ชมรมวิจัยเรื่องลึกลับ (หลังเลิกเรียน)
6.8
เขียนโดย shotaro
วันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 เวลา 15.35 น.
32 ตอน
8 วิจารณ์
37.22K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 15.39 น. โดย เจ้าของนิยาย
27) คาบเรียนที่ 14.5 :ประธานที่หายไป และชมรม
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความคาบเรียนที่ 14.5 :ประธานที่หายไป และชมรม (ปฐมบท)
เอธรร่ายคาถาบางอย่างทำให้ตำรวจและผู้คนอื่นๆ มองไม่เห็นพวกเขา ทั้งคู่เดินตรงเขาไปในอาคารตามเป้าหมายของไคเพื่อสืบหาข้อมูลการหายตัวไปของโต ในขณะที่เอธรสนใจแต่การค้นหายันต์ที่เหลืออยู่
ภาพภายในอาคารที่เห็นทำให้เด็กหนุ่มต้องสลดใจ ทั้งเศษแก้วเศษกระจก โต๊ะไม้ที่หักระเนระนาดราวกับพายุเข้า ไม่แปลกเลยที่จะกลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งในเพียงชั่วข้ามคืน เขามองเห็นคราบเลือดแห้งๆ ที่บันไดซึ่งยังไม่ได้ถูกเช็ดทำความสะอาด หวนนึกถึงเรื่องของโตที่ธันเล่าให้ฟัง (‘บางทีคราบเลือดนี้อาจจะเป็นของพี่โตก็ได้’) เด็กหนุ่มคิดในใจ
รอยเลือดเป็นทางยาวถูกลากไปยังห้องพยาบาล ซึ่งเกิดจากตอนที่แนนและแทงค์ช่วยกันพาโตไปปฐมพยาบาล เด็กหนุ่มทั้งสองคนเดินตามรอยนั้นไปจนถึงตัวห้อง พบกองเลือดแห้งเกรอะอยู่บนเตียงผู้ป่วย
“ถูกเอามาไว้ที่นี่จริงๆ ด้วยสินะ” ไคพึมพำขณะสังเกตรอยเลือด และมองไปรอบๆ เห็นขวดแอลกอฮอล์ถูกเปิดทิ้งไว้ พร้อมกับกองผ้าพันแผลอยู่ใกล้ๆ “กองเลือดขนาดนี้แผลต้องสาหัสมากแน่ๆ แต่พยาบาลแค่เบื้องต้นแบบนี้ ต่อให้พี่โตเป็นคนบ้าแค่ไหนก็ไม่มีทางเคลื่อนย้ายตัวเองได้หรอก”
เอธรก้มลงมองดูหยดเลือดที่อยู่ตามพื้น “นี่แกดูบนพื้นนี่สิ” เลือดหยดเป็นทางยาวลากจากเตียงออกไปนอกห้องพยาบาล
ไคมองดูตามที่เห็นแล้วจึงคิดจะออกสะกดรอยตามแต่ก่อนหน้านั้นเขาสังเกตถึงอะไรบางอย่าง “นี่เอธร”
“หืม?”
“พี่โตเนี่ยบาดเจ็บอยู่ใช่มั้ย ดังนั้นถ้าคนที่ตัวไม่สูงอย่างแทงค์กับแนนก็ต้องลากมา” เขามองไปยังรอยเลือดที่ลากเป็นทางยาวเข้ามา “แต่เลือดที่พาออกไปกลับเป็นหยดๆ” เด็กหนุ่มก้มลงมองที่พื้น “ดูนี่สิ” เขาชี้ไปยังรอยเท้าที่ถูกเลือดพิมพ์ไว้สะเปะสะปะสับสนไปมา “มีรอยรองเท้าผ้าใบเล็กๆ นี่น่าจะของแทงค์ และรอยเท้าใหญ่ขึ้นมาหน่อยนี้น่าจะเป็นรองเท้าของผู้หญิงซึ่งน่าจะเป็นแนน” แล้วเขาก็ชี้ไปที่รอยเท้าอีกคู่หนึ่งซึ่งขนาดใหญ่กว่าสองรอยก่อนหน้านี้ลักษณะเป็นรองเท้าของผู้ชาย “แล้วรอยเท้านั้นของใคร”
เอธรสังเกตตามที่เด็กหนุ่มบอกแล้วกอดอกพิงเตียงผู้ป่วยครุ่นคิด “คนที่พาไปต้องตัวสูงและมีกำลังพอจะอุ้มคนตัวใหญ่อย่างพี่โตได้ และเป็นผู้ชายสินะ” เขามองดูรอบห้องให้แน่ใจว่าไม่มีสิ่งไหนผิดปกติอีกแล้วจึงเดินนำไคออกไป
ทั้งคู่สะกดรอยตามเลือดไปเรื่อยๆ มันพาย้อนกลับมาทางลงบันไดที่ทั้งคู่เพิ่งเดินขึ้นมาเมื่อครู่ ลากยาวจนกระทั่งถึงทางออกอาคาร รอยหยดเลือดลากต่อไปจากหน้าประตูอีกนิดแล้วก็หายไปกลางคันระหว่างทาง
“มีรถมารับ” ไคสรุปสั้นๆ “แต่จะขนย้ายร่างพี่โตได้ยังไงในเมื่อคืนเกิดเหตุคนก็เยอะมากมายขนาดนั้น แถมตำรวจก็เต็มไปหมด”
เอธรยิ้มแล้วมองดูโดยรอบ “ล่องหนไง”
“ฮะ!” ไคทำท่าทางประหลาดใจเล็กน้อยก่อนจะมองรอบๆ ตัวเห็นตำรวจเดินผ่านไปมา ไม่มีใครรู้สึกถึงตัวตนของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย “นายจะบอกว่าคนที่พาตัวพี่โตไปเป็นพวกใช้ไสยศาสตร์อย่างนั้นเหรอ”
“ก็ใช่ว่าจะไม่มีหรอกนะคนที่ทำแบบนั้นได้” เอธรทำท่าทางครุ่นคิด “นอกจากฉันแล้วพวกที่ใช้ไสยศาสตร์ก็ไม่ใช่น้อยๆ นะ พวกคำสาปเอยอะไรเอยก็เยอะ นายเองก็เจอมากับตัวแล้วนี่” เขาเดินนำไคออกไปยังรั้ว “เท่านี้ก็พอใจแล้วนะ หลักฐานอะไรนั่นก็พานายมาได้แค่นี้นั่นแหละ ต่อให้มีภูติผีอยู่ก็คงเป็นพยานให้นายไม่ได้หรอกถ้าอีกฝ่ายเป็นหมอผีแล้วล่ะก็ มันคงไม่ประมาทแน่นอน”
ไคก้มตัวลงร้องตะโกนอย่างโมโหก่อนจะต่อยพื้นสุดแรงเกิด “โธ่เว้ย!”
.......................................................................................................................................................................................
เด็กหนุ่มทั้งสองแยกทางกันโดยที่เอธรวางแผนจะค้นหายันต์ต่อไป ในขณะที่ไคถอนใจกลับมาบ้านอย่างรู้สึกผิดหวัง เขาเฝ้าคิดหาตัวคนที่จะสามารถทำเรื่องแบบนี้ได้ แต่ก็มีเพียงเรื่องที่ไม่อาจปักใจเชื่อได้ทั้งนั้น เพราะคนที่จะอุ้มโตได้นั้นนอกจากครูก้านและโจแล้วเขาไม่รู้จักเลยสักคน
(‘ถ้ามีรถมารับอย่างที่เราคาดไว้จริง แสดงว่าคนที่พาไปต้องมีมากกว่าหนึ่งคนสินะ’) เด็กหนุ่มครุ่นคิด เขาเริ่มมีความสงสัยในเรื่องราวทั้งหมด (‘ถ้าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเจ้าตัวการล่ะ เด็กผู้ชายจากต่างโรงเรียนที่พี่ยามพูดถึง คนที่จ่าหน้าจดหมายถึงชมรมเราในตอนรูปภาพต้องคำสาปนั่น รวมถึงคนที่ขโมยยันต์ไปนั่นก็ด้วย มีแค่เรากับพี่โตเท่านั้นที่สงสัยเรื่องนี้ ถ้าทั้งหมดเป็นคนเดียวกันแล้วเล่นงานพี่โต ถ้าอย่างนั้นเป้าหมายต่อไปจะเป็นใคร ฉันเหรอ!?’) เมื่อคิดเช่นนั้นเขาจึงเปลี่ยนเส้นทางเพื่อไปหาโจซึ่งเฝ้าอีฟอยู่ที่โรงพยาบาลและเล่าความคืบหน้าทั้งหมดให้ฟัง สำหรับเขาโจเป็นที่พึ่งสุดท้ายในเวลาที่อีฟบาดเจ็บและโตหายตัวไปเช่นนี้
เมื่อ ถึงโรงพยาบาลไคโทรถามหมายเลขห้องผู้ป่วยจากโจแล้วเดินตามไปยังห้องๆ นั้น ระหว่างทางเด็กหนุ่มเดินไปสำรวจบริเวณห้องดับจิตที่พบกับวิญญาณพี่ยามเมื่อ คราวก่อนหากแต่วิญญาณของเขาไม่ได้ยู่ที่นั่น ร่างของพี่ยามคงถูกย้ายไปงานศพหรืออาจจะเผาไปแล้วก็เป็นได้ เมื่อหมดสิทธิ์จะพูดคุยเด็กหนุ่มจึงถอนใจเดินต่อไปยังห้องพักผู้ป่วยของอีฟ
แอด! ไคดันประตูเข้ามาในห้องพบอีฟนอนหลับอยู่บนเตียงทั้งเนื้อทั้งตัวเต็มไปด้วยผ้าพันแผล บริเวณใบหน้าเธอมีแต่รอยขีดข่วน แผลลักษณะเป็นรอยบาดและมีรอยเย็บอยู่ที่แก้มซ้าย โจกำลังนั่งมองดูอีฟอยู่บนเก้าอี้เฝ้าไข้ด้วยแววตาเศร้าสร้อย พร้อมๆ กับแทงค์และโซเฟียที่ยืนดูอาการเธออยู่ไม่ห่างจากปลายเตียง มีตะกร้าเยี่ยมผู้ป่วยวางไว้ข้างเตียงสองสามใบ เต็มไปด้วยผลไม้และเครื่องดื่มหากแต่มันยังไม่ได้ถูกนำออกมาเลยสักอย่าง พวกเขาคงรอเธอตื่นขึ้นมารับประทาน
“พี่โจครับอาการพี่อีฟ” ไคชะงักอยู่เล็กน้อยก่อนจะถามต่อ เขารู้สึกเป็นห่วงจิตใจของโจว่าจะเอื้อนเอ่ยไหวหรือไม่ เพราะจากเท่าที่เห็นแล้วโจดูเป็นห่วงเธอมากเอาการ “อาการของพี่อีฟเป็นอย่างไรบ้างครับ”
รุ่นพี่หนุ่มหันมายิ้ม “หมอบอกว่าดีขึ้นเป็นลำดับ เหลือแค่ต้องรอให้ได้สติน่ะ”
“โธ่อะไรกัน ผมก็เห็นทำหน้าทำตาซะเหมือนว่าพี่เขาอาการหนักขึ้นเสียอีก พลอยใจหายไปด้วยเลย” ไคถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อรู้ว่าเธอดีขึ้น
“ก็อาการหนักนั่นแหละ แค่ดีขึ้นเท่านั้นก็ฉันเป็นห่วงนี่” โจทำหน้ามุ่ยใส่เด็กหนุ่มก่อนจะหันกลับไปดูเพื่อนสาว
(‘พี่โจเนี่ยชอบพี่อีฟสินะ’) เด็กหนุ่มแอบยิ้มมุมปากในขณะคิดเรื่องชวนขำในใจ เขาลูบหัวแทงค์และโซเฟียเล็กน้อยแล้วเดินเข้าไปหารุ่นพี่ “พี่โจครับผมไปสืบดูแล้วเรื่องของพี่โตน่ะ”
“ฮะ! ฉันเพิ่งโทรไปบอกข่าวนายเมื่อเช้านี้เองนะ” โจมีท่าทางสะดุ้งดวงตาเบิกโพลงอย่างตกอกตกใจ “นายนี่คิดไวทำไวแฮะ” เขาตั้งสติก่อนจะกลับมาปั้นหน้าสุขุม “แล้วได้ความว่าไง”
“ผมคิดว่าน่าจะมีคนพาตัวไปครับ และคนๆ นั้นต้องเป็นผู้ชายตัวใหญ่พอที่จะอุ้มพี่โตได้” ไคเล่าให้ฟังด้วยใบหน้าเคร่งเครียดเขาขมวดคิ้วแล้วกัดเล็บนิ้วโป้งทำท่าคิดบางอย่างเหมือนนักสืบ “แล้วก็” เขาพูดต่อ “ชมรมในตอนนี้กำลังถูกเล่นงาน พี่โตกับพี่อีฟก็เป็นแบบนี้ไปแล้วที่ต้องระวังตัวคงมีแต่ผมกับพี่และเด็กๆ อีกสองคน” ไคหันไปมองดูแทงค์และโซเฟียซึ่งพูดคุยกันอยู่ “ในระหว่างที่เป็นแบบนี้พวกเราควรหาทางรับมือไว้นะครับ เพราะเจ้าตัวการนั่นอาจเป็นหมอผีที่มีฝีมือมากกว่าหรือเท่ากับเอธรเลยทีเดียว”
“อุ้มพี่โตได้เหรอ” ฮุบ! โจเก็บอาการหัวเราะไว้จนแก้มป่อง “คงต้องใช้กำลังมากเลยล่ะ พี่โตน้ำหนักตัวใช่ย่อยนะ แปดสิบกิโลเห็นจะได้ เห็นแบบนี้พี่เขาก็เล่นกล้ามนะไค” แล้วเขาก็เปลี่ยนมามองที่ไคด้วยแววตาสุขุม คำพูดดูมีน้ำหนักมากขึ้น “ส่วนเรื่องที่พวกเราสี่คนอาจถูกเล่นงานนั้นน่ะ ฉันคิดว่าตอนนี้มันคงยังไม่ลงมือหรอก โรงเรียนก็ปิดอยู่แถมไม่มีเหตุผลอะไรที่มันจะทำร้ายเด็กๆ อย่างแทงค์กับโซเฟียด้วย เรื่องเคืองแค้นนั้นพวกเราก็ไม่เคยไปทำไว้กับใครนี่จริงมั้ย และถ้าเป็นอย่างนายว่าจริงๆ คนที่น่าเป็นห่วงคือยัยนี่ต่างหาก” เขาหันไปมองดูอีฟซึ่งหลับอยู่ “ถ้าเธอหลับอยู่แบบนี้โอกาสเล่นงานก็ง่าย”
“จริงอย่างพี่ว่านะครับ แต่ถึงอย่างนั้นผมกับพวกพี่ก็เจอมาแล้วนี่ครับ ตอนที่อยู่ในห้องชมรมแล้วควันดำนั่นโผล่ออกมา” ไคมองโจตาเขม็ง “รวมถึงรูปภาพนั่นด้วย และยันต์ผีผ่านอีก”
“จริงของนาย” โจกอดอกไขว้ขาพิงพนักเก้าอี้ “มันจ้องทำร้ายเรา อย่างคราวนี้ก็เรื่องที่โรงเรียนด้วย เรื่องยันต์อะไรนั่นฉันก็พอรู้นะถึงจะไม่มากแต่ก็รู้ว่ามันนำลางร้ายมาสู่โรงเรียนใช่มั้ยล่ะ รึว่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาจะเป็นผลจากยันต์นั่นด้วยก็ไม่เชิง”
“พี่หมายความว่ายันต์นั่นทำให้เกิดเรื่องทั้งหมดหรือครับ”
“ก็อาจจะนะ” เขาหันมาสบตากับไค “ฉันคิดว่าถ้ามันเป็นอย่างนี้ล่ะ ยันต์นั่นเหมือนสมองกลที่ทำงานโดยลากเรื่องราวต่างๆ ให้เข้ามาในโรงเรียนเรา ทั้งเรื่องที่พี่ธันไปเข้าร่างของพีช เรื่องที่พี่ยามถูกของเข้า เรื่องที่นายโดนผีผลักตกบันได ห้องพระเคลื่อนที่ ถ้าเรื่องทั้งหมดยันต์นั่นกำหนดไว้ล่ะ”
ไคสะดุ้งเขามองโจตาไม่กระพริบเหงื่อไหลพราก “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรีบกำจัดยันต์โดยเร็วก่อนที่เรื่องราวจะบานปลายนะสิครับ”
โจส่ายหน้าช้าๆ “จริงอยู่เราควรจะกำจัดยันต์นั่นโดยเร็ว แต่ก่อนหน้านั้นเราควรจับเจ้าตัวการให้ได้เสียก่อน เพราะต่อให้เราแกะยันต์ออกไป มันก็จะเอาไปแปะใหม่อยู่ดีนั่นแหละ”
ไคชะงักทันทีเมื่อได้ฟังประโยคนั้นจากรุ่นพี่ เขาไม่ทันได้นึกถึงข้อนั้นที่ว่าแม้จะพยายามทำลายยันต์ไปสักกี่หนหากไม่ กำจัดคนแปะก็เปล่าประโยชน์ (‘แบบนี้ที่เรากับเอธรและพี่โตช่วยกันทำคราวก่อนก็ไร้ค่านะสิ’) ใช่แล้วหากเอาแต่ตักน้ำออกจากเรือโดยไม่ยอมอุดรูรั่ว สุดท้ายแล้วน้ำก็จะทะลักเข้ามาจนกระทั่งเรือจมอยู่ดี เด็กหนุ่มลืมคิดถึงข้อนี้ไป
โจกล่าวต่อ “แต่ตอนนี้เราควรรอให้เปิดโรงเรียนก่อนแล้วค่อยลงมือกันดีกว่า เพราะตำรวจเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยหากเราทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าจนพลอยติดร่างแหในคดีเมื่อคืนจะลำบากเอา”
“อ้ะ! พี่อีฟตื่นแล้ว” เสียงของแทงค์ดังขึ้นระหว่างการสนทนาของทั้งคู่
ไคและโจหันไปมองพร้อมกันในทันที เธอลืมตาขึ้นกรอกไปมา มองไปรอบห้องแล้วหยุดมองมาทางไค “นี่ฉันเป็นอะไรไป” เธอเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอันแหบแห้งและเบาบาง “โอ้ย!” เธอขมวดคิ้วร้องด้วยความเจ็บปวดหลังพยายามขยับตัว
“เธอบาดเจ็บอยู่อย่าเพิ่งขยับสิ” โจเอ่ยเตือนอีฟด้วยเสียงสั่นๆ แล้วหันไปทางไค “เดี๋ยวพี่ไปตามหมอนะ” เขาลุกพรวดขึ้นแล้วรีบวิ่งออกไปด้วยความดีใจ
“ไค แทงค์ โซเฟีย” อีฟกวาดสายตาดูรุ่นน้องทีละคน “อย่างนี้นี่เองฉันถูกเด็กคนนั้น” เธอพูดขึ้นพลางมองไปทางหน้าต่างห้อง ก่อนหันกลับมามองไคอีกครั้งด้วยแววตาตื่นตกใจเมื่อนึกบางอย่างได้ “แล้วพี่ธันล่ะ แย่แล้วเด็กคนนั้นน่ะ” อีฟหยุดชะงักเมื่อเด็กหนุ่มยิ้มแล้วส่ายหน้าเบาๆ “หมายความว่ายังไง”
ไคนั่งลงบนเก้าอี้ที่โจเพิ่งลุกออกไป มองดูแทงค์และโซเฟียซึ่งกำลังดีใจกระโดดโลดเต้นกันอยู่ ก่อนจะหันมาคุยกับอีฟ “สายไปแล้วล่ะครับ แต่ก็ไม่แย่ทั้งหมด” เด็กหนุ่มสบตากับอีฟ ก่อนจะเอ่ยข้อความสั้นๆ ที่เก็บไว้ในใจมานาน “ผมไม่รู้เรื่องอะไรเลย รู้ช้าไปมากจนหยุดทุกอย่างไว้ไม่ทัน ผมขอโทษครับพี่อีฟ”
รุ่นพี่สาวเมื่อได้สบตาและอ่านใจเด็กหนุ่มก็ได้รู้ถึงเรื่องราวทั้งหมด เธอมองขึ้นไปบนเพดานขณะนึกคำพูดที่จะใช้เอื้อนเอ่ยในสถานการณ์แบบนี้ “คงจะรู้สึกผิดสินะ แต่ว่าเรื่องทั้งหมดมันไม่ได้เป็นเพราะเธอซักหน่อย ทุกๆ อย่างจะต้องผ่านไปไม่ว่าดีหรือไม่ดีก็ตาม พี่ว่าไคน่ะพยายามมากเกินไปด้วยซ้ำนะ เธอคิดมากจนเกินไป บางทีเรื่องทุกอย่างมันอาจจะง่ายกว่าที่เธอคิดก็ได้”
“ง่ายกว่าที่คิดเหรอครับ” เด็กหนุ่มเอียงคอถามอย่างฉงนใจ
“ถ้าจะให้เทียบก็นั่นไง เหมือนกับเวลาทำข้อสอบแล้วคิดว่าโดนโจทย์หลอก ทั้งๆ ที่มันไม่ได้หลอกเลยทำให้ไปตอบผิดซะอย่างนั้นแหละ” เธอยิ้มขณะหันกลับมามองเด็กหนุ่ม ก่อนจะหลุดหัวเราะ ฮุๆ เบาๆ อย่างน่ารัก
“ฮ่าฮ่าฮ่า เปรียบเทียบได้ตลกมากครับ แต่ก็จริงนะพี่ ผมอาจจะคิดมากเกินไปก็ได้” ไคหัวเราะให้กับคำสอนแบบเข้าใจง่ายของรุ่นพี่ แล้วจึงเปลี่ยนมาทำใบหน้าจริงจัง ขมึงทึงอีกครั้ง “เกี่ยวกับเรื่องที่พี่โตหายตัวไปน่ะครับ พี่อีฟเคยเป็นนักข่าวโรงเรียนสินะครับพอจะสงสัยใครบ้างมั้ย”
อีฟยิ้มแล้วตอบกลับไปอย่างเรียบง่าย “ไม่มีหรอกคนที่ฉันสงสัยน่ะ” เธอมองไคซึ่งมีท่าทีจริงจังแล้วพูดต่อ “ปกติถ้าพี่โตจะหายตัวไป เขาก็จะหายไปด้วยตัวของเขาเองมาโดยตลอด ไม่มีใครที่ไหนสนใจจะพาตัวเขาไปหรอก”
“พูดเหมือนพี่เขาเคยหายตัวไปมาก่อนเลยนะครับ” ไคโน้มตัวเข้ามาใกล้อีฟ ถามอย่างตรงไปตรงมาอีกครั้ง
“อื้มเคยสิ ฮุๆ” อีฟเอ่ยเสร็จก็หัวเราะเบาๆ ออกมา “ผีลักน่ะ”
“ฮะ!?”
“เมื่อปีก่อนช่วงที่พี่ลาออกจากชมรมหนังสือพิมพ์แล้วเพิ่งเข้าชมรมนี้ใหม่ๆ พี่เขาเคยไปสืบเรื่องผีลักน่ะ เป็นเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณเด็กนักเรียนคนหนึ่งที่ตายไปแล้วโหยหาอยากได้เพื่อนไปอยู่ด้วย เลยเริ่มมีการลักพาตัวเพื่อนร่วมห้องคนอื่นๆ ไปทีละคน” อีฟอธิบายพลางนึกถึงเรื่องวันเก่าๆ “สมัยนั้นโจยังไม่เข้าชมรมหรอก มีพี่ แทงค์ พี่ธัน แล้วก็พี่โตอยู่กันสี่คนส่วนเด็กผู้ชายอีกคนก็เหมือนจะออกจากชมรมไปแล้ว ระส่ำระส่ายมากเลยแหละเพราะต้องตามหาสมาชิกเพิ่ม แถมประธานอย่างเขาก็ดันมาหายตัวไปซะอีก”
“พี่เขานี่สงสัยจะชอบเรื่องแบบนี้เข้าสายเลือดจริงๆ เลยแฮะ” ไคพึมพำอย่างเหนื่อยหน่ายใจ
“ความจริงแล้วสาเหตุที่พี่เขาไปสืบเรื่องนี้ก็เพราะเพื่อนของเขานั่นแหละ” อีฟเริ่มเล่าต่อ ในขณะที่ไคเริ่มฟังอย่างสนอกสนใจจ้องเธอตาไม่กระพริบ “รู้สึกจะชื่อพี่บิวอะไรสักอย่าง”
“พี่เขาทำไมหรือครับ” ตอนนี้เด็กหนุ่มสนใจแต่เพียงเรื่องที่รุ่นพี่กำลังจะเล่าต่อไป โดยวางเรื่องการหายตัวไปของโตลงก่อน
“เรื่องมันมีอยู่ว่าน้องชายของพี่บิวเขาหายตัวไปน่ะ พี่บิวที่สงสัยก็เลยตามสืบด้วยตนเอง เขาเชื่อว่าเป็นการลักพาตัวมากกว่าเรื่องผีสาง ตำรวจก็พลอยวุ่นกันน่าดูเลยช่วงนั้น นี่ขอน้ำหน่อยสิ” อีฟหยุดเล่ากลางคันพลางเหลือบมองแก้วน้ำข้างตะกร้าเยี่ยมผู้ป่วย
เด็กหนุ่มรินน้ำใส่แก้วแล้วจุ่มหลอดลงยื่นให้อีฟที่ไม่สามารถขยับได้ดูด “แล้วเรื่องเป็นอย่างไรต่อหรือครับ” เธอคายหลอดออกจากปากหลังดื่มไปสามสี่อึก ไคนำแก้วไปวางคืนที่เดิมหันมาตั้งใจฟัง
“หลังจากนั้นไม่นานพี่บิวก็หายตัวไปอีกคน” อีฟขมวดคิ้วมองไปนอกหน้าต่าง “พี่โตเขาสนิทกับพี่บิวมากพอๆ กับพี่ธันเลยล่ะ พอรู้สึกแปลกใจเขาก็เลยลงมือสืบต่อด้วยตนเอง แล้วสั่งห้ามไม่ให้พวกพี่ยุ่งอีกด้วย” เธอเว้นช่วงการเล่าก่อนจะหันกลับมามองไคแล้วเล่าต่อ “หลังจากนั้นอีกสองสามวันพวกเราก็ไม่ได้ข่าวคราวของพี่โตอีกเลย ราวกับว่าเขาโดนลักพาตัวไป ไม่อยู่ทั้งที่บ้าน โรงเรียน ชมรม พวกเราติดต่อก็ไม่ได้”
ไครู้สึกสะกิดใจ โน้มตัวเข้าถามอีฟ “เอ๋ ถ้าอย่างนั้นแล้วพี่เขากลับมาได้อย่างไรกันครับ”
“ก็หายไปอยู่สัปดาห์หนึ่งล่ะนะ จู่ๆ พี่เขาก็กลับมาด้วยสีหน้าที่ดูเศร้ามาก เขาพร่ำพูดแต่ว่าตัวเองไม่สามารถพาเพื่อนและเด็กคนอื่นๆ กลับมาได้ ร้องห่มร้องไห้อยู่หลายวันจนพี่กับแทงค์ต้องช่วยกันปลอบเลยแหละ”
“ใช่ครับๆ ผมนี่ไม่เคยเห็นพี่โตเป็นแบบนั้นมาก่อนเลย” แทงค์เสริมขึ้นขณะที่ย้ายมานั่งข้างเตียงอีฟฝั่งตรงข้ามกับไค โดยมีโซเฟียนั่งอยู่ข้างๆ
ไคดูประหลาดใจเล็กน้อย เขาไม่รู้ตัวเลยว่าเด็กทั้งสองคนแอบย้ายมาร่วมนั่งฟังด้วยตั้งแต่เมื่อไหร่ “ถ้าอย่างนั้นพี่บิวกับเด็กคนอื่นๆ ก็”
“ไม่กลับมาอีกเลย” เธอเอ่ยขึ้นด้วยแววตาโศกเศร้า รอยยิ้มนั้นหายไปจากมุมปาก “หลังจากนั้นมาผีลักก็หายไปพร้อมกับข่าวลือนั้นที่ซาลงตามกาลเวลา กลายเป็นว่าถูกลักพาตัวไปค้ามนุษย์เอยอะไรเอยเสียแทน” อีฟกรอกตาไปมองแทงค์กับโซเฟียแล้วกลับมามองไคอีกครั้ง “พี่โตไม่ยอมเล่าอะไรให้ฟังเลยสักอย่าง”
“แล้วพี่ไม่อ่านใจเขาล่ะครับ!” ไคเกาศีรษะอย่างแรงแสดงออกว่าเขาอยากรู้มากแค่ไหน
“พี่น่ะบางครั้งก็มีคนที่ไม่อยากอ่านใจโดยไม่จำเป็นอยู่ล่ะนะ” เธอถอนหายใจดัง เฮ้อ หนึ่งครั้งก่อนจะพูดต่อ “หมอนั่นน่ะเป็นคนเข้าใจยากที่พูดอะไรก็ตรงกับใจเสมอ เรื่องไหนที่เขาไม่พูดก็คงมีแต่เรื่องที่ไม่อยากเล่านั่นแหละ พี่ไม่อยากก้าวก่ายสักเท่าไหร่”
“หรือว่าพี่อีฟ...” ไคชะงักมองหน้าเธออย่างจริงจังจนเหงื่อไหลพราก ดวงตาสั่นไหว หัวใจเต้นระรัว “จะชอบพี่โต”
“ไม่มีทางหรอกย่ะ!!” เธอตอบปฏิเสธอย่างรวดเร็ว เผลอยกมือขึ้นปัดอย่างฉับไวจนร้อง จ๊าก! ก่อนจะเอามือลงทั้งน้ำตา “โอ้ยเจ็บ! คนพันธุ์นั้นขืนอยู่ด้วยกันฉันก็เป็นโรคประสาทพอดี”
“น..นั่นสินะครับ ฮุๆ” ไคยิ้มหัวเราะเบาๆ (‘ปฏิเสธไวจริงแฮะ’)
ในไม่กี่วินาทีต่อมาเสียงเปิดประตู แอด! ดังขึ้นตามมาด้วยเสียงโจที่ลุกลี้ลุกลน “คุณหมอครับเร็วๆ เข้าเถอะ” โจเดินนำคุณหมอคนเดียวกับที่มาบอกการของอีฟให้ไคฟังเมื่อคืน พร้อมกับนางพยาบาลอีกคนเข้ามาในห้อง
“หมอขอตรวจดูอาการหน่อยนะครับ” คุณหมอพูดขึ้นขณะเดินเข้ามาหาเธอทางฝั่งไค
“ค่ะ!” อีฟตอบคุณหมอเบาๆ ด้วยเสียงอันแหบแห้ง
“ความจริงแล้วญาติกดปุ่มนี้แจ้งเราก็ได้นะคะถ้าผู้ป่วยได้สติแล้ว” นางพยาบาลชี้นิ้วไปยังปุ่มที่มีลักษณะเหมือนออดเหนือเตียงผู้ป่วยขณะอธิบายให้โจฟัง “ไม่ต้องวิ่งไปตามถึงเคาน์เตอร์พยาบาลก็ได้ค่ะ”
โจหยุดชะงักขณะปาดเหงื่อ เขาใบหน้าแดงก่ำไปด้วยความเหนื่อยและเขินอาย “ผ..ผมลืมตัวน่ะครับ ฮ่าฮ่าฮ่า” เสียงหัวเราะดังไปทั่วทั้งห้องปัดเป่าบรรยากาศตึงเครียดเมื่อก่อนหน้านี้ให้หายไปเพียงในเวลาสั้นๆ
คุณหมอเมื่อดูอาการของอีฟเสร็จแล้ว จึงเล่าให้ฟังว่าเธอต้องการเวลาพักฟื้นอีกสักหน่อยซึ่งน่าจะไม่เกินหนึ่งหรือสองสัปดาห์ก็จะออกจากโรงพยาบาลได้ นับว่าเป็นข่าวดีที่เธอปลอดภัย ไคและสมาชิกคนอื่นจึงโล่งใจมากขึ้นก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้าน โดยที่โจยังคงขอเฝ้าอีฟต่อเพื่อความไม่ประมาทหากเกิดเหตุอะไรขึ้น
ก่อนที่ไคจะก้าวออกจากห้องตามแทงค์และโซเฟียไปอีฟเอ่ยขึ้น “นี่ไคพี่วานหน่อยสิ”
“ครับ” เด็กหนุ่มรับปากขณะหันกลับมาถามถึงเรื่องที่รุ่นพี่จะไหว้วาน “มีเรื่องอะไรให้รับใช้หรือครับ”
“พี่มีสถานที่หนึ่งที่ต้องไปทุกๆ วันน่ะ แต่สภาพร่างกายของพี่ในตอนนี้คงไปไม่ไหว เธอช่วยเอาตะกร้านี่ไปใบหนึ่งทีสิ” อีฟเริ่มเล่าเรื่องที่จะไหว้วานเด็กหนุ่มต่อไป “ที่โรงพยาบาลประจำเมืองน่ะ ที่นั่นมีคนนึงๆ ที่พี่อยากให้เธอไปเยี่ยมอยู่”
.......................................................................................................................................................................................
หลังจากไครับตะกร้าแล้ว เขาจึงเดินทางนั่งรถเข้าไปในเมือง มุ่งไปยังโรงพยาบาลที่เธอพูดถึง โรงพยาบาลขนาดใหญ่ซึ่งมีผู้คนเข้าออกอยู่ตลอดเวลา ตึกต่างๆ เต็มไปหมดจนเด็กหนุ่มไม่รู้จะเริ่มค้นหาจากที่ไหน เขาหยิบเศษกระดาษที่โจเขียนชื่อโรงพยาบาล ชื่อตึก และเลขที่ห้องกับชื่อผู้ป่วยเอาไว้ตามที่อีฟเล่าขึ้นมาอ่าน อีฟเล่าให้ฟังว่าเป็นเพื่อนสมัยเด็กที่โตมาด้วยกันจนกระทั่งเธอล้มไปเมื่อ ต้นปีก่อน อีฟมีท่าทางเป็นกังวลเรื่องของเธอคนนี้อย่างมากจนไคไม่อาจปฏิเสธได้ลงแต่ อย่างใด เขาเงยหน้าขึ้นมองชื่อตึกต่างๆ ด้วยแววตาที่มุ่งมั่น
(‘ถ้าพี่อีฟบอกว่ามาเยี่ยมทุกวันแสดงว่าคนๆ นี้คงสำคัญกับพี่เขามากจริงๆ ดีล่ะฉันจะต้องเอาตะกร้าไปเยี่ยมให้จงได้’) ไคเริ่มจากมุ่งหาตึก แล้วเข้าไปถามทางจากเคาน์เตอร์พยาบาลจนกระทั่งค้นหาห้องเจอในที่สุด เขากำตะกร้าในมือไว้แน่นด้วยความรู้สึกที่อยากช่วยรุ่นพี่และลดความรู้สึกผิดที่ปกป้องเธอไว้ไม่ได้
แอด! เสียงประตูเปิดขึ้นช้าๆ ภายในห้องปิดไฟมืดสนิทมีเพียงแสงสว่างลอดผ่านผ้าม่านมาทางหน้าต่าง มีแจกันดอกไม้วางอยู่บนโต๊ะริมหน้าต่าง ดอกไม้ดูสดใหม่เหมือนถูกผลัดเปลี่ยนอยู่ทุกวัน ติ๊ดๆ! เสียงเครื่องวัดชีพจรดังอยู่ต่อเนื่อง มีร่างหญิงสาวสวมเครื่องช่วยหายใจพร้อมกับสายท่อต่างๆ มากมาย ทั้งสายน้ำเกลือ ท่ออาหาร ท่อปัสสาวะเต็มไปหมด เธอนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าอมยิ้ม ไคเดินเข้ามาวางตะกร้าไว้ด้านข้างเตียงผู้ป่วย มองดูใบหน้าของหญิงสาวแล้วจึงสังเกตได้ถึงความสวยงาม เธอมีใบหน้ากลม จมูกคมเป็นสัน ริมฝีปากสีชมพูนวล ผิวขาวผ่องราวกับเป็นนักแสดงดังในละครโทรทัศน์
“ป่วยเป็นอะไรกันนะ” เด็กหนุ่มนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงมองดูร่างหญิงสาวซึ่งนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนใดๆ ราวกับถูกสต๊าฟไว้ ชวนให้สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ
เสียงของฟ้าดังขึ้นภายในหัวเด็กหนุ่ม “รู้สึกเหมือนตอนที่หนูป่วยเลยค่ะ สายอะไรไม่รู้เต็มไปหมด”
“นี่เธอเห็นเงียบไปตั้งแต่เมื่อคืน” ไคพูดกับวิญญาณเด็กหญิงเบาๆ ขณะมองดูดวงหน้าของเด็กสาวผู้หลับใหล “อย่างกับเธอคนนี้เป็นเจ้าหญิงนิทราแหนะ” เขามองดูรอบๆ เตียง มีแต่แก้วน้ำที่ไม่มีร่องรอยการใช้ ขวดน้ำวางไว้ยังไม่ถูกเปิด ไม่มีตะกร้าเยี่ยมผู้ป่วยเลยสักใบนอกเหนือจากใบที่ไคถือมา
“เมื่อคืนหนูวิ่งเล่นอยู่ในโรงพยาบาลค่ะพอดีคิดถึง แล้วก็เพิ่งจะเข้าสิงพี่ชายตอนออกจากโรงพยาบาลเมื่อไม่นานมานี้เอง” ฟ้าอธิบายให้เด็กหนุ่มฟัง
ไคขมวดคิ้วเสียงเข้มทำท่าทางไม่พอใจเล็กน้อย “เธอนี่ชักจะเข้าออกร่างฉันตามใจชอบขึ้นทุกทีนะ”
“แหะๆ” วิญญาณเด็กหญิงไม่เถียงแต่อย่างใด
“เอาล่ะกลับดีกว่า พี่อีฟวานแค่ให้เอาตะกร้ามาเยี่ยมนี่นะ” ไคลุกขึ้นจากเก้าอี้ก่อนจะมองดูหน้าเธออีกครั้งแล้วเดินออกนอกประตูไป เขารู้ว่าตัวเองเป็นคนนอกและอีกอย่างหากเธอตื่นขึ้นมาได้จริงๆ ก็คงจะต้องเสียเวลาอธิบายอยู่นานเลยทีเดียว
จบตอน
โปรดติดตามตอนต่อไป
ปล.รักนะคนอ่าน
เอธรร่ายคาถาบางอย่างทำให้ตำรวจและผู้คนอื่นๆ มองไม่เห็นพวกเขา ทั้งคู่เดินตรงเขาไปในอาคารตามเป้าหมายของไคเพื่อสืบหาข้อมูลการหายตัวไปของโต ในขณะที่เอธรสนใจแต่การค้นหายันต์ที่เหลืออยู่
ภาพภายในอาคารที่เห็นทำให้เด็กหนุ่มต้องสลดใจ ทั้งเศษแก้วเศษกระจก โต๊ะไม้ที่หักระเนระนาดราวกับพายุเข้า ไม่แปลกเลยที่จะกลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งในเพียงชั่วข้ามคืน เขามองเห็นคราบเลือดแห้งๆ ที่บันไดซึ่งยังไม่ได้ถูกเช็ดทำความสะอาด หวนนึกถึงเรื่องของโตที่ธันเล่าให้ฟัง (‘บางทีคราบเลือดนี้อาจจะเป็นของพี่โตก็ได้’) เด็กหนุ่มคิดในใจ
รอยเลือดเป็นทางยาวถูกลากไปยังห้องพยาบาล ซึ่งเกิดจากตอนที่แนนและแทงค์ช่วยกันพาโตไปปฐมพยาบาล เด็กหนุ่มทั้งสองคนเดินตามรอยนั้นไปจนถึงตัวห้อง พบกองเลือดแห้งเกรอะอยู่บนเตียงผู้ป่วย
“ถูกเอามาไว้ที่นี่จริงๆ ด้วยสินะ” ไคพึมพำขณะสังเกตรอยเลือด และมองไปรอบๆ เห็นขวดแอลกอฮอล์ถูกเปิดทิ้งไว้ พร้อมกับกองผ้าพันแผลอยู่ใกล้ๆ “กองเลือดขนาดนี้แผลต้องสาหัสมากแน่ๆ แต่พยาบาลแค่เบื้องต้นแบบนี้ ต่อให้พี่โตเป็นคนบ้าแค่ไหนก็ไม่มีทางเคลื่อนย้ายตัวเองได้หรอก”
เอธรก้มลงมองดูหยดเลือดที่อยู่ตามพื้น “นี่แกดูบนพื้นนี่สิ” เลือดหยดเป็นทางยาวลากจากเตียงออกไปนอกห้องพยาบาล
ไคมองดูตามที่เห็นแล้วจึงคิดจะออกสะกดรอยตามแต่ก่อนหน้านั้นเขาสังเกตถึงอะไรบางอย่าง “นี่เอธร”
“หืม?”
“พี่โตเนี่ยบาดเจ็บอยู่ใช่มั้ย ดังนั้นถ้าคนที่ตัวไม่สูงอย่างแทงค์กับแนนก็ต้องลากมา” เขามองไปยังรอยเลือดที่ลากเป็นทางยาวเข้ามา “แต่เลือดที่พาออกไปกลับเป็นหยดๆ” เด็กหนุ่มก้มลงมองที่พื้น “ดูนี่สิ” เขาชี้ไปยังรอยเท้าที่ถูกเลือดพิมพ์ไว้สะเปะสะปะสับสนไปมา “มีรอยรองเท้าผ้าใบเล็กๆ นี่น่าจะของแทงค์ และรอยเท้าใหญ่ขึ้นมาหน่อยนี้น่าจะเป็นรองเท้าของผู้หญิงซึ่งน่าจะเป็นแนน” แล้วเขาก็ชี้ไปที่รอยเท้าอีกคู่หนึ่งซึ่งขนาดใหญ่กว่าสองรอยก่อนหน้านี้ลักษณะเป็นรองเท้าของผู้ชาย “แล้วรอยเท้านั้นของใคร”
เอธรสังเกตตามที่เด็กหนุ่มบอกแล้วกอดอกพิงเตียงผู้ป่วยครุ่นคิด “คนที่พาไปต้องตัวสูงและมีกำลังพอจะอุ้มคนตัวใหญ่อย่างพี่โตได้ และเป็นผู้ชายสินะ” เขามองดูรอบห้องให้แน่ใจว่าไม่มีสิ่งไหนผิดปกติอีกแล้วจึงเดินนำไคออกไป
ทั้งคู่สะกดรอยตามเลือดไปเรื่อยๆ มันพาย้อนกลับมาทางลงบันไดที่ทั้งคู่เพิ่งเดินขึ้นมาเมื่อครู่ ลากยาวจนกระทั่งถึงทางออกอาคาร รอยหยดเลือดลากต่อไปจากหน้าประตูอีกนิดแล้วก็หายไปกลางคันระหว่างทาง
“มีรถมารับ” ไคสรุปสั้นๆ “แต่จะขนย้ายร่างพี่โตได้ยังไงในเมื่อคืนเกิดเหตุคนก็เยอะมากมายขนาดนั้น แถมตำรวจก็เต็มไปหมด”
เอธรยิ้มแล้วมองดูโดยรอบ “ล่องหนไง”
“ฮะ!” ไคทำท่าทางประหลาดใจเล็กน้อยก่อนจะมองรอบๆ ตัวเห็นตำรวจเดินผ่านไปมา ไม่มีใครรู้สึกถึงตัวตนของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย “นายจะบอกว่าคนที่พาตัวพี่โตไปเป็นพวกใช้ไสยศาสตร์อย่างนั้นเหรอ”
“ก็ใช่ว่าจะไม่มีหรอกนะคนที่ทำแบบนั้นได้” เอธรทำท่าทางครุ่นคิด “นอกจากฉันแล้วพวกที่ใช้ไสยศาสตร์ก็ไม่ใช่น้อยๆ นะ พวกคำสาปเอยอะไรเอยก็เยอะ นายเองก็เจอมากับตัวแล้วนี่” เขาเดินนำไคออกไปยังรั้ว “เท่านี้ก็พอใจแล้วนะ หลักฐานอะไรนั่นก็พานายมาได้แค่นี้นั่นแหละ ต่อให้มีภูติผีอยู่ก็คงเป็นพยานให้นายไม่ได้หรอกถ้าอีกฝ่ายเป็นหมอผีแล้วล่ะก็ มันคงไม่ประมาทแน่นอน”
ไคก้มตัวลงร้องตะโกนอย่างโมโหก่อนจะต่อยพื้นสุดแรงเกิด “โธ่เว้ย!”
.......................................................................................................................................................................................
เด็กหนุ่มทั้งสองแยกทางกันโดยที่เอธรวางแผนจะค้นหายันต์ต่อไป ในขณะที่ไคถอนใจกลับมาบ้านอย่างรู้สึกผิดหวัง เขาเฝ้าคิดหาตัวคนที่จะสามารถทำเรื่องแบบนี้ได้ แต่ก็มีเพียงเรื่องที่ไม่อาจปักใจเชื่อได้ทั้งนั้น เพราะคนที่จะอุ้มโตได้นั้นนอกจากครูก้านและโจแล้วเขาไม่รู้จักเลยสักคน
(‘ถ้ามีรถมารับอย่างที่เราคาดไว้จริง แสดงว่าคนที่พาไปต้องมีมากกว่าหนึ่งคนสินะ’) เด็กหนุ่มครุ่นคิด เขาเริ่มมีความสงสัยในเรื่องราวทั้งหมด (‘ถ้าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเจ้าตัวการล่ะ เด็กผู้ชายจากต่างโรงเรียนที่พี่ยามพูดถึง คนที่จ่าหน้าจดหมายถึงชมรมเราในตอนรูปภาพต้องคำสาปนั่น รวมถึงคนที่ขโมยยันต์ไปนั่นก็ด้วย มีแค่เรากับพี่โตเท่านั้นที่สงสัยเรื่องนี้ ถ้าทั้งหมดเป็นคนเดียวกันแล้วเล่นงานพี่โต ถ้าอย่างนั้นเป้าหมายต่อไปจะเป็นใคร ฉันเหรอ!?’) เมื่อคิดเช่นนั้นเขาจึงเปลี่ยนเส้นทางเพื่อไปหาโจซึ่งเฝ้าอีฟอยู่ที่โรงพยาบาลและเล่าความคืบหน้าทั้งหมดให้ฟัง สำหรับเขาโจเป็นที่พึ่งสุดท้ายในเวลาที่อีฟบาดเจ็บและโตหายตัวไปเช่นนี้
เมื่อ ถึงโรงพยาบาลไคโทรถามหมายเลขห้องผู้ป่วยจากโจแล้วเดินตามไปยังห้องๆ นั้น ระหว่างทางเด็กหนุ่มเดินไปสำรวจบริเวณห้องดับจิตที่พบกับวิญญาณพี่ยามเมื่อ คราวก่อนหากแต่วิญญาณของเขาไม่ได้ยู่ที่นั่น ร่างของพี่ยามคงถูกย้ายไปงานศพหรืออาจจะเผาไปแล้วก็เป็นได้ เมื่อหมดสิทธิ์จะพูดคุยเด็กหนุ่มจึงถอนใจเดินต่อไปยังห้องพักผู้ป่วยของอีฟ
แอด! ไคดันประตูเข้ามาในห้องพบอีฟนอนหลับอยู่บนเตียงทั้งเนื้อทั้งตัวเต็มไปด้วยผ้าพันแผล บริเวณใบหน้าเธอมีแต่รอยขีดข่วน แผลลักษณะเป็นรอยบาดและมีรอยเย็บอยู่ที่แก้มซ้าย โจกำลังนั่งมองดูอีฟอยู่บนเก้าอี้เฝ้าไข้ด้วยแววตาเศร้าสร้อย พร้อมๆ กับแทงค์และโซเฟียที่ยืนดูอาการเธออยู่ไม่ห่างจากปลายเตียง มีตะกร้าเยี่ยมผู้ป่วยวางไว้ข้างเตียงสองสามใบ เต็มไปด้วยผลไม้และเครื่องดื่มหากแต่มันยังไม่ได้ถูกนำออกมาเลยสักอย่าง พวกเขาคงรอเธอตื่นขึ้นมารับประทาน
“พี่โจครับอาการพี่อีฟ” ไคชะงักอยู่เล็กน้อยก่อนจะถามต่อ เขารู้สึกเป็นห่วงจิตใจของโจว่าจะเอื้อนเอ่ยไหวหรือไม่ เพราะจากเท่าที่เห็นแล้วโจดูเป็นห่วงเธอมากเอาการ “อาการของพี่อีฟเป็นอย่างไรบ้างครับ”
รุ่นพี่หนุ่มหันมายิ้ม “หมอบอกว่าดีขึ้นเป็นลำดับ เหลือแค่ต้องรอให้ได้สติน่ะ”
“โธ่อะไรกัน ผมก็เห็นทำหน้าทำตาซะเหมือนว่าพี่เขาอาการหนักขึ้นเสียอีก พลอยใจหายไปด้วยเลย” ไคถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อรู้ว่าเธอดีขึ้น
“ก็อาการหนักนั่นแหละ แค่ดีขึ้นเท่านั้นก็ฉันเป็นห่วงนี่” โจทำหน้ามุ่ยใส่เด็กหนุ่มก่อนจะหันกลับไปดูเพื่อนสาว
(‘พี่โจเนี่ยชอบพี่อีฟสินะ’) เด็กหนุ่มแอบยิ้มมุมปากในขณะคิดเรื่องชวนขำในใจ เขาลูบหัวแทงค์และโซเฟียเล็กน้อยแล้วเดินเข้าไปหารุ่นพี่ “พี่โจครับผมไปสืบดูแล้วเรื่องของพี่โตน่ะ”
“ฮะ! ฉันเพิ่งโทรไปบอกข่าวนายเมื่อเช้านี้เองนะ” โจมีท่าทางสะดุ้งดวงตาเบิกโพลงอย่างตกอกตกใจ “นายนี่คิดไวทำไวแฮะ” เขาตั้งสติก่อนจะกลับมาปั้นหน้าสุขุม “แล้วได้ความว่าไง”
“ผมคิดว่าน่าจะมีคนพาตัวไปครับ และคนๆ นั้นต้องเป็นผู้ชายตัวใหญ่พอที่จะอุ้มพี่โตได้” ไคเล่าให้ฟังด้วยใบหน้าเคร่งเครียดเขาขมวดคิ้วแล้วกัดเล็บนิ้วโป้งทำท่าคิดบางอย่างเหมือนนักสืบ “แล้วก็” เขาพูดต่อ “ชมรมในตอนนี้กำลังถูกเล่นงาน พี่โตกับพี่อีฟก็เป็นแบบนี้ไปแล้วที่ต้องระวังตัวคงมีแต่ผมกับพี่และเด็กๆ อีกสองคน” ไคหันไปมองดูแทงค์และโซเฟียซึ่งพูดคุยกันอยู่ “ในระหว่างที่เป็นแบบนี้พวกเราควรหาทางรับมือไว้นะครับ เพราะเจ้าตัวการนั่นอาจเป็นหมอผีที่มีฝีมือมากกว่าหรือเท่ากับเอธรเลยทีเดียว”
“อุ้มพี่โตได้เหรอ” ฮุบ! โจเก็บอาการหัวเราะไว้จนแก้มป่อง “คงต้องใช้กำลังมากเลยล่ะ พี่โตน้ำหนักตัวใช่ย่อยนะ แปดสิบกิโลเห็นจะได้ เห็นแบบนี้พี่เขาก็เล่นกล้ามนะไค” แล้วเขาก็เปลี่ยนมามองที่ไคด้วยแววตาสุขุม คำพูดดูมีน้ำหนักมากขึ้น “ส่วนเรื่องที่พวกเราสี่คนอาจถูกเล่นงานนั้นน่ะ ฉันคิดว่าตอนนี้มันคงยังไม่ลงมือหรอก โรงเรียนก็ปิดอยู่แถมไม่มีเหตุผลอะไรที่มันจะทำร้ายเด็กๆ อย่างแทงค์กับโซเฟียด้วย เรื่องเคืองแค้นนั้นพวกเราก็ไม่เคยไปทำไว้กับใครนี่จริงมั้ย และถ้าเป็นอย่างนายว่าจริงๆ คนที่น่าเป็นห่วงคือยัยนี่ต่างหาก” เขาหันไปมองดูอีฟซึ่งหลับอยู่ “ถ้าเธอหลับอยู่แบบนี้โอกาสเล่นงานก็ง่าย”
“จริงอย่างพี่ว่านะครับ แต่ถึงอย่างนั้นผมกับพวกพี่ก็เจอมาแล้วนี่ครับ ตอนที่อยู่ในห้องชมรมแล้วควันดำนั่นโผล่ออกมา” ไคมองโจตาเขม็ง “รวมถึงรูปภาพนั่นด้วย และยันต์ผีผ่านอีก”
“จริงของนาย” โจกอดอกไขว้ขาพิงพนักเก้าอี้ “มันจ้องทำร้ายเรา อย่างคราวนี้ก็เรื่องที่โรงเรียนด้วย เรื่องยันต์อะไรนั่นฉันก็พอรู้นะถึงจะไม่มากแต่ก็รู้ว่ามันนำลางร้ายมาสู่โรงเรียนใช่มั้ยล่ะ รึว่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาจะเป็นผลจากยันต์นั่นด้วยก็ไม่เชิง”
“พี่หมายความว่ายันต์นั่นทำให้เกิดเรื่องทั้งหมดหรือครับ”
“ก็อาจจะนะ” เขาหันมาสบตากับไค “ฉันคิดว่าถ้ามันเป็นอย่างนี้ล่ะ ยันต์นั่นเหมือนสมองกลที่ทำงานโดยลากเรื่องราวต่างๆ ให้เข้ามาในโรงเรียนเรา ทั้งเรื่องที่พี่ธันไปเข้าร่างของพีช เรื่องที่พี่ยามถูกของเข้า เรื่องที่นายโดนผีผลักตกบันได ห้องพระเคลื่อนที่ ถ้าเรื่องทั้งหมดยันต์นั่นกำหนดไว้ล่ะ”
ไคสะดุ้งเขามองโจตาไม่กระพริบเหงื่อไหลพราก “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรีบกำจัดยันต์โดยเร็วก่อนที่เรื่องราวจะบานปลายนะสิครับ”
โจส่ายหน้าช้าๆ “จริงอยู่เราควรจะกำจัดยันต์นั่นโดยเร็ว แต่ก่อนหน้านั้นเราควรจับเจ้าตัวการให้ได้เสียก่อน เพราะต่อให้เราแกะยันต์ออกไป มันก็จะเอาไปแปะใหม่อยู่ดีนั่นแหละ”
ไคชะงักทันทีเมื่อได้ฟังประโยคนั้นจากรุ่นพี่ เขาไม่ทันได้นึกถึงข้อนั้นที่ว่าแม้จะพยายามทำลายยันต์ไปสักกี่หนหากไม่ กำจัดคนแปะก็เปล่าประโยชน์ (‘แบบนี้ที่เรากับเอธรและพี่โตช่วยกันทำคราวก่อนก็ไร้ค่านะสิ’) ใช่แล้วหากเอาแต่ตักน้ำออกจากเรือโดยไม่ยอมอุดรูรั่ว สุดท้ายแล้วน้ำก็จะทะลักเข้ามาจนกระทั่งเรือจมอยู่ดี เด็กหนุ่มลืมคิดถึงข้อนี้ไป
โจกล่าวต่อ “แต่ตอนนี้เราควรรอให้เปิดโรงเรียนก่อนแล้วค่อยลงมือกันดีกว่า เพราะตำรวจเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยหากเราทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าจนพลอยติดร่างแหในคดีเมื่อคืนจะลำบากเอา”
“อ้ะ! พี่อีฟตื่นแล้ว” เสียงของแทงค์ดังขึ้นระหว่างการสนทนาของทั้งคู่
ไคและโจหันไปมองพร้อมกันในทันที เธอลืมตาขึ้นกรอกไปมา มองไปรอบห้องแล้วหยุดมองมาทางไค “นี่ฉันเป็นอะไรไป” เธอเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอันแหบแห้งและเบาบาง “โอ้ย!” เธอขมวดคิ้วร้องด้วยความเจ็บปวดหลังพยายามขยับตัว
“เธอบาดเจ็บอยู่อย่าเพิ่งขยับสิ” โจเอ่ยเตือนอีฟด้วยเสียงสั่นๆ แล้วหันไปทางไค “เดี๋ยวพี่ไปตามหมอนะ” เขาลุกพรวดขึ้นแล้วรีบวิ่งออกไปด้วยความดีใจ
“ไค แทงค์ โซเฟีย” อีฟกวาดสายตาดูรุ่นน้องทีละคน “อย่างนี้นี่เองฉันถูกเด็กคนนั้น” เธอพูดขึ้นพลางมองไปทางหน้าต่างห้อง ก่อนหันกลับมามองไคอีกครั้งด้วยแววตาตื่นตกใจเมื่อนึกบางอย่างได้ “แล้วพี่ธันล่ะ แย่แล้วเด็กคนนั้นน่ะ” อีฟหยุดชะงักเมื่อเด็กหนุ่มยิ้มแล้วส่ายหน้าเบาๆ “หมายความว่ายังไง”
ไคนั่งลงบนเก้าอี้ที่โจเพิ่งลุกออกไป มองดูแทงค์และโซเฟียซึ่งกำลังดีใจกระโดดโลดเต้นกันอยู่ ก่อนจะหันมาคุยกับอีฟ “สายไปแล้วล่ะครับ แต่ก็ไม่แย่ทั้งหมด” เด็กหนุ่มสบตากับอีฟ ก่อนจะเอ่ยข้อความสั้นๆ ที่เก็บไว้ในใจมานาน “ผมไม่รู้เรื่องอะไรเลย รู้ช้าไปมากจนหยุดทุกอย่างไว้ไม่ทัน ผมขอโทษครับพี่อีฟ”
รุ่นพี่สาวเมื่อได้สบตาและอ่านใจเด็กหนุ่มก็ได้รู้ถึงเรื่องราวทั้งหมด เธอมองขึ้นไปบนเพดานขณะนึกคำพูดที่จะใช้เอื้อนเอ่ยในสถานการณ์แบบนี้ “คงจะรู้สึกผิดสินะ แต่ว่าเรื่องทั้งหมดมันไม่ได้เป็นเพราะเธอซักหน่อย ทุกๆ อย่างจะต้องผ่านไปไม่ว่าดีหรือไม่ดีก็ตาม พี่ว่าไคน่ะพยายามมากเกินไปด้วยซ้ำนะ เธอคิดมากจนเกินไป บางทีเรื่องทุกอย่างมันอาจจะง่ายกว่าที่เธอคิดก็ได้”
“ง่ายกว่าที่คิดเหรอครับ” เด็กหนุ่มเอียงคอถามอย่างฉงนใจ
“ถ้าจะให้เทียบก็นั่นไง เหมือนกับเวลาทำข้อสอบแล้วคิดว่าโดนโจทย์หลอก ทั้งๆ ที่มันไม่ได้หลอกเลยทำให้ไปตอบผิดซะอย่างนั้นแหละ” เธอยิ้มขณะหันกลับมามองเด็กหนุ่ม ก่อนจะหลุดหัวเราะ ฮุๆ เบาๆ อย่างน่ารัก
“ฮ่าฮ่าฮ่า เปรียบเทียบได้ตลกมากครับ แต่ก็จริงนะพี่ ผมอาจจะคิดมากเกินไปก็ได้” ไคหัวเราะให้กับคำสอนแบบเข้าใจง่ายของรุ่นพี่ แล้วจึงเปลี่ยนมาทำใบหน้าจริงจัง ขมึงทึงอีกครั้ง “เกี่ยวกับเรื่องที่พี่โตหายตัวไปน่ะครับ พี่อีฟเคยเป็นนักข่าวโรงเรียนสินะครับพอจะสงสัยใครบ้างมั้ย”
อีฟยิ้มแล้วตอบกลับไปอย่างเรียบง่าย “ไม่มีหรอกคนที่ฉันสงสัยน่ะ” เธอมองไคซึ่งมีท่าทีจริงจังแล้วพูดต่อ “ปกติถ้าพี่โตจะหายตัวไป เขาก็จะหายไปด้วยตัวของเขาเองมาโดยตลอด ไม่มีใครที่ไหนสนใจจะพาตัวเขาไปหรอก”
“พูดเหมือนพี่เขาเคยหายตัวไปมาก่อนเลยนะครับ” ไคโน้มตัวเข้ามาใกล้อีฟ ถามอย่างตรงไปตรงมาอีกครั้ง
“อื้มเคยสิ ฮุๆ” อีฟเอ่ยเสร็จก็หัวเราะเบาๆ ออกมา “ผีลักน่ะ”
“ฮะ!?”
“เมื่อปีก่อนช่วงที่พี่ลาออกจากชมรมหนังสือพิมพ์แล้วเพิ่งเข้าชมรมนี้ใหม่ๆ พี่เขาเคยไปสืบเรื่องผีลักน่ะ เป็นเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณเด็กนักเรียนคนหนึ่งที่ตายไปแล้วโหยหาอยากได้เพื่อนไปอยู่ด้วย เลยเริ่มมีการลักพาตัวเพื่อนร่วมห้องคนอื่นๆ ไปทีละคน” อีฟอธิบายพลางนึกถึงเรื่องวันเก่าๆ “สมัยนั้นโจยังไม่เข้าชมรมหรอก มีพี่ แทงค์ พี่ธัน แล้วก็พี่โตอยู่กันสี่คนส่วนเด็กผู้ชายอีกคนก็เหมือนจะออกจากชมรมไปแล้ว ระส่ำระส่ายมากเลยแหละเพราะต้องตามหาสมาชิกเพิ่ม แถมประธานอย่างเขาก็ดันมาหายตัวไปซะอีก”
“พี่เขานี่สงสัยจะชอบเรื่องแบบนี้เข้าสายเลือดจริงๆ เลยแฮะ” ไคพึมพำอย่างเหนื่อยหน่ายใจ
“ความจริงแล้วสาเหตุที่พี่เขาไปสืบเรื่องนี้ก็เพราะเพื่อนของเขานั่นแหละ” อีฟเริ่มเล่าต่อ ในขณะที่ไคเริ่มฟังอย่างสนอกสนใจจ้องเธอตาไม่กระพริบ “รู้สึกจะชื่อพี่บิวอะไรสักอย่าง”
“พี่เขาทำไมหรือครับ” ตอนนี้เด็กหนุ่มสนใจแต่เพียงเรื่องที่รุ่นพี่กำลังจะเล่าต่อไป โดยวางเรื่องการหายตัวไปของโตลงก่อน
“เรื่องมันมีอยู่ว่าน้องชายของพี่บิวเขาหายตัวไปน่ะ พี่บิวที่สงสัยก็เลยตามสืบด้วยตนเอง เขาเชื่อว่าเป็นการลักพาตัวมากกว่าเรื่องผีสาง ตำรวจก็พลอยวุ่นกันน่าดูเลยช่วงนั้น นี่ขอน้ำหน่อยสิ” อีฟหยุดเล่ากลางคันพลางเหลือบมองแก้วน้ำข้างตะกร้าเยี่ยมผู้ป่วย
เด็กหนุ่มรินน้ำใส่แก้วแล้วจุ่มหลอดลงยื่นให้อีฟที่ไม่สามารถขยับได้ดูด “แล้วเรื่องเป็นอย่างไรต่อหรือครับ” เธอคายหลอดออกจากปากหลังดื่มไปสามสี่อึก ไคนำแก้วไปวางคืนที่เดิมหันมาตั้งใจฟัง
“หลังจากนั้นไม่นานพี่บิวก็หายตัวไปอีกคน” อีฟขมวดคิ้วมองไปนอกหน้าต่าง “พี่โตเขาสนิทกับพี่บิวมากพอๆ กับพี่ธันเลยล่ะ พอรู้สึกแปลกใจเขาก็เลยลงมือสืบต่อด้วยตนเอง แล้วสั่งห้ามไม่ให้พวกพี่ยุ่งอีกด้วย” เธอเว้นช่วงการเล่าก่อนจะหันกลับมามองไคแล้วเล่าต่อ “หลังจากนั้นอีกสองสามวันพวกเราก็ไม่ได้ข่าวคราวของพี่โตอีกเลย ราวกับว่าเขาโดนลักพาตัวไป ไม่อยู่ทั้งที่บ้าน โรงเรียน ชมรม พวกเราติดต่อก็ไม่ได้”
ไครู้สึกสะกิดใจ โน้มตัวเข้าถามอีฟ “เอ๋ ถ้าอย่างนั้นแล้วพี่เขากลับมาได้อย่างไรกันครับ”
“ก็หายไปอยู่สัปดาห์หนึ่งล่ะนะ จู่ๆ พี่เขาก็กลับมาด้วยสีหน้าที่ดูเศร้ามาก เขาพร่ำพูดแต่ว่าตัวเองไม่สามารถพาเพื่อนและเด็กคนอื่นๆ กลับมาได้ ร้องห่มร้องไห้อยู่หลายวันจนพี่กับแทงค์ต้องช่วยกันปลอบเลยแหละ”
“ใช่ครับๆ ผมนี่ไม่เคยเห็นพี่โตเป็นแบบนั้นมาก่อนเลย” แทงค์เสริมขึ้นขณะที่ย้ายมานั่งข้างเตียงอีฟฝั่งตรงข้ามกับไค โดยมีโซเฟียนั่งอยู่ข้างๆ
ไคดูประหลาดใจเล็กน้อย เขาไม่รู้ตัวเลยว่าเด็กทั้งสองคนแอบย้ายมาร่วมนั่งฟังด้วยตั้งแต่เมื่อไหร่ “ถ้าอย่างนั้นพี่บิวกับเด็กคนอื่นๆ ก็”
“ไม่กลับมาอีกเลย” เธอเอ่ยขึ้นด้วยแววตาโศกเศร้า รอยยิ้มนั้นหายไปจากมุมปาก “หลังจากนั้นมาผีลักก็หายไปพร้อมกับข่าวลือนั้นที่ซาลงตามกาลเวลา กลายเป็นว่าถูกลักพาตัวไปค้ามนุษย์เอยอะไรเอยเสียแทน” อีฟกรอกตาไปมองแทงค์กับโซเฟียแล้วกลับมามองไคอีกครั้ง “พี่โตไม่ยอมเล่าอะไรให้ฟังเลยสักอย่าง”
“แล้วพี่ไม่อ่านใจเขาล่ะครับ!” ไคเกาศีรษะอย่างแรงแสดงออกว่าเขาอยากรู้มากแค่ไหน
“พี่น่ะบางครั้งก็มีคนที่ไม่อยากอ่านใจโดยไม่จำเป็นอยู่ล่ะนะ” เธอถอนหายใจดัง เฮ้อ หนึ่งครั้งก่อนจะพูดต่อ “หมอนั่นน่ะเป็นคนเข้าใจยากที่พูดอะไรก็ตรงกับใจเสมอ เรื่องไหนที่เขาไม่พูดก็คงมีแต่เรื่องที่ไม่อยากเล่านั่นแหละ พี่ไม่อยากก้าวก่ายสักเท่าไหร่”
“หรือว่าพี่อีฟ...” ไคชะงักมองหน้าเธออย่างจริงจังจนเหงื่อไหลพราก ดวงตาสั่นไหว หัวใจเต้นระรัว “จะชอบพี่โต”
“ไม่มีทางหรอกย่ะ!!” เธอตอบปฏิเสธอย่างรวดเร็ว เผลอยกมือขึ้นปัดอย่างฉับไวจนร้อง จ๊าก! ก่อนจะเอามือลงทั้งน้ำตา “โอ้ยเจ็บ! คนพันธุ์นั้นขืนอยู่ด้วยกันฉันก็เป็นโรคประสาทพอดี”
“น..นั่นสินะครับ ฮุๆ” ไคยิ้มหัวเราะเบาๆ (‘ปฏิเสธไวจริงแฮะ’)
ในไม่กี่วินาทีต่อมาเสียงเปิดประตู แอด! ดังขึ้นตามมาด้วยเสียงโจที่ลุกลี้ลุกลน “คุณหมอครับเร็วๆ เข้าเถอะ” โจเดินนำคุณหมอคนเดียวกับที่มาบอกการของอีฟให้ไคฟังเมื่อคืน พร้อมกับนางพยาบาลอีกคนเข้ามาในห้อง
“หมอขอตรวจดูอาการหน่อยนะครับ” คุณหมอพูดขึ้นขณะเดินเข้ามาหาเธอทางฝั่งไค
“ค่ะ!” อีฟตอบคุณหมอเบาๆ ด้วยเสียงอันแหบแห้ง
“ความจริงแล้วญาติกดปุ่มนี้แจ้งเราก็ได้นะคะถ้าผู้ป่วยได้สติแล้ว” นางพยาบาลชี้นิ้วไปยังปุ่มที่มีลักษณะเหมือนออดเหนือเตียงผู้ป่วยขณะอธิบายให้โจฟัง “ไม่ต้องวิ่งไปตามถึงเคาน์เตอร์พยาบาลก็ได้ค่ะ”
โจหยุดชะงักขณะปาดเหงื่อ เขาใบหน้าแดงก่ำไปด้วยความเหนื่อยและเขินอาย “ผ..ผมลืมตัวน่ะครับ ฮ่าฮ่าฮ่า” เสียงหัวเราะดังไปทั่วทั้งห้องปัดเป่าบรรยากาศตึงเครียดเมื่อก่อนหน้านี้ให้หายไปเพียงในเวลาสั้นๆ
คุณหมอเมื่อดูอาการของอีฟเสร็จแล้ว จึงเล่าให้ฟังว่าเธอต้องการเวลาพักฟื้นอีกสักหน่อยซึ่งน่าจะไม่เกินหนึ่งหรือสองสัปดาห์ก็จะออกจากโรงพยาบาลได้ นับว่าเป็นข่าวดีที่เธอปลอดภัย ไคและสมาชิกคนอื่นจึงโล่งใจมากขึ้นก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้าน โดยที่โจยังคงขอเฝ้าอีฟต่อเพื่อความไม่ประมาทหากเกิดเหตุอะไรขึ้น
ก่อนที่ไคจะก้าวออกจากห้องตามแทงค์และโซเฟียไปอีฟเอ่ยขึ้น “นี่ไคพี่วานหน่อยสิ”
“ครับ” เด็กหนุ่มรับปากขณะหันกลับมาถามถึงเรื่องที่รุ่นพี่จะไหว้วาน “มีเรื่องอะไรให้รับใช้หรือครับ”
“พี่มีสถานที่หนึ่งที่ต้องไปทุกๆ วันน่ะ แต่สภาพร่างกายของพี่ในตอนนี้คงไปไม่ไหว เธอช่วยเอาตะกร้านี่ไปใบหนึ่งทีสิ” อีฟเริ่มเล่าเรื่องที่จะไหว้วานเด็กหนุ่มต่อไป “ที่โรงพยาบาลประจำเมืองน่ะ ที่นั่นมีคนนึงๆ ที่พี่อยากให้เธอไปเยี่ยมอยู่”
.......................................................................................................................................................................................
หลังจากไครับตะกร้าแล้ว เขาจึงเดินทางนั่งรถเข้าไปในเมือง มุ่งไปยังโรงพยาบาลที่เธอพูดถึง โรงพยาบาลขนาดใหญ่ซึ่งมีผู้คนเข้าออกอยู่ตลอดเวลา ตึกต่างๆ เต็มไปหมดจนเด็กหนุ่มไม่รู้จะเริ่มค้นหาจากที่ไหน เขาหยิบเศษกระดาษที่โจเขียนชื่อโรงพยาบาล ชื่อตึก และเลขที่ห้องกับชื่อผู้ป่วยเอาไว้ตามที่อีฟเล่าขึ้นมาอ่าน อีฟเล่าให้ฟังว่าเป็นเพื่อนสมัยเด็กที่โตมาด้วยกันจนกระทั่งเธอล้มไปเมื่อ ต้นปีก่อน อีฟมีท่าทางเป็นกังวลเรื่องของเธอคนนี้อย่างมากจนไคไม่อาจปฏิเสธได้ลงแต่ อย่างใด เขาเงยหน้าขึ้นมองชื่อตึกต่างๆ ด้วยแววตาที่มุ่งมั่น
(‘ถ้าพี่อีฟบอกว่ามาเยี่ยมทุกวันแสดงว่าคนๆ นี้คงสำคัญกับพี่เขามากจริงๆ ดีล่ะฉันจะต้องเอาตะกร้าไปเยี่ยมให้จงได้’) ไคเริ่มจากมุ่งหาตึก แล้วเข้าไปถามทางจากเคาน์เตอร์พยาบาลจนกระทั่งค้นหาห้องเจอในที่สุด เขากำตะกร้าในมือไว้แน่นด้วยความรู้สึกที่อยากช่วยรุ่นพี่และลดความรู้สึกผิดที่ปกป้องเธอไว้ไม่ได้
แอด! เสียงประตูเปิดขึ้นช้าๆ ภายในห้องปิดไฟมืดสนิทมีเพียงแสงสว่างลอดผ่านผ้าม่านมาทางหน้าต่าง มีแจกันดอกไม้วางอยู่บนโต๊ะริมหน้าต่าง ดอกไม้ดูสดใหม่เหมือนถูกผลัดเปลี่ยนอยู่ทุกวัน ติ๊ดๆ! เสียงเครื่องวัดชีพจรดังอยู่ต่อเนื่อง มีร่างหญิงสาวสวมเครื่องช่วยหายใจพร้อมกับสายท่อต่างๆ มากมาย ทั้งสายน้ำเกลือ ท่ออาหาร ท่อปัสสาวะเต็มไปหมด เธอนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าอมยิ้ม ไคเดินเข้ามาวางตะกร้าไว้ด้านข้างเตียงผู้ป่วย มองดูใบหน้าของหญิงสาวแล้วจึงสังเกตได้ถึงความสวยงาม เธอมีใบหน้ากลม จมูกคมเป็นสัน ริมฝีปากสีชมพูนวล ผิวขาวผ่องราวกับเป็นนักแสดงดังในละครโทรทัศน์
“ป่วยเป็นอะไรกันนะ” เด็กหนุ่มนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงมองดูร่างหญิงสาวซึ่งนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนใดๆ ราวกับถูกสต๊าฟไว้ ชวนให้สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ
เสียงของฟ้าดังขึ้นภายในหัวเด็กหนุ่ม “รู้สึกเหมือนตอนที่หนูป่วยเลยค่ะ สายอะไรไม่รู้เต็มไปหมด”
“นี่เธอเห็นเงียบไปตั้งแต่เมื่อคืน” ไคพูดกับวิญญาณเด็กหญิงเบาๆ ขณะมองดูดวงหน้าของเด็กสาวผู้หลับใหล “อย่างกับเธอคนนี้เป็นเจ้าหญิงนิทราแหนะ” เขามองดูรอบๆ เตียง มีแต่แก้วน้ำที่ไม่มีร่องรอยการใช้ ขวดน้ำวางไว้ยังไม่ถูกเปิด ไม่มีตะกร้าเยี่ยมผู้ป่วยเลยสักใบนอกเหนือจากใบที่ไคถือมา
“เมื่อคืนหนูวิ่งเล่นอยู่ในโรงพยาบาลค่ะพอดีคิดถึง แล้วก็เพิ่งจะเข้าสิงพี่ชายตอนออกจากโรงพยาบาลเมื่อไม่นานมานี้เอง” ฟ้าอธิบายให้เด็กหนุ่มฟัง
ไคขมวดคิ้วเสียงเข้มทำท่าทางไม่พอใจเล็กน้อย “เธอนี่ชักจะเข้าออกร่างฉันตามใจชอบขึ้นทุกทีนะ”
“แหะๆ” วิญญาณเด็กหญิงไม่เถียงแต่อย่างใด
“เอาล่ะกลับดีกว่า พี่อีฟวานแค่ให้เอาตะกร้ามาเยี่ยมนี่นะ” ไคลุกขึ้นจากเก้าอี้ก่อนจะมองดูหน้าเธออีกครั้งแล้วเดินออกนอกประตูไป เขารู้ว่าตัวเองเป็นคนนอกและอีกอย่างหากเธอตื่นขึ้นมาได้จริงๆ ก็คงจะต้องเสียเวลาอธิบายอยู่นานเลยทีเดียว
จบตอน
โปรดติดตามตอนต่อไป
ปล.รักนะคนอ่าน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.6 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ