ชมรมวิจัยเรื่องลึกลับ (หลังเลิกเรียน)

6.8

เขียนโดย shotaro

วันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 เวลา 15.35 น.

  32 ตอน
  8 วิจารณ์
  37.22K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 15.39 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

15) คาบเรียนที่8.5: ความจริง 1

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ชมรมวิจัยเรื่องลึกลับ(หลังเลิกเรียน)

  

คาบเรียนที่8.5: ความจริง 1 (บทกริยา2)

  

          “พี่ยาม!” ร่างโปร่งแสงในชุดเครื่องแบบยามโรงเรียนยืนอยู่เบื้องหน้าเด็กหนุ่ม

          เด็กสาวหันมาหาไคด้วยท่าทีสงสัย “มีอะไรเหรอ?” เธอมองไม่เห็นพี่ยามจึงไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มตกใจด้วยเหตุใด

          ไคตั้งสติแล้วตริตรอง (‘จริงสิ โรงพยาบาลที่เก็บรักษาศพของพี่ยามเอาไว้คือที่นี่เองสินะ’)

          คิก! พี่ยามหลุดหัวเราะเล็กน้อย “นี่แกแต่งชุดอะไรน่ะ?” ประโยคคำถามนี้ทำให้ไคหน้าแดงจนต้องก้มหลบด้วยความเขินอาย

          “พอดีผมปลอมตัวหลบนางพยาบาลน่ะครับแหะๆ” ไคเดินไปหาแอนนาที่ยืนงุนงงอยู่ด้านหลังแล้วกระซิบบอกเธอ “ไปเปลี่ยนชุดกันที่ห้องน้ำ” ไม่รอช้าเขาดึงตัวแอนนาไปที่ห้องน้ำชายบริเวณหัวบันไดอย่างรวดเร็ว เด็กสาวรู้สึกโล่งใจที่จะได้กลับไปใส่ชุดเดิมเสียที

          ขณะนี้ดึกมากพอสมควรจึงไม่น่าแปลกนักที่ห้องน้ำจะไม่มีใครใช้บริการอยู่เลยแม้ แต่คนเดียว ห้องน้ำปิดไฟมืด ทั้งสองคนจึงไม่อายนักที่จะแลกชุดในห้องน้ำชายด้วยกัน อย่างไรก็ตามเด็กหนุ่มก็ยังให้เกียรติเธอด้วยการเข้าไปเปลี่ยนในห้องส้วมตาม ลำพัง

          ไคและแอนนาเดินออกมานอกห้องน้ำ เด็กหนุ่มอยู่ในชุดผู้ป่วยเช่นเดิม เขาไม่ต้องกลัวนางพยาบาลมาเห็นเนื่องจากบริเวณนี้แทบจะไม่มีใครเดินผ่านไปมา เขาเดินนำแอนนากลับไปที่จุดเดิมซึ่งพี่ยามก็ยังคงยืนอยู่ตรงนั้นไม่เปลี่ยน แปลง

          หลังจากเงียบมาสักพักเธอก็ได้เอ่ยถามตามประเด็นที่สงสัย“นี่ กริยาตั้งแต่เมื่อตะกี้แล้ว..มันมีอะไรเหรอ”

          “พี่ยามน่ะ! ยืนอยู่ตรงนี้ไงล่ะ!” ไคชี้นิ้วไปทางวิญญาณยามหนุ่ม หลังจากนั้นจึงเริ่มสอบถาม “พี่ยามครับรู้ตัวหรือเปล่าครับ ว่าตัวเองตายไปแล้ว” 

          แอนนาอ้ำอึ้งอยู่พักหนึ่ง เธอทำตัวไม่ถูกเพราะภาพที่เห็นคือไคที่พูดอยู่กับอากาศตัวคนเดียว ถึงเธอจะไม่กลัวพี่ยามก็ตาม แต่ก็ไม่เข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสักเท่าไรนักเห็นทีเธอจะกลัวท่าทางของไค เสียมากกว่า

          “อ่า..รู้แล้วล่ะ ก็พี่น่ะเดินไปทางไหนก็ไม่ได้เลย ไม่ว่าก้าวขายังไงก็วนเวียนอยู่แต่แถวนี้ นี่พี่คงจะไม่ได้กลับไปทำงานอีกแล้วสินะ” แวว ตาที่ไร้ชีวิตชีวาก้มลงมองกับพื้น ยามหนุ่มยิ้มมุมปากทั้งสองข้างแต่กลับเพียงแค่ดูก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดของ ตัวเขา ทำให้ไคน้ำตาซึมออกมา

          ไคเปลี่ยนสายตาที่หมองหม่นเป็นเอาจริงเอาจัง “พี่ยามครับ จำเหตุการณ์ก่อนตายได้บ้างหรือเปล่าครับ! เผื่อผมจะช่วยอะไรได้บ้างก็ยังดี”

          “เอ..จะว่ายังไงดีล่ะ! จำได้..ล่ะมั้ง” สีหน้าของพี่ยามดูไม่ค่อยมั่นใจสักเท่าไหร่ “หลัง จากที่พี่เปิดประตูรั้วให้พวกแกออกไปก็กลับมานั่งอยู่ที่ป้อมยาม เปิดหนังสือพิมพ์อ่านฆ่าเวลาจนกว่าจะหมดเวรยาม รู้สึกประมาณตีสองเห็นจะได้ มีเสียงคนมาเคาะประตูป้อม พี่คิดว่าคงเป็นยามอีกคนมาผลัดเวร แต่พอเปิดประตูไปก็ไม่เจอใครเลย..หลังจากนั้น..” พี่ยามขมวดคิ้วเขาพยายามนึก แต่ทว่าก็นึกเหตุการณ์ต่อจากนั้นไม่ออกเลยแม้แต่น้อย

          “คงจะโดนของเข้าตอนนั้นสินะ” ไค พึมพำ เขารู้สึกเศร้าใจแทนพี่ยาม เหตุการณ์นี้ไม่ควรจะเกิดขึ้น หากเพียงแค่เขารู้ว่าคนที่อยู่ภายใต้เงาดำนั้นเป็นใคร เขาซัดหน้าไปไม่ยั้งเป็นแน่แท้ ไฟโกรธได้สุมรวมกันเป็นกองเพลิงในใจของเด็กหนุ่ม

          “กริยาพอเถอะ! เราว่ากลับห้องกันดีกว่านะ” แอนนาตัวสั่น เธออดทนเก็บความรู้สึกต่อไปไม่ไหว ภาพที่เด็กหนุ่มคุยอยู่คนเดียวทำให้เธอกลัวจนไม่อยากยืนอยู่ที่ตรงนี้นาน

          ทันใดนั้นไคก็นึกถึงบางอย่างได้ บางอย่างที่มืดมิด บางอย่างที่ชวนหนาวเย็นจากสันหลังไล่ขึ้นไปจนถึงต้นคอ (‘เดี่ยวก่อนนะ โรงพยาบาลนี้เป็นที่รักษาศพของพี่ยามเอาไว้ และสาเหตุที่พี่ยามไม่สามารถออกไปจากบริเวณแถวนี้ได้..หรือว่า..’) เด็กหนุ่มได้เข้าใจถึงสาเหตุที่เหล่านางพยาบาลไม่เดินผ่านบริเวณนี้เลย ซึ่งนั่นก็เพราะว่า (‘ที่นี่คือชั้นเก็บศพ’) เด็กหนุ่มค่อยๆเงยหน้าสังเกตเห็นแผ่นป้ายหน้าห้องบนประตูสีขาวบานที่ยามอยู่ “ห้องดับจิต...”

          “เอ๋…!!” ไคที่เผลอหลุดปากอ่านป้ายออกมาทำให้แอนนาถึงกับกลัวจนขาดสติ จับมือเด็กหนุ่มวิ่งขึ้นบันไดตัดหน้าพยาบาลไปหลายคนกลับเข้าห้องคนไข้อย่าง รวดเร็วจนแม้กระทั่งนางพยาบาลเรียกก็ยังไม่ทัน พลางปิดประตูซ้ำดังปัง!! กระโดดลงบนเตียงพลางคลุมโปง

          แฮ่ก! แฮ่ก! ไคย่อเข่าลงหายใจช้า ความเหนื่อยครั้งนี้ทำให้เขาแทบยืนไม่ไหว แอนนาเวลากลัวนั้นวิ่งเร็วเสียยิ่งกว่านักกีฬาหลายคนเสียอีก ‘ยัยนี่..เป็นม้าหรือไงนะ!’ หลังจากหยุดพักไประยะหนึ่ง ไคเดินเข้าไปนั่งข้างๆ แอนนา พลางพูดกับเธอเบาๆ “เราว่าถ้าเธอวิ่งเร็วขนาดนี้อย่าว่าแต่คนเลย แม้แต่ผีก็ตามไม่ทันแน่ๆ”

          “อะไรกันเล่า!” แอนนาโผล่หัวออกมาจากผ้าห่มทำหน้าบูดใส่

          ‘ให้ตายสิ เลยไม่ได้รู้เลยว่าไอ้เจ้านั่นมันอยู่ในโรงพยาบาลนี้จริงหรือเปล่า’ แม้ ว่าเด็กหนุ่มจะรู้สึกเจ็บใจอย่างไรเขาก็รู้ดีว่าคงพาแอนนาที่กลัวอยู่อย่าง นี้ไปด้วยไม่ได้แน่ๆ จึงตัดสินใจที่จะออกไปคนเดียวแล้วเฝ้าดูจนเธอเคลิ้มหลับไป

“ผมไปก่อนนะ” ไคพูดใส่หูเบาๆ ขณะที่แอนนากำลังหลับอย่างอิ่มสุข

          ขณะ นี้เวลาตีสองแล้วภายในตึกบางส่วนปิดไฟจนมืดสนิท เด็กหนุ่มค่อยๆ เดินย่องออกมาจากห้องพยาบาลภายในความมืด โดยมีเป้าหมายคือกลับลงไปหาพี่ยามที่ชั้นเดิม แต่ดูท่าครั้งนี้เขาคงจะต้องระวังตัวมากกว่าเดิมซะแล้ว เพราะเหล่าวิญญาณในโรงพยาบาลนั้นไม่ใช่แค่ระดับน้ำจิ้มเสียทีเดียว กลับมีมากมายตามจุดต่างๆ โดยเฉพาะหัวมุมทางแยกและตีนบันได ไคพยายามไม่มองหน้าพวกเขาเหล่านั้น บ้างเป็นรูปลักษณ์ของคนทั่วไปซึ่งนั่นยังไม่เท่าไหร่เมื่อเทียบกับรูปลักษณ์ น่าสยองชวนร้องลั่นเกินบรรยายของบางตน

          (‘อากาศหนาวชะมัด’) ไคกอดอกขณะเดินไปตามทาง มองซ้ายขวาไปมาอย่างระแวดระวัง การก้าวขาแต่ละก้าวช่างทำให้เด็กหนุ่มใจหายเพราะจะรู้สึกราวกับได้ยินเสียง เท้าของตัวเองดังซ้ำกันสองครั้งทั้งที่ตามปกติเสียงควรจะดังเพียงก้าวละ หนึ่งครั้งเท่านั้น ตอนนี้เขาอยากจะกลับไปนอนคลุมโปงอยู่กับแอนนาเสียด้วยซ้ำ

          (‘แบบนี้แย่แน่..ไม่กล้ากลับหันไปมองข้างหลังเลย’) อากาศเย็นยะเยือกและบรรดาเหล่าบุคคลปริศนาซึ่งไม่น่าจะมาเดินป้วนเปี้ยนกัน ในโรงพยาบาลตอนตีสองรวมไปถึงความรู้สึกประหลาดที่เหมือนว่ามีใครกำลังเดิน ตามหลังมานั้นทำให้เขาเริ่มเร่งฝีเท้ามากขึ้น ซึ่งบางครั้งเขาจำต้องหลับตาเมื่อพบเห็นภาพบาดใจเช่น วิญญาณของผู้ป่วยที่โดนไฟครอกหรือผู้ป่วยที่ประสบอุบัติเหตุเป็นต้น

          “อ๊ะ! เจอเหยื่อแล้ว”     

          (‘ส..เสียง! เสียงใครน่ะ!’) เสียงเด็กผู้หญิงดังขึ้นจากด้านขวาของเด็กหนุ่มซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะมีใคร เพราะเขาเดินอยู่ติดกับผนังตึก เด็กหนุ่มเริ่มรู้สึกใจไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่เขาหันซ้ายหันขวาแต่ก็ไม่พบอะไร นอกจากผนังปูนสีขาวสองข้างทางเท่านั้น เด็กหนุ่มหันกลับมาเตรียมตัวจะออกเดินต่อ

          “แบร่!” ภาพที่ทำให้เด็กหนุ่มแทบจะล้มเข่าอ่อนปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของเขา เด็กหญิงอายุราวสิบสองขวบ ผิวขาวซีดโปร่งแสง ผมยาวรุงรังไปจนถึงเข่า เธอมาพร้อมกับท่าแลบลิ้นปลิ้นตาถ้าเป็นเด็กทั่วไปเห็นทีจะดูน่ารักสมวัย หากแต่ว่าลิ้นของเธอนั้นลากยาวไปจนถึงพื้นเลือดไหลออกจากปากปริมาณมากจนสีดำ ข้น ตากลับ(ลักษณะที่ตาเหลือกขึ้นจนไม่แลเห็นตาดํา)ราวกับศพคนตาย

          “อ๊าก!!!” ไคหงายหลังลงกับพื้น หัวใจแทบจะหยุดเต้น เขาหลับตาปี๋นำมือสองข้างปิดหน้าอย่างมิดชิด

          “เอ๋!? ครั้งนี้ได้ผลแฮะ! ฮี่ๆ เราเองก็เริ่มเก่งขึ้นแล้วสิเนี่ย” วิญญาณ เด็กหญิงกลับเข้าสู่สภาพของคนทั่วไป เธอเป็นเด็กตัวเล็กที่มีแววตาซุกซน สวมชุดผู้ป่วยผิวขาวเนียนอมชมพู ใบหน้าจิ้มลิ้มปากนิดจมูกหน่อยดูน่ารักสมวัยของเธอ

          เด็ก หนุ่มค่อยลืมตาช้าๆ คลายมือออกจากใบหน้า เขามองเห็นเด็กหญิงธรรมดาคนหนึ่ง ซึ่งนั่นก็ไม่ทำให้ความหวาดกลัวของเขาลดน้อยลงแต่อย่างใด

          “นี่พี่ชาย..มองเห็นหนูสินะ สินะ!! ไม่งั้นก็คงไม่ตกใจร้องลั่นหรอกเนอะ!” เธอยื่นหน้าเข้ามาใกล้เขาพลางจ้องมองด้วยสายตาที่มีความหวัง

          “...” ไคกระเถิบถอยไปข้างหลัง ดวงตาเบิกกว้าง เขาพูดไม่ออกแม้แต่ตะกุกตะกักก็ยังทำไม่ได้

          “อะไรกัน..ที่แท้ก็กลัวจนไม่กล้าพูดสินะ ผู้ใหญ่สมัยนี้ปอดแหกง่ายกันจัง” เด็กหญิงกอดอกพลางเชิดหน้าอย่างภูมิใจที่หลอกหลอนเด็กหนุ่มได้สำเร็จ

          (‘ด..เด็ก’) ไคเหงื่อตก เขาใช้มือปาดอย่างเบาๆ ก่อนจะตั้งสติตอบกลับไป “น..นี่มันอะไรกัน!? เธอเป็นใคร!?”

          “หนูชื่อฟ้าค่ะ! อายุเอ่อ…ช่างมันเถอะค่ะ! ว่าแต่พี่ชายเห็นหนูสินะคะ” เด็กหญิงกล่าวทักทายอย่างสุภาพ และยิ้มกว้าง

          (‘ไอการแนะนำตัวสุดแสนจะธรรมดานี่มันอะไรกัน…แล้วไอที่แลบลิ้นปลิ้นตาเมื่อกี้มัน..ยัยเด็กนี่เป็นผีแบบไหนกันแน่นะ’) ไคมองพิจารณาเด็กหญิงอย่างช้าแล้วปรับสภาพหัวใจที่เต้นรัวให้คงที่ หายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะถามไถ่ “…จะว่ายังไงดีล่ะ..นี่เธอทำไมถึงต้องมาหลอกหลอนกันด้วยเนี่ย!?”

          “ตั้งแต่หนูตายไปทุกคนต่างก็พากันมองข้ามผ่านหนูไปหมดเลยนี่นา ทั้งคุณพ่อ ทั้งคุณแม่ก็ด้วย” เธอดูเศร้าหมองลงเมื่อพูดถึงพ่อกับแม่ “พอพยายามจะทำให้คนอื่นหันมามองมันก็ไม่เคยสำเร็จ เลยคิดว่าถ้าฝึกพลังวิญญาณให้เก่งขึ้นละก็ทุกคนคงจะเห็นหนูกันบ้างน่ะค่ะ”

          “คนเห็นจะช็อคตายเอานะสิคุณเธอ!!!!!”

          “จะ ทำไงได้ล่ะคะ หนูลองมาหลายวิธีแล้วนี่นาทั้งพยายามรวบรวมสมาธิ พยายามเข้าฝัน ยังไงก็ทำไม่ได้เลย เหลือแต่วิธีหลอกหลอนชาวบ้านเพื่อสะสมพลังงานความกลัวความเฮี้ยนน่ะค่ะ” ฟ้าขมวดคิ้วด้วยท่าทีเอาจริงเอาจัง “แต่ก็ไม่มีใครเห็นหนูเลย หลอกไปก็ไร้ประโยชน์อ่าค่ะ”

          “นี่เธอดูการ์ตูนมากไปหรือเปล่าฟระ!?”

          “แต่พี่ชายก็มองเห็นหนูแล้วนี่นา..งั้นก็แสดงว่าหนูแกร่งขึ้นระดับหนึ่งแล้วสิเน้อ!!” เด็กหญิงยิ้มอย่างภูมิใจ

          “เสียใจด้วยนะ..แต่ว่าที่ฉันมองเห็นเธอมันไม่ใช่เพราะพลังความเฮี้ยนอะไรนั้นหรอก แค่เพราะฉันมองเห็นของแบบนี้ได้ก็เท่านั้นเอง” ไคอธิบายอย่างเหนื่อยหน่ายพลางถอนหายใจช้าๆ

          “เอ๋…” เธอทำสีหน้าเหวออย่างสุดขีด ราวกับความฝันแหลกสลายไปต่อหน้าต่อตา“แบบนั้นเองหรือคะ!?” 

          “แบบนั้นแหละ ถ้ายังไงฉันขอตัวก่อนนะมีธุระต้องไปทำ” เด็ก หนุ่มไม่ค่อยชอบการพูดคุยกับวิญญาณสักเท่าไหร่นัก มันทำให้เขาอึดอัดใจในทุกการกระทำของตนเองดังนั้นเขาจึงพยายามออกห่างจาก วิญญาณเด็กสาวให้มากที่สุด

          “ด..เดี๋ยวก่อนสิคะ! รับผิดชอบมาซะดีๆ” เด็กสาวหายตัวมาดักหน้าเด็กหนุ่มพลางแบฝ่ามืออกกางนิ้วทั้งห้า

          “รับผิดชอบ รับผิดชอบอะไร!?” เด็กหนุ่มเอียงคอสงสัย มันเป็นท่าที่เขาติดมาจากแอนนาซึ่งเธอมักจะทำท่านี้เวลาสงสัยอะไรอยู่เสมอๆ

          “ก็พี่ชายมาทำให้หนูดีใจแล้วจากไปแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหนกันล่ะคะ” เธอทำหน้าบึ้ง กอดอกจ้องมองเด็กหนุ่มอย่างจริงจัง

          “เฮ้ๆ อย่าพูดให้มันแปลกนักสิ เธอดันเข้าใจผิดไปเองที่คิดว่าพลังความเฮี้ยนอะไรนั่นมันมีจริงนะ” ไคเกาศรีษะเช่นเคย

          “ไม่รู้ล่ะยังไงหนูก็ไม่มีใครเห็นอยู่แล้ว ไหนๆ ก็ไหนๆ หนูจะตามพี่ไปด้วยทุกที่เลยคอยดู” วิญญาณเด็กหญิงตัดสินใจอย่างแน่วแน่

          “แล้วถ้าฉันบอกว่าไม่ล่ะ!?” ไค เดินทะลุผ่านตัวเด็กหญิงไปอย่างเมินเฉย เขายังมีสิ่งที่ต้องสอบถามพี่ยามอีกมากมายเกินกว่าที่จะมาเสียเวลากับวิญญาณ เด็กหญิงซึ่งไม่มีที่มาที่ไป

          “หนูก็จะตามหลอกหลอนพี่ไปทุกที่เลยไงล่ะฮี่ๆ” รอยยิ้มกว้างของเธอเปลี่ยนบรรยากาศโดยรอบให้หนาวยิ่งขึ้นไปอีก

          “เฮ้อ…” ไคถอนหายใจเบาๆ อย่างไรก็ตามหากจะถูกตามหลอกหลอนสู้ยอมให้มีวิญญาณทั่วไปมาตามเกาะแกะเสีย ยังจะดีกว่า ไคคิดเช่นนั้นเขาจึงหยุดเดินแล้วหันกลับไปหาเด็กสาว “จะตามก็ตามมา”

          “เย่..สำเร็จ!!” เด็กหญิงค่อยๆ ลอยตัวเหนือพื้นตามหลังเด็กหนุ่มไปอย่างร่าเริง

          ทั้งคู่เดินทางลงไปตามบันไดจนถึงชั้นที่วิญญาณของพี่ยามเฝ้าอยู่ ไคเดินเข้าไปหาวิญญาณที่เหม่อลอยอย่างเศร้าสร้อยหน้าประตูห้องดับจิต เด็กหนุ่มต้องเรียกเขาถึงหลายครั้งกว่าวิญญาณพี่ยามจะตอบสนองต่อเสียงของเขา

          “อ่าว..นี่แกอีกแล้วเหรอ!” พี่ยามพูดอย่างตกใจราวกับไม่รู้ตัวเลยว่าเด็กหนุ่มได้มายืนเรียกเขาอยู่เบื้องหน้าตั้งนานแล้ว

          “ครับ!! คือว่า…ศพของพี่ยามอยู่ในห้องนี้สินะครับ” ไคชี้นิ้วไปยังห้องที่ยามหนุ่มยืนเฝ้าอยู่

          “คงเป็นอย่างนั้นแหละมั้ง” ยามหนุ่มตอบคำถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจ พี่ยามยื่นหน้าไปมองฟ้าอย่างพินิจ “เห! รู้สึกว่าจะเด็กกว่าแกหลายปีอยู่นา...กินเด็ก?”

          “วิญญาณตามติดน่ะครับ อย่าไปสนใจเลย” ไคก้มหน้าอธิบายก่อนที่พี่ยามจะคิดไปไกลกว่านี้

            “จะ ว่าไปแล้ว รู้สึกเหมือนกับว่าในตอนเย็นหลังเลิกเรียนก่อนที่พี่จะเจอกับพวกโตเมื่อคืน ก่อน จะมีเด็กผู้ชายท่าทางแปลกๆ ไม่ใช่นักเรียนของโรงเรียนเรามายืนลับๆ ล่อๆ อยู่หน้ารั้วโรงเรียนด้วยนะ แต่พอพี่เดินไปหาเข้าเด็กคนนั้นก็เดินหนีไปซะเฉยๆ” พี่ยามเอ่ยขึ้นเมื่อนึกถึงเรื่องราวก่อนคืนเกิดเหตุได้

          “ไม่ใช่คนในโรงเรียนผม…หรือครับ?” ไคมองหน้าของยามหนุ่มที่พยายามเรียกความทรงจำกลับมา

          “เอิ่มให้ตายสิ นี่ฉันนึกอะไรไม่ออกเลย” ยาม หนุ่มสิ้นหวังกับความพยายามของตนเอง เขานึกอะไรได้ไม่มากนัก ราวกับว่าหลังจากตายไปความทรงจำของเขาได้รับการกระทบกระเทือนจากอะไร บางอย่าง

          เด็กหนุ่มกัดฟันใช้ความคิดตริตรอง (‘หมอ นั่นมันเป็นใคร เป็นเด็กผู้ชายที่เรารู้จักงั้นเหรอ ไม่สิถ้าเด็กคนที่พี่ยามพูดถึงไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยก็ไร้ความหมาย ทั้งที่เจ้านั่นมันเคียดแค้นเราแต่ทำไมถึงต้องทำร้ายคนที่เกี่ยวข้องล่ะ ชมรมงั้นเหรอ ทำไมตอนคดีรูปภาพเจ้านั้นถึงจ้องเล่นงานคนในชมรมล่ะ ถ้าเป็นคนนอกจะรู้เรื่องชมรมวิจัยเรื่องลึกลับได้ยังไง’)

          “นี่ๆ พี่ชาย” ฟ้าลอยตัวมาอยู่เบื้องหน้าของเด็กหนุ่ม

          เสียงของเด็กหญิงทำให้ไคหยุดคิดกะทันหัน “ม..มีอะไร” ไคเงยหน้าขึ้นมองฟ้าซึ่งเธอลอยอยู่ระดับเดียวกับใบหน้าของเขา

          “เหมือนจะมีนางพยาบาลมาทางนี้นะคะ ไม่หาที่หลบจะดีหรือคะ”

          หลังสิ้นเสียงของเด็กหญิง ไคได้ยินเสียงเข็นเตียงผู้ป่วย เขาหันซ้ายแลขวาเห็นประตูบานหนึ่งจึงรีบเปิดแล้ววิ่งเข้าไปซ่อน

          บรรยากาศ หนาวจัดท่ามกลางความมืดมิด กลิ่นเหม็นลอยคลุ้ง มีชั้นลักษณะคล้ายตู้ล็อคเกอร์เรียงรายกันอยู่มากมาย ความรู้สึกเสียวสันหลังของเด็กหนุ่มเพิ่มมากขึ้น เขารู้ตัวแล้วว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในห้องดับจิตและต้องรอจนกว่าเสียงเข็น เตียงจะผ่านไป ซึ่งในไม่ช้าเสียงเข็นเตียงก็เงียบหายลงไป

          เด็กหนุ่มถอนหายใจเบาๆ เขารู้สึกโล่งอกที่เสียงเข็นเงียบไปแล้ว (‘ให้ตายสิลุ้นแทบแย่’)

          แกร็ก!!แอด! ทว่าเสียงนี้ก็ทำให้เด็กหนุ่มผวาอีกครั้ง ประตูห้องที่เด็กหนุ่มซ่อนตัวอยู่นั้นค่อยๆ เปิดออกนางพยาบาลไม่ได้เข็นรถผ่านไป แต่ทว่าเธอเข็นมาหยุดอยู่หน้าห้องเพื่อที่จะนำศพเข้ามาเก็บรักษาไว้

          ไครีบหาที่ซ่อนเขาพบเตียงผู้ป่วยเตียงหนึ่งซึ่งว่างอยู่ เขาจึงรีบไปซ่อนข้างใต้ และแอบมองดูรองเท้าของนางพยาบาลเฝ้ารอให้หล่อนออกไปจากห้อง

          นางพยาบาลเปิดชั้นเก็บศพค่อยๆ นำศพบนรถเข็นเข้าไปเก็บรักษา กลิ่นศพเหม็นปะปนกับกลิ่นสารฟอร์มาลีน

          หลังจากเฝ้ามองอยู่นาน นางพยาบาลก็เดินออกไป สิ้นเสียงปิดประตู ไคออกมาจากที่ซ่อนหันไปมองทั่วทุกทิศ ฟ้าลอยมาอยู่ข้างหน้าของเขาเช่นเคย “เธอไปแล้วค่ะพี่ชาย”

          “...” ไคเหงื่อไหลพรากท่ามกลางอากาศหนาวเย็น

          “มีอะไรหรือคะ ทำไมดูเงียบๆ” เด็กหญิงมองดูท่าทีของไคซึ่งแปลกไป

          “เมื่อตะกี้เตียงที่ฉันลงไปซ่อนมันว่างเปล่าใช่มั้ยล่ะ” ไคพูดด้วยความหวาดกลัว แล้วชี้ไปที่เตียง “แล้วศพนั่นมาอยู่บนเตียงตั้งแต่เมื่อไหร่”

          บรรยากาศ ที่เงียบสงัด ทำให้ได้ยินเสียงเล็กๆ น้อยๆ ทุกระเบียบนิ้วชัดเจนยิ่งขึ้นเงียบแม้กระทั่งได้ยินเสียงเข็มตก ศพปริศนาเบื้องหน้าของเด็กหนุ่มคลุมปิดด้วยผ้าขาว

          “เอ๋..หนูก็เห็นศพนั้นมาตั้งแต่ก่อนหน้าที่พี่ชายจะไปซ่อนแล้วนะคะ! พี่ชายไม่ได้สังเกตเสียมากกว่าล่ะมั้งคะ” ฟ้ามองดูเด็กหนุ่มอย่างสงสัย

          “อ..เอ๋! ง..งั้นเหรอ”  เด็กหนุ่มรู้สึกโล่งใจขึ้นเล็กน้อย (‘เป็นเพราะห้องนี้มืดมากจนทำให้มองอะไรไม่ชัดเจนเท่าไหร่ สงสัยเราคงจะรีบร้อนมากเลยไม่ทันได้เห็นศพบนเตียงล่ะมั้ง’)

          “นี่มัน..ศพของฉันนี่” พี่ยามที่มายืนอยู่เบื้องหน้าศพตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้เอ่ยขึ้น ไคทำท่าทีตกใจเล็กน้อยเพราะพี่ยามโผล่มาโดยไม่ทันตั้งตัว

          “ศพของพี่ยาม!?” ไคค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ศพบรรจงหยิบผ้าคลุมศพออกเล็กน้อย กลิ่นฉุนระดับประชิดทำให้เด็กหนุ่มเกือบจะอาเจียน ไคนำโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกงผู้ป่วยแล้วเปิดแสง ภายใต้ผ้าคลุมศพเผยใบหน้าของพี่ยามหากไม่นับเรื่องกลิ่นก็คงจะบอกได้ว่าราว กับยังมีชีวิตอยู่ ศพของพี่ยามเหมือนดั่งกำลังนอนหลับอย่างที่คนปกติทำกัน วิญญาณยามหนุ่มที่กำลังมองดูสภาพของตนเองนั้นช่างน่าสงสารไคคิดเช่นนั้น

          ไคนำผ้ากลับมาคลุมศพเช่นเคย เขาเดินไปเปิดประตูออกจากห้องดับจิต วันนี้เขาเหนื่อยจนแทบไม่อยากจะทำอะไรอีก จึงเดินกลับขึ้นไปที่ห้องพักผู้ป่วยของตน ฟ้าลอยตามหลังเด็กหนุ่มพลางหันไปมองพี่ยามที่ออกมาเฝ้าอยู่หน้าห้องอย่างซึม เศร้าแล้วหันกลับมาตามหลังเด็กหนุ่มเช่นเคย

          “เราเอง..รู้ดีที่สุด..งั้นเหรอ”ไคพึมพำ

          เด็กหนุ่มเดินไปนอนบนโซฟาขณะที่ฟ้าลอยวนเวียนไปมารอบโรงพยาบาล ค่ำคืนที่แสนโหดร้ายทำให้เด็กหนุ่มต้องใช้ระยะเวลาในการข่มตานอนเป็นพักใหญ่

.........................................................................................................................................................................................................

          “พี่ยา! ตื่นได้แล้วเดี๋ยวก็ไปโรงเรียนสายหรอก” เสียงของจีนน้องสาวผู้แสนน่ารักดังขึ้นในภวังค์

          เด็กหนุ่มค่อยๆ ลืมตา “อะไรกันไปสายซักวันคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง”

          “ไปสายสักวันน่ะไม่เป็นไรหรอกค่ะ แต่นี่นะมันเป็นวันเปิดเทอมนะคะ! อุตส่าห์ได้ขึ้น ม.4 ทั้งทีอย่าไปสายตั้งแต่วันแรกสิพี่ก็..” จีน ทำหน้าบึ้งขมวดคิ้วใส่ ถึงเธอเบื่อที่จะปลุกพี่ชายขี้เซาคนนี้ทุกเช้าแต่อย่างไรเสีย   เธอก็ทำมันอยู่ทุกวันจนชินเป็นนิสัยแล้ว การปลุกพี่ชายให้ตื่นได้จึงถือเป็นความสำเร็จในชีวิตเธออย่างหนึ่ง 

          “หาว!!..”

          “มัวแต่ชักช้าเดี๋ยวพี่ชมพู่เขาก็ไม่รอหรอกค่ะ” จีนลากผ้าห่มออกจากตัวเด็กหนุ่ม

          กริยาค่อยๆ ลุกขึ้นเดินไปล้างหน้าแปรงฟัน รีบแต่งตัวเพื่อที่จะเดินทางไปโรงเรียน เมื่อออกไปจากบ้านทั้งสองก็เดินไปโรงเรียนด้วยกัน จนกระทั่งถึงรั้วโรงเรียน

          “ชมพู่!! นี่เธอยังรออยู่อีกเหรอ” กริยาวิ่งไปหาเด็กสาว ไว้ผมหางม้า ดวงตากลมกว้าง ผิวขาวเนียนซึ่งเธอถือกระเป๋าสีดำด้วยมือสองข้างยืนพิงประตูรั้วอยู่

          “อื้ม.. ก็นะเรามายืนรอเธออยู่ตั้งแต่ 6 โมงแล้วล่ะ” ชมพู่เป็นเด็กผู้หญิงที่สวยอยู่ในระดับต้นๆ ของชั้นปี เธอเป็นเพื่อนสนิทของกริยามาตั้งแต่สมัย ม.ต้น

          “หวา นี่มัน 7 โมงจะครึ่งแล้วนี่ โทษทีนะยัยน้องสาวปลุกช้าไปหน่อย” ไคยิ้มขณะยกมือไหว้ขำๆ เล็กน้อย

          “เอ๋.. นี่มันความผิดหนูเหรอคะ! หือ!?” น้ำเสียงชวนหนาวสันหลังทำให้กริยาต้องหันกลับมาขอโทษน้องสาวเสียยกใหญ่

          ชมพู่ หัวเราะเล็กน้อยเธอรู้สึกได้ถึงความตลกปนน่ารักของพี่น้องคู่นี้ อากาศวันนี้เย็นสบายเป็นเปิดเทอมวันแรกที่ดีและสดชื่น อย่างคาดไม่ถึง “ไปที่ห้องประชุมกันเถอะวันนี้เขาจะมีการกล่าวต้อนรับนักเรียน  ม.ปลาย กันด้วยนะ” ชมพู่จับแขนของกริยาแล้วพากันวิ่งไปยังห้องประชุม

          หน้าประตูเข้าห้องประชุมนั้นมีเด็กผู้ชายผมทรงนักเรียนใบหน้าดูเป็นคนเอาจริงเอา จังสีผิวค่อนข้างเข้ม ลำตัวสูงเหมือนนักกีฬาบาสยืนเฝ้าอยู่ท่าทางเหมือนจะรอทั้งสองคน “ชักช้ากันจังพวกนาย”

          “โทษทีนะวินกริยาเขามาช้าน่ะ” ชมพู่อธิบายให้วินเพื่อนสมัย ม.ต้น อีกคนของกริยาฟัง

          ทั้งสามสนิทกันมากราวกับเป็นครอบครัวเดียวกัน สมัย ม.1 ขณะที่กริยาไม่เพื่อนเลยสักคน วินกันชมพู่เป็นสองคนแรกที่ชวนไคคุยด้วยกันอย่างสนิทสนม กริยารู้สึกขอบคุณเพื่อนสองคนนี้มากจนสุดขั้วหัวใจ

          จนกระทั่งวันนี้ในที่สุดทั้งสามก็จะได้เริ่มต้นชีวิต ม.ปลายที่แสนจะสดใสเสียที

          หลังจากจบกิจกรรมในห้องประชุม กริยาและทั้งสองคนก็กลับขึ้นห้องเรียนตามปกติ เนื่องจากเป็นวันแรกของการศึกษาจึงไม่มีการเรียนการสอนแต่เป็นการทำความ รู้จักกันระหว่างอาจารย์และเด็กนักเรียนแทนเสียส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าเด็กๆ ก็คุยเล่นกันตลอดคาบตามปกติ

          ชมพู่นั่งอยู่ตรงกลางระหว่างโต๊ะของทั้งสองริมหน้าต่างโดยวินนั่งอยู่ข้างหน้าส่วนไคนั่งอยู่ข้างหลังเธอ

          “อาจารย์เกียรติก็ตามมาสอนถึง ม.4 ด้วยเหรอเนี่ยน่าเบื่อชะมัด” วินนำมือเท้าคางทำหน้าเบื่อหน่ายขณะคุยเล่นกับกริยาและชมพู่

          “นั่นน่ะเป็นเพราะอาจารย์เขาสอนอยู่สองระดับชั้นควบกันไงล่ะทั้ง ม.3 และ ม.4” กริยาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้

          “เอ๋! ฉันก็เพิ่งรู้นะเนี่ย”

          “เอาเถอะทนๆ เรียนไปอีกซักปีก็แล้วกัน” ไคพูดขณะนำมือมาเกาศรีษะ

          “ตั้งปีหนึ่งเชียวนะ อาจารย์น่าเบื่อแบบนั้นน่ะน่าเบื่อไม่พอแถมยังสอนประวัติศาสตร์อีกชวนง่วงเข้าไปใหญ่” วินใส่อารมณ์ในการพูดพอตัว

          “นั่นสิน้า…อยากกลับไปปิดเทอมนอนตีพุงอยู่กับบ้านอีกจัง” กริยาชำเลืองออกไปนอกหน้าต่าง

          ชมพู่ยิ้มแล้วหันหลังไปมองกริยา “แต่อย่างน้อยเปิดเทอมก็ทำให้พวกเรามาเจอกันบ่อยขึ้นนะ” ชมพู่ ชอบเพื่อนสองคนนี้มาก ไม่เคยมีเพื่อนคนไหนที่คุยกันได้อยากเปิดอกเท่ากริยาและวินมาก่อน ดังนั้นการเปิดเทอมจึงเป็นสิ่งที่เธอรอคอยอย่างจดจ่อ

          พอหมดคาบของอาจารย์เกียรติจากนั้นจึงเป็นพักกลางวัน ทั้งสามเตรียมตัวจะเดินลงไปจองโต๊ะทานอาหารก่อนที่จะโดนแย่งจนหมดไม่เหลือ

          “นี่..กริยา”ชมพู่กระซิบเบาๆ ที่ข้างหูของเขาหลังจากรั้งตัวเด็กหนุ่มไว้

          “ม..มีอะไรเหรอ” ไคถามขณะมองดูวินกำลังเดินนำลงไปโรงอาหาร

          “เย็นนี้มาเจอกันคนเดียวที่หลังโรงเรียนหน่อยจะได้มั้ย!?” ชมพู่ทำท่าทางจริงจังกว่าปกติ

          “ฉันมีอะไรจะบอก” เสียงของเด็กหญิงเปลี่ยนเป็นเสียงเดียวกับคนที่ผลักเขาตกบันได ทุกอย่างเริ่มมืดสนิทไคถูกปลุกด้วยความเป็นจริง สักพักเมื่อลืมตาขึ้นเขาอยู่หน้าโรงเรียน เขาก้มหน้าลงมองที่พื้นซึ่งอาบด้วยสีแดงเข้ม เบื้องหน้าของเขาคือศพของหญิงสาวที่แหลกเละเลือดไหลนองทั่วบริเวณ สภาพศพหงายหน้าเผยเป็นใบหน้าที่ทำให้ไคถึงกับร้องลั่น

          “ชมพู่!!!!!!”

 

จบตอน

โปรดติดตามตอนต่อไป

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.6 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา