ชมรมวิจัยเรื่องลึกลับ (หลังเลิกเรียน)

6.8

เขียนโดย shotaro

วันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 เวลา 15.35 น.

  32 ตอน
  8 วิจารณ์
  36.94K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 15.39 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

28) คาบเรียนที่ 15 : การสนทนาบนโซฟา

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

คาบเรียนที่ 15 : การสนทนาบนโซฟา (ทุติยบท)

            คืนที่สองนับตั้งแต่โรงเรียนปิด ณ บ้านใหญ่หลังหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองมากนัก มีการสนทนาของชายหนุ่มวัยทำงานกับชายวัยกลางคนเกิดขึ้นภายในห้องโถงรับแขก ซึ่งตกแต่งและประดับไปด้วยของมีรสนิยมราคาแพงตั้งแต่พรมขนสัตว์ ไปจนถึงโคมไฟมีระดับ

ชายหนุ่มเอ่ยด้วยท่าทีรีบร้อน เขาใช้มือทั้งสองข้างตบลงบนโต๊ะชะโงกหน้าเข้าหาอีกฝ่ายที่นั่งอยู่บนโซฟาฝั่งตรงข้าม สายตาก้มมองเอกสารปึกหนึ่งบนโต๊ะแล้วเงยขึ้นมาสบตา “ท่านผู้อำนวยการครับ กรุณาอนุมัติด้วยเถอะครับ” เขาก้มศีรษะเป็นเชิงขอร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ชายวัยกลางคนตอบอย่างลำบากใจ เขากอดอกก้มหน้าลงขมวดคิ้วในขณะที่นำขาขึ้นมาไขว่ห้าง “ผมว่ามันเสี่ยงจนเกินไปที่เราจะทำแบบนี้” เขาเงยขึ้นมาสบตาชายหนุ่มแล้วถอนหายใจ “ผมพูดกับคุณเป็นรอบที่สิบแล้วนะครับ ครูก้าน”

“จริงอยู่ครับที่มันเสี่ยงแต่ท่านก็น่าจะรู้นี่ครับ โรงเรียนของเรามันธรรมดาสักที่ไหน หากปล่อยไว้มันก็จะมีแต่ความเสี่ยงมากขึ้นเรื่อยๆ จนสักวันท่านอาจจะต้องสั่งปิดโรงเรียนถาวรเลยก็ได้นะครับ” ชายหนุ่มเหงื่อตกหยดแล้วหยดเล่า ร่างของเขาเต็มไปด้วยความเกร็ง จ้องตาอีกฝ่ายไม่กะพริบ “ผมเชื่อมั่นว่านี่เป็นทางออกเดียวที่ดีที่สุดและพวกเขาก็เคยสร้างผลงานมาก่อนอย่างลับๆ แล้วด้วย”

“พวกเขายังเป็นแค่เด็กนะคุณ แล้วยังเป็นเด็กของโรงเรียนเราด้วย คุณจะรับผิดชอบไหวได้อย่างไรหากเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา” ผู้อำนวยการตอบแล้วหยิบไวน์ขึ้นมาจิบ “ถูกของคุณที่โรงเรียนของเราไม่ธรรมดาเรื่องนั้นผมรู้ดี แต่จะให้เด็กมาสะสางปัญหาที่แม้แต่ผู้ใหญ่ยังแก้ไม่ได้เนี่ย มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ”

“เรื่องทั้งหมดผมจะขอรับผิดชอบเองครับ” เขาก้มหัวขอร้องซ้ำอีกครั้ง “ขอร้องล่ะครับท่านผู้อำนวยการ เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาทั้งหมดที่อาจเกิดขึ้นในภายหน้า โครงการนี้จำเป็นต้องได้รับการอนุมัติ ไม่ใช่แค่เพื่อโรงเรียนแต่เพื่อนักเรียนนับร้อยนับพันชีวิตในโรงเรียนของเราด้วยนะครับ”

ผู้อำนวยการจ้องเข้าไปในแววตาอันมุ่งมันไม่ยอมท้อถอยของชายหนุ่มแล้วถอนหายใจอีกครั้ง เขาวางแก้วไวน์ลงแล้วใช้มือหยิบปากกาขึ้นมา “เข้าใจล่ะ แต่คุณต้องรับประกันให้ได้นะว่าพวกเขาจะปลอดภัย ไม่เช่นนั้นผมคงจำเป็นต้องไล่คุณออก"

“ครับ!” ครูก้านขานรับด้วยความดีใจ เขาจ้องมองปลายปากกาที่เซ็นลงบนเอกสารเบื้องหน้า ‘ชมรมวิจัยเรื่องลึกลับ อนุมัติโครงการ’

.......................................................................................................................................................................................

             ตะวันสาดแสงสลัวสู่อรุณใหม่ ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องไปโรงเรียนแต่เด็กหนุ่มก็ตื่นขึ้นเหลือบมองนาฬิกาเวลาใกล้หกโมงเช้า เขาประหลาดใจกับการตื่นเร็วในครั้งนี้ นั่นเพราะเขาตื่นด้วยตนเองโดยไม่ต้องพึ่งพานาฬิกาปลุกหรือน้องสาวแต่อย่างใด การที่เขานอนแต่หัวค่ำด้วยความอ่อนเพลียเมื่อคืนวานส่งผลดีต่อเขาในยามรุ่ง เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่าอย่างบอกไม่ถูก

            หลังออกจากห้องเขาเดินลงบันไดพลางเหลือบมองที่ห้องของเด็กหญิง เธอไม่ได้ออกมาจากห้องเลยตั้งแต่เมื่อวาน ข่าวคราวของประธานหนุ่มยังไม่มีอะไรคืบหน้า เด็กหนุ่มเดินตรงมานั่งที่โต๊ะทานข้าว อาหารยังไม่ได้ถูกจัดเตรียมบอกเป็นนัยว่าเขาตื่นก่อนน้องสาวเสียอีก เมื่อมองดูรอบๆ บริเวณบ้านแล้วช่างเป็นเช้าที่เงียบเหงากว่าในทุกวัน เขาได้แต่หวังในใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะกลับมาเป็นปกติโดยเร็ว

            กิ๊ง ก่อง ! เสียงกริ่งดังจากประตูรั้วเด็กหนุ่มจึงลุกเดินออกไปเปิดรับ ทันทีที่ก้าวออกจากบ้านเขามองตรงมายังรั้วพบชายคนหนึ่งในชุดตำรวจยืนรออยู่ ณ ตรงนั้น ในขั้นแรกเด็กหนุ่มตกใจเล็กน้อย แต่เมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้จึงสังเกตได้ว่าเป็นคนรู้จัก

           “ลุงอภัย” ไคเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ปนมากับรอยยิ้มและแววตาที่บ่งบอกถึงความดีใจ

           “เจ้ากริยาใช่มั้ยโตขึ้นเยอะเลยนะ แม่เธออยู่บ้านรึเปล่า” นายตำรวจถามด้วยรอยยิ้มในขณะลูบหัวหลานชาย

           “คุณแม่ไปทำงานครับ นานๆ จะกลับมาสักครั้ง” เด็กหนุ่มตอบคำถามแล้วเปิดประตูรั้ว “เข้ามาข้างในก่อนสิครับ”

           “ลุงแค่จะมาคุยธุระนิดหน่อยน่ะ” เขาเดินตามเด็กหนุ่มเข้ามายังห้องรับแขก ก่อนจะวางก้นลงบนโซฟาหน้าโทรทัศน์ “จำหลานของลุงได้มั้ย หนูมีนาน่ะ”

            เด็กหนุ่มรินน้ำใส่แก้วนำมาให้ก่อนที่นายตำรวจจะรับไว้ แล้วจึงเดินมานั่งลงฝั่งตรงข้ามกับเขา “ลูกของป้าสุดาน่ะเหรอครับ”

           “ใช่ๆ ลูกของน้องสาวแฟนลุงเอง เธอกับหนูมีนาน่ะเคยเล่นด้วยกันตอนเด็กๆ ไม่ใช่เหรอ” นายตำรวจพูดย้ำด้วยรอยยิ้มก่อนจะจิบน้ำในแก้ว

           “ถ้าผมจำไม่ผิดมีนาเขาย้ายไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นไม่ใช่เหรอครับ แถมล่าสุดที่ได้ข่าวก็เมื่อปีก่อนตอนที่เธอไปแข่งกีฬาว่ายน้ำได้เหรียญทอง จากนั้นก็เงียบหายไปเลย” ไคเอ่ยขึ้นอย่างเขินอายเล็กน้อยเพราะการได้คุยกับญาติที่ไม่คุ้นเคยนั้นชวนให้ตื่นเต้นและประหม่า

            นายตำรวจวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะหน้าโซฟา จ้องมองลงไปในแก้วครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับเด็กหนุ่ม “เธอกลับมาแล้วล่ะ แต่ว่าระหว่างที่เธออยู่ญี่ปุ่นพ่อและแม่ของเธอประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิตทั้งคู่” เขากอดอกพิงกับโซฟาก่อนจะถอนหายใจ “พอเธอกลับมาเราจึงรับดูแลต่อ แต่ว่าฉันกับภรรยาก็มีธุระอยู่มากคงไม่มีเวลาดูแล แถมเจ้าตัวเขาก็เหมือนจะเกรงใจไปซะทุกอย่าง ข้าวก็แทบไม่ยอมกิน”

           “ก็เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นนี่นะครับ เป็นผมก็คงทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน” เด็กหนุ่มก้มหน้าลงเกาศีรษะตามเคยชิน

           “แต่พอลุงพูดถึงกริยากับหนูจีน เธอก็ดูจะมีชีวิตชีวาขึ้นนะ” เขามองดูรอบๆ ห้องก่อนจะกลับมามองดูเด็กหนุ่มอีกครั้ง “ลุงกับภรรยาเลยคิดว่าอยากจะฝากหนูมีนาไว้เป็นธุระกับบ้านเธอสักหน่อย คิดว่าน่าจะทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นได้”

           “ผมก็ไม่มีปัญหานะครับ” เด็กหนุ่มตอบตามมารยาทพลางคิดในใจ (‘แต่ยัยนั่นถ้าจำไม่ผิดสมัยเด็กชอบแกล้งเราตลอดเลยนี่นะ’) เหงื่อของเขาไหลไม่หยุดขณะนึกถึงเรื่องเก่าๆ “ถ้ามีนาเขาอยากจะมาจริงๆ ละก็”

“ลุงคุยกับแม่ของเธอทางโทรศัพท์มาก่อนหน้านี้แล้วล่ะ ไหนๆ วันนี้ก็เลย”

แบร่!  “เหวอๆ !” โครม! ไม่ทันที่นายตำรวจจะพูดจบเสียงดังกระทันหันชวนตกใจก็เกิดขึ้นในระยะประชิด พร้อมกับร่างที่โผล่พรวดขึ้นมาจากทางด้านหลังโซฟาของเด็กหนุ่ม พาให้เขาสะดุ้งโหยงออกจากโซฟาสะดุดขาตัวเองล้มหัวทิ่มพื้น

“โอ้ย..ยัยบ้า” เด็กหนุ่มครางขณะยันตัวเองขึ้นแล้วคลำหน้าผากตรงจุดที่กระแทกลงไป

“นายเนี่ยอ่อนหัดไม่เปลี่ยนเลยนะ” หญิงสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกันที่ยืนมือซ้ายกอดอกมือขวาชี้นิ้วอยู่เบื้องหน้าของเด็กหนุ่มคือมีนา เธอตัวสูงกว่าเขานิดหน่อย ภายใต้เรือนร่างอันโค้งเว้าได้รูปนักกีฬาว่ายน้ำ ผิวสีขาวประหนึ่งไม่ต้องแสงแดดมาแสนนาน ดวงตากลมโตเพ่งมองมาทางเด็กหนุ่ม จมูกคมเป็นสันมาพร้อมกับร้อยยิ้มภายใต้ริมฝีปากสีชมพูอ่อน ลักษณะนิสัยที่ค่อนข้างห้าวและแก่นในคราวเดียวกันเหมาะสมกับหน้าตาของเธอ “หืม..หน้าตาดูดีขึ้นนี่ น่าแกล้งชะมัด”

“สุดท้ายก็จะแกล้งกันอยู่ดีไม่ใช่เหรอ” เด็กหนุ่มยังคงลูบคลำหน้าผากที่เจ็บระบมอยู่ขณะตอบอย่างเอือมระอา

 “วันนี้กะจะพามาให้อยู่ด้วยซะเลยน่ะ” นายตำรวจยิ้มขณะหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่มอีกครั้ง “ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วนี่นะ ลุงเองก็มีงานอยู่แถวนี้เหมือนกัน”

“หรือว่าจะเป็น” ไคมองมายังนายตำรวจด้วยความสนใจในสิ่งที่เขาพูดเมื่อครู่

นายตำรวจวางแก้วลง “ก็โรงเรียนของเธอนั่นแหละ ข่าวใหญ่น่าดูเลยหนิ” เขาลุกขึ้นก่อนจะเดินออกจากโซฟา “ถ้าทราบข่าวหรือข้อมูลอะไรที่คิดว่าเป็นประโยชน์ก็บอกลุงด้วยนะ ลุงกลับล่ะจะได้ให้เวลาพวกเธออยู่ด้วยกัน”

“ครับ” ไคขานรับพร้อมกับพานายตำรวจไปส่งถึงหน้าประตูรั้วโดยมีมีนาตามมาด้วยเช่นกัน

“ขอบคุณนะคะคุณลุง” มีนาโบกมืออำลาลุงของเธอก่อนที่เขาจะเดินกลับเข้ารถตำรวจคันใหญ่ไป

หลังจากสิ้นเสียงรถสตาร์ทและขับออกไปแล้วเด็กหนุ่มจึงพาเด็กสาวเข้าไปในบ้านเพื่อจะเริ่มบทสนทนากันต่อไป เมื่อพวกเขากลับเข้าไปนับเป็นเวลาเดียวกับจีนซึ่งแต่งกายเครื่องแบบนักเรียนกำลังวิ่งลงบันไดมาด้วยความเร่งรีบ และเมื่อเธอสังเกตเห็นพี่สาวซึ่งไม่ได้พบกันมานานนั้น ก็เผยยิ้มด้วยความดีใจพร้อมๆ กับดวงตาที่เบิกขึ้นอย่างประหลาดใจ จากนั้นจึงกระโจนออกจากขั้นบันไดโผเข้ากอดมีนาอย่างรวดเร็ว

 มีนาที่เดินเข้ามาในบ้านอยู่ตรงตีนบันไดพร้อมกับเด็กหนุ่มนั้น เมื่อถูกน้องสาวกระโจนเข้ากอดอย่างกะทันหันจึงตั้งท่าจะล้มลง แต่เด็กหนุ่มประคองร่างไว้ทัน เธอหันไปมองหน้าเด็กหนุ่มอย่างงุนงงก่อนจะหันกลับมาพิจารณาน้องสาว

“พี่มีนากลับมาเมื่อไหร่คะ” จีนถามขณะกอดพี่สาวสุดที่รักไว้อย่างแนบแน่น

“ก็สักพักหนึ่งแล้วจ้า ว่าแต่นี่จีนเหรอ ใช่จีนจริงๆ ใช่มั้ย” เธอทำสีหน้าประหลาดใจ หันมองไปมาระหว่างเด็กหนุ่มกับน้องสาว “เธอเปลี่ยนไปมากเลยนะเนี่ย”

ไคมองดูสีหน้าของมีนาแล้วจึงยิ้มกึ่งหัวเราะ “ก็ยัยจีนน่ะสิสมัยเด็กถูกเธอล้อว่าอ้วนตลอด ตั้งแต่เธอไปญี่ปุ่นยัยนี่ก็เลยขยันลดความอ้วนแบบสุดๆ ออกกำลังกายทุกเช้าเย็นแรงต่อยแรงถีบถึงได้เพิ่มขึ้นอีกด้วย” เขาถอนหายใจเมื่อนึกถึงแต่ละช่วงเวลาที่น้องสาวออกหมัดหรือปล่อยลูกถีบใส่ตน

“ก็พี่มีนาชอบล้อหนูนี่นา” เธอคลายอ้อมกอดลงแล้วรวบผมยาวสลวยไปทางด้านหลังเผยใบหน้าที่น่ารักของเธอ ก่อนจะหันไปมองทางไค แล้วเลิกคิ้วทำเหมือนนึกบางอย่างขึ้นได้ “อ้ะ! จริงสิพี่คะ” เธอเหลือบมองไปยังประตูห้องของแอนนาก่อนจะกลับมามองพี่ชาย “วันนี้พี่ต้องทำให้พี่แอนนาออกจากห้องมาทานข้าวให้ได้นะคะ” เธอเผยยิ้มสยองเชิงเป็นการข่มขู่

“ก็จะพยายามนะ” เด็กหนุ่มเกาศีรษะขณะมองไปยังห้องของเด็กสาวด้วยแววตาเศร้าสร้อย

มีนามองหน้าทั้งสองสลับไปมา “เอ่อ..แอนนานี่ใครเหรอ” เธอเอียงศีรษะด้วยความสงสัย

“ผู้อยู่อาศัยน่ะ”“แฟนพี่ยาค่ะ” ทั้งคู่ตอบพร้อมกัน แต่คำตอบนั้นช่างต่างกันโดยสิ้นเชิง

มีนาใช้มือป้องปากขณะมองด้วยแววตาตื่นตกใจ เธอเบิกตาเสียกว้างพร้อมกับปากที่อ้าค้างไว้ “ฮะ! นี่นายมีแฟนแล้วเหรอ”

            ไครีบปฏิเสธทันทีก่อนจะมะเหงกใส่น้องสาวไปทีหนึ่ง “แฟนบ้านเธอสิแค่เพื่อนสนิทมาขออยู่อาศัยเฉยๆ”

            มีนาแอบยิ้มและมองเหล่ๆ อย่างมีเลศนัย “ฮุฮุฮุ ผู้หญิงที่ไหนเขามาขออยู่บ้านผู้ชายทั้งๆ ที่ไม่ใช่แฟนกันบ้างยะ”

            เด็กหนุ่มยิ้มเฝื่อนๆ เหงื่อตกแล้วตกอีก พลางคิดในใจขณะมองไปยังห้องของแอนนา (‘อย่างน้อยก็มีคนหนึ่งล่ะถึงฉันจะเป็นคนชวนมาเองก็เถอะ’)

            จีนก้มมองนาฬิกา “จริงสิต้องรีบแล้ว” เธอรีบวิ่งไปห้องครัวก่อนจะเร่งมือทำอาหารง่ายๆ อย่างรวดเร็วเพราะต้องรีบไปโรงเรียน เธอเริ่มจากปิ้งขนมปัง ทอดไข่ดาว และเวฟแฮมกับไส้กรอกจากในตู้เย็น จัดเป็นชุดอาหารเช้าเล็กๆ สำหรับสี่คน เธอมองหน้าไคขณะวางจานใบที่สี่ลงบนโต๊ะอาหาร เป็นนัยบอกว่าเขาต้องพาแอนนาออกจากห้องมาร่วมโต๊ะให้ได้

            มีนาเดินไปนั่งที่โต๊ะอาหารในระหว่างที่ไคเดินไปเคาะประตูห้องของเด็กสาวซ้ำแล้วซ้ำอีก ทว่าเธอก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะยอมออกมาร่วมโต๊ะเลยสักนิด นอกจากเสียงเคาะประตูดัง ก็อก! ก็อก! ก็อก! แล้วเห็นจะมีก็เพียงแต่ความเงียบเท่านั้น เด็กหนุ่มรู้สึกกลุ้มอกกลุ้มใจ เขารู้ดีว่าหากแอนนาอยู่ห่างจากเขาไปนานนักอายุขัยของเธอจะลดลงเรื่อยๆ ซึ่งอาจก่อให้ถึงแก่ชีวิต ด้วยความเป็นห่วงนั้นเขาจึงมิอาจเมินเฉยต่อเธอได้

            ก็อก! ก็อก! ก็อก! เด็กหนุ่มเคาะประตูซ้ำอีกครั้งก่อนจะเอ่ยขึ้น “แอนนามื้อเช้าเสร็จแล้วนะออกมาทานเถอะ เธอไม่ได้ทานอะไรเลยตั้งแต่เย็นเมื่อวานนะ” เด็กหนุ่มเงี่ยหูรอฟังเสียงตอบกลับที่แสนจะเบาบางจากภายในห้อง

           “เรายังไม่หิวน่ะ” คำตอบเพียงสั้นๆ แต่จากน้ำเสียงสะอื้นนั้นก็ทำให้เด็กหนุ่มทราบได้ถึงความรู้สึกทุกข์ใจเป็นอย่างดี

            เด็กหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเอนหลังพิงข้างประตู “แอนนาคนที่รู้สึกผิดน่ะไม่ได้มีแต่เธอหรอกนะ อีกอย่างเรื่องนี้เธอก็ไม่ใช่ต้นเหตุอะไรสักหน่อย ถ้าเธอรู้สึกผิดฉันเองก็คงรู้สึกผิดไม่น้อยไปกว่าเธอเช่นกัน” เขากัดฟันดังกรอดหนึ่งครั้งก่อนจะพูดต่อ “ฉันก็อยากจะหาคำพูดดีๆ ที่พอจะทำให้เธอออกมาจากห้องล่ะนะ แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกแฮะ เอาเป็นว่าในขณะที่เธอระทมทุกข์อยู่ในห้องของเธอน่ะ ฉันเองก็เอ่อ...” เด็กหนุ่มเกาศีรษะในขณะที่ใบหน้าแดงก่ำ “รู้สึกทุกข์มากๆ แบบว่าไงดีล่ะ เดิมทีเรื่องเมื่อวันก่อนฉันก็ทุกข์มากๆ อยู่แล้วนะ เธอทำแบบนี้ฉันก็จะยิ่งทุกข์ไปอีก” เขาพูดเสียงดังขึ้น “ฟังให้ดีนะ ถ้าเธอไม่อยากให้ฉันบ้าตาย ก็ออกจากห้องระทวยระทมนั่นซะแล้วมาทานข้าวเข้าใจมั้ย!”

            สิ้นประโยคนั้นประตูก็เปิดขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมๆ กับร่างของหญิงสาวที่โผล่พรวดออกมา เธอร้องไห้ขณะมองใบหน้าของเด็กหนุ่มก่อนจะโผเข้าจับไหล่ทั้งสองข้างของเขาเขย่าไปมา “แบบนั้นไม่เอานะ ห้ามตายนะกริยา”

“เธอเนี่ยไม่เข้าใจคำว่าเปรียบเปรยสินะ” เด็กหนุ่มเหงื่อตกพลางถอนหายใจอีกครั้งอย่างเหนื่อยหน่ายใจ ทว่าเมื่อมองท่าทีจริงจังของเด็กสาวเบื้องหน้าแล้วเขาก็หลุดรอยยิ้มที่มุม ปากออกมา (‘ยัยนี่ซื่อชะมัด’)

“เปรียบเปรย?” เด็กสาวเอียงคอสงสัย เลิกคิ้วมองเด็กหนุ่มด้วยแววตาคล้ายลูกแมว

ไคจับแขนของแอนนาออกจากไหล่แล้วลากเดินนำไปที่โต๊ะ “ฉันไม่ตายหรอกน่า แล้วก็พี่โตด้วยฉันเชื่อว่าเขาต้องยังไม่ตายแน่ๆ ที่ฉันเป็นห่วงน่ะเธอต่างหากล่ะ” เขาพูดขึ้นในขณะมองไปข้างหน้าเพราะไม่กล้าสบตาเด็กสาวด้วยความเขินอาย (‘ถ้าเจ้านั่นตั้งใจจะให้พี่โตตายคงไม่ถึงกับต้องพาตัวไปหรอก และนอกจากนี้ถ้าพี่โตตายตัวเราก็ต้องเห็นผีแล้วสิ อย่างน้อยตอนนี้ก็พอสรุปได้ว่าพี่โตอาจจะยังมีชีวิตอยู่ล่ะนะ’) เขาคิดในใจ

“โอ้ว” มีนาโบกมือให้ทั้งสองคนขณะที่พวกเขาเดินมาที่โต๊ะ จีนดูชะงักเล็กน้อยเธอประหลาดใจที่พี่ชายใช้เวลาเพียงไม่นานในการพารุ่นพี่ สาวออกจากห้องซึ่งเธอได้พยายามเรียกตั้งแต่เมื่อวานแล้วก็ยังไม่มีวี่แววใดๆ

“แอนนานี่คือมีนาญาติห่างๆ ของฉัน และในขณะเดียวกันก็เป็นเพื่อนสมัยเด็กด้วย” ไคแนะนำให้ทั้งสองคนรู้จักกันโดยเริ่มจากผายมือไปทางมีนาแล้วแนะนำเธอก่อน

มีนาทำหน้าบูดปากเหมือนอมลูกมะนาวก่อนจะพูดอย่างงอนๆ “ใช้คำว่าห่างๆ เนี่ยโหดร้ายจังนะเจ้าไก่อ่อน”

“ใครไก่อ่อนกันฮะ!” เด็กหนุ่มพูดด้วยท่าทีหงุดหงิดก่อนจะสงบอารมณ์แล้วเริ่มแนะนำแอนนาเป็นลำดับต่อไป “ส่วนเธอคนนี้คือแอนนาเพื่อนฉัน เธออาศัยอยู่กับพวกเราเนื่องจากเหตุผลบางประการ”

“แฟน” มีนาพูดขณะยักคิ้วด้วยท่าทีกวนประสาท แล้วแอบหันไปซุบซิบกับจีน “ดูยังไงก็แฟนเนอะ”

“ใช่ค่ะวันที่พี่เขาพามาบ้านนะ ตัวติดกันอย่างกับแฟนแหนะหนูนี่แอบหึงเลยค่ะ” แม้ทั้งสองจะซุบซิบกันอย่างไร แต่ก็เหมือนตั้งใจให้เด็กหนุ่มได้ยินอยู่ดี

“ก็บอกว่าเพื่อนไงเล่า!” ไคตะโกนเพราะทนกับคำนินทาไม่ไหว แต่อย่างไรเสียก็อดหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอายมิได้

ทั้งสี่คนร่วมโต๊ะรับประทานอาหารเช้ากันในเวลาอันสั้นแต่ก็ทำให้แอนนารู้สึกดีขึ้นบ้าง เธอพบว่าเมื่อได้อยู่กับเพื่อนๆ แล้วความทุกข์ที่เธอมีอยู่จะถูกแบ่งเบาลงไป พร้อมกันนั้นรอยยิ้มปนความสุขก็จะเข้ามาแทน เธอมองดูใบหน้าของเด็กหนุ่มประกอบกับนึกขอบคุณอยู่ในใจ 

ในเวลาต่อมาจีนก็คว้ากระเป๋าออกจากบ้านไปโรงเรียนด้วยท่าทีเร่งรีบ ส่วนมีนานั้นหลังจากคุยกันแล้วจึงสรุปว่าเธอจะได้พักในห้องเดียวกับจีน เธอจึงขนกระเป๋าสัมภาระที่นำมาวางกองไว้อยู่หน้าบ้านเข้ามาข้างใน โดยมีไคและแอนนาช่วยกันขนของขึ้นไปไว้บนห้องและจัดแจงให้เรียบร้อย เนื่องจากห้องของจีนนั้นมีขนาดกว้างพอสมควรประกอบกับสะอาดเรียบร้อยเป็น ระเบียบอยู่แล้ว การจัดวางสัมภาระของมีนาซึ่งมีไม่กี่อย่างจึงเป็นไปด้วยความรวดเร็ว

ภายในลังและกระเป๋าของมีนานั้นส่วนใหญ่จะไม่พ้นข้าวของที่ซื้อจากประเทศญี่ปุ่น เช่น ตุ๊กตาล้มลุกดะรุมะ หน้ากากละครโนะ แมวกวัก รูปปั้นทานูกิ (Shigaraki-yaki No Tanuki) กับเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันต่างๆ และหนังสือจำนวนสองลัง แต่สิ่งหนึ่งที่ไคต้องชะงักเมื่อพบเห็นก็คือ กรอบรูปกรอบหนึ่งที่มีรูปของเขา จีน และมีนาถ่ายร่วมกัน ณ สถานที่แห่งหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นสนามเด็กเล่น โดยที่ในรูปเขาใส่เสื้อยืดสีแดงกางเกงขาสั้นสีน้ำตาลนั่งอยู่บนรั้วไม้ มีนาสวมเสื้อและกระโปรงสีชมพูขาวจับหัวเข่าข้างหนึ่งของเขาแล้วโพสท่าชูสอง นิ้ว ในขณะที่จีนรูปร่างอ้วนสวมชุดเพนกวิ้นซึ่งกำลังเล่นสไลเดอร์อยู่ด้านหลังหัน มายิ้มให้กับกล้อง  ดูจากวันที่แล้วระบุได้ว่าเป็นช่วงเวลา 31 กรกฎาคมเมื่อห้าปีก่อน ภาพๆ นั้นทำให้เขาหวนนึกถึงวันเก่าๆ แต่ก็น่าประหลาดใจนักเพราะเขาจำไม่ได้เลยว่าเคยถ่ายรูปใบนี้

“นี่มีนารูปใบนี้” ไคเดินถือกรอบรูปไปหามีนาที่กำลังจัดวางข้าวของอย่างเป็นระเบียบ

เมื่อเด็กสาวมองดูรูปเธอก็ยิ้มขึ้น “อ๋อ คิดถึงจังเลยน้า” เธอทำท่าทางเหม่อลอยในขณะนึกถึงเรื่องสมัยเด็ก “ถ้าจำไม่ผิดช่วงนั้นนายห้าวน่าดูเลยนี่” เธอพูดก่อนจะแสยะยิ้มอย่างกวนประสาท “แต่ก็เป็นไก่อ่อนอยู่ดี ไม่ผิดกับตอนนี้เลยหึๆ”

(‘ยัยนี่จะกัดเราไปถึงไหนเนี่ย’) ไคยิ้มแหยๆ ต่อท่าทีของมีนาก่อนจะก้มมองดูรูป “เรื่องในสมัยนั้นฉันก็พอจำได้อยู่นะ แต่รูปใบนี้นี่สิฉันจำไม่ได้เลยว่าไปถ่ายไว้ตอนไหน”

“อ๋อก็ตอนนั้นไง” มีนาพูดขึ้น

“ตอนนั้น?” ไคเอียงคอสงสัย

“ตอนที่เอ่อ” เด็กสาวท่าจะพูดแต่ก็หยุดกระทันหันก่อนจะกอดอกทำท่าทางครุ่นคิด “ว่าแต่มัน” เธอขมวดคิ้วแล้วเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเด็กหนุ่ม “ตอนไหนหว่า”

“แล้วเธอจะทำท่าทางเหมือนจำได้ทำไมวะเฮ่ย” ไคเคาะกระโหลกเด็กสาวไปหนึ่งที

มีนาเอามือกุมศีรษะก่อนจะตวัดขาเตะกลางช่วงท้องของเด็กหนุ่มจนล้มลง “เป็นไก่ออนแท้ๆ บังอาจมาเคาะหัวสตรีอันเลอค่างั้นเรอะ”

“อั่ก ยัยสาวพลังช้าง” ไคกุมบริเวณที่โดนเตะเงยหน้าขึ้นมองด้วยแววตาโกรธเกรี้ยวปนกับความรู้สึกจุก

“หืม เดี๋ยวนี้นายกล้าหือฉันเหรอ” แววตาส่อแววเพชฌฆาตจ้องกลับมาที่เด็กหนุ่ม

ในขณะที่มีนากำลังง้างหมัดแอนนาก็วิ่งเขามายืนขวางห้ามไว้ก่อนจะจ้องตาเธอด้วยความรู้สึกจริงจัง “ทะเลาะกันไม่ดีนะคะ” เด็กหนุ่มลุกขึ้นมาลูบหัวเด็กสาวเบาๆ เป็นเชิงว่าไม่เป็นไร

“มีแฟนดีนี่ เห็นแก่แอนนาครั้งนี้ฉันจะปล่อยไปนะ” มีนายิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างผู้มีชัยชนะแล้วหันไปจัดวางของต่อ ส่วนเด็กหนุ่มนั้นยืนจ้องมองรูปอีกสักพักก่อนจะนำไปจัดวางไว้หัวเตียง

หลังจากจัดการข้าวของภายในห้องเสร็จแล้วไคจึงได้ชวนแอนนาและมีนาไปเดินเล่นใน ห้างสรรพสินค้าบริเวณใกล้บ้านด้วยกันซึ่งทั้งสองตกลงไปด้วยดี โดยห้างที่ทั้งสามคนไปนั้นเป็นห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ซึ่งมีชื่อเรียกกันว่า เอ็มอาร์มอลล์ นั่งรถเมล์ออกไปราวสี่ห้าป้ายก็จะถึงบริเวณด้านหน้าของห้างซึ่งมีผู้คนเข้า ออกตลอดเวลา แอนนาดูสนใจกับตัวอักษรเอ็มอาร์สีแดงขนาดใหญ่ที่เด่นตระหง่านบนผนังตึก เธอจ้องมันไม่ละสายตา ก่อนที่ไคจะจูงเธอเดินตามมีนาเข้าไปในห้าง

ทันทีที่ประตูอัตโนมัติเปิดขึ้นลมเย็นก็ปะทะเข้ากับใบหน้าของทั้งสามในขณะที่เดิน เข้ามา แอนนามองซ้ายแลขวาด้วยท่าทางอัศจรรย์ใจราวกับไม่เคยพบเห็นมาก่อน เธอหมุนตัวเดินไปดูทางซ้ายทีขวาทีอย่างสนุกสนานจนเด็กหนุ่มเริ่มอายสายตาของ ผู้คนที่จ้องมองมา  

“แฟนนายนี่ดี๊ด๊าจังเลยนะ” มีนาใช้มือป้องปากซุบซิบกับเด็กหนุ่ม

“ก็บอกว่าไม่ใช่แฟน” ไคพูดแก้ตัวอย่างเอือมระอาก่อนจะหาวิธีอธิบายท่าทางของเธอให้มีนาฟัง “ยัยนี่มาจากที่ห่างไกลน่ะ คงไม่มีห้างอยู่แถวนั้นล่ะมั้ง”

“ที่ห่างไกลเหรอ ต่างจังหวัดสินะ” มีนาใช้มือจับคางขณะครุ่นคิด “แบบนี้เองถึงได้ต้องมาอาศัยบ้านเราอยู่สินะ”

(‘ถึงบอกความจริงไปยัยนี่ก็คงไม่เชื่อนั่นแหละ’) ไคคิดในใจ “เพราะที่บ้านของเธอไม่ค่อยมีเงิน ฉันก็เลยคิดว่าให้มาพักบ้านเราก็ได้ จะได้ประหยัดค่าที่พักไง” เขาพยายามหาคำอธิบายที่สมเหตุสมผลที่สุดที่พอจะคิดได้

“เห นายนี่ใจดีขึ้นเยอะเลยนะ” มีนาศอกใส่เอวเด็กหนุ่มเบาๆ เป็นการแซวเล่น “ทีเมื่อก่อนล่ะใครกวนนิดๆ หน่อยๆ เป็นเหวี่ยงหมัด” เด็กสาวตั้งใจจะแซวต่ออีกสักนิดแต่หลังจากพูดประโยคหลังจบเธอก็สังเกตเห็นสีหน้าของเด็กหนุ่มดูเงียบและซึมลง เธอจึงหยุดแซวแล้วมองเด็กหนุ่มอย่างสงสาร “นี่นายยังไม่ลืมเรื่องนั้นอีกเหรอ”

“อืม” ไคตอบสั้นๆ ก่อนจะฝืนยิ้มลูบหัวมีนา “ฉันไม่เป็นไรหรอก” เขาพูดแล้วเดินนำไปจูงแอนนาออกจากร้านเครื่องเพชรก่อนที่เธอจะหลงใหลความสวยงามของมันไปมากกว่านั้น

มีนาเงียบลงขณะมองเด็กหนุ่มพลางโทษตัวเองที่หลุดปากไปพูดบางเรื่อง “นายนี่เปลี่ยนไปเยอะเลยนะ” เธอพูดกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะเดินตามทั้งสองคนไป

            ทั้งสามเดินเล่น ดูหนัง ซื้อข้าวของ และรับประทานอาหาร กินระยะเวลาไปได้พักใหญ่จนล่วงมาถึงหกโมงเย็น ซึ่งข้าวของทั้งหนังสือและเสื้อผ้านั้นล้นมือเด็กหนุ่มที่อาสาช่วยถือมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดไคจึงต้องย้ำทั้งสองคนว่าในการเดินทางกลับนั้นต้องโดยสารรถเมล์ การที่ซื้อของมาจำนวนเยอะนั้นจะทำให้เดินทางลำบาก ทั้งสามคนจึงตกลงว่าควรจะถึงเวลากลับบ้านสักที

            ในระหว่างนั่งรอรถที่ป้ายอยู่นั้นไคได้หันไปถามกับมีนาถึงสิ่งที่ตนสงสัย “ว่าแต่ซื้อข้าวของมาซะเยอะขนาดนี้เนี่ย เอาเงินมาจากไหนกันนะ” อาจดูเป็นคำถามที่ไร้มารยาทแต่เนื่องจากทั้งสองคนสนิทกันจึงไม่มีการถือตัว แต่อย่างใดนัก และที่เด็กหนุ่มสงสัยนั้นเป็นเพราะ พ่อกับแม่ของเธอก็ได้เสียชีวิตไปแล้ว ส่วนลุงอภัยที่รับเธอมาเลี้ยงนั้นก็ไม่ได้มีเงินเดือนมากมายนัก การที่เธอมีเงินมาซื้อข้าวของแบบนี้ได้นั้นชวนให้เขาอดคิดไม่ได้ว่าเป็นการ ใช้เงินจากมรดก ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นเด็กหนุ่มคงไม่สบายใจสักเท่าไหร่เพราะเขาเห็นว่าเธอควรจะเก็บรักษาไว้เสียมากกว่า

           “หืม อิจฉาเหรอ” เธอเชิดหน้าใส่มองด้วยหางตาแบบหยิ่งๆ

           “ก็แค่สงสัยน่ะ” ไคหลบสายตาหันไปมองถนนเบื้องหน้า

            มีนายิ้มก่อนจะกอดอกหันมองไปในทางเดียวกัน “ก็เป็นเงินที่เก็บไว้จากงานพิเศษ และการแข่งขันที่ญี่ปุ่นน่ะ” เธออธิบายด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ “ที่ญี่ปุ่นน่ะถ้าอยากได้อะไรก็ต้องเก็บเงินซื้อเอง เพราะเงินที่พ่อแม่ส่งไปให้บางครั้งมันก็ไม่พอน่ะนะ”

“จะว่าไปแล้วพักหลังๆ ฉันไม่ได้เห็นข่าวเกี่ยวกับการว่ายน้ำของเธอเลยนี่นะ” เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างสงสัย “เมื่อก่อนเธอบอกว่าอยากนักกีฬาว่ายน้ำระดับโลกไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมหยุดไปล่ะ อ้ะหรือว่าแอบซุ่มซ้อมอยู่” ไคแสยะยิ้มขณะแซวมีนา

ทว่าเธอกลับยิ้มเฝื่อนๆ แล้วตอบกลับมาอย่างเกร็งๆ ด้วยเสียงสั่น “ค..คือเรื่องนั้นน่ะ” เด็กหนุ่มสังเกตเห็นว่าเด็กสาวน้ำตาซึมเล็กน้อยก็ชะงักอย่างประหลาดใจ รอฟังเหตุผลจากปากหญิงสาว “ฉันว่าจะเลิกเป็นนักกีฬาว่ายน้ำแล้วล่ะ” เธอพูดเสร็จก็กัดฟันดังกรอดเสมือนแฝงความรู้สึกเจ็บใจบางอย่าง

“กริยา มีนา” แอนนาเอนตัวเข้ามาท่ามกลางวงสนทนาของทั้งสอง “รถเมล์มาแล้วนะ” เธอกระพริบตาปริบๆ อย่างใสซื่อ ทำให้ทั้งคู่หยุดการสนทนาที่เริ่มจะตึงเครียดลงแล้วขนข้าวของขึ้นรถเมล์อย่างรวดเร็ว

  นี่เป็นเพียงเรื่องราวหนึ่งวันที่แสนจะธรรมดาของเด็กหนุ่ม ซึ่งมันก็ช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วพร้อมๆ กับช่วงเวลาวันใหม่ที่กำลังจะคืบคลานเข้ามาในไม่ช้า เด็กหนุ่มยังคงภาวนาให้เรื่องราวทั้งหมดผ่านไปด้วยดีเฉกเช่นกับหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา และเขายังคงหวังต่อไปว่าสิ่งที่กำลังรอเขาอยู่ในภายหน้าจะไม่โหดร้ายจนเกินไป

 

จบตอน

 โปรดติดตามตอนต่อไป

 

            ปล.รักนะคนอ่าน

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.6 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา