคนเป็นได้” ชายหนุ่มแถลงไขเขาดูเหมือนจะรู้ทุกอย่างจริงๆ
(‘อย่างนี้นี่เองสินะ ฉันถึงได้มองไม่เห็นหมอนั่นเลยแม้แต่นิดเดียว จะว่าไปหมอนี่รู้เรื่องของเราได้ยังไงกัน’)
“จะบอกเอาบุญล่ะนะ แกน่ะตั้งใจแคะขี้หูแล้วฟังให้ดีล่ะ เพราะฉันไม่ใจดีขนาดจะพูดถึงสองครั้งสองคราหรอกนะ”
“เข้าใจแล้ว รีบพูดๆ มาให้หมดก่อนที่ฉันจะอัดแก”
“ที่ต้องรู้สถานะมันคือแกต่างหากล่ะไองั่งเอ้ย หึ ฉันคือ เอธร (**ออกเสียงว่า เอ-ทอน**) เป็นสุดยอดนักศึกษาค้นคว้าด้านพลังเหนือธรรมชาติ ก็เหมือนกับชมรมของแกนั่นแหล่ะ แต่ฉันน่ะไม่ใช่พวกงี่เง่าที่สนใจแต่จะไขปริศนาหรือเล่นๆ ไปวันๆ ทำให้พลังของตัวเองไร้ค่าแบบพวกแกหรอกนะ”
“เอธรสินะ แกต้องการอะไรกันแน่”
“ฉันไม่ได้ต้องการอะไรจากแกเลยสักนิด” เอธรเบี่ยงหน้าหลบแล้วเริ่มอธิบาย “จะ ขอสรุปเป็นนิทานสั้นๆ แล้วกัน ในตำนานของชาวญี่ปุ่นมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับดวงจันทร์อยู่หลายเรื่อง หนึ่งในนั้นก็คือ คากุยะ เจ้าหญิงจากดวงจันทร์ ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับตาแก่คนหนึ่งที่ขึ้นไปตัดไม้บนภูเขา ได้บังเอิญไปเก็บเธอคนนั้นกลับมาเลี้ยงไว้ที่บ้าน จนเธอโตขึ้นสวยวันสวยคืน คากุยะนั้นปฏิเสธผู้ชายทุกคนที่มาขอแต่งงานกับเธอไม่เว้นแม้แต่พระราชาก็ตาม คืนวันหนึ่งตาแก่ได้รับฟังความจริงจากคากุยะว่าที่แท้จริงนั้นตนเองเป็น มนุษย์มาจากดวงจันทร์และกำลังจะถูกพาตัวกลับไป ตาแก่ตกใจมากที่ได้รู้ความจริงและไม่ต้องการที่จะปล่อยให้ลูกสาวต้องจากไป เขาจึงไปปรึกษากับพระราชา เมื่อถึงคืนวันเพ็ญตามกำหนดที่คากุยะต้องกลับไปยังดวงจันทร์ พระราชาก็สั่งให้องครักษ์ซ่อนคากุยะไว้ภายในบ้านอย่างมิดชิดและให้เฝ้าไว้ เป็นอย่างดี
แต่แล้วท้องฟ้ายามค่ำคืนก็กลับสว่างขึ้น มีขบวนทูตสวรรค์จากดวงจันทร์แต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่สว่างไสวราวกับแสงจันทร์ เต็มดวงล่องลอยมาบนเมฆและร่อนลงบนผืนดิน ในขณะที่เหล่าองครักษ์ก็ตาพร่ามัวไปด้วยแสงประหลาดนั้น ต้องหยุดนิ่งราวกับถูกสาปและไม่กล้าที่จะทำอะไรทั้งสิ้น คากุยะต้องจำใจกลับไปบ้านเกิดของเธอ แต่ก่อนจากลากับตาแก่เธอได้มอบเสื้อคลุมของเธอให้เป็นของที่ระลึก หึๆ แต่ที่ฉันสนใจน่ะ ไม่ใช่ของที่เธอมอบให้ตาแก่นั่นหรอก แต่ที่ต้องการนั้นก็คือ ยาอายุวัฒนะ ที่คากุยะมอบให้พระราชาเพื่อเป็นของตอบแทนต่างหาก” เอ ธรกอดอกในขณะเล่าให้ไคฟัง “แต่เพราะมีข้อแม้ว่ายานั่น จะต้องมอบให้ในวันที่เจ้าหญิงกลับไปเท่านั้น ฉันจึงต้องเฝ้ารออยู่อย่างนี้ไงล่ะ”
“เดี๋ยวนะ นี่แกกำลังจะบอกว่ามีมนุษย์อยู่บนดวงจันทร์จริงๆ อย่างนั้นเหรอ” ไคพูดประกอบกับกลั้นหัวเราะ (‘หมอนี่ท่าจะเพี้ยนแฮะ’)
“แกนี่มันโง่จริงๆ โลกของเรานั้นแบ่งเป็นหลายล้านมิติมากมายนับไม่ถ้วน เป็นโลกที่ซ้อนทับกันอยู่ แต่ละโลกนั้นเกิดเรื่องที่ไม่ซ้ำกัน ไม่ว่าจะเป็นโลกไหนๆ ก็ตาม ดวงจันทร์ก็เช่นกันไม่ได้มีแค่มิติเดียวสักหน่อย สิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ก็อย่าคิดว่ามันไม่มีสิ”
“แล้วที่แกเล่ามามันเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่ฉันตายแกน่ะรู้สินะ” ไคจ้องหน้าเอธร เขามั่นใจแล้วว่าคนๆ นี้ไม่ใช่คนดี และเชื่อด้วยว่าชายคนนี้จะต้องรู้เรื่องทั้งหมดเป็นแน่
“หึๆ อย่าพูดเหมือนฉันเป็นคนฆ่าแกสิ การที่แกเข้าใกล้กับนังนั่นโดยที่ไม่รู้อะไรเลยต่างหากที่ทำให้แกต้องตาย ฉันอุตส่าห์เตือนแล้วแท้ๆ เชียวนะ”
“หมายความว่ายังไงกันแน่”
“นังนั่นน่ะคือเจ้าหญิงคากุยะจากมิติอื่นบนดวงจันทร์ยังไงล่ะ ฉันกลัวว่าแกจะรู้เรื่องแล้วซะอีกนึกไม่ถึงจริงๆ แกไม่รู้ตัวเลยสินะว่ายิ่งเข้าใกล้เธออายุขัยของแกก็จะสั้นลงไปเรื่อยๆ” เอธรอธิบายด้วยรอยยิ้ม “สงสัยฉันจะประเมินแกสูงไปหน่อย”
“เป็นไปไม่ได้หรอกแอนนาเนี่ยนะเจ้าหญิงจากดวงจันทร์ ไม่สิแล้วทำไมอายุขัยของฉันต้องลดลงไปเรื่อยๆ ด้วยล่ะ” ไครู้สึกตกใจผสมกับโล่งอก (‘แต่ก็ค่อยยังชั่วหน่อยที่ไม่ใช่ผีปีศาจ’)
“โอ๊ะ โอ่ว สงสัยว่าจะได้เวลาขั้นต่อไปซะแล้วสิ ขอตัวก่อนล่ะฉันคงจะไม่ว่างมาคุยกับแกเป็นชั่วโมงหรอกนะ หึๆ อ้อแต่จะบอกอะไรเด็ดๆ ให้ก่อนไปนะ ยัยนั่นน่ะกำลังจะกลับดวงจันทร์ในคืนวันนี้ ต้องขอบคุณแกจริงๆ ที่ทำให้ยัยนั่นอยากกลับเร็วขึ้น และน่าเสียดายนะที่อายุขัยของแกไม่ยืนพอที่จะมาส่งเธอได้ เอาล่ะ ฉันคงจะต้องขอตัวไปรับยาอายุวัฒนะมาจากยัยนั่นก่อนล่ะนะ”
“ไม่มีทางหรอก” ไคก้มหน้า
“ไม่มีทางอะไรของแก”
“แอนนาน่ะไม่มีทางที่จะให้ยาอะไรนั่นกับคนอย่างแกแน่ๆ”
“เอ๋..แต่ฉันจำไม่ได้เลยนะว่าเคยพูดว่าจะไปขอยานั่นมาดีๆ น่ะ” เมื่อพูดเสร็จเอธรก็หายตัวไปในความมืด
“นี่แกหยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ” ไคตะโกนดังลั่นด้วยความโกรธ (‘บ้าเอ้ย เราทำอะไรไม่ได้เลย’) เด็กหนุ่มทำได้เพียงนั่งคุกเข่าร้องไห้
“ขอโทษนะครับ นั่นใช่พี่ชายหรือเปล่า” เสียงเด็กผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นในระหว่างที่ไคกำลังก้มหน้าหลั่งน้ำตา
“เสียงนี้มันแทงค์ ไม่สิจะเป็นไปได้ไงก็เราตายไปแล้วนี่” ไคเริ่มจะตัดใจจากความหวัง
“พี่ชาย”
ไคค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองตามต้นเสียง เมื่อเห็นแทงค์จริงๆ ก็ถึงกับสะดุ้ง “แทงค์นี่นายมาที่นี่ได้ไง”
“รู้สึกเหมือนผมจะยังไม่เคยเล่าเรื่องพลังของตัวเองให้พี่ชายฟังเลยสินะครับ” เด็กชายยิ้ม “ผมน่ะสามารถถอดวิญญาณของตัวเองออกมาได้อย่างสมบูรณ์ และทุกครั้งที่ถอดวิญญาณออกมาจะถูกส่งมายังใจกลางระหว่างโลกคนเป็นกับโลกคนตายครับ”
“สวรรค์! สวรรค์จริงๆ มีความสามารถแบบนี้ในเวลาอย่างนี้ ต้องขอบใจนายมากเลย เอาล่ะช่วยพาฉันกลับไปเข้าร่างทีสิ” ไคปาดน้ำตาแล้วพูดด้วยความดีใจ
“พี่ชายครับ ผมคงทำแบบนั้นไม่ได้หรอกครับ” แทงค์ปฏิเสธทันควัน เขาก้มหน้าลงมองพื้นด้วยความรู้สึกเจ็บใจ
ไคใจหายหลังจากได้รับคำตอบเช่นนั้น“ทำไมล่ะ”
“อายุขัยของพี่กลายเป็นศูนย์ซึ่งมันเกินที่จะกลับเข้าร่างไปแล้วครับ และที่พี่กำลังอยู่ตรงนี้ก็คือ”
“คือที่ไหน แทงค์ที่นี่ที่ไหน” ไคอย่างลุกลี้ลุกลน
“ประตูสู่ยมโลกครับ ถ้าหากว่ายังคงอยู่ที่นี่ละก็ เมื่อประตูเปิดออกพี่จะถูกพาไปตัดสินความดีความชั่วที่ยมโลก แล้วจะไม่สามารถกลับมาได้อีก พี่โตฝากให้ผมมาถามว่าพี่อยากจะบอกอะไรกับพวกเราก่อนจะจากลากันไปบ้าง” แทงค์ เริ่มน้ำตาคลอ เขาเองก็ไม่อยากให้เด็กหนุ่มจากไปเช่นกัน ถึงแม้จะรู้จักกันมาแค่เพียงสัปดาห์เดียวแต่ความผูกพันก็ได้เกิดขึ้นเสีย แล้ว การจากลาจึงสร้างความเจ็บปวดให้พวกเขาอยู่ไม่น้อย
เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วจับที่ไหล่ของแทงค์เบาๆ “แทงค์ พี่มีบางอย่างจะขอร้องได้มั้ย”
“ครับ” เด็กชายพยักหน้า
“ไม่ต้องพาพี่กลับเข้าร่างก็ได้ แต่ช่วยพาพี่กลับไปหาทุกคนก่อนที่ประตูยมโลกจะเปิดที” ไคพูดด้วยสีหน้าจริงจัง เขาต้องการทำทุกวิถีทางเพื่อหยุดยั้งเอธรถึงแม้ตอนนี้จะยังหาหนทางไม่ได้ก็ตาม
“หมายความว่าพี่จะไม่ไปเกิดหรือครับ”
“ถ้าถึงเวลาพี่จะต้องไปแน่ๆ แต่ตอนนี้ไม่ใช่ พี่จะต้องทำสิ่งสำคัญบางอย่างให้ได้เสียก่อน” ไคยกมือออกจากไหล่เด็กชาย “เพราะถ้าหากไปตอนนี้พี่คงไปเกิดไม่ลงแน่ๆ”
“เข้าใจแล้วครับพี่ชาย” แทงค์จับมือของเด็กหนุ่ม ทันทีทันใดนั้นความมืดที่ปกคลุมอยู่รอบตัวทุกอย่างก็ค่อยๆ หมุนเปลี่ยนเป็นสีขาวโพลน
ณ อีกทางด้านหนึ่งของโลกความตาย อีฟกำลังร้องไห้กอดร่างที่ไร้วิญญาณของเด็กหนุ่มเอาไว้ น้ำตาไหลรดร่างของเขาเป็นสาย ทุกคนในห้องชมรมไม่รู้แม้แต่สาเหตุของการจากไปของสมาชิกใหม่
“อีฟ พี่จะโทรหารถโรงพยาบาลให้มารับศพของไคก่อนนะ โจ นายไปบอกเรื่องนี้กับคุณครูคนไหนก็ได้ด่วนเลย” โตออกคำสั่งกับรุ่นน้อง น้ำเสียงที่หนักแน่นแฝงเจือความโศกเศร้า
“พี่โตครับแทงค์กลับมาแล้ว” ก่อนเขาจะลุกขึ้น โจพูดขณะที่กำลังเฝ้าร่างของแทงค์
“ว่าไงบ้างล่ะ” โตเหลียวหน้าไปถามแทงค์ที่กำลังค่อยๆ ลืมตาขึ้นเหมือนเพิ่งตื่นนอน
“หนูกลัวจังเลยค่ะ” โซเฟียเดินย้ายจากหลังห้องมานั่งข้างอีฟ
“ไม่เป็นไรนะ” อีฟใช้มือขวาลูบหัวเด็กสาวแล้วพูดด้วยน้ำเสียงปลอบโยน ทั้งที่น้ำตาของเธอยังคงไหลไม่หยุด มือซ้ายของเธอยังคงจับร่างของรุ่นน้องผู้ล่วงลับ
“พี่ชายเขากลับมาที่นี่ครับ” แทงค์ก้มหน้าพูด เขาไม่กล้าสบตากับประธานหนุ่ม
“ว่าไงนะ” โตถามด้วยน้ำเสียงตกใจหลังจากได้ฟังคำพูดของรุ่นน้อง
“พี่ไคเค้ากลับมาที่นี่ครับ เขากลับมาพร้อมกับผมด้วย”
“แทงค์นี่นายพาเขากลับมาใช่มั้ย นายน่าจะรู้นะว่าการกระทำแบบนี้จะทำให้ไคมีห่วงแล้วไม่สามารถไปเกิดได้ แล้วจะรับผิดชอบยังไง” โตตำหนิ
“ขอโทษครับ” แทงค์ก้มหน้ารับผิด
“แต่ก็ขอบใจนายมากนะ” โตตบบ่าของแทงค์เบาๆ
“พี่ครับ” แทงค์ร้องไห้ออกมาหลังจากที่เก็บเงียบอัดอั้นเอาไว้มานานแสนนาน
“ไคพี่รู้ว่าแกยังอยู่ในห้องชมรมนี้ ถึงพี่จะมองไม่เห็น ไม่ได้ยินเสียงหรือไม่ได้กลิ่นอะไรเลยก็ตาม แต่พี่รู้สึกได้ ดังนั้นที่ผ่านมาถึงแม้จะเป็นแค่เพียงเวลาสั้นๆ แต่ก็ขอบคุณนะ ที่ครั้งหนึ่งในชีวิตของแกได้เลือกที่จะมาเป็นสมาชิกชมรมของพี่ ในฐานะประธานพี่ขอขอบใจจริงๆ” โตตะโกนดังลั่นไปทั่ว ห้องเขาหวังจะให้เด็กหนุ่มได้ยินคำกล่าวอำลานี้ ประกอบกับสงสัยถึงสาเหตุที่อายุขัยของไคลดลงอย่างรวดเร็วจนน่าแปลกใจ
“พี่โต” วิญญาณเด็กหนุ่มลอยมาดูร่างกายของตัวเองอยู่ข้างๆ อีฟ พลางใช้มือปาดน้ำตาที่เลือนรางจนแทบจะมองไม่เห็น
โตเงยหน้าขึ้นมองไปบนเพดาน เขาเหมือนจะได้กลิ่นอะไรบางอย่าง “เอ๊ะเดี๋ยวนะ กลิ่นอายนี้มัน”
“พี่โตมีอะไรงั้นเหรอ” อีฟถามรุ่นพี่ในขณะที่เธอกำลังร้องไห้
“กลิ่นอายนี่มัน กลิ่นอายของความเศร้าที่ปะปนมากับกลิ่นอายแห่งชีวิต หรือว่า!?” โตเกาคางของตัวเองในขณะกำลังคิด แล้วหยิบสมุดบันทึกในกระเป๋าออกมาอ่าน เขาใช้เวลาเปิดหาหน้าอยู่ครู่หนึ่ง “ใช่จริงๆ ด้วย กลิ่นอายนี้” ทุกคนรวมทั้งวิญญาณของเด็กหนุ่มมองมาที่พี่โต
“คากุยะ กลิ่นอายนี้ฉันเคยได้สัมผัสมันมาก่อนแล้วครั้งหนึ่ง” โตเดินเงยหน้าวนไปมารอบๆ ห้อง ดูแล้วเหมือนสุนัขตำรวจที่กำลังตามจับกลิ่นของยาเสพติด
“คากุยะ นั่นมันตำนานในประเทศญี่ปุ่นไม่ใช่หรือครับพี่โต” โจเอ่ยขึ้นมา
“ไม่ ถึงกับเป็นตำนานแต่มันออกแนวนิทานไปซะมากกว่า กลิ่นนี้ฉันเคยสัมผัสในสมัย ม.ต้น ตอนที่ฉันกำลังนั่งดูวิวบนดาดฟ้าโรงเรียนในคืนก่อนวันปีใหม่ ถึงจะไม่รู้ว่าใช่กลิ่นของคากุยะแน่หรือเปล่าแต่ว่าลางสังเห่าของฉันมัน บอกว่าน่าจะใช่”
“พี่โตรู้จักตำนานคากุยะด้วยงั้นเหรอ” วิญญาณเด็กหนุ่มชักสีหน้าตกใจ
“อ๊ะจริงสินี่มันไม่ใช่เวลาที่จะมาขลุกอยู่ในห้องแบบนี้หนิ ฉันต้องรีบไปหาแอนนาแต่ว่าที่ไหนล่ะ” เมื่อไคนึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ เขาก็หันไปมองโตซึ่งกำลังเงยหน้าสูดดมกลิ่นส่งเสียงดังฟุดฟิด
เมื่อเขามองโตที่เงยหน้าอยู่ก็คิดตามจนคลายข้อสงสัยได้ “บนดาดฟ้า” ก็รีบลอยทะลุเพดานขึ้นไป ไคพุ่งทะยานจนมาถึงยังดาดฟ้าเห็นแอนนากำลังยืนร้องไห้อยู่เบื้องหน้าพระ จันทร์สีเหลืองนวล น้ำตาของเธอสะท้อนแสงจันทร์จนวาววับ
“แอนนา” เด็กหนุ่มตะโกนเรียก แต่ดูเธอจะมองไม่เห็นหรือได้ยินเสียงจากวิญญาณของเขาเลยแม้แต่น้อย
“นี่เธอน่ะได้เวลาแล้วสินะ” เอธรเดินเข้ามาทางด้านหลังของหญิงสาว พูดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ดังเช่นเคย
“คุณเป็นใครน่ะ” แอนนากลับหลังหันมาพบชายแปลกหน้าซึ่งกำลังเดินเข้ามาอย่างช้าๆ
“นี่แกอีกแล้ว” ไคร้อนใจมากขึ้นเมื่อเห็นเอธร
เอธรเมื่อกลับเข้าร่างจากการใช้กายทิพย์แล้วดูจะมองไม่เห็นวิญญาณของเด็กหนุ่ม เขายังคงพูดกับหญิงสาวต่อไป “เธอไม่จำเป็นต้องรู้อะไรก็ได้”
“อย่าทำเป็นเมินสิวะ” เด็กหนุ่มลอยเข้าไปใกล้เอธรแล้วจึงตะคอกใส่แต่ช่างดูไร้ความหมาย
“ต้องการอะไรจากเรากัน” แอนนาถามอย่างตกใจกลัว เธอใช้มือปาดน้ำตาที่ไหลก่อนหน้านี้เล็กน้อย
“หึๆ เรื่องนั้นเธอเองก็น่าจะรู้ดีนี่ ฉันน่ะแอบเฝ้ามองเธอมาโดยตลอด ทุกคืนๆ เธอจะมายืนอยู่ที่ดาดฟ้าแห่งนี้แล้วมองดูพระจันทร์ที่เป็นบ้านเกิดของเธอ ร้องโหยหาที่จะกลับไป แต่ว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เธอจะอยู่บนโลกนี้แล้ว ดีใจด้วยนะแต่ฉันคงจะปล่อยให้เธอกลับไปโดยที่ไม่ทิ้งอะไรไว้ให้เลยไม่ได้ หรอก หึๆ เธอคงจะรู้แล้วนะว่าต่อจากนี้จะพูดถึงเรื่องอะไรคากุยะ” เอธรเดินเข้ามาใกล้เธอมากขึ้นเรื่อยๆ
“หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะแก” ไคพยายามจะต่อยหน้าของเอธร แต่จะทำซักเท่าไหร่ก็มีเพียงหมัดที่ทะลุตัวของเขาไปเท่านั้น
“นี่เธอกำลังพูดถึงเรื่องอะไรน่ะ” แอนนาเดินถอยหลังด้วยความหวาดกลัว เธอตัวสั่นเหมือนกับกระต่ายตัวน้อยๆ
“ยาอายุวัฒนะไงล่ะส่งมันมาซะ” เอธรยังคงเดินไล่ต้อนหญิงสาวจนเธอเดินไปถึงสุดทางดาดฟ้าและไปต่อไม่ได้
“ยาอายุวัฒนะอะไรนั่นเราไม่มีให้หรอกปล่อยเราไปเถอะนะ” แอนนาพูดด้วยน้ำเสียงสั่น เธอวิงวอนขอให้ปล่อยเธอไป
“อย่ามาโกหก คิดเหรอว่าเธอจะหลอกตาทิพย์ของฉันที่สามารถมองเรื่องลี้ลับทะลุปรุโปร่งได้ ฮะ ไม่ว่าจะโกหกแบบไหนก็ตาม หากเป็นตำนาน นิทาน หรือสิ่งลี้ลับแล้ว ฉันก็ย่อมมองออกได้เสมอ รังสีนะมันกลบกันไม่มิดหรอกจะบอกให้”
(‘สามารถแยกแยะระหว่างมนุษย์กับสิ่งลี้ลับได้สินะ แถมยังถอดกายทิพย์ได้อีกด้วย หมอนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ แต่ว่ายังไงก็ยังมองไม่เห็นวิญญาณของเราด้วยตาเปล่าได้อยู่ดี’) วิญญาณของเด็กหนุ่มคิดขณะลอยตัวอยู่เหนือดาดฟ้า
โป๊ก!! เสียงหินขนาดกำปั้นก้อนหนึ่งถูกโยนมากระแทกกับศีรษะของเอธร
“โอ๊ย ใครปามาวะ” ชายหนุ่มเอามือกุมแผลศีรษะแตก เลือดค่อยๆ ไหลออกมาจากบริเวณหน้าผากเป็นทางยาวจนเปรอะเปื้อนเสื้อนักเรียนสีขาว
“ฮิฮิฮิ นึกไว้แล้วเชียวเป็นนายจริงๆ ด้วยสินะ รู้สึกว่าที่ยืนอยู่ตรงโน้นจะเป็นคากุยะตัวจริงเสียงจริง สงสัยจะต้องขอลายเซ็นเป็นการตอบแทนซะแล้วสิ” โตยืนกอดอกอยู่หน้าประตูดาดฟ้า ปรากฎตัวพร้อมกับสมาชิกชมรมคนอื่นๆ
“พี่โตมาได้ถูกเวลามากครับ” ไครู้สึกโล่งใจที่โตมาช่วย แอนนาดูจะปลอดภัยแล้ว (‘เฮ่ยเดี๋ยวนะ พี่โตรู้จักกับไอ้เจ้าเอธรจริงเหรอเนี่ย’)
“พี่โตมาเล่นแผลงๆ กับผมระวังจะตายไม่รู้ตัวนะครับ” เอธรยันตัวเองลุกขึ้นหลังจากที่เห็นประธานหนุ่ม สายตาของเขาแฝงไปด้วยความโกรธ
“นี่แกต้องการอะไรกันแน่ โอ๊ะไม่สิถ้าพูดถึงคากุยะก็ต้องยาอายุวัฒนะสินะ ฮิฮิฮิ”
“เอ็งก็รู้อยู่แล้วนี่จะถามทำซากอะไร”
“พี่โตครับ ยาอายุวัฒนะนี่มันคืออะไรหรือครับ” แทงค์ซึ่งไม่ค่อยพูดค่อยจา นานครั้งจึงได้เอ่ยปากถามรุ่นพี่
“ยาอายุวัฒนะเป็นยาที่ฝืนกฎของอายุขัยและธรรมชาติ ผู้ที่ดื่มเข้าไปจะมีชีวิตที่เป็นอมตะ เพียงแค่รับยานี้มาจากเจ้าหญิงคากุยะในคืนที่เธอกำลังจะกลับสู่ดวงจันทร์เท่านั้น ยานี้ก็จะสำเร็จผลอย่างง่ายดาย เพราะงั้นถึงต้องเป็นคืนนี้ที่พระจันทร์เต็มดวง หลังจากฝนไล่ช้างได้พัดเมฆหมอกออกไปจนหมดแล้วยังไงล่ะ”
“แต่ในเมื่อมันมาถึงตรงนี้แล้ว ยานั่นก็ต้องเป็นของฉันล่ะ” เอธรยังคงเดินไปหาแอนนาไม่หยุดหย่อน
“คิดหรือว่ามันจะง่ายแบบนั้น แกนี่มันยังเด็กจริงๆ นึกว่าตั้งแต่ลาออกจากชมรมไปจะมีความฉลาดมากขึ้นซะอีก เฮ้อน่าผิดหวัง น่าผิดหวัง” โตค่อยๆ เดินเข้ามาทีละก้าว
“หมายความว่าไง” เอธรถาม
“ขบวนทูตสวรรค์จากดวงจันทร์ตามตำนานยังไงล่ะ ฮิฮิฮิ ถึงแม้แกจะพยายามเท่าไหร่ แต่ทุกสิ่งมีชีวิตที่อาบแสงจันทร์นั้นจะไม่สามารถแม้แต่กะพริบตาได้ด้วยซ้ำ นายแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มแล้วล่ะ ยาอายุวัฒนะน่ะ ถ้าคากุยะไม่มอบให้กับมือเองก็เปล่าประโยชน์ และตอนนี้มันก็สายไปแล้วสำหรับแก ไม่เชื่อก็ลองมองบนท้องฟ้าให้ดีสิ ”
เมื่อโตพูดจบขบวนทูตสวรรค์จากดวงจันทร์ซึ่งแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่สว่างไสวราวกับ แสงจันทร์เต็มดวงตามที่ตำนานระบุไว้ ได้ล่องลอยมาบนเมฆและร่อนลงบนพื้นดินราวกับเป็นภาพที่หลับฝันไป ทุกคนขยับเขยื้อนไปไหนไม่ได้ แสงสีทองสว่างจ้างดงามจิตทั่วทุกมุมบนดาดฟ้า รถเกวียนทองคำมันวาวเตรียมพร้อมสำหรับองค์หญิง
“หึๆ หึๆ ฮ่าฮ่าฮ่า นี่พี่โตคิดว่าผมจะไม่ได้เตรียมการรับมืออะไรมาเลยใช่มั้ย ผิดแล้วล่ะผมน่ะได้ศึกษาค้นคว้าอย่างถี่ถ้วนมาก่อนแล้วถึงจะลงมือปฏิบัติ ไม่เหมือนกับพวกแกที่อยากจะทำอะไรก็ทำโดยไม่คิดล่วงหน้าก่อนหรอกนะ” เอธรเดินกุมแผลบนศีรษะผ่านขบวนทูตสวรรค์ไปหาแอนนาต่ออย่างสบายใจราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
(‘เป็นไปได้ไงกันทั้งที่เรายังขยับอะไรไม่ได้เลยแท้ๆ แต่หมอนั่น’) โตที่กำลังยืนนิ่งเพราะอาบแสงจันทร์ได้แต่เพียงมองชายหนุ่มเดินเข้าไปหาเจ้าหญิงอย่างราบรื่น
(‘เจ็บใจ เจ็บใจนัก ถ้าหากว่าฉันทำอะไรได้บ้างละก็ เอ๊ะความรู้สึกนี้มัน ไม่นะมาเป็นอะไรตอนนี้เนี่ย’) ไคคุกเข่าลงกับพื้นร่างกายเลือนรางของเขาเริ่มจางหายไปอย่างช้าๆ และรวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ เวลาในการคงสภาพบนโลกมนุษย์เริ่มหมดลงแล้ว “แอนนา” ไคตะโกนเรียกชื่อของเธอเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะหายตัวไป
“เอาล่ะ แม่สาวน้อยมันจบลงแล้ว ส่งยามาให้ฉันซะ” ตอนนี้เอธรหยุดอยู่ตรงหน้าของแอนนาเรียบร้อยแล้ว เขายื่นมือออกไปแบรอรับสิ่งของจากเธอ
“เราไม่มีอะไรให้เธอหรอก” แอนนายังคงยืนยัน
“อย่ามาโกหกซะให้โง่เลย เธอจะให้หรือว่าอยากจะตกจากชั้น 9 นี้ลงไปตายข้างล่างกันล่ะ”
“ทำไมเธอถึงได้ต้องการชีวิตอมตะขนาดนั้นด้วย ถึงขนาดที่ต้องฆ่าคนแบบนี้มันโหดร้าย โหดร้ายเกินไปแล้ว”
“หึ เธอเคยฝันว่าอยากจะทำอะไรสักอย่าง อยากจะทำแบบนั้นไปเรื่อยๆ บ้างมั้ย ฉันน่ะมีความฝันนะ ฝันที่จะรวบรวมสิ่งลี้ลับทุกอย่างบนโลกใบนี้ มาไว้กับตัวเอง ฝันที่จะศึกษาค้นคว้ามันต่อไป ทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตและอนาคต อยากจะรู้มันให้หมดไปซะทุกอย่าง แต่ถึงแบบนั้นถ้าจะให้มาแก่ตาย ฉันก็คงจะไม่ได้รู้น่ะสิ ถึงเรื่องลึกลับที่จะเกิดขึ้นอีกในภายภาคหน้าและมันจะเป็นสิ่งที่คาใจฉันไป ไม่จบสิ้น” เอธรเดินเข้ามา “ขอเวลา ขอเวลาให้ฉันได้ศึกษาเพิ่มอีก เอาเวลามาให้ฉัน”
ตึก ตึก ตึก! เสียงรองเท้าที่กำลังเดินขึ้นบันได ดังขึ้นเป็นจังหวะช้าๆ ในบรรยากาศที่เงียบสงัด
เอธรหันกลับหลังมองไปยังประตูดาดฟ้าทันทีที่ได้ยินเสียงจังหวะการเดิน “ใครน่ะ”
(‘มาแล้วสินะ’) โตที่กำลังยืนแข็งอยู่กับที่ค่อยๆ ยิ้มที่มุมปาก (‘เอธรไม่ได้มีแต่นายหรอกที่เตรียมการต่างๆ เอาไว้’)
“ยานั้นน่ะฉันดื่มมันไปหมดแล้วล่ะ เสียใจด้วยนะไอ้งั่ง แค่กๆ ขอโทษด้วยที่ให้คอยแอนนา ฉันรู้เรื่องทั้งหมดแล้วล่ะ อ่า..ใช่ทุกอย่างเลย” ไคค่อยๆ เดินเซเข้ามาจนถึงหน้าประตูแล้วมาหยุดยืนอยู่ที่ข้างประธานหนุ่ม “ฉันกลับมาแล้ว”
โปรดติดตามตอนต่อไป
ปล. รักนะคนอ่าน
(‘ที่นี่ที่ไหน’) ไคมองไปรอบกายเห็นแต่เพียงเงามืด (‘นี่มันเกิดอะไรขึ้น’) เขาก้มลงมองที่มือตัวเองซึ่งดูจะเลือนรางลงไปทุกที
แปะ แปะ แปะ เสียงปรบมือดังขึ้น “ในที่สุดก็ได้พบกันซะทีนะ ถึงแม้สถานที่จะไม่เอื้ออำนวยเท่าไหร่ เอาเถอะ แกไม่ต้องทำอะไรอีกแล้วล่ะ” เสียงปริศนาดังขึ้นอีกครั้ง
ไคหันกลับไป คราวนี้เขาพบเด็กนักเรียนชายรุ่นราวคราวเดียวกัน กลัดเข็มระดับ ม.4 ใบหน้าเรียวยาว หน้าตาดูคมเข้ม ปล่อยผมยาวสยายถึงแผ่นหลัง หากดูไกลๆ คล้ายเด็กผู้หญิง นัยน์ตาสีดำไร้แวว ชวนให้สะพรึงกลัว ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกเย็นวาบไปถึงหลังกำลังยืนปรบมือ รอยยิ้มที่มุมปากซ่อนเล่ห์ร้ายไว้มากมาย
“นี่แกที่พูดเมื่อกี้มันหมายความว่าไง” เด็กหนุ่มค่อนข้างมั่นใจว่าคนๆ นี้จะต้องไม่ได้มาดีอย่างแน่นอน
“จะให้บอกจริงๆ น่ะเหรอ” เด็กหนุ่มปริศนาพูด น้ำเสียงยียวนกวนอารมณ์จนไครู้สึกโกรธขึ้นมา
“อย่ามาเล่นลิ้นกับฉันนะ”
“ฮิฮิฮิ จะบอกให้ก็ได้ว่าแกน่ะตายไปแล้ว”
“อย่ามาซี้ซั้วพูด แกทำอะไรกับฉันที่นี่มันที่ไหนกัน” ไคจับคอเสื้อของชายหนุ่ม มือกำหมัดเตรียมจะปล่อยใส่หน้าอีกฝ่ายเต็มที่
“ฉันก็ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อยนี่นา แต่จะยอมบอกเอาบุญให้ก็ได้” เขาจับข้อมือของไคออกจากคอเสื้อ
“แกเป็นใครกันแน่”
“ตกลงจะเอาคำถามไหนก่อนหรือหลังกันดีล่ะ ไอ้นู่นก็จะถาม ไอ้นี่ก็จะถาม” เขาพูดช้าๆ พร้อมเดินวนรอบตัวของไคที่กำลังสั่นไหว
“หุบปากซะ มีอะไรก็พูดมาให้หมด นายคงไม่รู้หรอกว่าถ้าฉันโมโหถึงขีดสุดจะเป็นยังไง” ความหวาดกลัวกังวลและสับสนรวมเข้ากับความโกรธอัดแน่นในอกของไค ทำให้เขาไม่อาจที่จะเก็บอารมณ์ไว้ได้มากนัก
“ก็คงจะทำตัวเหมือนสมัยที่อยู่โรงเรียนเก่าสินะ ถ้าเรื่องประวัติของแกฉันก็สืบมาหมดแล้ว ทำตัวไม่สมกับชื่อเลยนะนายกริยา” ชายหนุ่มพูดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
ไครู้สึกโกรธออกท่าทางอึดอัดแต่ยังควบคุมสติได้ เด็กหนุ่มครุ่นคิดแล้วพูดว่า “รู้เรื่องของฉันได้ ก็แสดงว่าจะต้องมีการสืบค้นข้อมูลมาอย่างดี นี่แกน่ะไม่ใช่วิญญาณสินะ”
“หัวไวดีนี่ ใช่แล้วตอนที่แกหาฉันเท่าไหร่ก็ไม่พบ ถึงแม้ว่าสามารถมองเห็นวิญญาณได้ก็ตาม นั่นก็เพราะว่าฉันน่ะไม่ใช่วิญญาณแต่เป็นกายทิพย์ต่างหาก แกน่ะสามารถมองเห็นได้ก็เพียงแค่วิญญาณของคนที่ตายไปแล้วเท่านั้นยังไงล่ะ ไม่อาจที่จะมองเห็นจิตของคนเป็นได้” ชายหนุ่มแถลงไขเขาดูเหมือนจะรู้ทุกอย่างจริงๆ
(‘อย่างนี้นี่เองสินะ ฉันถึงได้มองไม่เห็นหมอนั่นเลยแม้แต่นิดเดียว จะว่าไปหมอนี่รู้เรื่องของเราได้ยังไงกัน’)
“จะบอกเอาบุญล่ะนะ แกน่ะตั้งใจแคะขี้หูแล้วฟังให้ดีล่ะ เพราะฉันไม่ใจดีขนาดจะพูดถึงสองครั้งสองคราหรอกนะ”
“เข้าใจแล้ว รีบพูดๆ มาให้หมดก่อนที่ฉันจะอัดแก”
“ที่ต้องรู้สถานะมันคือแกต่างหากล่ะไองั่งเอ้ย หึ ฉันคือ เอธร (**ออกเสียงว่า เอ-ทอน**) เป็นสุดยอดนักศึกษาค้นคว้าด้านพลังเหนือธรรมชาติ ก็เหมือนกับชมรมของแกนั่นแหล่ะ แต่ฉันน่ะไม่ใช่พวกงี่เง่าที่สนใจแต่จะไขปริศนาหรือเล่นๆ ไปวันๆ ทำให้พลังของตัวเองไร้ค่าแบบพวกแกหรอกนะ”
“เอธรสินะ แกต้องการอะไรกันแน่”
“ฉันไม่ได้ต้องการอะไรจากแกเลยสักนิด” เอธรเบี่ยงหน้าหลบแล้วเริ่มอธิบาย “จะ ขอสรุปเป็นนิทานสั้นๆ แล้วกัน ในตำนานของชาวญี่ปุ่นมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับดวงจันทร์อยู่หลายเรื่อง หนึ่งในนั้นก็คือ คากุยะ เจ้าหญิงจากดวงจันทร์ ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับตาแก่คนหนึ่งที่ขึ้นไปตัดไม้บนภูเขา ได้บังเอิญไปเก็บเธอคนนั้นกลับมาเลี้ยงไว้ที่บ้าน จนเธอโตขึ้นสวยวันสวยคืน คากุยะนั้นปฏิเสธผู้ชายทุกคนที่มาขอแต่งงานกับเธอไม่เว้นแม้แต่พระราชาก็ตาม คืนวันหนึ่งตาแก่ได้รับฟังความจริงจากคากุยะว่าที่แท้จริงนั้นตนเองเป็น มนุษย์มาจากดวงจันทร์และกำลังจะถูกพาตัวกลับไป ตาแก่ตกใจมากที่ได้รู้ความจริงและไม่ต้องการที่จะปล่อยให้ลูกสาวต้องจากไป เขาจึงไปปรึกษากับพระราชา เมื่อถึงคืนวันเพ็ญตามกำหนดที่คากุยะต้องกลับไปยังดวงจันทร์ พระราชาก็สั่งให้องครักษ์ซ่อนคากุยะไว้ภายในบ้านอย่างมิดชิดและให้เฝ้าไว้ เป็นอย่างดี
แต่แล้วท้องฟ้ายามค่ำคืนก็กลับสว่างขึ้น มีขบวนทูตสวรรค์จากดวงจันทร์แต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่สว่างไสวราวกับแสงจันทร์ เต็มดวงล่องลอยมาบนเมฆและร่อนลงบนผืนดิน ในขณะที่เหล่าองครักษ์ก็ตาพร่ามัวไปด้วยแสงประหลาดนั้น ต้องหยุดนิ่งราวกับถูกสาปและไม่กล้าที่จะทำอะไรทั้งสิ้น คากุยะต้องจำใจกลับไปบ้านเกิดของเธอ แต่ก่อนจากลากับตาแก่เธอได้มอบเสื้อคลุมของเธอให้เป็นของที่ระลึก หึๆ แต่ที่ฉันสนใจน่ะ ไม่ใช่ของที่เธอมอบให้ตาแก่นั่นหรอก แต่ที่ต้องการนั้นก็คือ ยาอายุวัฒนะ ที่คากุยะมอบให้พระราชาเพื่อเป็นของตอบแทนต่างหาก” เอ ธรกอดอกในขณะเล่าให้ไคฟัง “แต่เพราะมีข้อแม้ว่ายานั่น จะต้องมอบให้ในวันที่เจ้าหญิงกลับไปเท่านั้น ฉันจึงต้องเฝ้ารออยู่อย่างนี้ไงล่ะ”
“เดี๋ยวนะ นี่แกกำลังจะบอกว่ามีมนุษย์อยู่บนดวงจันทร์จริงๆ อย่างนั้นเหรอ” ไคพูดประกอบกับกลั้นหัวเราะ (‘หมอนี่ท่าจะเพี้ยนแฮะ’)
“แกนี่มันโง่จริงๆ โลกของเรานั้นแบ่งเป็นหลายล้านมิติมากมายนับไม่ถ้วน เป็นโลกที่ซ้อนทับกันอยู่ แต่ละโลกนั้นเกิดเรื่องที่ไม่ซ้ำกัน ไม่ว่าจะเป็นโลกไหนๆ ก็ตาม ดวงจันทร์ก็เช่นกันไม่ได้มีแค่มิติเดียวสักหน่อย สิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ก็อย่าคิดว่ามันไม่มีสิ”
“แล้วที่แกเล่ามามันเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่ฉันตายแกน่ะรู้สินะ” ไคจ้องหน้าเอธร เขามั่นใจแล้วว่าคนๆ นี้ไม่ใช่คนดี และเชื่อด้วยว่าชายคนนี้จะต้องรู้เรื่องทั้งหมดเป็นแน่
“หึๆ อย่าพูดเหมือนฉันเป็นคนฆ่าแกสิ การที่แกเข้าใกล้กับนังนั่นโดยที่ไม่รู้อะไรเลยต่างหากที่ทำให้แกต้องตาย ฉันอุตส่าห์เตือนแล้วแท้ๆ เชียวนะ”
“หมายความว่ายังไงกันแน่”
“นังนั่นน่ะคือเจ้าหญิงคากุยะจากมิติอื่นบนดวงจันทร์ยังไงล่ะ ฉันกลัวว่าแกจะรู้เรื่องแล้วซะอีกนึกไม่ถึงจริงๆ แกไม่รู้ตัวเลยสินะว่ายิ่งเข้าใกล้เธออายุขัยของแกก็จะสั้นลงไปเรื่อยๆ” เอธรอธิบายด้วยรอยยิ้ม “สงสัยฉันจะประเมินแกสูงไปหน่อย”
“เป็นไปไม่ได้หรอกแอนนาเนี่ยนะเจ้าหญิงจากดวงจันทร์ ไม่สิแล้วทำไมอายุขัยของฉันต้องลดลงไปเรื่อยๆ ด้วยล่ะ” ไครู้สึกตกใจผสมกับโล่งอก (‘แต่ก็ค่อยยังชั่วหน่อยที่ไม่ใช่ผีปีศาจ’)
“โอ๊ะ โอ่ว สงสัยว่าจะได้เวลาขั้นต่อไปซะแล้วสิ ขอตัวก่อนล่ะฉันคงจะไม่ว่างมาคุยกับแกเป็นชั่วโมงหรอกนะ หึๆ อ้อแต่จะบอกอะไรเด็ดๆ ให้ก่อนไปนะ ยัยนั่นน่ะกำลังจะกลับดวงจันทร์ในคืนวันนี้ ต้องขอบคุณแกจริงๆ ที่ทำให้ยัยนั่นอยากกลับเร็วขึ้น และน่าเสียดายนะที่อายุขัยของแกไม่ยืนพอที่จะมาส่งเธอได้ เอาล่ะ ฉันคงจะต้องขอตัวไปรับยาอายุวัฒนะมาจากยัยนั่นก่อนล่ะนะ”
“ไม่มีทางหรอก” ไคก้มหน้า
“ไม่มีทางอะไรของแก”
“แอนนาน่ะไม่มีทางที่จะให้ยาอะไรนั่นกับคนอย่างแกแน่ๆ”
“เอ๋..แต่ฉันจำไม่ได้เลยนะว่าเคยพูดว่าจะไปขอยานั่นมาดีๆ น่ะ” เมื่อพูดเสร็จเอธรก็หายตัวไปในความมืด
“นี่แกหยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ” ไคตะโกนดังลั่นด้วยความโกรธ (‘บ้าเอ้ย เราทำอะไรไม่ได้เลย’) เด็กหนุ่มทำได้เพียงนั่งคุกเข่าร้องไห้
“ขอโทษนะครับ นั่นใช่พี่ชายหรือเปล่า” เสียงเด็กผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นในระหว่างที่ไคกำลังก้มหน้าหลั่งน้ำตา
“เสียงนี้มันแทงค์ ไม่สิจะเป็นไปได้ไงก็เราตายไปแล้วนี่” ไคเริ่มจะตัดใจจากความหวัง
“พี่ชาย”
ไคค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองตามต้นเสียง เมื่อเห็นแทงค์จริงๆ ก็ถึงกับสะดุ้ง “แทงค์นี่นายมาที่นี่ได้ไง”
“รู้สึกเหมือนผมจะยังไม่เคยเล่าเรื่องพลังของตัวเองให้พี่ชายฟังเลยสินะครับ” เด็กชายยิ้ม “ผมน่ะสามารถถอดวิญญาณของตัวเองออกมาได้อย่างสมบูรณ์ และทุกครั้งที่ถอดวิญญาณออกมาจะถูกส่งมายังใจกลางระหว่างโลกคนเป็นกับโลกคนตายครับ”
“สวรรค์! สวรรค์จริงๆ มีความสามารถแบบนี้ในเวลาอย่างนี้ ต้องขอบใจนายมากเลย เอาล่ะช่วยพาฉันกลับไปเข้าร่างทีสิ” ไคปาดน้ำตาแล้วพูดด้วยความดีใจ
“พี่ชายครับ ผมคงทำแบบนั้นไม่ได้หรอกครับ” แทงค์ปฏิเสธทันควัน เขาก้มหน้าลงมองพื้นด้วยความรู้สึกเจ็บใจ
ไคใจหายหลังจากได้รับคำตอบเช่นนั้น“ทำไมล่ะ”
“อายุขัยของพี่กลายเป็นศูนย์ซึ่งมันเกินที่จะกลับเข้าร่างไปแล้วครับ และที่พี่กำลังอยู่ตรงนี้ก็คือ”
“คือที่ไหน แทงค์ที่นี่ที่ไหน” ไคอย่างลุกลี้ลุกลน
“ประตูสู่ยมโลกครับ ถ้าหากว่ายังคงอยู่ที่นี่ละก็ เมื่อประตูเปิดออกพี่จะถูกพาไปตัดสินความดีความชั่วที่ยมโลก แล้วจะไม่สามารถกลับมาได้อีก พี่โตฝากให้ผมมาถามว่าพี่อยากจะบอกอะไรกับพวกเราก่อนจะจากลากันไปบ้าง” แทงค์ เริ่มน้ำตาคลอ เขาเองก็ไม่อยากให้เด็กหนุ่มจากไปเช่นกัน ถึงแม้จะรู้จักกันมาแค่เพียงสัปดาห์เดียวแต่ความผูกพันก็ได้เกิดขึ้นเสีย แล้ว การจากลาจึงสร้างความเจ็บปวดให้พวกเขาอยู่ไม่น้อย
เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วจับที่ไหล่ของแทงค์เบาๆ “แทงค์ พี่มีบางอย่างจะขอร้องได้มั้ย”
“ครับ” เด็กชายพยักหน้า
“ไม่ต้องพาพี่กลับเข้าร่างก็ได้ แต่ช่วยพาพี่กลับไปหาทุกคนก่อนที่ประตูยมโลกจะเปิดที” ไคพูดด้วยสีหน้าจริงจัง เขาต้องการทำทุกวิถีทางเพื่อหยุดยั้งเอธรถึงแม้ตอนนี้จะยังหาหนทางไม่ได้ก็ตาม
“หมายความว่าพี่จะไม่ไปเกิดหรือครับ”
“ถ้าถึงเวลาพี่จะต้องไปแน่ๆ แต่ตอนนี้ไม่ใช่ พี่จะต้องทำสิ่งสำคัญบางอย่างให้ได้เสียก่อน” ไคยกมือออกจากไหล่เด็กชาย “เพราะถ้าหากไปตอนนี้พี่คงไปเกิดไม่ลงแน่ๆ”
“เข้าใจแล้วครับพี่ชาย” แทงค์จับมือของเด็กหนุ่ม ทันทีทันใดนั้นความมืดที่ปกคลุมอยู่รอบตัวทุกอย่างก็ค่อยๆ หมุนเปลี่ยนเป็นสีขาวโพลน
ณ อีกทางด้านหนึ่งของโลกความตาย อีฟกำลังร้องไห้กอดร่างที่ไร้วิญญาณของเด็กหนุ่มเอาไว้ น้ำตาไหลรดร่างของเขาเป็นสาย ทุกคนในห้องชมรมไม่รู้แม้แต่สาเหตุของการจากไปของสมาชิกใหม่
“อีฟ พี่จะโทรหารถโรงพยาบาลให้มารับศพของไคก่อนนะ โจ นายไปบอกเรื่องนี้กับคุณครูคนไหนก็ได้ด่วนเลย” โตออกคำสั่งกับรุ่นน้อง น้ำเสียงที่หนักแน่นแฝงเจือความโศกเศร้า
“พี่โตครับแทงค์กลับมาแล้ว” ก่อนเขาจะลุกขึ้น โจพูดขณะที่กำลังเฝ้าร่างของแทงค์
“ว่าไงบ้างล่ะ” โตเหลียวหน้าไปถามแทงค์ที่กำลังค่อยๆ ลืมตาขึ้นเหมือนเพิ่งตื่นนอน
“หนูกลัวจังเลยค่ะ” โซเฟียเดินย้ายจากหลังห้องมานั่งข้างอีฟ
“ไม่เป็นไรนะ” อีฟใช้มือขวาลูบหัวเด็กสาวแล้วพูดด้วยน้ำเสียงปลอบโยน ทั้งที่น้ำตาของเธอยังคงไหลไม่หยุด มือซ้ายของเธอยังคงจับร่างของรุ่นน้องผู้ล่วงลับ
“พี่ชายเขากลับมาที่นี่ครับ” แทงค์ก้มหน้าพูด เขาไม่กล้าสบตากับประธานหนุ่ม
“ว่าไงนะ” โตถามด้วยน้ำเสียงตกใจหลังจากได้ฟังคำพูดของรุ่นน้อง
“พี่ไคเค้ากลับมาที่นี่ครับ เขากลับมาพร้อมกับผมด้วย”
“แทงค์นี่นายพาเขากลับมาใช่มั้ย นายน่าจะรู้นะว่าการกระทำแบบนี้จะทำให้ไคมีห่วงแล้วไม่สามารถไปเกิดได้ แล้วจะรับผิดชอบยังไง” โตตำหนิ
“ขอโทษครับ” แทงค์ก้มหน้ารับผิด
“แต่ก็ขอบใจนายมากนะ” โตตบบ่าของแทงค์เบาๆ
“พี่ครับ” แทงค์ร้องไห้ออกมาหลังจากที่เก็บเงียบอัดอั้นเอาไว้มานานแสนนาน
“ไคพี่รู้ว่าแกยังอยู่ในห้องชมรมนี้ ถึงพี่จะมองไม่เห็น ไม่ได้ยินเสียงหรือไม่ได้กลิ่นอะไรเลยก็ตาม แต่พี่รู้สึกได้ ดังนั้นที่ผ่านมาถึงแม้จะเป็นแค่เพียงเวลาสั้นๆ แต่ก็ขอบคุณนะ ที่ครั้งหนึ่งในชีวิตของแกได้เลือกที่จะมาเป็นสมาชิกชมรมของพี่ ในฐานะประธานพี่ขอขอบใจจริงๆ” โตตะโกนดังลั่นไปทั่ว ห้องเขาหวังจะให้เด็กหนุ่มได้ยินคำกล่าวอำลานี้ ประกอบกับสงสัยถึงสาเหตุที่อายุขัยของไคลดลงอย่างรวดเร็วจนน่าแปลกใจ
“พี่โต” วิญญาณเด็กหนุ่มลอยมาดูร่างกายของตัวเองอยู่ข้างๆ อีฟ พลางใช้มือปาดน้ำตาที่เลือนรางจนแทบจะมองไม่เห็น
โตเงยหน้าขึ้นมองไปบนเพดาน เขาเหมือนจะได้กลิ่นอะไรบางอย่าง “เอ๊ะเดี๋ยวนะ กลิ่นอายนี้มัน”
“พี่โตมีอะไรงั้นเหรอ” อีฟถามรุ่นพี่ในขณะที่เธอกำลังร้องไห้
“กลิ่นอายนี่มัน กลิ่นอายของความเศร้าที่ปะปนมากับกลิ่นอายแห่งชีวิต หรือว่า!?” โตเกาคางของตัวเองในขณะกำลังคิด แล้วหยิบสมุดบันทึกในกระเป๋าออกมาอ่าน เขาใช้เวลาเปิดหาหน้าอยู่ครู่หนึ่ง “ใช่จริงๆ ด้วย กลิ่นอายนี้” ทุกคนรวมทั้งวิญญาณของเด็กหนุ่มมองมาที่พี่โต
“คากุยะ กลิ่นอายนี้ฉันเคยได้สัมผัสมันมาก่อนแล้วครั้งหนึ่ง” โตเดินเงยหน้าวนไปมารอบๆ ห้อง ดูแล้วเหมือนสุนัขตำรวจที่กำลังตามจับกลิ่นของยาเสพติด
“คากุยะ นั่นมันตำนานในประเทศญี่ปุ่นไม่ใช่หรือครับพี่โต” โจเอ่ยขึ้นมา
“ไม่ ถึงกับเป็นตำนานแต่มันออกแนวนิทานไปซะมากกว่า กลิ่นนี้ฉันเคยสัมผัสในสมัย ม.ต้น ตอนที่ฉันกำลังนั่งดูวิวบนดาดฟ้าโรงเรียนในคืนก่อนวันปีใหม่ ถึงจะไม่รู้ว่าใช่กลิ่นของคากุยะแน่หรือเปล่าแต่ว่าลางสังเห่าของฉันมัน บอกว่าน่าจะใช่”
“พี่โตรู้จักตำนานคากุยะด้วยงั้นเหรอ” วิญญาณเด็กหนุ่มชักสีหน้าตกใจ
“อ๊ะจริงสินี่มันไม่ใช่เวลาที่จะมาขลุกอยู่ในห้องแบบนี้หนิ ฉันต้องรีบไปหาแอนนาแต่ว่าที่ไหนล่ะ” เมื่อไคนึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ เขาก็หันไปมองโตซึ่งกำลังเงยหน้าสูดดมกลิ่นส่งเสียงดังฟุดฟิด
เมื่อเขามองโตที่เงยหน้าอยู่ก็คิดตามจนคลายข้อสงสัยได้ “บนดาดฟ้า” ก็รีบลอยทะลุเพดานขึ้นไป ไคพุ่งทะยานจนมาถึงยังดาดฟ้าเห็นแอนนากำลังยืนร้องไห้อยู่เบื้องหน้าพระ จันทร์สีเหลืองนวล น้ำตาของเธอสะท้อนแสงจันทร์จนวาววับ
“แอนนา” เด็กหนุ่มตะโกนเรียก แต่ดูเธอจะมองไม่เห็นหรือได้ยินเสียงจากวิญญาณของเขาเลยแม้แต่น้อย
“นี่เธอน่ะได้เวลาแล้วสินะ” เอธรเดินเข้ามาทางด้านหลังของหญิงสาว พูดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ดังเช่นเคย
“คุณเป็นใครน่ะ” แอนนากลับหลังหันมาพบชายแปลกหน้าซึ่งกำลังเดินเข้ามาอย่างช้าๆ
“นี่แกอีกแล้ว” ไคร้อนใจมากขึ้นเมื่อเห็นเอธร
เอธรเมื่อกลับเข้าร่างจากการใช้กายทิพย์แล้วดูจะมองไม่เห็นวิญญาณของเด็กหนุ่ม เขายังคงพูดกับหญิงสาวต่อไป “เธอไม่จำเป็นต้องรู้อะไรก็ได้”
“อย่าทำเป็นเมินสิวะ” เด็กหนุ่มลอยเข้าไปใกล้เอธรแล้วจึงตะคอกใส่แต่ช่างดูไร้ความหมาย
“ต้องการอะไรจากเรากัน” แอนนาถามอย่างตกใจกลัว เธอใช้มือปาดน้ำตาที่ไหลก่อนหน้านี้เล็กน้อย
“หึๆ เรื่องนั้นเธอเองก็น่าจะรู้ดีนี่ ฉันน่ะแอบเฝ้ามองเธอมาโดยตลอด ทุกคืนๆ เธอจะมายืนอยู่ที่ดาดฟ้าแห่งนี้แล้วมองดูพระจันทร์ที่เป็นบ้านเกิดของเธอ ร้องโหยหาที่จะกลับไป แต่ว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เธอจะอยู่บนโลกนี้แล้ว ดีใจด้วยนะแต่ฉันคงจะปล่อยให้เธอกลับไปโดยที่ไม่ทิ้งอะไรไว้ให้เลยไม่ได้ หรอก หึๆ เธอคงจะรู้แล้วนะว่าต่อจากนี้จะพูดถึงเรื่องอะไรคากุยะ” เอธรเดินเข้ามาใกล้เธอมากขึ้นเรื่อยๆ
“หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะแก” ไคพยายามจะต่อยหน้าของเอธร แต่จะทำซักเท่าไหร่ก็มีเพียงหมัดที่ทะลุตัวของเขาไปเท่านั้น
“นี่เธอกำลังพูดถึงเรื่องอะไรน่ะ” แอนนาเดินถอยหลังด้วยความหวาดกลัว เธอตัวสั่นเหมือนกับกระต่ายตัวน้อยๆ
“ยาอายุวัฒนะไงล่ะส่งมันมาซะ” เอธรยังคงเดินไล่ต้อนหญิงสาวจนเธอเดินไปถึงสุดทางดาดฟ้าและไปต่อไม่ได้
“ยาอายุวัฒนะอะไรนั่นเราไม่มีให้หรอกปล่อยเราไปเถอะนะ” แอนนาพูดด้วยน้ำเสียงสั่น เธอวิงวอนขอให้ปล่อยเธอไป
“อย่ามาโกหก คิดเหรอว่าเธอจะหลอกตาทิพย์ของฉันที่สามารถมองเรื่องลี้ลับทะลุปรุโปร่งได้ ฮะ ไม่ว่าจะโกหกแบบไหนก็ตาม หากเป็นตำนาน นิทาน หรือสิ่งลี้ลับแล้ว ฉันก็ย่อมมองออกได้เสมอ รังสีนะมันกลบกันไม่มิดหรอกจะบอกให้”
(‘สามารถแยกแยะระหว่างมนุษย์กับสิ่งลี้ลับได้สินะ แถมยังถอดกายทิพย์ได้อีกด้วย หมอนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ แต่ว่ายังไงก็ยังมองไม่เห็นวิญญาณของเราด้วยตาเปล่าได้อยู่ดี’) วิญญาณของเด็กหนุ่มคิดขณะลอยตัวอยู่เหนือดาดฟ้า
โป๊ก!! เสียงหินขนาดกำปั้นก้อนหนึ่งถูกโยนมากระแทกกับศีรษะของเอธร
“โอ๊ย ใครปามาวะ” ชายหนุ่มเอามือกุมแผลศีรษะแตก เลือดค่อยๆ ไหลออกมาจากบริเวณหน้าผากเป็นทางยาวจนเปรอะเปื้อนเสื้อนักเรียนสีขาว
“ฮิฮิฮิ นึกไว้แล้วเชียวเป็นนายจริงๆ ด้วยสินะ รู้สึกว่าที่ยืนอยู่ตรงโน้นจะเป็นคากุยะตัวจริงเสียงจริง สงสัยจะต้องขอลายเซ็นเป็นการตอบแทนซะแล้วสิ” โตยืนกอดอกอยู่หน้าประตูดาดฟ้า ปรากฎตัวพร้อมกับสมาชิกชมรมคนอื่นๆ
“พี่โตมาได้ถูกเวลามากครับ” ไครู้สึกโล่งใจที่โตมาช่วย แอนนาดูจะปลอดภัยแล้ว (‘เฮ่ยเดี๋ยวนะ พี่โตรู้จักกับไอ้เจ้าเอธรจริงเหรอเนี่ย’)
“พี่โตมาเล่นแผลงๆ กับผมระวังจะตายไม่รู้ตัวนะครับ” เอธรยันตัวเองลุกขึ้นหลังจากที่เห็นประธานหนุ่ม สายตาของเขาแฝงไปด้วยความโกรธ
“นี่แกต้องการอะไรกันแน่ โอ๊ะไม่สิถ้าพูดถึงคากุยะก็ต้องยาอายุวัฒนะสินะ ฮิฮิฮิ”
“เอ็งก็รู้อยู่แล้วนี่จะถามทำซากอะไร”
“พี่โตครับ ยาอายุวัฒนะนี่มันคืออะไรหรือครับ” แทงค์ซึ่งไม่ค่อยพูดค่อยจา นานครั้งจึงได้เอ่ยปากถามรุ่นพี่
“ยาอายุวัฒนะเป็นยาที่ฝืนกฎของอายุขัยและธรรมชาติ ผู้ที่ดื่มเข้าไปจะมีชีวิตที่เป็นอมตะ เพียงแค่รับยานี้มาจากเจ้าหญิงคากุยะในคืนที่เธอกำลังจะกลับสู่ดวงจันทร์เท่านั้น ยานี้ก็จะสำเร็จผลอย่างง่ายดาย เพราะงั้นถึงต้องเป็นคืนนี้ที่พระจันทร์เต็มดวง หลังจากฝนไล่ช้างได้พัดเมฆหมอกออกไปจนหมดแล้วยังไงล่ะ”
“แต่ในเมื่อมันมาถึงตรงนี้แล้ว ยานั่นก็ต้องเป็นของฉันล่ะ” เอธรยังคงเดินไปหาแอนนาไม่หยุดหย่อน
“คิดหรือว่ามันจะง่ายแบบนั้น แกนี่มันยังเด็กจริงๆ นึกว่าตั้งแต่ลาออกจากชมรมไปจะมีความฉลาดมากขึ้นซะอีก เฮ้อน่าผิดหวัง น่าผิดหวัง” โตค่อยๆ เดินเข้ามาทีละก้าว
“หมายความว่าไง” เอธรถาม
“ขบวนทูตสวรรค์จากดวงจันทร์ตามตำนานยังไงล่ะ ฮิฮิฮิ ถึงแม้แกจะพยายามเท่าไหร่ แต่ทุกสิ่งมีชีวิตที่อาบแสงจันทร์นั้นจะไม่สามารถแม้แต่กะพริบตาได้ด้วยซ้ำ นายแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มแล้วล่ะ ยาอายุวัฒนะน่ะ ถ้าคากุยะไม่มอบให้กับมือเองก็เปล่าประโยชน์ และตอนนี้มันก็สายไปแล้วสำหรับแก ไม่เชื่อก็ลองมองบนท้องฟ้าให้ดีสิ ”
เมื่อโตพูดจบขบวนทูตสวรรค์จากดวงจันทร์ซึ่งแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่สว่างไสวราวกับ แสงจันทร์เต็มดวงตามที่ตำนานระบุไว้ ได้ล่องลอยมาบนเมฆและร่อนลงบนพื้นดินราวกับเป็นภาพที่หลับฝันไป ทุกคนขยับเขยื้อนไปไหนไม่ได้ แสงสีทองสว่างจ้างดงามจิตทั่วทุกมุมบนดาดฟ้า รถเกวียนทองคำมันวาวเตรียมพร้อมสำหรับองค์หญิง
“หึๆ หึๆ ฮ่าฮ่าฮ่า นี่พี่โตคิดว่าผมจะไม่ได้เตรียมการรับมืออะไรมาเลยใช่มั้ย ผิดแล้วล่ะผมน่ะได้ศึกษาค้นคว้าอย่างถี่ถ้วนมาก่อนแล้วถึงจะลงมือปฏิบัติ ไม่เหมือนกับพวกแกที่อยากจะทำอะไรก็ทำโดยไม่คิดล่วงหน้าก่อนหรอกนะ” เอธรเดินกุมแผลบนศีรษะผ่านขบวนทูตสวรรค์ไปหาแอนนาต่ออย่างสบายใจราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
(‘เป็นไปได้ไงกันทั้งที่เรายังขยับอะไรไม่ได้เลยแท้ๆ แต่หมอนั่น’) โตที่กำลังยืนนิ่งเพราะอาบแสงจันทร์ได้แต่เพียงมองชายหนุ่มเดินเข้าไปหาเจ้าหญิงอย่างราบรื่น
(‘เจ็บใจ เจ็บใจนัก ถ้าหากว่าฉันทำอะไรได้บ้างละก็ เอ๊ะความรู้สึกนี้มัน ไม่นะมาเป็นอะไรตอนนี้เนี่ย’) ไคคุกเข่าลงกับพื้นร่างกายเลือนรางของเขาเริ่มจางหายไปอย่างช้าๆ และรวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ เวลาในการคงสภาพบนโลกมนุษย์เริ่มหมดลงแล้ว “แอนนา” ไคตะโกนเรียกชื่อของเธอเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะหายตัวไป
“เอาล่ะ แม่สาวน้อยมันจบลงแล้ว ส่งยามาให้ฉันซะ” ตอนนี้เอธรหยุดอยู่ตรงหน้าของแอนนาเรียบร้อยแล้ว เขายื่นมือออกไปแบรอรับสิ่งของจากเธอ
“เราไม่มีอะไรให้เธอหรอก” แอนนายังคงยืนยัน
“อย่ามาโกหกซะให้โง่เลย เธอจะให้หรือว่าอยากจะตกจากชั้น 9 นี้ลงไปตายข้างล่างกันล่ะ”
“ทำไมเธอถึงได้ต้องการชีวิตอมตะขนาดนั้นด้วย ถึงขนาดที่ต้องฆ่าคนแบบนี้มันโหดร้าย โหดร้ายเกินไปแล้ว”
“หึ เธอเคยฝันว่าอยากจะทำอะไรสักอย่าง อยากจะทำแบบนั้นไปเรื่อยๆ บ้างมั้ย ฉันน่ะมีความฝันนะ ฝันที่จะรวบรวมสิ่งลี้ลับทุกอย่างบนโลกใบนี้ มาไว้กับตัวเอง ฝันที่จะศึกษาค้นคว้ามันต่อไป ทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตและอนาคต อยากจะรู้มันให้หมดไปซะทุกอย่าง แต่ถึงแบบนั้นถ้าจะให้มาแก่ตาย ฉันก็คงจะไม่ได้รู้น่ะสิ ถึงเรื่องลึกลับที่จะเกิดขึ้นอีกในภายภาคหน้าและมันจะเป็นสิ่งที่คาใจฉันไป ไม่จบสิ้น” เอธรเดินเข้ามา “ขอเวลา ขอเวลาให้ฉันได้ศึกษาเพิ่มอีก เอาเวลามาให้ฉัน”
ตึก ตึก ตึก! เสียงรองเท้าที่กำลังเดินขึ้นบันได ดังขึ้นเป็นจังหวะช้าๆ ในบรรยากาศที่เงียบสงัด
เอธรหันกลับหลังมองไปยังประตูดาดฟ้าทันทีที่ได้ยินเสียงจังหวะการเดิน “ใครน่ะ”
(‘มาแล้วสินะ’) โตที่กำลังยืนแข็งอยู่กับที่ค่อยๆ ยิ้มที่มุมปาก (‘เอธรไม่ได้มีแต่นายหรอกที่เตรียมการต่างๆ เอาไว้’)
“ยานั้นน่ะฉันดื่มมันไปหมดแล้วล่ะ เสียใจด้วยนะไอ้งั่ง แค่กๆ ขอโทษด้วยที่ให้คอยแอนนา ฉันรู้เรื่องทั้งหมดแล้วล่ะ อ่า..ใช่ทุกอย่างเลย” ไคค่อยๆ เดินเซเข้ามาจนถึงหน้าประตูแล้วมาหยุดยืนอยู่ที่ข้างประธานหนุ่ม “ฉันกลับมาแล้ว”
โปรดติดตามตอนต่อไป
ปล. รักนะคนอ่าน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.6 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ