ชมรมวิจัยเรื่องลึกลับ (หลังเลิกเรียน)

6.8

เขียนโดย shotaro

วันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 เวลา 15.35 น.

  32 ตอน
  8 วิจารณ์
  37.59K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 15.39 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

14) คาบเรียนที่8: ไค ใคร

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

คาบเรียนที่8 : ไค ใคร (บทกริยา1)

          “ที่นี่มัน” เด็ก หนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่หันเหลียวมองซ้ายแลขวา ท้องฟ้าสีเทาหมองหม่น เขายืนอยู่หน้าประตูสีแดงมหึมา ควันสีดำและแดงลอยคลุ้งปะปนกัน บริเวณโดยรอบเป็นทุ่งหญ้าแห้งสีแดงเหี่ยวเฉา มีแม่น้ำสายหนึ่งซึ่งนิ่งเงียบสงบไม่ไหวติงตามกระแสลม

          “โลกหลังความตายครับพี่ชาย” เสียงเด็กผู้ชายตัวเล็กดังมาจากข้างหลังกริยา

          “แทงค์” เด็กหนุ่มทำท่าทางตกใจ “พี่ตายอีกแล้วสินะ” เขาก้มหน้าคล้ายจะร้องไห้หลังจากถามคำถามที่ชวนหวั่นใจ

          “เปล่าครับ” แทงค์ยิ้มให้เล็กน้อยก่อนที่จะเดินเข้ามาหาไค

              “งั้นทำไมพี่ถึงมาที่นี่กันล่ะ”

          “พี่ชายแค่อยู่ในระหว่างกึ่งเป็นกึ่งตายครับ อายุขัยของพี่ยังไม่หมด” แทงค์จับมือของเด็กหนุ่มพลางจูงไปยังเรือไม้ลำเล็กๆ ริมแม่น้ำ

              “นี่จะพาพี่ไปไหนน่ะ”

          “จริงอยู่ที่พี่ชายยังไม่ตายแต่ถ้าประตูแดงนั่นเปิดออก ได้ตายจริงแน่ครับ”

          ที่ข้างเรือมีหญิงสาวผมดำยาวผิวขาวซีดสวมผ้าคลุมแปลกๆ สีดำ แยกไม่ออกว่าเป็นเสื้อผ้าแบบไหน ราวกับเป็นเงาสีดำห่อหุ้มไว้จนดูเหมือนเสื้อผ้า ในมือของเธอถือไม้พายอยู่ แทงค์ยื่นเหรียญทองสองเหรียญให้คนแจวเรือ

          “น..นี่อะไรน่ะ” ไคมองการกระทำของแทงค์อย่างงุนงง

          “ที่นี่คือปากประตูนรกครับ ถ้ามันเปิดออกพี่จะไม่ได้กลับมาอีก เราต้องข้ามแม่น้ำกลับไปยังโลกคนเป็นครับ”

          “เอ่อ..ตอนนี้ตัวพี่ตกบันไดนอนจมกองเลือดอยู่สินะ” ไคถามเด็กน้อยขณะกำลังลงเรือเพื่อข้ามแม่น้ำแห่งความตาย

          “ตอนนี้พี่ชายอยู่โรงพยาบาลครับ ความจริงนี่ก็ผ่านมาสี่วันแล้วหลังจากเข้าห้องไอซียู จู่ๆ วันนี้ชีพจรของพี่ชายก็ตกกะทันหัน ผมเลยลองเดินทางมายังโลกฝั่งนี้ดู คิดว่าอาจจะกำลังกึ่งเป็นกึ่งตาย แล้วก็เห็นพี่ชายกำลังเดินเหม่อลอยอยู่หน้าประตูนรกเข้า” แทงค์ก้มหน้าพูดอย่างเขินอาย เขาไม่ค่อยถูกกับการพูดอะไรนานๆ สักเท่าไหร่นัก อาจเป็นเพราะบุคลิกที่พูดน้อยของเขานั่นเอง

              (‘เดินเหม่อลอย นี่เราไม่รู้สึกตัวเลยแฮะ’) ไคเกาศีรษะเล็กน้อย “แล้วอาการของพี่เป็นไงบ้างล่ะ”

          “คุณหมอบอกว่า กระดูกข้อเท้าไปจนถึงเข่าซ้ายร้าว ส่วนขาขวาบริเวณหน้าแข้งหัก แขนซ้ายร้าว หัวแตกเล็กน้อยแต่กะโหลกไม่ร้าว ที่เหลือก็ฟกช้ำทั้งตัวครับ” แทงค์เริ่มบรรยาย

          “…” เด็กหนุ่มหน้าซีดลงกะทันหัน (‘นี่เราจะกลับเข้าร่างดีมั้ยเนี่ย’)

          “ว่าแต่พี่ชายไปทำอะไรมาหรือครับถึงได้ตกบันได” ในที่สุดแทงค์ก็ได้ถามคำถามที่เด็กหนุ่มไม่อยากจะตอบมากที่สุดออกมา

            “เอิ่ม”

            “….”

            “ลงบันไดผิดขั้นน่ะ” ไคคิดคำตอบได้ทันอย่างหวุดหวิด การที่จะต้องปกปิดความลับเรื่องพี่ยามและคำสาปนั้น ช่างเป็นเรื่องที่ยุ่งยากลำบากใจเด็กหนุ่มยิ่งนัก

            แทงค์ทำปากอมลูกมะนาวขมวดคิ้วบางๆ เล็กน้อย “ระวังตัวหน่อยสิครับ ถ้าเกิดพลาดเข้าจริงๆ ตายขึ้นมาจะทำยังไง”

            “ก็นะ แหะๆ”

            หญิงสาวคนแจวเรือ พายเรือมากระทั่งถึงอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำ

            “ข..ขอบคุณนะครับ” เด็ก หนุ่มเอ่ยกล่าวขอบคุณหญิงสาว ซึ่งมองไม่เห็นใบหน้าเนื่องจากเส้นผมของเธอกำลังบดบังอยู่ เธอยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ริมฝีปากสีม่วงซึ่งไม่ใช่สีลิปสติกแลดูหลอนๆ

            “พี่ชายครับทางนี้”

ทั้ง คู่ขึ้นจากเรือ ไคเดินตามแทงค์ต่อมาจนถึงบริเวณที่มืดมิดสนิทไม่เห็นสิ่งใด มันคือบริเวณที่เด็กหนุ่มพบกับเอธรเมื่อหลายวันก่อนหน้านี้

 

            อีกทางฟากหนึ่งที่ห้องไอซียู หมอและพยาบาลกำลังช่วยกันปั๊มหัวใจของเด็กหนุ่ม ช่วยชีวิตเขาอย่างสุดความสามารถ แอนนา จีน โซเฟีย และแทงค์ที่หมดสติ นั่งรออยู่บริเวณหน้าห้อง ขณะนี้ภายนอกตึกมืดสนิทแล้ว เป็นเวลาค่ำคืนของวันจันทร์

            จีนร้องห่มร้องไห้นั่งกอดเขาภาวนาให้พี่ชายของตนปลอดภัย ในขณะที่แอนนาและโซเฟียพยายามจะมองลอดกระจกใสจากบานประตู แต่ทว่านางพยาบาลก็เลื่อนปิดผ้าม่าน บรรยากาศราวกับในนิยายหลายเรื่อง ซึ่งพวกเธอกำลังเฝ้าลุ้นความเป็นความตายของเด็กหนุ่ม

            วันนี้ โต อีฟ และโจ ไม่ได้มาด้วยเนื่องจากติดธุระ จึงได้ส่งโซเฟียและแทงค์เป็นตัวแทนของชมรมมาเยี่ยมเด็กหนุ่ม ทว่านอกจากไคจะยังไม่ฟื้นแล้ว ยังมีสภาวะการเต้นของหัวใจที่ขึ้นๆ ลงๆ อยู่ เพิ่มความกังวลให้เด็กชายและหญิงทั้งสองเป็นอย่างมาก

              “พี่ไคจะเป็นอะไรมั้ยคะ” โซเฟียมองใบหน้าของแอนนาที่ดูเธอจะลุ้นไม่แพ้กัน

              “…” ดู เหมือนในตอนนี้เสียงของสาวน้อยจะไม่สามารถส่งไปถึงหูของเธอได้เลย ในหัวของแอนนาตอนนี้มีแต่ภาพของกริยา เด็กหนุ่มผู้แสนดีที่ให้ทั้งความช่วยเหลือ ที่อยู่ และเป็นทั้งเพื่อนคนสำคัญของเธอเท่านั้น

“พี่ไคจะต้อง” โซเฟียหันกลับไปมองยังกระจกที่มีผ้าม่านปิดบังสายตาจากความเป็นห่วงของเพื่อนฝูง “ปลอดภัย” เธอพูดเสียงเบาลง

              “ถ้าพี่ไคละก็ปลอดภัยแล้วล่ะครับ” เสียงของแทงค์ดังขึ้นหลังจากได้สติ

              ทุกคนในบริเวณนั้นหันกลับมามองแทงค์เป็นสายตาเดียวกัน โดยเฉพาะจีนน้องสาวที่แสนน่ารักของเด็กหนุ่ม ซึ่งไม่เคยเชื่อเรื่องสิ่งเหนือธรรมชาติ เธอมองเด็กน้อยด้วยความรู้สึกหงุดหงิดในใจ ว่าทำไมเขาถึงได้มั่นใจขนาดนั้นทั้งๆ ที่คุณหมอเองก็ยังเพิ่งบอกเธอไปหยกๆ ว่าอาการ ‘ห้าสิบ ห้าสิบ’

              “อะไรที่ทำให้มั่นใจได้ขนาดนั้นล่ะ” จีนเอ่ยถามด้วยเสียงสั่นๆ เนื่องจากเธอกำลังร้องไห้อยู่ น้ำตาเปรอะแก้มสีชมพูของเด็กสาว

              แอด คุณหมอเปิดประตูเดินออกมาจากห้อง สามสาวหันมองไปในทิศทางเดียวกัน จากนั้นพาเข้ากรูล้อมรอบคุณหมอ ต่างก็ถามพร้อมกัน

              “พี่ไคเป็นยังไงบ้างคะ/กริยาเป็นยังไงบ้างคะ/พี่ยาเป็นยังไงบ้างคะ” หลังจากสิ้นคำถามของทั้งสามคน คุณหมอก็เกาศีรษะทำท่าทีมึนงง เหมือนไม่เข้าใจภาษาของทั้งสาม

              “เอ่อ ใจเย็นก่อนนะครับ”

              “ค่ะ/ค่ะ/ค่ะ” สามเสียงประสานพร้อมกัน คุณหมอถึงกับยืนนิ่งไปสักพัก

              ทันใดนั้นรถเข็นคันหนึ่งถูกนางพยาบาลสาวผมสั้นหยักศกเลื่อนออกมาจากในห้อง เสียงเด็กหนุ่มดังขึ้น “ก็พวกเธอเล่นเรียกชื่อผมไม่ซ้ำกันเลยซักคน คุณหมอไม่งงก็แปลกแล้วล่ะ” ไค กำลังนั่งอยู่บนรถเข็น สวมชุดคนไข้ลายสีฟ้าสลับขาว ผมสีดำยุ่งเหยิงมีผ้าพันหน้าผาก เหงื่อไหลเป็นทางตั้งแต่หน้าผากลงมาจนถึงปลายคาง เขาสวมเฝือกไว้ที่ขาสองข้างและแขนซ้าย

          “…” ทั้งสามเงียบไปสักพัก ก่อนจะโผเข้าหาเด็กหนุ่ม ทั้งแอนนาผู้โอบกอด ทั้งจีนผู้กุมมือ และโซเฟียที่ยืนดูอยู่ใกล้ๆ เด็กหนุ่มยกนิ้วโป้งให้แทงค์ที่มองอยู่ห่างๆ

          “ถ้าหากพี่ยาไม่ฟื้นขึ้นมาหนูจะไม่ยอมให้อภัยเด็ดขาดเลย” น้องสาวผู้น่ารักบีบมือของเด็กหนุ่มแน่นขึ้นเรื่อยๆ

          “กริยาคราวหลังห้ามตกบันไดอีกนะ” แอนนาขมวดคิ้วพลางคลายอ้อมกอด “เธอหลับไปตั้งสี่วันแน่ะ”

          “น..นั่น..นั่นสินะ”

          คุณหมอซึ่งมองดูมิตรภาพของผองเพื่อนต่างวัยแล้วตื้นตันใจค่อยๆ ยกมือขึ้นเล็กน้อย “คือ ว่าถ้าไม่มีอะไรแล้วหมอขอตัวก่อนนะครับยังไงก็กลับไปที่ห้องแล้วพักผ่อนมากๆ นะครับ เดี๋ยวหมอขอดูอาการอีกซักสองสามวันถ้าเกิดไม่มีอาการอะไรขึ้นมาอีกก็น่าจะ ให้กลับได้”

          “ข..ขอบคุณครับ” ไคยิ้มให้คุณหมอเล็กน้อยอย่างเขินๆ ก่อนที่นางพยาบาลจะเลื่อนรถเข็นพาไปยังห้องผู้ป่วยหมายเลข 301 ภายในห้องมีขนาดไม่กว้างไม่เล็กจนเกินไป มีตู้เย็นข้างเตียงและโทรทัศน์อยู่บริเวณปลายเตียง มีโซฟาสีน้ำตาลอยู่ข้างประตูทางเข้า

          ไคนอนลงบนเตียงหลังจากนั้นนางพยาบาลจึงต่อสายน้ำเกลือให้แล้วเดินออกไปนอกห้อง แอนนาและจีนเดินเข้ามา ไคมองดูอย่างสงสัย

          จีนเดินนำหน้าแอนนามานั่งลงที่เก้าอี้พับข้างเตียง “เด็กผู้ชายกับเด็กผู้หญิงสองคนนั้นเขาขอตัวกลับไปแล้วล่ะ”  ไคพยักหน้าเล็กน้อย

          “กริยาอาการเป็นไงบ้าง” แอนนาถามอย่างเป็นห่วง

          “ปวดหัวนิดหน่อยน่ะ เราไม่เป็นไรมากหรอก” ไคยิ้มเฝื่อนๆ ถึงแม้จะพยายามฝืนความเจ็บปวดยิ้มอย่างไร มันก็อาจไม่ทำให้อาการดูแข็งแรงดีได้เลย

          “พี่แอนนาเขาเป็นคนเห็นพี่นอนจมกองเลือดอยู่ใต้บันไดเลยนะ ถ้าพี่เขาไม่บังเอิญเดินมาเจอพี่ก็ไม่รู้จะเป็นยังไง” จีนบรรยายสถานการณ์ในวันเกิดเหตุให้เด็กหนุ่มฟัง

          “ขอบใจนะ” ไคมองหน้าของแอนนาอย่างซึ้งใจ (‘งี้ เองสินะ เธอยังรอฉันจนถึงช่วงที่ตกบันไดเลยสินะ ทั้งๆ ที่เราไม่ยอมบอกกล่าวอะไรเธอเลยแท้ๆ ทั้งที่เราอยากจะให้เธอกลับไปก่อนแท้ๆ ถึงเธอจะไม่รู้อะไรก็ยังรอจนถึงที่สุดสินะ’) น้ำตา ของไคเริ่มพร่างพรูออกมาอย่างช้าๆ เขารู้สึกผิดที่ไม่ได้เล่าอะไรให้เธอฟังเรื่องพี่ยาม คำสาป และเรื่องที่ชมรมกำลังมีอันตรายถึงขั้นชีวิต เด็กสาวผู้ไม่รู้เรื่องอะไรเลยได้ช่วยชีวิตเขาเอาไว้

          “อ..อื้ม..ไม่เป็นไร” แอนนาหลบสายตา แก้มเริ่มปรากฎสีชมพูดูเขินอาย

          “จะว่าไปแล้วพี่คะ”  จีนเอ่ยหยุดความหวานฉ่ำของทั้งสอง

          “ทำไมเหรอ”

          “ที่เด็กผู้ชายตัวเล็กๆ นั่นกับเด็กผู้หญิงอีกคนที่เป็นตัวแทนชมรมอะไรนั่น เรียกพี่ว่าไคอะไรเนี่ย มันหมายความว่าไงหรือคะ มันหมายความว่าไงหรือคะ” จีนเริ่มแสยะยิ้มสยองย้ำคำถามสองครั้งด้วยกัน

          “ทำไมเธอต้องถามย้ำด้วยล่ะนั่น”  ไคเหงื่อตก “มันก็เป็นชื่อเรียกเล่นๆ ในชมรมล่ะนะ”

          “เอ๋ๆ ไม่เคยเล่าให้หนูฟังเลยนี่นา ไอ้เราก็นึกว่าไม่พอใจชื่อที่แม่ตั้งให้ซะอีก” จีนลุกจากเก้าอี้เดินไปเปิดตู้เย็น คว้าขวดน้ำเปล่าออกมาพลางเปิดดื่มไปสองสามอึก

          แอนนาหย่อนก้นนั่งลงบนโซฟา พลางยิ้มให้ไคอย่างเป็นกันเอง “คืนนี้เราก็จะขอนอนที่นี่นะ”

          “อ..เอ๋” ไคทำสีหน้าเหวอหวาอย่างสุดๆ

          จีนเดินมานั่งที่เก้าอี้ตัวเดิม “ดีเหมือนกัน เพราะหนูก็อยากจะกลับไปอาบน้ำนอนที่บ้านอยู่เหมือนกัน คืนนี้ก็ฝากพี่แอนนาเฝ้าอีกแล้วกันนะคะ”

          “อีกงั้นเหรอ อย่าบอกนะว่าคืนก่อนๆ ก็ด้วย” ไคลุกลี้ลุกลน เขาไม่เคยอยู่กับผู้หญิงข้ามคืนแบบสองต่อสองมาก่อน ถึงแม้จะแค่เป็นการเยี่ยมผู้ป่วยก็ตามที

          “เดี๋ยววันพรุ่งนี้พ่อกับแม่จะมาเยี่ยมนะคะพี่ วันนี้หนูขอตัวกลับก่อนล่ะ ดึกกว่านี้จะอันตราย”หลังจากน้องสาวผิวขาวของไคเอ่ยลา เธอก็สะพายย่ามออกจากห้องผู้ป่วย

          “ดูแลตัวเองดีๆ ล่ะ”

          “บายจ้า” แอนนาโบกมือให้จีนพร้อมรอยยิ้มโชว์ฟันขาวสะอาด 

          “ที่ต้องดูแลตัวเองน่ะมันพี่ต่างหาก แบร่” เธอแลบลิ้นปลิ้นตาใส่พี่ชายตามรูปแบบน้องสาวที่เธอคิดค้นขึ้น  จากนั้นจึงโบกมือลาแล้ววิ่งออกจากห้อง

          “อย่าวิ่งสิถ้าตกบันไดเป็นแบบพี่ขึ้นมาจะทำยังไง” ไคตะโกนสั่งน้องสาว

          “ค่า”

          หลังจากเธอไปแล้ว ไคจึงเริ่มนอนคลุมโปง ในขณะที่แอนนาปิดไฟแล้วย้ายจากโซฟามานั่งเก้าอี้พับที่ปลายเท้าของเด็กหนุ่ม เธอมองดูไคเป็นเวลาราวๆ สิบห้านาทีเห็นจะได้ ก่อนจะคล้อยหลับไป

           กลางดึกมีเงาประหลาดนอนแนบทับลำตัวเด็กหนุ่ม “อึก อ่อก”  ไคเริ่มรู้สึกถึงความหนัก หายใจไม่ออก เด็กหนุ่มค่อยๆ ลืมตา มองเห็นเป็นเงาสีดำ ผมยาวปกปิดใบหน้า กลิ่นเหม็นฉุนคลุ้งจมูก

          “แอนนา แฮ่กๆ แอนนา” เด็กหนุ่มพยายามส่งเสียงเรียกหญิงสาวซึ่งหลับอยู่บนปลายเท้าของเขา ทว่าเสียงกลับแหบแห้งผิดปกติ

          “คราวนี้แกตายแน่” เสียงปริศนาคุ้นหูดังขึ้น เป็นเสียงเดียวกับที่ไคได้ยินก่อนที่จะตกบันได

          “ใคร แกเป็นใคร”

          “แกเองรู้ดีที่สุดไม่ใช่เหรอ”

          “อ๊าก” เด็กหนุ่มร้องดังลั่นห้องสะดุ้งขึ้นจากความฝัน ปลุกให้แอนนาตื่นอย่างตระหนกตกใจ

          “ม..มีอะไรเหรอกริยา”

          (‘น..นี่เราฝันไปเหรอ’) ไคเหงื่อไหลพรากบริเวณโดยรอบมืดสนิท เขาเพียงแค่ฝันไปเท่านั้น หรือไม่บางทีมันอาจจะไม่ใช่เพียงแค่ฝันก็ได้ “เราฝันร้ายน่ะ”

          “เอ๋…” เด็กสาวเอียงคอสงสัย “อะไรคือฝันร้ายเหรอ”

          “หา” เด็กหนุ่มทำท่าทางเหมือนไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ตัวเองได้ยิน “นี่เธอไม่รู้จักฝันร้ายงั้นเหรอ”

          “…” เธอเอียงคอสงสัย แววตาเธอยังดูงัวเงีย

          “ไม่สิ ขอเปลี่ยนคำถามใหม่ดีกว่า ชาวดวงจันทร์นี่เขาไม่เคยฝันร้ายกันเลยเหรอ”

          “อ..อื้ม” เธอลุกขึ้นเดินมาบริเวณตัวของไค ซึ่งเขากำลังเอนพิงกับหัวเตียงอยู่ พลางโอบกอดเด็กหนุ่มเอาไว้ หูของเขาชนกับอกของเธอเบาๆ พลางได้ยินเสียง ตุบ ตุบ ของหัวใจ “ไม่เป็นไรนะเราจะอยู่ข้างเธอเอง”

          “อ..อื้ม” เด็กหนุ่มหลับตาลงช้าๆ ท่ามกลางความมืดมิด ความอบอุ่นภายใต้กอดของหญิงสาวทำให้ความหวาดกลัวในใจลึกๆ ของเขาได้รับการเยียวยา (‘จะว่าไปแล้วใครกันที่ผลักเราตกบันไดลงมา เราเองรู้ดีที่สุดงั้นเหรอ’)

          สักพักเสียงร้องเพลงเป็นภาษาดวงจันทร์ก็ดังขึ้นภายใต้อ้อมกอด เสียงเพลงของแอนนาเป็นเสียงที่นุ่มนวลราวกับดนตรีเย้ายวนใจของนางเงือกท่าม กลางทะเลมหาสมุทรอันไพศาล แสงจันทร์จากนอกหน้าต่างส่องทะลุผ่านผ้าม่านมาได้ราวกับไม่มีสิ่งใดขวางกั้น แสงสีทองจากพระจันทร์โอบล้อมกอดของหนุ่มสาวทั้งคู่เอาไว้ จังหวะหัวใจของหญิงสาวเป็นดั่งเครื่องดนตรีประสานเข้ากับเสียงนาฬิกาดัง เตือนเวลาเที่ยงคืนเป็นทำนองสอดคล้องเข้ากับเนื้อเสียงของแอนนา บาดแผลบางส่วนของเด็กหนุ่มได้รับการเยียวยาลงเล็กน้อย ยาอายุวัฒนะภายในกระแสเลือดของเด็กหนุ่มเปล่งประกายแสงจันทร์รักษากระดูกที่ แตกหักและร้าวอย่างช้าๆ

          เสียงเพลงของแอนนาก็คือ บทบรรเลงแห่งการเยียวยาแผลใจ ซึ่งเชื่อมต่อไปยังยาอายุวัฒนะเพื่อรักษาแผลในและนอกกายหยาบนั่นเอง

          “เพราะจัง”  ไคเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มขณะหลับตา (‘ความรู้สึกเจ็บปวดเหมือนจะหายไปทีละนิดเลย’)

          แอนนาร้องเพลงจนจบ บาดแผลของเด็กหนุ่มหายสนิทราวกับปาฏิหาริย์ เขาออกจากอ้อมกอดของเธอ แล้วใช้มือข้างหนึ่งถอดสายน้ำเกลือออก พลางวางเท้าลงกับพื้น

          “จะไปไหนเหรอ” แอนนามองดูเด็กหนุ่มกำลังพยายามทรงตัวยืน ออกจะดูโซเซไปมา เขานั่งลงอีกครั้งบนเตียงพยายามถอดเฝือกออก

          “เราจะออกไปดูบริเวณรอบๆ โรงพยาบาลนี้ซักหน่อยน่ะ”  ไคพูดขณะกำลังแกะเฝือก (‘เป็นไปได้ว่า เจ้าตัวการจะอยู่ที่นี่ต้องตรวจดูให้แน่ใจ’)

          “ให้เราช่วยมั้ย” แอนนายิ้มให้ ก่อนที่เด็กหนุ่มจะตอบอย่างสั้นๆ

          “อื้ม”

          ทั้งสองช่วยกันถอดเฝือกตามแขนและขาออกท่ามกลางความมืดมิดที่มีแสงจันทร์รำไร ไคมองดูเด็กสาวผู้ใจดีกับเขาเหนือสิ่งใด

          “ว่าแต่ถ้าเธอมีพลังที่จะรักษาฉันได้แบบนี้ทำไมถึงไม่ใช้ตั้งแต่แรกล่ะ” ของเด็กหนุ่มได้ถามคำถามที่ค้างคาใจออกไป

          “เพลงนี้น่ะ ถ้าไม่มีใครฟัง ร้องไปมันก็ไม่มีความหมายหรอกนะ” แอนนาตอบอย่างจริงจังพลางจ้องมองเด็กหนุ่มไม่คลาดสายตา

          “คือจะบอกว่าถ้าร้องไปแล้วฉันไม่ได้ยินก็จะไม่หายสินะ” การยิ้มเฝื่อนๆ ของเด็กหนุ่มดูเหมือนจะติดเป็นนิสัยไปเสียแล้ว

          “อ..อื้ม” เด็กสาวหน้าแดงเล็กน้อย

          หลังจากการถอดเฝือกที่แสนจะยากลำบากได้ผ่านเลยไป แอนนาค่อยๆ พยุงไคเดินอย่างช้าๆออกไปยังนอกประตูห้อง มีพยาบาลเดินผ่านมา ทำให้ทั้งคู่ต้องรีบหลบกลับเข้าไปในห้องพักอีกครั้ง

          ไคกระซิบข้างหูแอนนาเบาๆ “ถ้าพยาบาลเห็นฉันละก็แย่แน่ๆ”

          “ถ้าอย่างนั้นจะทำยังไงกันดีล่ะ” เด็กสาวเอียงคอสงสัยตามบุคลิก

          “เราต้องปลอมตัว” ไคยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ราวกับถอดแบบมาจากโตไม่มีผิด

          ท่ามกลางราตรีภายในโรงพยาบาล มีเด็กชายผู้ไว้ผมสั้นปรกต้นคอผิวขาวน่ารัก สวมชุดนักเรียนหญิง ปัดเส้นผมมาปรกหน้าเล็กน้อย เขาสวมรองเท้าแตะของทางโรงพยาบาล ค่อยๆ เดินย่องออกมาจากห้อง คอยนำมือมาจับกระโปงที่ทำให้รู้สึกโล่งๆ ตลอดเวลา ในขณะเดียวกัน หญิงสาวผู้ป่วยมีผ้าพันแผลโพกหัวสวมชุดคนไข้สีฟ้าสลับขาว ค่อยๆ เดินตามหลังเด็กหนุ่มมาอย่างอายๆ

           “นี่กริยาแบบนี้มันจะได้ผลจริงเหรอ” หญิงสาวในชุดคนไข้ถามด้วยใบหน้าแดงก่ำ

          “ไม่รู้สิฉันเองก็คิดว่าจะกลับไปเปลี่ยนแผนใหม่ดีมั้ยอยู่เหมือนกัน” ไครู้สึกอายเสียยิ่งกว่าแอนนาหลายพันเท่า ตามแผนที่วางไว้ถ้าเจอกับนางพยาบาลเขาก็แค่ต้องก้มหน้าลงเล็กน้อย อีกอย่างหุ่นที่ผอมบางของเขาก็ค่อนข้างจะไม่เด่นชัดสักเท่าไหร่ หากมองผ่านๆ ก็คงเห็นเป็นเด็กผู้หญิงทั่วไป นอกจากนั้น แอนนาซึ่งสวมชุดคนไข้อยู่ ก็ไม่ได้มีใครใส่ใจหล่อนสักเท่าไหร่เพราะถึงจะปลอมตัวเป็นคนไข้ แต่ก็ดูอาการไม่สาหัสมากนัก ถ้าโดนถาม แค่อ้างว่าจะไปห้องน้ำก็คงได้ แต่ถ้าเป็นคนไข้ระดับแขนขาหักมาเดินเตร็ดเตร่คงเป็นเรื่องใหญ่หน้าดู ทว่าแบบนี้มันช่างเป็นสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกอับอายยิ่งนัก

          (‘อยากลงนรกเสียเดี๋ยวนี้เลย นี่เราวางแผนอะไรกันวะเนี่ย’) เด็กหนุ่มเริ่มไม่กล้าเดินผ่านนางพยาบาลมากขึ้นทุกขณะ ในบางบริเวณไม่มีใครอยู่ทำให้อุ่นใจไปเปราะหนึ่ง (‘รีบตรวจตราให้แน่ใจจะได้รีบๆ กลับ’) เด็ก หนุ่มหยุดคิดฉับพลัน ก่อนที่เขาจะนึกถึงนางพยาบาลที่เดินผ่านไปมา หนึ่งในนั้นมีคนหนึ่งที่เดินตัดหน้าเขาเข้าไปในทางตันแต่แล้วเมื่อเดิน ผ่านกลับไม่เจอใคร

          ใจของไคเริ่มรู้สึกถึงความกลัวอีกครั้ง ใช่แล้ว เขาลืมนึกถึงกฎเหล็กข้อหนึ่ง ข้อสำคัญของเขา (‘นี่เรามองเห็นผีได้นี่นา’) ในโรงพยาบาลเป็นแหล่งที่เขาไม่อยากมาเยือนมากที่สุด

          แอนนาเดินตามหลังมาอย่างอายๆ เมื่อเห็นไคหยุดชะงักก็เกิดสงสัย “มีอะไรเหรอกริยา”

          “...” เด็กหนุ่มเงียบไปสักพัก “กลับห้องกันเถอะ” (‘ถ้าขืนเดินไปมากกว่านี้ ก่อนที่จะเจอเจ้าตัวการ มีหวังเราได้ช็อกตายเอาก่อนแน่’)  

          “เอ๋..” แอนนาดูจะโล่งใจเล็กน้อยที่จะได้เปลี่ยนกลับเป็นชุดเดิมสักที

          “อ๊ะ นี่พวกเธอ” เสียง ของชายวัยกลางคนตะโกนดังขึ้นในขณะที่ทั้งคู่กำลังจะหันหลังกลับ ไคหยุดนิ่งหลังจากได้ยินเสียง ทว่าแอนนากลับรีบเดินนำไปก่อน เด็กหนุ่มค่อยๆ หันกลับไปหายังต้นตอของเสียงเรียก

              “พี่ยาม”

โปรดติดตามตอนต่อไป

 

 

ครับ ขอบคุณครับที่ได้ติดตามกันจนจบไปอีกในหนึ่งตอน  ขอขอบคุณท่านผู้อ่านมากๆ ครับ

 

ปล.รักนะ!คนอ่าน

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.6 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา