ชมรมวิจัยเรื่องลึกลับ (หลังเลิกเรียน)
6.8
เขียนโดย shotaro
วันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 เวลา 15.35 น.
32 ตอน
8 วิจารณ์
36.99K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 15.39 น. โดย เจ้าของนิยาย
13) คาบเรียนที่7.5: สีดำ พี่ชาย และชมรม
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความคาบเรียนที่7.5 : สีดำ พี่ชาย และชมรม (บทโบโต2)
“เอธร” ทุกคนทั้ง โต อีฟ และโจต่างพูดพร้อมกันเสียงหลง ท่ามกลางความมืดในห้องน้ำมีแสงจันทร์ส่องผ่านใบพัดระบายอากาศเล็กๆ เข้ามาเป็นเส้นตรง
“อย่าทำหน้าตกใจอย่างนั้นสิครับพี่โต” เอธรยิ้มที่มุมปาก
“ถอดจิตสมบูรณ์ถึงขนาดเห็นเป็นภาพได้แล้วสินะ” โตมองดูเห็นส่วนเท้าของเด็กหนุ่มเป็นเงาดำขนานติดกับพื้นราวกับว่าเป็นรากงอกออกมาอย่างไรอย่างนั้น
“อัน ที่จริงผมก็ทำไม่ได้ถึงขนาดนี้หรอกนะ แต่รู้สึกว่าช่วงนี้จิตด้านลบในบริเวณโรงเรียนนี้มันมากกว่าปกติ ผมก็เลยมีผลพลอยได้ไปด้วย เอาเถอะ ผมก็แค่จะมาเตือนว่า ให้ระวังตัวซะหน่อย ก็ยังเห็นว่าเป็นรุ่นพี่อยู่ล่ะนะ หึๆ”
โจที่ยืนนิ่งมานานแทรกขึ้นสวนถามทันที“ระวัง ระวังอะไร” โตยกมือกันไม่ให้โจถามอย่างร้อนรน
“มีคนคิดจะทำร้ายสมาชิกในชมรมเรา หวังว่าคงไม่ใช่แกนะเอธร” โตมองใบหน้ารุ่นน้องผู้แฝงอยู่ในเงามืดอย่างตาไม่กระพริบ
เมื่อรุ่นพี่ถามเช่นนั้นเด็กหนุ่มจึงแสยะยิ้มพูดกึ่งหัวเราะ “หึๆ แกเอง ก็เป็นหนึ่งในคนทำให้แผนที่ฉันวางไว้เป็นปีต้องล่มอยู่ดีล่ะนะ แต่เห็นแบบนี้ ฉันเองก็คงต้องใช้เวลาหาวิธีฟื้นอายุขัยเหมือนกัน คงไม่มีเวลามาวุ่นวายกับพวกเเกมากนักหรอก ว่าแต่…กริยาไปไหนซะล่ะ” เขามองซ้ายแลขวา
“แกไม่จำเป็นต้องรู้หรอก อุ๊บ” และแล้วโจที่เริ่มพูดขึ้นเสียงก็ถูกโตใช้มือปิดปากอย่างรวดเร็ว
“ช่างเถอะ แต่บางทีแกอาจจะรู้นะว่าใครเป็นตัวการ” โตยักคิ้วส่งสัญญาณให้อีฟ แต่เธอส่ายหน้าก่อนจะกระซิบข้างหูโตอย่างเบาๆ “อ่านใจไม่ได้เลยค่ะพี่โต” บางทีอาจเพราะร่างที่เห็นนั้นเป็นเพียงการถอดจิตของเอธรเธอจึงไม่สามารถอ่านใจได้
“เรื่องที่พี่โตไม่รู้น่ะ ให้ผมรู้คนเดียวเถอะครับ หึๆ ฮ่าฮ่าฮ่า” หลังจากได้ทิ้งท้ายไว้ ร่างของเด็กหนุ่มถูกเปลี่ยนเป็นเงาทะมึนค่อยๆ กลืนกินเข้ากับความมืดยามราตรี
“ฮิฮิฮิ หมอนี่ไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ” หลังจากเอธรไปแล้วโตก็เอามือออกจากปากโจ พลางหัวเราะเจ้าเล่ห์เช่นเคย "ตอนแรกก็อดคิดไม่ได้แฮะว่าเป็นฝีมือมัน"
“หมายความว่าไงครับ/คะ พี่โต” อีฟและโจถามพร้อมกันเป็นเสียงเดียว
“หมอนั่นบอกว่าช่วงนี้จิตด้านลบในบริเวณโรงเรียนนี้มันมากผิดปกติใช่มั้ยล่ะ”
“ก..ก็ใช่นะครับ แล้วมันเกี่ยวอะไรหรือครับ” โจพยายามเดาความคิดของรุ่นพี่ แต่ก็ได้เพียงเอียงคอขมวดคิ้วสงสัยอยู่อย่างนั้น
โตเดินออกจากห้องน้ำพลางกวักมือเรียกทั้งสองคนให้เดินตามมา “เอธรน่ะไม่เคยโกหก ถ้าหมอ นั่นไม่ใช่ตัวการก็หมายความว่าเป็นคนอื่นทำ เรื่องหมอนั่นรู้ตัวการหรือเปล่านั้นฉันยืนยันไม่ได้ แต่ที่หมอนั่นมาบอกเราอย่างน้อยก็ทำให้รู้อย่างหนึ่ง” โตกอดอกขณะเดินนำไปยังทางขึ้นบันได
“…” โจทำหน้างง
“นั่นก็คืออะไรเป็นตัวทำ” โตเอียงหน้าหันมามองโจและอีฟเล็กน้อยขณะก้าวขึ้นบันได
“อะไรเป็นตัวทำ หรือว่าจะคือจิตด้านลบ” โจทำท่าเหมือนจะเริ่มเข้าใจ
“ใช่จาก ที่คาดเดาได้ บางทีอาจไม่ใช่ว่าใครบางคนกำลังเล่นมนต์ดำกับพวกเรา แต่เป็นใครบางคนอาศัยจิตด้านลบในโรงเรียนเล่นงานเราต่างหาก หรือก็คือถ้าเราทำลายต้นตอของจิตด้านลบนั่นซะ ตัวการก็จะต้องเผยตัวออกมาแน่นอน” โตยิ้มให้รุ่นน้องทั้งสองเล็กน้อย ตอนนี้ทั้งสามกำลังจะเปิดประตูออกไปสู่ดาดฟ้า
บริเวณดาดฟ้ามีแสงจันทร์ส่องลงมาอย่างเด่นชัด โตเดินตรงมาเรื่อยๆ จนถึงเหล็กกั้น พลางก้มลงมองข้างล่างตึกทั้งเก้าชั้น มองเห็นไอสีดำอบอวลไปทั่วทั้งตึกก่อตัวเป็นรูปยันต์ประหลาด
“อย่างที่คิดจริงๆ ด้วย ทำไมเราถึงไม่ทันได้สังเกตเลยนะ” โตพึมพำอย่างแน่ใจขณะมองดูความมืดมิดท่ามกลางแสงยามราตรี ทว่าเมื่อเขาเริ่มเอะใจบางอย่างความมั่นใจของเขาก็เริ่มลดลง
“จดหมายถึงชมรม ไสยศาสตร์จากรูปภาพ พี่ยามตาย ไคบาดเจ็บ” สายตาของโตเริ่มดูหม่นหมอง “ถ้าฉันรู้สึกตัวเร็วกว่านี้คงจะแก้ไขได้ไปนานแล้วแท้ๆ”
“มีอะไรข้างล่างหรือครับพี่โต” โจมองตามตำแหน่งสายตาประธานหนุ่ม
“จำเรื่องยันต์ประหลาดที่ไคเผลอเหยียบไปในวันที่เข้าชมรมได้มั้ย”
“เอ่อ ถ้าพี่โตไม่เอ่ยขึ้นผมก็คงลืมไปนานแล้วนะครับเนี่ย” โจยิ้มอย่างเฝื่อนๆ
โตน้ำตาร่วงลงจากดาดฟ้าสองสามหยดก่อนจะพูดต่อ “นั่นน่ะ เป็นยันต์เปิดทางผีผ่านที่ฉันกับเอธรคิดค้นขึ้นในสมัยเพิ่งก่อตั้งชมรมใหม่ๆ” โตหยุด สะอื้นเล็กน้อยก่อนจะเล่า “หลังจากคิดค้นไปได้ไม่นาน ทั้งๆ ที่เก็บไว้ในลิ้นชักมันก็กลับหายไป”
“หรือจะเป็นเอธร”
“ไม่ ไม่ใช่ ไม่ใช่หรอก เอธรน่ะในตอนนั้นก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ายันต์อยู่ที่ไหน” โตนำมือมากุมศีรษะขณะกัดฟันร้องไห้ อีฟได้เพียงแต่ยืนดูทั้งสองคน ตั้งใจฟังคำสารภาพของรุ่นพี่
“ก็แล้วยันต์นั่นมันไปเกี่ยวอะไรกับจิตด้านลบล่ะครับ” โจขยี้ผมบนศีรษะ คิดเท่าไรก็คิดไม่ออก
“ฉันก็ลืมมันไปนานแล้วเหมือนกัน ลืมไปซะสนิทเลยจนกระทั่ง” ดวงตาของโตเบิกโพลงขณะมองลงไปจากดาดฟ้า บรรยากาศยามดึกช่างหนาวเหน็บราวกับจะยั่วยวนให้กระโดดลงไปตายเบื้องล่าง
ฟุบ จู่ๆ อีฟก็ล้มคุกเข่าลงกับพื้น ทำให้โจหันวิ่งกลับมาดูอย่างรวดเร็ว “อีฟเป็นอะไรมั้ย”
“พ..พี่โต” อีฟหน้าซีดกว่าทุกครั้งดูเหมือนเธอจะเผลอไปอ่านใจโตเข้าอีกเสียแล้ว เป็นเหตุให้โจเริ่มสงสัยมากขึ้นไปอีก
“โธ่เว้ย เป็นอะไรกันไปหมดวะเนี่ย” โจวิ่งมากระชากคอเสื้อของรุ่นพี่
“ไอความมืดที่ออกมาจากตึกนี้น่ะ เป็นลายอักษรที่ผนึกไว้ในยันต์ผีผ่าน ที่เอธรไม่บอกฉันคงเป็นเพราะไม่อยากให้รู้เรื่องนี้ก็เป็นได้” น้ำตาของโตเริ่มไหล
“ก็แล้วไอ้ยันต์บ้าอะไรนั่นมันไปเกี่ยวอะไรกับจิตด้านลบกันเล่า” โจเริ่มกำหมัดทำทีจะชกรุ่นพี่ที่ดูจะเลื่อนลอย
“จำที่ไคเล่ามาได้สินะ หมอนั่นบอกว่าเผลอเหยียบยันต์ตกบันได จากนั้นหมอนั่นก็เอายันต์วางไว้ที่ข้างห้องพระ” โตหลับตาลง
“ก็แล้วมันยังไงเล่า มัวแต่ทำท่าทางลีลาอยู่ได้ไม่สมกับเป็นพี่โตเอาซะเลย อีฟก็ด้วย ทำไมมีแต่ฉันที่ไม่เข้าใจวะเนี่ย” โจตะคอกใส่ประธานหนุ่มอย่างสุดอารมณ์จะกลั้น
“ยันต์ที่วางไว้ จริงอยู่ที่เป็นจุดอับลมแล้วจะไม่ปลิว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าลมจะไม่ผ่านมาเลยนี่ ถ้าบังเอิญมันโดนพัดไปอยู่ในห้องพระล่ะ นายก็อ่านความทรงจำของวิญญาณตนนั้นมาแล้วไม่ใช่เหรอ จิตด้านลบน่ะเต็มเปี่ยมเลย นอกจากนั้นถ้าเกิดยันต์ผีผ่านไม่ได้ลอยเข้าไปอยู่ในห้องพระเคลื่อนที่ แต่เป็นระหว่างประตูห้องพระที่เคลื่อนย้ายไปมาแทนล่ะ” โตค่อยๆ ลืมตาอีกครั้งดวงตาช่างดูน่าสงสาร ความโกรธแค้นตัวเองกลืนกินจิตใจ “คำตอบก็คือ ยันต์นั่นต้องอยู่ในผนังตึกเรียนที่ไหนซักแห่ง
และจิตด้านลบของวิญญาณในตอนนั้นที่ค้างคาอยู่ ก็คงจะถูกเปิดแพร่ออกมาพร้อมกับสิ่งชั่วร้าย โดยผ่านยันต์ผีผ่าน” โต เริ่มจะร้องไห้อีกครั้ง เขาคิดถึงพี่ยาม รุ่นน้องที่แสนดีอย่างไค รวมถึงสิ่งที่ตัวเองได้ทำลงไปด้วยความสนุกส่วนตัว "หรือถ้าไม่เป็นอย่างนั้นบางทีอาจมีคนนำมันไปใช้ซึ่งนั่นถือเป็นทางที่เลว ร้ายที่สุด"
โจปล่อยมือออกจากคอเสื้อของโตด้วยความสงสาร รุ่นพี่ล้มลงกับพื้นน้ำตาไหลแต่ก็ไม่ได้ส่งเสียงใดๆ
อีฟค่อยๆ ลุกขึ้นหลังจากปรับอารมณ์ได้แล้ว เธอไม่ได้โกรธรุ่นพี่ แต่กลับสงสารจนไม่กล้าทำอะไร "ถ้ายันต์นั่นเป็นสิ่งที่พี่สร้างแล้วล่ะก็ จะชดเชยความผิดนี้ได้พี่ก็ต้องตามหาและทำลายมัน" โจเดินเข้ามาพยุงไว้เมื่อเห็นเธอยืนโอนเอนไปมาจวนจะล้ม เพราะการอ่านใจทำให้เธอพลอยได้รับความทุกข์จากโตไปด้วย
“ถ้าจะตามหากันตอนนี้ พี่โตคงจะไม่ไหวมั้ง” โจพูดกับอีฟแล้วทั้งคู่ก็หันไปดูรุ่นพี่หมดอาลัยตายอยากพร้อมกัน
“พวกนายไปกันก่อนเลย ฉันขอเวลาอยู่ตัวคนเดียว” โตกัดฟันน้ำตาไหลมาถึงปลายจมูกแล้วร่วงลงพื้นทีละหยด
“ขืนปล่อยพี่ไว้เกรงว่าจะมีผีเฝ้าโรงเรียนเพิ่มอีกตัวเอาน่ะสิ” โจค่อยๆ ปล่อยอีฟ แล้วเดินไปหาโตซึ่งคุกเข่าซังกะตายอย่างช้าๆ ขณะพูด “ผมจำได้ว่า ชมรมนี้ชื่อวิจัยเรื่องลึบลับนะครับพี่โต” โจเริ่มง้างหมัดอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้ม “เรายังไม่เคยได้ลองวิจัยอะไรจริงจังเลยนะเว้ยไอ้ประธานเฮงซวย” หมัด ทะลวงฝ่าความหนาวเย็นยามราตรี ตัดเสียงอากาศดัง ฟั่บ เอากระแทกเข้าที่แก้มขวาของโตกระเด็นไปอย่างแรงล้มทั้งท่านั่ง อีฟตกใจแต่พูดไม่ออก
โตค่อยๆ ลุกเดินโซเซเลือดกบปาก สายตาของเขาเปลี่ยนไป “ชมรมทำงานบ้านต่างหากเว้ย” เขาพยายามกำหมัดจะสวนใส่โจ ทว่ากลับมึนจนไม่มีแรงชก เขาเปลี่ยนจากมือที่กำหมัดมาเกาะไหล่โจพยุงตัวเองไว้
“โอย ขอบใจนะที่จะช่วยเรียกสติแบบลูกผู้ชาย แต่ว่าแบบนี้มันก็หนักนะ โชคดีจังที่ฟันไม่หลุด” โตยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ตามบุคลิก ใบหน้าและรอยยิ้มที่เปื้อนเลือดของเขามันช่างดูสยดสยอง จนทำให้อีฟที่ยืนมองดูมิตรภาพทั้งสองถึงขั้นหน้ามืด
“อย่ายิ้มแบบนั้นอีกนะยะ” เธอเบือนหน้าหนีโต
“แต่ว่าวันนี้คงจะไม่ไหวจริงๆ ล่ะนะ” โตเริ่มมองสิ่งต่างๆ ด้วยแววตาฝ้าฟาง มือที่เกาะกุมหัวไหล่ของโจลื่นหล่น ทำให้ร่างกายกระแทกพื้นดัง ตุบ
“พ..พี่โต” โจตะโกนลั่นด้วยท่าทางตกใจ เขารีบนั่งลงเขย่าตัวรุ่นพี่
“ก็แกนั่นแหละโจ ไปซัดพี่เขาซะเต็มแรงขนาดนั้นมือก็ไม่ใช่เล็กๆ” อีฟตีไหล่โจดัง เพี๊ยะ หนึ่งที
“ก็มัน” โจเริ่มคิดหนักขณะก้มลงมองดูหมัดของตนเอง
**************************************************************************************************************
ย้อนกลับไปเมื่อ 1 ปีก่อน ขณะนี้เวลา 12.00 น. เวลาพักเที่ยงระหว่างการสอบปลายภาคเรียนที่ 1 ทุกคนลงมาทานกับข้าวยังโรงอาหารข้างศาลเจ้ากลางแจ้ง ดวงอาทิตย์ขึ้นตรงกลางขอบฟ้าเหนือหัวพอดี โต ธัน และแทงค์ กำลังร่วมโต๊ะรับประทานอาหาร
ธันดูเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดีระดับหนึ่ง ไว้ผมสั้นแต่ไม่มากนัก ผิวสีไข่ ดวงตาสีดำออกน้ำตาล ลำตัวค่อนข้างสูงกว่าโต เขากำลังตักน้ำซุปจากชามเขาปาก
“พี่โต พี่ธัน ครับวันนี้สอบเป็นยังไงบ้างครับได้ข่าวว่า ม.5 เรียนยากมากเลยนี่นา” แทงค์ยิ้มให้ขณะพูด เขาดูเป็นเด็กน้อยร่าเริง
ธันยิ้มให้น้องชาย “พี่ก็พอไหวล่ะนะ ยังไงซะก็ต้องเรียนให้เกรดดีๆ จะได้ดูแลแกกับพ่อแม่ไง”
“ส่วนพี่น่ะไม่เป็นไรหรอก ฮิฮิฮิ ตกประจำ” โตยิ้มอย่างภาคภูมิ “ว่า แต่แกเถอะเห็นว่าปีนี้จะยกเลิกระบบประถมเปลี่ยนเป็นโรงเรียนมัธยมอย่างเดียว แล้วนี่นะ แกอยู่ ป.6 ก็ทำเกรดสูงๆ จะได้เรียนต่อ ม.ต้น ที่นี่ เพราะถ้าไม่มีแกมีหวังฉันโดนยุบชมรมชัวร์ป้าบ” เมื่อเขาสั่งรุ่นน้องเสร็จ จึงรับประทานอาหารต่อ
“โธ่พี่โตละก็” แทงค์ทำท่าทางไม่พอใจกับคำพูดของประธานหนุ่มที่สนใจแต่ชมรมของตน
ธันค่อยๆ ลุกขึ้นหลังจากทานข้าวเสร็จ เขาเดินไปซื้อขนมปังจากร้านรถเข็นหน้าโรงอาหารอย่างที่ทำทุกวัน ไส้สังขยาสีเขียวอ่อนถูกแบะออกจากแป้งขนมปังแสนนุ่ม แล้วเข้าไปสู่ภายใต้ริมฝีปากสีชมพูอ่อนของเด็กหนุ่ม ธันเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามกลางวันที่แสนจะร้อนจนเหงื่อตก พลางถอนหายใจช้าๆ
“นี่ ก็ผ่านมาเทอมหนึ่งแล้ว อีกไม่นานก็จะได้ขึ้น ม.6 แล้วสินะเรา ส่วนแทงค์ก็จะได้เรียนมัธยมต้น ต่อจากปีหน้าก็ต้องไปอยู่มหาลัยแล้ว หมอนั่นจะต้องอยู่โดยไม่มีฉันคอยดูแล” ธัน พึมพำขณะมองบนท้องฟ้าแสนไกลเขานึกถึงอนาคตที่แทงค์จะต้องอยู่ที่โรงเรียนนี้ หลังจากเขาได้ต่อมหาลัย ซึ่งคงจะไม่มีใครอยู่ดูแลน้องชายที่แสนขี้แยของเขา
“พูดเหมือนว่า จะไม่ได้เห็นน้องชายอีกแล้วยังไงยังงั้นแหละธัน ฮิฮิฮิ” โตเดินมาตบไหล่เขาจากทางด้านหลัง เด็กหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อย “คิดว่าแทงค์มันก็คงหาเพื่อนเองได้แหละน่า แทนที่จะคิดเรื่องว่าไปอยู่มหาลัยแล้วใครจะดูแลน้อง เอาเวลาไปอ่านเรื่องผีไม่ดีกว่าเหรอ” โตคว้าสมุดบันทึกออกมาจากกระเป๋า เปิดหน้าที่เขียนเกี่ยวกับเรื่องผีฮานาโกะยื่นให้ธันดู
ธันปัดมือของโตออก ทำท่าทีหงุดหงิด “ให้ตายเถอะ ฉันไม่ได้สนแต่เรื่องผีๆ แบบนายซักหน่อยนะโต อีกอย่างบอกกี่ครั้งแล้วว่าฉันน่ะเกลียดเรื่องผีที่สุด ที่ยอมเข้าชมรมมันก็เป็นเพราะนายมีสมาชิกไม่พอหรอกนะ”
โตทำท่าเหมือนจุกเสียด นำมือทั้งสองข้างกุมอกซ้ายถอยหลังออกมาจากเด็กหนุ่ม “อ..อ..โอย ทำไมจู่ๆ มันก็เหมือนมีมีดสิบเล่มรุมแทงหัวใจกันล่ะเนี่ย”
ท่าทางเกินจริงของโตทำให้ธันหลุดหัวเราะดัง หึ เบาๆ “เอาเถอะ ว่าแต่ยัยนักข่าวนั่นบอกว่าพักเที่ยงหลังสอบเสร็จจะสัมภาษณ์นายไม่ใช่เหรอ”
โตเกาจมูกตัวเอง กรอกตาไปทางขวาขณะนึก “อ่อ จริงด้วย ลืมไปเลยแฮะ ยัยนั่นสนใจเรื่องชมรมของเรานี่เนอะ” หลังจากเขานึกออกก็รีบวิ่งไปที่อาคารเรียน “ขอบใจนะ แล้วเจอกันหลังสอบเสร็จช่วงเย็น”
“เอ่อ เฮ้ยโต” ธันตะโกนเรียกหยุดโตที่กำลังวิ่ง
โตเบรกอย่างรวดเร็วจนเกือบหน้าทิ่มลงกับพื้น “มีอะไรอีกล่ะ” เขาตะโกนถามกลับมาจากหน้าตึกเรียน
“วันนี้ฉันขอลาชมรมนะ พอดีจะกลับบ้านเร็วหน่อย มีธุระน่ะ” ธันตะโกนตอบ
“อื้ม แล้วแทงค์ล่ะหมอนั่นก็ลาด้วยเหรอ”
“ไม่หรอกมันเป็นธุระของฉันน่ะ ฝากบอกแทงค์ด้วยว่าฉันติดธุระ” ธันโบกมือให้โตก่อนจะเดินกลับเข้าไปยังโรงอาหาร ซึ่งในขณะเดียวกันโตก็วิ่งขึ้นอาคารเรียนไปยังห้องชมรมตามเป้าหมายต่อ
ธันเดินเข้าไปนั่งโต๊ะเดียวกับแทงค์ ซึ่งเขากำลังอ่านหนังสือวิชาวิทยาศาสตร์เพื่อเตรียมสอบหลังพักเที่ยง เด็กหนุ่มยื่นขนมปังส่วนที่แบะไว้อีกครึ่งชิ้นให้น้องชาย
แทงค์รับขนมปังจากมือพี่ แล้วคาบไว้กับปากขณะอ่านหนังสือต่ออย่างตั้งใจ “ออบอุนอับ (ขอบคุณครับ)” เด็กน้อยพูดขณะคาบขนมปัง
“อ่านเก่งจังนะ อยากเรียนต่อที่นี่ขนาดนั้นเลยเหรอ” ธันมองดูน้องชายอ่านหนังสืออย่างขะมักเขม้น
แทงค์เคี้ยวขนมปังที่คาบไว้ที่ละนิด ใช้ริมฝีปากค่อยๆ ลากส่วนที่เหลือเข้าไปเคี้ยวต่อแล้วกลืนดัง อึก “ครับก็ผมอยากต่อโรงเรียนเดียวกับพี่นี่นา” แทงค์หันมายิ้มให้เด็กหนุ่ม
“งั้นก็ตามใจนะ พี่กลับไปที่ห้องก่อนล่ะจะได้เตรียมตัวสอบต่อเช่นกัน” หลังจากอำลาน้องชายเสร็จเขาจึงเดินออกจากโรงอาหารกลับไปที่อาคารเรียน
แทงค์ยังคงนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โรงอาหารต่อ จนกระทั่งหมดเวลาพักเที่ยง ขึ้นเสียง ออด จากลำโพง “ขณะนี้เวลา 13.00 น. ขอให้ทุกคนกลับเข้าห้องสอบเพื่อเตรียมสอบวิชาต่อไปขอบคุณค่ะ”
เด็กน้อยปิดหนังสือ จากนั้นจึงเดินกลับไปยังอาคารเรียนประถมทาย้อมด้วยสีแดงปูหลังคาสีเขียว มีสองชั้น ชั้นหนึ่งสำหรับ ป.1 ถึง ป.3 ส่วนชั้นที่สองสำหรับ ป.4 ถึง ป.6 ซึ่งตั้งอยู่บริเวณหลังโรงอาหารนี้เอง
เราคงจะต้องข้ามช่วงเวลาแห่งการสอบอันน่าหดหู่นี้ไปก่อน
เวลาผ่านไปรวดเร็วนัก
“ออด ขณะนี้เวลา 15.00น. หมดเวลาการสอบขอให้ทุกคนกลับบ้านอย่างปลอดภัยค่ะ ขอบคุณค่ะ”เสียงจากลำโพงดังไปทั่วทุกสารทิศ ทั้งในอาคารเรียนประถม โรงอาหาร สนามหญ้า โรงพละ ตลอดจน อาคารเรียนมัธยม
“วันนี้สอบไม่ไหวเลยจริงๆ สินะเนี่ย” โตน้ำตาคลอเดินออกมาจากห้องด้วยท่าทีหน่อยหอบราวกับไปวิ่งทางไกลร้อยเมตร เขาดูห่อเหี่ยวเสียเหลือเกิน
ธันวิ่งตัดหน้าโตลงอาคารไปอย่างรวดเร็ว ราวกับรีบร้อนจะทำอะไรซักอย่าง เขาเร็วมากจนโตเองก็ยังทักไม่ทัน
“ให้ตายสิ ยังมีคนที่เจอข้อสอบปลายภาคยากขนาดนี้แล้วสามารถวิ่งไปมาได้อย่างกระตือรือร้นอยู่บนโลกด้วยแฮะ” โตเกาศีรษะเล็กน้อยขณะเดินไปยังห้องชมรม
ตุบ เขาเดินไปชนกับอะไรสักอย่างล้มลงนอนคว่ำกับพื้น โตค่อยๆ ยันตัวเองขึ้นก่อนจะพึมพำ “ซวยจริงๆ สอบเสร็จแล้วยังเดินชนอะไรอีกเนี่ย เอ๊ะ” โตค่อยๆ ก้มลงมองดูที่มือของเขา ซึ่งกำลังกดศีรษะของเด็กผู้ชายวัยประถมคนหนึ่งลงกับพื้นอยู่ “เฮ่ยแทงค์ เป็นอะไรมั้ย” โต เผลอล้มทับแทงค์นั่นเอง ซึ้งดูจากน้ำหนักระหว่างเด็กม.ปลายกับเด็กประถมแล้ว คงจะทำให้กระดูกถึงขั้นหักกันได้เลยทีเดียว โตรีบลุกขึ้นทันที
“พ..พี่โต ห..เห็นพี่ธันบ้างมั้ยครับ” น่าอัศจรรย์ใจยิ่งนักที่แทงค์ยังไม่ตาย
“อดทนสุดยอดเลยแฮะแกนี่ ถ้าเป็นเด็กคนอื่นคงร้องไห้ไปแล้วนะเนี่ย” โตพูดพลางปัดมือตัวเองเบาๆ “ถ้าธันละก็วันนี้หมอนั่นคงจะไม่มาชมรมหรอกเห็นบอกว่ามีธุระน่ะ”
“ธุระ ธุระอะไรงั้นหรือครับ” แทงค์เอียงคอสงสัย
“ไม่รู้มัน เห็นวิ่งลงบันไดอย่างกับจะหนีผี อ๊ะ คงไม่ใช่ว่าเป็นจริงๆ หรอกมั้งนะ ฮิฮิฮิ” โตแสยะยิ้มสยองที่มุมปาก
“อาจจะเป็นแฟนสาวก็ได้นะคะ” เด็ก สาวปล่อยผมยาวสลวย ใบหน้าดูน่ารัก ดวงตาที่ดูลึกลับ ติดเข็มกลัดระดับ ม.4 สะพายกล้อง ยืนไขว้ขาเอียงแผ่นหลังติดผนังเอ่ยขึ้นท่ามกลางการสนทนา
“เฮ้ย” โตอุทานด้วยความตกใจ “ยัยหนังสือพิมพ์”
แทงค์มองหน้าหญิงสาวด้วยความสงสัย “ยัยหนังสือพิมพ์”
“ไม่ใช่ยัยหนังสือพิมพ์ซักหน่อยนะยะ บอกกี่ครั้งแล้วว่าฉันชื่ออีฟ เป็นประธานชมรมหนังสือพิมพ์ ไม่ใช่ยัยหนังสือพิมพ์ อย่ามาเรียกให้เด็กเข้าใจผิดว่าฉันชื่อยัยหนังสือพิมพ์จะได้มั้ย” อีฟแก้ต่างให้ตัวเองทันทีทันใด
“จะพูดย้ำว่ายัยหนังสือพิมพ์ทำไมกันนะ” เด็กสาวได้ยินเสียงโตแอบนั่งยองๆ ซุบซิบนินทากับเด็กชาย
เธอเดินเข้ามาใช้มือข้างหนึ่งกระชากคอเสื้อโต “อยากตายหรือยะ” อีฟตะคอกใส่เขาทำท่าราวกับจะเอากล้องยัดคอหอยให้ตายกันไปข้าง
“พ..พี่ธันเขามีแฟนแล้วจริงๆ หรือครับ” แทงค์ถามอีฟที่กำลังโมโหพลุแตก เพื่อช่วยชีวิตโตที่ริบหรี่ราวกับหิ้งห้อยที่กำลังจะโดนคางคกรับประทาน
“อาจจะนะจ๊ะ” สีหน้าราวกับยมทูตของเธอเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มนางฟ้าใจดีขณะหันมาคุยกับแทงค์
“ชิ มันจะไปมีได้ไงกันเล่า ในหัวของหมอนั่นวันๆ ก็มีแต่น้องชายกับพ่อแม่นั่นแหละ” โตพูดด้วยเสียงค่อยๆ
“มันก็ไม่แน่หรอกย่ะ” อีฟปล่อยมือออกจากคอเสื้อของโต
“ไม่หรอก ไม่มีทาง” โตยื่นคำขาด
“ทำไมมันจะไม่มีทางล่ะคะ” อีฟมองหน้าโตดุจดั่งจะกินเลือดกินเนื้อ
“ก็บอกแล้วไงว่าหมอนั่นน่ะวันๆ”
“พอเถอะครับ” แทงค์ตะโกนหยุดการต่อล้อต่อเถียงของทั้งสองคน “ผมจะกลับบ้านตามไปดูพี่เขาเองเลิกทะเลาะกันเรื่องพี่ชายผมเถอะครับ” แทงค์พูดเสร็จก็หันหลังให้เดินลงบันได
“เดี๋ยวก่อนแทงค์” โตจับไหล่ของเด็กน้อยเอาไว้ “วันนี้มีกิจกรรมชมรมต้องไปทำนะ ฮิฮิฮิ” เขาจับแทงค์แบกขึ้นบ่าพาไปยังห้องชมรม
“เดี๋ยวก่อนสิคะ จะไปทำอะไรกันงั้นเหรอ” ตาของหญิงสาวเป็นประกาย ในมือของเธอถือกล้องถ่ายรูป ภายในใจคิดถึงข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์โรงเรียน
“หินผีสิงน่ะ พอดีเมื่อเช้าเด็กของฉันเขาเอามาให้ก่อนสอบบอกว่าเป็นหินปริศนาที่พบบริเวณศาลเจ้ากลางแจ้ง ก็เลยจะลองไปทดสอบดูสักหน่อย” โตยิ้มให้ พลางแบกเด็กน้อยเดินต่อ
“เห น่าสนใจดีนี่นา” อีฟแววตาส่องประกาย “ฉันขอไปทำข่าวได้มั้ยคะ”
“ไม่ได้ ชมรมของฉันยอมให้เธอสัมภาษณ์ในหัวข้อที่เป็นชมรมแปลกๆ ก็จริง แต่เรื่องลึกลับก็บอกไปแล้วไงว่าเปิดเผยไม่ได้” โตถอนหายใจดัง เฮ้อ (‘ให้ตายเถอะฉันล่ะเหนื่อยกับพวกอ่านใจได้เหลือเกินไม่น่ายอมให้สัมภาษณ์เลย ถูกล้วงความลับไปซะหมด มันน่าเจ็บใจจริงๆ’)
“ถ่ายรูปก็ไม่ให้ เปิดเผยก็ไม่ได้ แบบนี้ก็ไม่ดังกันพอดีสิ” อีฟทำปากงอนเล็กน้อย
“ชมรมวิจัยเรื่องลึกลับน่ะเขาไม่ให้พวกเราตั้ง ถึงได้ต้องใช้ชื่อชมรมทำงานบ้านกลบเกลื่อนเอาไว้ไงล่ะ ถ้าเกิดความแตกมีหวังโดนยุบชมรมชัวร์ดังไม่ดังฉันไม่สนแต่ถ้าชมรมนี้โดนยุบ ละก็” โตหันมาทำตาขวางใส่อีฟจนดูน่ากลัวราวฆาตกร “ต่อให้เป็นผู้หญิงฉันก็ไม่เว้นหรอกนะ”
“….” อีฟถึงกับชะงักไปซักพัก เธอสัมผัสได้ถึงความหน้ากลัวของผู้ชายคนนี้
โตเปลี่ยนมายิ้มแล้วหันหน้ากลับไป “แต่ถ้าเธอมาเข้าชมรมของฉันละก็เป็นอีกเรื่องล่ะนะ” โตแบกแทงค์ซึ่งดูเหมือนจะหมดสติไปแล้วเนื่องจากตกใจที่โดนอุ้มอย่างไม่ทันตั้งตัว
ที่ห้องชมรม แทงค์ค่อยๆ ฟื้นได้สติบนโซฟา เขามองเห็นโตนั่งอยู่กับโต๊ะกำลังใช้แว่นขยายส่องก้อนหินรูปร่างประหลาดไปมา ในขณะที่อีฟกำลังมองอยู่ห่างๆ กล้องของเธอถูกโตยึดไว้ ห้อยอยู่กับคอของเขา
“พี่โต” แทงค์ค่อยๆ ลุกขึ้น “นี่มันกี่โมงแล้วครับ”
“นายเพิ่งจะสลบไปได้ 10 นาทีเองจะมากี่มงกี่โมงอะไรล่ะ” โตวางก้อนหินลงกับโต๊ะ “หินก้อนนี้เป็นหินวิญญาณจริงๆ ด้วยแหละแทงค์ มีวิญญาณตายโหงสิงสู่อยู่ ฮิฮิฮิ”
“อ..อ่า..คือหนูไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรเลยนี่คะ” อีฟมองดูอย่างงุนงง
“อ่อ..ฉันยังไม่ได้บอกสินะ ว่าที่จริงแล้วฉันสามารถมองสีสันกลิ่นไอของสิ่งเหนือธรรมชาติได้น่ะ สีมันเป็นสีดำซะด้วยสิสวยงามจัง” โตมองดูอย่างหลงใหล
“ขอดูหน่อยได้มั้ยคะ” อีฟเริ่มอยากรู้อยากเห็น ในขณะเดียวกันแทงค์ก็ค่อยๆ เดินมานั่งที่โต๊ะ
“อ่อ ได้สิ” โตยื่นหินให้อีฟ อย่างระมัดระวัง
เธอค่อยๆ พินิจ “เอ..มันก็ดูเป็นเห็นธรรมดานะคะ ไม่เห็นจะมีสีดำอะไรเลยว่าแต่สีดำนี่มันสวยตรงไหนงั้นหรือคะ”
โตยิ้มอย่างภาคภูมิใจในความรู้ “ฮิ ฮิฮิ ก็มันจะนำความตายมาสู่ผู้ครอบครองยังไงล่ะ แค่ได้สัมผัสถ้าเกิดไม่มีคาถาอะไรกันไว้เลยละก็ ได้ของเข้าถึงขั้นตายอย่างทรมานน่ะสิบอกให้ สีดำแห่งความตายของผีตายโหงนี่แหละแรงนักแล”
“ก็แล้วเอ็งจะให้ดิฉันถือทำหอกหาหอยอะไรยะ” อีฟเขวี้ยงก้อนหินใส่กบาลโตเต็มอัตราดัง โป๊ก ล้มหัวแตกนอนกองกับพื้น
“พี่โต” แทงค์ที่ดูจะเพิ่งได้สติถึงกับตาสว่างทันใด
“อ..โอย สงสัยที่จะโดนนำความตายมาหาจะเป็นฉันมากกว่าเธอนะยัยหนังสือพิมพ์” โตเอามือกุมศีรษะ น่าประหลาดที่เขาไม่โกรธหรือด่าว่าอะไรรุ่นน้องเลย
“อ..อุ๊ย เป็นอะไรมั้ยคะรุ่นพี่” อีฟรีบเดินเข้ามาดูอาการของโตใกล้ๆ
“อ..อื้ม ไม่เป็นไรหรอกพอดีฉันอึดเรื่องหัวแข็งน่ะ” โตคลำศีรษะตรวจดูแผล (‘ถึงมันจะแตกก็เถอะ’) “แทงค์วันนี้เราจะลงไปทำกิจกรรมนำหินไปวางคืนศาลเจ้ากัน เพราะถ้าเก็บไว้ฉันคงไม่ได้เจอแค่หัวแตกแน่ๆ”
“ครับ” แทงค์ตอบอย่างแข็งขัน
ทั้งสามคนเดินลงมาจนถึงศาลเจ้ากลางแจ้ง ระหว่างทางได้แวะพาโตไปเย็บแผลที่ห้องพยาบาลด้วย ขณะนี้เวลา 17.00น. โตนำก้อนหิน (ซึ่งเปื้อนเลือดจากหัวของเขา) ไปวางคืนไว้ข้างๆ ตุ๊กตานางรำ ทั้ง สามสวดคาถาบางอย่างซึ่งคนที่เดินผ่านไปมาคงจะไม่สามารถเข้าใจได้โดยง่ายหลัง จากนำวิญญาณตายโหงในหินไปฝากไว้กับศาลเจ้าเรียบร้อยแล้ว จึงเดินกลับเข้าตึกเรียนเพื่อไปเอาเป้และเก็บกวาดเช็ดคราบเลือดของโตที่พื้น
พวกเขาหยุดอยู่หน้าประตูห้องชมรม “เอาล่ะ ทำความสะอาด ทำความสะอาด” โตบิดขี้เกียจเล็กน้อย
“สมกับเป็นชมรมทำงานบ้านจริงๆ นะคะ เฮ้อ” อีฟพูดกลบเกลื่อนวีรกรรมนองเลือดของตน
แทงค์ที่รอทั้งสองคนสนทนากันอยู่นั้นก็เริ่มสะกิดใจบางอย่างกับห้องชมรม “เอ๊ะ เดี๋ยวก่อนนะครับพี่โต”
“มีอะไรงั้น” โตชะงักเล็กน้อย “เฮ่ย จริงด้วย ”
“ทำไมงั้นหรือ” อีฟมองดูสีหน้าของทั้งสองคนที่เปลี่ยนไป ราวกลับกลัวอะไรมากๆ
“นี่ยัยหนังสือพิมพ์ ตอนที่เราออกจากห้องเธอได้ปิดไฟไว้หรือเปล่า” โตเหงื่อตก
“ก..ก็ไม่ได้ปิดหนิ เปิดไว้นะคะ ทำไมงั้นหรือ”
“แต่ว่าตอนนี้ไฟที่ลอดออกมาจากช่องประตูมันไม่มีนี่นา” ทั้งสามเริ่มวิตกกังวล ตัดสินใจกันว่าจะเปิดประตูเข้าไปกันดีหรือไม่
แทงค์รวบรวมความกล้าเปิดประตูเข้าไปทันทีโดยที่โตและอีฟไม่ทันตั้งตัว เขาอยากจะรีบกลับบ้านมากเสียกว่าแม้จะกลัวผีอยู่ก็ตาม
ภายในห้องมืดมิดราวกับอยู่ในป่าช้า โตและอีฟค่อยๆ เดินตามหลังเด็กน้อยเข้ามา ได้กลิ่นควันดำลอยมาแตะจมูกของโต ราวกับความเงียบสงบนี้จะทำให้ตกใจตายได้ในพริบตา
แอด อีฟใจหายเมื่อได้ยินเสียงไม้เอียดแอดดังจากข้างหลัง หลังจากสิ้นสุดเสียง ปัง ของประตู ลมตี ฝับ ผ่านผ้าพันแผลที่หัวของโตไป
แทงค์ที่ได้ยินเสียงประตูดังก็ไม่กล้าหันกลับไปความกลัวกลืนกินเช่นเดียวกับ โตและอีฟ ประตูปิดแล้วแน่นอน ทุกคนคิดเช่นนั้น
และแล้วทั้งสามจึงตัดสินใจหันหลังกลับไปพร้อมกัน
“happy birthday to you happy birthday to you happy birthday happy birthday happy birthday to Brother” ธันกำลังร้องเพลงขณะไล่จุดเทียนบนเค้กที่ถืออยู่ ทีละเล่ม ทีละเล่ม
แทงค์และอีฟยืนนิ่งปากค้างตาถลนบรรยายไม่ถูก ได้แต่มองอย่างงุนงง ในขณะที่โตหลุดขำออกมาดังลั่นห้อง
“นี่มันอะไรกันครับ” แทงค์ถามด้วยน้ำเสียงเหมือนจะโกรธหน่อยๆ
ธันยิ้มให้แทงค์เล็กน้อย “ก็นะ วันนี้มันวันเกิดนายนี่ ให้ตายเถอะลืมวันเกิดตัวเองหรือไง” ธันค่อยๆ นำเค้กวางลงบนโต๊ะ
“อะ แฮ่มๆ ก็พอดีในห้องสอบธันมันมาอธิบายให้พี่ฟังน่ะ ว่าวันนี้วันเกิดแก พอดีลืมซื้อเค้กกับของขวัญก็เลยขอตัววิ่งไปซื้อของก่อน อ้อแล้วก็เพื่อให้เซอร์ไพร้ส์ฉันเลยกุเรื่องก้อนหินผีสิงขึ้นมา เพื่อให้พวกเราลงไปข้างล่างในจังหวะที่ธันจะกลับเข้ามาในห้องน่ะ ระหว่างที่เราลงไปข้างล่างหมอนั่นก็แอบเข้าไปหลบในห้องน้ำไง ส่วนเรื่องการติดต่อก็ใช้มือถือปิดเสียงส่งข้อความหากันในตอนที่นายหลับอยู่ ธันมันก็มาถึงหน้าโรงเรียนแล้วล่ะ ให้ตายเถอะคนอะไรไวปานวอกแถมเค้กก็หน้าไม่เละด้วย” โตยืดอกเล่าเรื่องราว “ดีใจมั้ยล่ะ”
“พี่ไม่เห็นต้องทำขนาดนี้เลยนี่ครับ” แทงค์มองหน้าธันอย่างซาบซึ้ง
“ก็เดิมทีไม่ตั้งใจจะทำขนาดนี้หรอกนะ แหะๆ ” ธันเหงื่อตกเล็กน้อย “เดิมที กะจะไปซื้อเค้กรอนายอยู่ที่บ้านน่ะ เลยขอโตกลับบ้านก่อน พอหมอนี่ถามเหตุผลซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็เลยบอกไปตามตรง หลังจากนั้นก็เลยเป็นไปตามนี้ไงล่ะ”
“หึๆ อ๋ออย่างนี้เองสินะ” อีฟกำหมัดจนมองเห็นเส้นเลือดปูด เธอดูหน้ากลัวและมืดมนจนบรรยากาศเริ่มกลับมามืดครึ้มสยดสยองอีกครั้ง “ที่ทำไปทั้งหมดก็เพื่อน้องชาย ช่างน่ายินดี ช่างน่ายินดีจริงๆ” อีฟเดินมาหาโตทีละก้าว ทีละก้าว
“ด..เดี๋ยว..เดี๋ยวก่อนอีฟ” โตเดินถอยหลังขาสั่นจนแทบจะล้มลง
“เอ๋..คราวนี้เรียกชื่อถูกด้วยแฮะ” อีฟค่อยๆ เงยหน้าขึ้นเผยแววตาสยอง “ทำไมไม่บอกฉันปล่อยให้กลัว ถ้าช็อคตายจะทำยังไงกันยะฮะ” อีฟจับคอเสื้อโตกระชากขึ้น ค่อยๆ ลากคอโตตามมา
“ก..ก็ ถ้าจะหลอกแทงค์ให้ได้ผลมันไม่ง่ายนี่นา ก็เลยคิดว่าไหนๆ ก็บังเอิญเจอกันแล้ว มันน่าจะช่วยเพิ่มบรรยากาศน่ากลัวๆ ได้สักหน่อย เอ่อ...ค..คือ..คือว่า” โตยิ้มแบบเฝื่อนๆ
“ได้ค่ะอยากได้บรรยากาศน่ากลั๊วน่ากลัวใช่มั้ยคะ เดี๋ยวแม่จัดให้” รอยยิ้มนรกครั้งนั้นทำให้โตไม่กล้าเรียกเธอว่ายัยหนังสือพิมพ์อีกเลย
“อ๊าก!!” เสียงร้องโหยหวนของประธานหนุ่มดังลั่นสนั่นไปทั้งอาคาร
(เนื่องจากมีการใช้ความรุนแรงถึงขั้นผิดกฎหมาย เราจึงไม่อาจบรรยายสถานการณ์ได้ในขณะนี้)
จบตอนจร้า!!
โปรดติดตามตอนต่อไป
ขอขอบคุณแรงใจของทุกคนที่ตามอ่านกันจนจบไปอีกตอนนะครับ ^^ สำหรับตอนนี้ก็เช่นเคยนะครับตำหนิติติงกันได้
ปล.รักนะ!คนอ่าน
“เอธร” ทุกคนทั้ง โต อีฟ และโจต่างพูดพร้อมกันเสียงหลง ท่ามกลางความมืดในห้องน้ำมีแสงจันทร์ส่องผ่านใบพัดระบายอากาศเล็กๆ เข้ามาเป็นเส้นตรง
“อย่าทำหน้าตกใจอย่างนั้นสิครับพี่โต” เอธรยิ้มที่มุมปาก
“ถอดจิตสมบูรณ์ถึงขนาดเห็นเป็นภาพได้แล้วสินะ” โตมองดูเห็นส่วนเท้าของเด็กหนุ่มเป็นเงาดำขนานติดกับพื้นราวกับว่าเป็นรากงอกออกมาอย่างไรอย่างนั้น
“อัน ที่จริงผมก็ทำไม่ได้ถึงขนาดนี้หรอกนะ แต่รู้สึกว่าช่วงนี้จิตด้านลบในบริเวณโรงเรียนนี้มันมากกว่าปกติ ผมก็เลยมีผลพลอยได้ไปด้วย เอาเถอะ ผมก็แค่จะมาเตือนว่า ให้ระวังตัวซะหน่อย ก็ยังเห็นว่าเป็นรุ่นพี่อยู่ล่ะนะ หึๆ”
โจที่ยืนนิ่งมานานแทรกขึ้นสวนถามทันที“ระวัง ระวังอะไร” โตยกมือกันไม่ให้โจถามอย่างร้อนรน
“มีคนคิดจะทำร้ายสมาชิกในชมรมเรา หวังว่าคงไม่ใช่แกนะเอธร” โตมองใบหน้ารุ่นน้องผู้แฝงอยู่ในเงามืดอย่างตาไม่กระพริบ
เมื่อรุ่นพี่ถามเช่นนั้นเด็กหนุ่มจึงแสยะยิ้มพูดกึ่งหัวเราะ “หึๆ แกเอง ก็เป็นหนึ่งในคนทำให้แผนที่ฉันวางไว้เป็นปีต้องล่มอยู่ดีล่ะนะ แต่เห็นแบบนี้ ฉันเองก็คงต้องใช้เวลาหาวิธีฟื้นอายุขัยเหมือนกัน คงไม่มีเวลามาวุ่นวายกับพวกเเกมากนักหรอก ว่าแต่…กริยาไปไหนซะล่ะ” เขามองซ้ายแลขวา
“แกไม่จำเป็นต้องรู้หรอก อุ๊บ” และแล้วโจที่เริ่มพูดขึ้นเสียงก็ถูกโตใช้มือปิดปากอย่างรวดเร็ว
“ช่างเถอะ แต่บางทีแกอาจจะรู้นะว่าใครเป็นตัวการ” โตยักคิ้วส่งสัญญาณให้อีฟ แต่เธอส่ายหน้าก่อนจะกระซิบข้างหูโตอย่างเบาๆ “อ่านใจไม่ได้เลยค่ะพี่โต” บางทีอาจเพราะร่างที่เห็นนั้นเป็นเพียงการถอดจิตของเอธรเธอจึงไม่สามารถอ่านใจได้
“เรื่องที่พี่โตไม่รู้น่ะ ให้ผมรู้คนเดียวเถอะครับ หึๆ ฮ่าฮ่าฮ่า” หลังจากได้ทิ้งท้ายไว้ ร่างของเด็กหนุ่มถูกเปลี่ยนเป็นเงาทะมึนค่อยๆ กลืนกินเข้ากับความมืดยามราตรี
“ฮิฮิฮิ หมอนี่ไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ” หลังจากเอธรไปแล้วโตก็เอามือออกจากปากโจ พลางหัวเราะเจ้าเล่ห์เช่นเคย "ตอนแรกก็อดคิดไม่ได้แฮะว่าเป็นฝีมือมัน"
“หมายความว่าไงครับ/คะ พี่โต” อีฟและโจถามพร้อมกันเป็นเสียงเดียว
“หมอนั่นบอกว่าช่วงนี้จิตด้านลบในบริเวณโรงเรียนนี้มันมากผิดปกติใช่มั้ยล่ะ”
“ก..ก็ใช่นะครับ แล้วมันเกี่ยวอะไรหรือครับ” โจพยายามเดาความคิดของรุ่นพี่ แต่ก็ได้เพียงเอียงคอขมวดคิ้วสงสัยอยู่อย่างนั้น
โตเดินออกจากห้องน้ำพลางกวักมือเรียกทั้งสองคนให้เดินตามมา “เอธรน่ะไม่เคยโกหก ถ้าหมอ นั่นไม่ใช่ตัวการก็หมายความว่าเป็นคนอื่นทำ เรื่องหมอนั่นรู้ตัวการหรือเปล่านั้นฉันยืนยันไม่ได้ แต่ที่หมอนั่นมาบอกเราอย่างน้อยก็ทำให้รู้อย่างหนึ่ง” โตกอดอกขณะเดินนำไปยังทางขึ้นบันได
“…” โจทำหน้างง
“นั่นก็คืออะไรเป็นตัวทำ” โตเอียงหน้าหันมามองโจและอีฟเล็กน้อยขณะก้าวขึ้นบันได
“อะไรเป็นตัวทำ หรือว่าจะคือจิตด้านลบ” โจทำท่าเหมือนจะเริ่มเข้าใจ
“ใช่จาก ที่คาดเดาได้ บางทีอาจไม่ใช่ว่าใครบางคนกำลังเล่นมนต์ดำกับพวกเรา แต่เป็นใครบางคนอาศัยจิตด้านลบในโรงเรียนเล่นงานเราต่างหาก หรือก็คือถ้าเราทำลายต้นตอของจิตด้านลบนั่นซะ ตัวการก็จะต้องเผยตัวออกมาแน่นอน” โตยิ้มให้รุ่นน้องทั้งสองเล็กน้อย ตอนนี้ทั้งสามกำลังจะเปิดประตูออกไปสู่ดาดฟ้า
บริเวณดาดฟ้ามีแสงจันทร์ส่องลงมาอย่างเด่นชัด โตเดินตรงมาเรื่อยๆ จนถึงเหล็กกั้น พลางก้มลงมองข้างล่างตึกทั้งเก้าชั้น มองเห็นไอสีดำอบอวลไปทั่วทั้งตึกก่อตัวเป็นรูปยันต์ประหลาด
“อย่างที่คิดจริงๆ ด้วย ทำไมเราถึงไม่ทันได้สังเกตเลยนะ” โตพึมพำอย่างแน่ใจขณะมองดูความมืดมิดท่ามกลางแสงยามราตรี ทว่าเมื่อเขาเริ่มเอะใจบางอย่างความมั่นใจของเขาก็เริ่มลดลง
“จดหมายถึงชมรม ไสยศาสตร์จากรูปภาพ พี่ยามตาย ไคบาดเจ็บ” สายตาของโตเริ่มดูหม่นหมอง “ถ้าฉันรู้สึกตัวเร็วกว่านี้คงจะแก้ไขได้ไปนานแล้วแท้ๆ”
“มีอะไรข้างล่างหรือครับพี่โต” โจมองตามตำแหน่งสายตาประธานหนุ่ม
“จำเรื่องยันต์ประหลาดที่ไคเผลอเหยียบไปในวันที่เข้าชมรมได้มั้ย”
“เอ่อ ถ้าพี่โตไม่เอ่ยขึ้นผมก็คงลืมไปนานแล้วนะครับเนี่ย” โจยิ้มอย่างเฝื่อนๆ
โตน้ำตาร่วงลงจากดาดฟ้าสองสามหยดก่อนจะพูดต่อ “นั่นน่ะ เป็นยันต์เปิดทางผีผ่านที่ฉันกับเอธรคิดค้นขึ้นในสมัยเพิ่งก่อตั้งชมรมใหม่ๆ” โตหยุด สะอื้นเล็กน้อยก่อนจะเล่า “หลังจากคิดค้นไปได้ไม่นาน ทั้งๆ ที่เก็บไว้ในลิ้นชักมันก็กลับหายไป”
“หรือจะเป็นเอธร”
“ไม่ ไม่ใช่ ไม่ใช่หรอก เอธรน่ะในตอนนั้นก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ายันต์อยู่ที่ไหน” โตนำมือมากุมศีรษะขณะกัดฟันร้องไห้ อีฟได้เพียงแต่ยืนดูทั้งสองคน ตั้งใจฟังคำสารภาพของรุ่นพี่
“ก็แล้วยันต์นั่นมันไปเกี่ยวอะไรกับจิตด้านลบล่ะครับ” โจขยี้ผมบนศีรษะ คิดเท่าไรก็คิดไม่ออก
“ฉันก็ลืมมันไปนานแล้วเหมือนกัน ลืมไปซะสนิทเลยจนกระทั่ง” ดวงตาของโตเบิกโพลงขณะมองลงไปจากดาดฟ้า บรรยากาศยามดึกช่างหนาวเหน็บราวกับจะยั่วยวนให้กระโดดลงไปตายเบื้องล่าง
ฟุบ จู่ๆ อีฟก็ล้มคุกเข่าลงกับพื้น ทำให้โจหันวิ่งกลับมาดูอย่างรวดเร็ว “อีฟเป็นอะไรมั้ย”
“พ..พี่โต” อีฟหน้าซีดกว่าทุกครั้งดูเหมือนเธอจะเผลอไปอ่านใจโตเข้าอีกเสียแล้ว เป็นเหตุให้โจเริ่มสงสัยมากขึ้นไปอีก
“โธ่เว้ย เป็นอะไรกันไปหมดวะเนี่ย” โจวิ่งมากระชากคอเสื้อของรุ่นพี่
“ไอความมืดที่ออกมาจากตึกนี้น่ะ เป็นลายอักษรที่ผนึกไว้ในยันต์ผีผ่าน ที่เอธรไม่บอกฉันคงเป็นเพราะไม่อยากให้รู้เรื่องนี้ก็เป็นได้” น้ำตาของโตเริ่มไหล
“ก็แล้วไอ้ยันต์บ้าอะไรนั่นมันไปเกี่ยวอะไรกับจิตด้านลบกันเล่า” โจเริ่มกำหมัดทำทีจะชกรุ่นพี่ที่ดูจะเลื่อนลอย
“จำที่ไคเล่ามาได้สินะ หมอนั่นบอกว่าเผลอเหยียบยันต์ตกบันได จากนั้นหมอนั่นก็เอายันต์วางไว้ที่ข้างห้องพระ” โตหลับตาลง
“ก็แล้วมันยังไงเล่า มัวแต่ทำท่าทางลีลาอยู่ได้ไม่สมกับเป็นพี่โตเอาซะเลย อีฟก็ด้วย ทำไมมีแต่ฉันที่ไม่เข้าใจวะเนี่ย” โจตะคอกใส่ประธานหนุ่มอย่างสุดอารมณ์จะกลั้น
“ยันต์ที่วางไว้ จริงอยู่ที่เป็นจุดอับลมแล้วจะไม่ปลิว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าลมจะไม่ผ่านมาเลยนี่ ถ้าบังเอิญมันโดนพัดไปอยู่ในห้องพระล่ะ นายก็อ่านความทรงจำของวิญญาณตนนั้นมาแล้วไม่ใช่เหรอ จิตด้านลบน่ะเต็มเปี่ยมเลย นอกจากนั้นถ้าเกิดยันต์ผีผ่านไม่ได้ลอยเข้าไปอยู่ในห้องพระเคลื่อนที่ แต่เป็นระหว่างประตูห้องพระที่เคลื่อนย้ายไปมาแทนล่ะ” โตค่อยๆ ลืมตาอีกครั้งดวงตาช่างดูน่าสงสาร ความโกรธแค้นตัวเองกลืนกินจิตใจ “คำตอบก็คือ ยันต์นั่นต้องอยู่ในผนังตึกเรียนที่ไหนซักแห่ง
และจิตด้านลบของวิญญาณในตอนนั้นที่ค้างคาอยู่ ก็คงจะถูกเปิดแพร่ออกมาพร้อมกับสิ่งชั่วร้าย โดยผ่านยันต์ผีผ่าน” โต เริ่มจะร้องไห้อีกครั้ง เขาคิดถึงพี่ยาม รุ่นน้องที่แสนดีอย่างไค รวมถึงสิ่งที่ตัวเองได้ทำลงไปด้วยความสนุกส่วนตัว "หรือถ้าไม่เป็นอย่างนั้นบางทีอาจมีคนนำมันไปใช้ซึ่งนั่นถือเป็นทางที่เลว ร้ายที่สุด"
โจปล่อยมือออกจากคอเสื้อของโตด้วยความสงสาร รุ่นพี่ล้มลงกับพื้นน้ำตาไหลแต่ก็ไม่ได้ส่งเสียงใดๆ
อีฟค่อยๆ ลุกขึ้นหลังจากปรับอารมณ์ได้แล้ว เธอไม่ได้โกรธรุ่นพี่ แต่กลับสงสารจนไม่กล้าทำอะไร "ถ้ายันต์นั่นเป็นสิ่งที่พี่สร้างแล้วล่ะก็ จะชดเชยความผิดนี้ได้พี่ก็ต้องตามหาและทำลายมัน" โจเดินเข้ามาพยุงไว้เมื่อเห็นเธอยืนโอนเอนไปมาจวนจะล้ม เพราะการอ่านใจทำให้เธอพลอยได้รับความทุกข์จากโตไปด้วย
“ถ้าจะตามหากันตอนนี้ พี่โตคงจะไม่ไหวมั้ง” โจพูดกับอีฟแล้วทั้งคู่ก็หันไปดูรุ่นพี่หมดอาลัยตายอยากพร้อมกัน
“พวกนายไปกันก่อนเลย ฉันขอเวลาอยู่ตัวคนเดียว” โตกัดฟันน้ำตาไหลมาถึงปลายจมูกแล้วร่วงลงพื้นทีละหยด
“ขืนปล่อยพี่ไว้เกรงว่าจะมีผีเฝ้าโรงเรียนเพิ่มอีกตัวเอาน่ะสิ” โจค่อยๆ ปล่อยอีฟ แล้วเดินไปหาโตซึ่งคุกเข่าซังกะตายอย่างช้าๆ ขณะพูด “ผมจำได้ว่า ชมรมนี้ชื่อวิจัยเรื่องลึบลับนะครับพี่โต” โจเริ่มง้างหมัดอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้ม “เรายังไม่เคยได้ลองวิจัยอะไรจริงจังเลยนะเว้ยไอ้ประธานเฮงซวย” หมัด ทะลวงฝ่าความหนาวเย็นยามราตรี ตัดเสียงอากาศดัง ฟั่บ เอากระแทกเข้าที่แก้มขวาของโตกระเด็นไปอย่างแรงล้มทั้งท่านั่ง อีฟตกใจแต่พูดไม่ออก
โตค่อยๆ ลุกเดินโซเซเลือดกบปาก สายตาของเขาเปลี่ยนไป “ชมรมทำงานบ้านต่างหากเว้ย” เขาพยายามกำหมัดจะสวนใส่โจ ทว่ากลับมึนจนไม่มีแรงชก เขาเปลี่ยนจากมือที่กำหมัดมาเกาะไหล่โจพยุงตัวเองไว้
“โอย ขอบใจนะที่จะช่วยเรียกสติแบบลูกผู้ชาย แต่ว่าแบบนี้มันก็หนักนะ โชคดีจังที่ฟันไม่หลุด” โตยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ตามบุคลิก ใบหน้าและรอยยิ้มที่เปื้อนเลือดของเขามันช่างดูสยดสยอง จนทำให้อีฟที่ยืนมองดูมิตรภาพทั้งสองถึงขั้นหน้ามืด
“อย่ายิ้มแบบนั้นอีกนะยะ” เธอเบือนหน้าหนีโต
“แต่ว่าวันนี้คงจะไม่ไหวจริงๆ ล่ะนะ” โตเริ่มมองสิ่งต่างๆ ด้วยแววตาฝ้าฟาง มือที่เกาะกุมหัวไหล่ของโจลื่นหล่น ทำให้ร่างกายกระแทกพื้นดัง ตุบ
“พ..พี่โต” โจตะโกนลั่นด้วยท่าทางตกใจ เขารีบนั่งลงเขย่าตัวรุ่นพี่
“ก็แกนั่นแหละโจ ไปซัดพี่เขาซะเต็มแรงขนาดนั้นมือก็ไม่ใช่เล็กๆ” อีฟตีไหล่โจดัง เพี๊ยะ หนึ่งที
“ก็มัน” โจเริ่มคิดหนักขณะก้มลงมองดูหมัดของตนเอง
**************************************************************************************************************
ย้อนกลับไปเมื่อ 1 ปีก่อน ขณะนี้เวลา 12.00 น. เวลาพักเที่ยงระหว่างการสอบปลายภาคเรียนที่ 1 ทุกคนลงมาทานกับข้าวยังโรงอาหารข้างศาลเจ้ากลางแจ้ง ดวงอาทิตย์ขึ้นตรงกลางขอบฟ้าเหนือหัวพอดี โต ธัน และแทงค์ กำลังร่วมโต๊ะรับประทานอาหาร
ธันดูเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดีระดับหนึ่ง ไว้ผมสั้นแต่ไม่มากนัก ผิวสีไข่ ดวงตาสีดำออกน้ำตาล ลำตัวค่อนข้างสูงกว่าโต เขากำลังตักน้ำซุปจากชามเขาปาก
“พี่โต พี่ธัน ครับวันนี้สอบเป็นยังไงบ้างครับได้ข่าวว่า ม.5 เรียนยากมากเลยนี่นา” แทงค์ยิ้มให้ขณะพูด เขาดูเป็นเด็กน้อยร่าเริง
ธันยิ้มให้น้องชาย “พี่ก็พอไหวล่ะนะ ยังไงซะก็ต้องเรียนให้เกรดดีๆ จะได้ดูแลแกกับพ่อแม่ไง”
“ส่วนพี่น่ะไม่เป็นไรหรอก ฮิฮิฮิ ตกประจำ” โตยิ้มอย่างภาคภูมิ “ว่า แต่แกเถอะเห็นว่าปีนี้จะยกเลิกระบบประถมเปลี่ยนเป็นโรงเรียนมัธยมอย่างเดียว แล้วนี่นะ แกอยู่ ป.6 ก็ทำเกรดสูงๆ จะได้เรียนต่อ ม.ต้น ที่นี่ เพราะถ้าไม่มีแกมีหวังฉันโดนยุบชมรมชัวร์ป้าบ” เมื่อเขาสั่งรุ่นน้องเสร็จ จึงรับประทานอาหารต่อ
“โธ่พี่โตละก็” แทงค์ทำท่าทางไม่พอใจกับคำพูดของประธานหนุ่มที่สนใจแต่ชมรมของตน
ธันค่อยๆ ลุกขึ้นหลังจากทานข้าวเสร็จ เขาเดินไปซื้อขนมปังจากร้านรถเข็นหน้าโรงอาหารอย่างที่ทำทุกวัน ไส้สังขยาสีเขียวอ่อนถูกแบะออกจากแป้งขนมปังแสนนุ่ม แล้วเข้าไปสู่ภายใต้ริมฝีปากสีชมพูอ่อนของเด็กหนุ่ม ธันเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามกลางวันที่แสนจะร้อนจนเหงื่อตก พลางถอนหายใจช้าๆ
“นี่ ก็ผ่านมาเทอมหนึ่งแล้ว อีกไม่นานก็จะได้ขึ้น ม.6 แล้วสินะเรา ส่วนแทงค์ก็จะได้เรียนมัธยมต้น ต่อจากปีหน้าก็ต้องไปอยู่มหาลัยแล้ว หมอนั่นจะต้องอยู่โดยไม่มีฉันคอยดูแล” ธัน พึมพำขณะมองบนท้องฟ้าแสนไกลเขานึกถึงอนาคตที่แทงค์จะต้องอยู่ที่โรงเรียนนี้ หลังจากเขาได้ต่อมหาลัย ซึ่งคงจะไม่มีใครอยู่ดูแลน้องชายที่แสนขี้แยของเขา
“พูดเหมือนว่า จะไม่ได้เห็นน้องชายอีกแล้วยังไงยังงั้นแหละธัน ฮิฮิฮิ” โตเดินมาตบไหล่เขาจากทางด้านหลัง เด็กหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อย “คิดว่าแทงค์มันก็คงหาเพื่อนเองได้แหละน่า แทนที่จะคิดเรื่องว่าไปอยู่มหาลัยแล้วใครจะดูแลน้อง เอาเวลาไปอ่านเรื่องผีไม่ดีกว่าเหรอ” โตคว้าสมุดบันทึกออกมาจากกระเป๋า เปิดหน้าที่เขียนเกี่ยวกับเรื่องผีฮานาโกะยื่นให้ธันดู
ธันปัดมือของโตออก ทำท่าทีหงุดหงิด “ให้ตายเถอะ ฉันไม่ได้สนแต่เรื่องผีๆ แบบนายซักหน่อยนะโต อีกอย่างบอกกี่ครั้งแล้วว่าฉันน่ะเกลียดเรื่องผีที่สุด ที่ยอมเข้าชมรมมันก็เป็นเพราะนายมีสมาชิกไม่พอหรอกนะ”
โตทำท่าเหมือนจุกเสียด นำมือทั้งสองข้างกุมอกซ้ายถอยหลังออกมาจากเด็กหนุ่ม “อ..อ..โอย ทำไมจู่ๆ มันก็เหมือนมีมีดสิบเล่มรุมแทงหัวใจกันล่ะเนี่ย”
ท่าทางเกินจริงของโตทำให้ธันหลุดหัวเราะดัง หึ เบาๆ “เอาเถอะ ว่าแต่ยัยนักข่าวนั่นบอกว่าพักเที่ยงหลังสอบเสร็จจะสัมภาษณ์นายไม่ใช่เหรอ”
โตเกาจมูกตัวเอง กรอกตาไปทางขวาขณะนึก “อ่อ จริงด้วย ลืมไปเลยแฮะ ยัยนั่นสนใจเรื่องชมรมของเรานี่เนอะ” หลังจากเขานึกออกก็รีบวิ่งไปที่อาคารเรียน “ขอบใจนะ แล้วเจอกันหลังสอบเสร็จช่วงเย็น”
“เอ่อ เฮ้ยโต” ธันตะโกนเรียกหยุดโตที่กำลังวิ่ง
โตเบรกอย่างรวดเร็วจนเกือบหน้าทิ่มลงกับพื้น “มีอะไรอีกล่ะ” เขาตะโกนถามกลับมาจากหน้าตึกเรียน
“วันนี้ฉันขอลาชมรมนะ พอดีจะกลับบ้านเร็วหน่อย มีธุระน่ะ” ธันตะโกนตอบ
“อื้ม แล้วแทงค์ล่ะหมอนั่นก็ลาด้วยเหรอ”
“ไม่หรอกมันเป็นธุระของฉันน่ะ ฝากบอกแทงค์ด้วยว่าฉันติดธุระ” ธันโบกมือให้โตก่อนจะเดินกลับเข้าไปยังโรงอาหาร ซึ่งในขณะเดียวกันโตก็วิ่งขึ้นอาคารเรียนไปยังห้องชมรมตามเป้าหมายต่อ
ธันเดินเข้าไปนั่งโต๊ะเดียวกับแทงค์ ซึ่งเขากำลังอ่านหนังสือวิชาวิทยาศาสตร์เพื่อเตรียมสอบหลังพักเที่ยง เด็กหนุ่มยื่นขนมปังส่วนที่แบะไว้อีกครึ่งชิ้นให้น้องชาย
แทงค์รับขนมปังจากมือพี่ แล้วคาบไว้กับปากขณะอ่านหนังสือต่ออย่างตั้งใจ “ออบอุนอับ (ขอบคุณครับ)” เด็กน้อยพูดขณะคาบขนมปัง
“อ่านเก่งจังนะ อยากเรียนต่อที่นี่ขนาดนั้นเลยเหรอ” ธันมองดูน้องชายอ่านหนังสืออย่างขะมักเขม้น
แทงค์เคี้ยวขนมปังที่คาบไว้ที่ละนิด ใช้ริมฝีปากค่อยๆ ลากส่วนที่เหลือเข้าไปเคี้ยวต่อแล้วกลืนดัง อึก “ครับก็ผมอยากต่อโรงเรียนเดียวกับพี่นี่นา” แทงค์หันมายิ้มให้เด็กหนุ่ม
“งั้นก็ตามใจนะ พี่กลับไปที่ห้องก่อนล่ะจะได้เตรียมตัวสอบต่อเช่นกัน” หลังจากอำลาน้องชายเสร็จเขาจึงเดินออกจากโรงอาหารกลับไปที่อาคารเรียน
แทงค์ยังคงนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โรงอาหารต่อ จนกระทั่งหมดเวลาพักเที่ยง ขึ้นเสียง ออด จากลำโพง “ขณะนี้เวลา 13.00 น. ขอให้ทุกคนกลับเข้าห้องสอบเพื่อเตรียมสอบวิชาต่อไปขอบคุณค่ะ”
เด็กน้อยปิดหนังสือ จากนั้นจึงเดินกลับไปยังอาคารเรียนประถมทาย้อมด้วยสีแดงปูหลังคาสีเขียว มีสองชั้น ชั้นหนึ่งสำหรับ ป.1 ถึง ป.3 ส่วนชั้นที่สองสำหรับ ป.4 ถึง ป.6 ซึ่งตั้งอยู่บริเวณหลังโรงอาหารนี้เอง
เราคงจะต้องข้ามช่วงเวลาแห่งการสอบอันน่าหดหู่นี้ไปก่อน
เวลาผ่านไปรวดเร็วนัก
“ออด ขณะนี้เวลา 15.00น. หมดเวลาการสอบขอให้ทุกคนกลับบ้านอย่างปลอดภัยค่ะ ขอบคุณค่ะ”เสียงจากลำโพงดังไปทั่วทุกสารทิศ ทั้งในอาคารเรียนประถม โรงอาหาร สนามหญ้า โรงพละ ตลอดจน อาคารเรียนมัธยม
“วันนี้สอบไม่ไหวเลยจริงๆ สินะเนี่ย” โตน้ำตาคลอเดินออกมาจากห้องด้วยท่าทีหน่อยหอบราวกับไปวิ่งทางไกลร้อยเมตร เขาดูห่อเหี่ยวเสียเหลือเกิน
ธันวิ่งตัดหน้าโตลงอาคารไปอย่างรวดเร็ว ราวกับรีบร้อนจะทำอะไรซักอย่าง เขาเร็วมากจนโตเองก็ยังทักไม่ทัน
“ให้ตายสิ ยังมีคนที่เจอข้อสอบปลายภาคยากขนาดนี้แล้วสามารถวิ่งไปมาได้อย่างกระตือรือร้นอยู่บนโลกด้วยแฮะ” โตเกาศีรษะเล็กน้อยขณะเดินไปยังห้องชมรม
ตุบ เขาเดินไปชนกับอะไรสักอย่างล้มลงนอนคว่ำกับพื้น โตค่อยๆ ยันตัวเองขึ้นก่อนจะพึมพำ “ซวยจริงๆ สอบเสร็จแล้วยังเดินชนอะไรอีกเนี่ย เอ๊ะ” โตค่อยๆ ก้มลงมองดูที่มือของเขา ซึ่งกำลังกดศีรษะของเด็กผู้ชายวัยประถมคนหนึ่งลงกับพื้นอยู่ “เฮ่ยแทงค์ เป็นอะไรมั้ย” โต เผลอล้มทับแทงค์นั่นเอง ซึ้งดูจากน้ำหนักระหว่างเด็กม.ปลายกับเด็กประถมแล้ว คงจะทำให้กระดูกถึงขั้นหักกันได้เลยทีเดียว โตรีบลุกขึ้นทันที
“พ..พี่โต ห..เห็นพี่ธันบ้างมั้ยครับ” น่าอัศจรรย์ใจยิ่งนักที่แทงค์ยังไม่ตาย
“อดทนสุดยอดเลยแฮะแกนี่ ถ้าเป็นเด็กคนอื่นคงร้องไห้ไปแล้วนะเนี่ย” โตพูดพลางปัดมือตัวเองเบาๆ “ถ้าธันละก็วันนี้หมอนั่นคงจะไม่มาชมรมหรอกเห็นบอกว่ามีธุระน่ะ”
“ธุระ ธุระอะไรงั้นหรือครับ” แทงค์เอียงคอสงสัย
“ไม่รู้มัน เห็นวิ่งลงบันไดอย่างกับจะหนีผี อ๊ะ คงไม่ใช่ว่าเป็นจริงๆ หรอกมั้งนะ ฮิฮิฮิ” โตแสยะยิ้มสยองที่มุมปาก
“อาจจะเป็นแฟนสาวก็ได้นะคะ” เด็ก สาวปล่อยผมยาวสลวย ใบหน้าดูน่ารัก ดวงตาที่ดูลึกลับ ติดเข็มกลัดระดับ ม.4 สะพายกล้อง ยืนไขว้ขาเอียงแผ่นหลังติดผนังเอ่ยขึ้นท่ามกลางการสนทนา
“เฮ้ย” โตอุทานด้วยความตกใจ “ยัยหนังสือพิมพ์”
แทงค์มองหน้าหญิงสาวด้วยความสงสัย “ยัยหนังสือพิมพ์”
“ไม่ใช่ยัยหนังสือพิมพ์ซักหน่อยนะยะ บอกกี่ครั้งแล้วว่าฉันชื่ออีฟ เป็นประธานชมรมหนังสือพิมพ์ ไม่ใช่ยัยหนังสือพิมพ์ อย่ามาเรียกให้เด็กเข้าใจผิดว่าฉันชื่อยัยหนังสือพิมพ์จะได้มั้ย” อีฟแก้ต่างให้ตัวเองทันทีทันใด
“จะพูดย้ำว่ายัยหนังสือพิมพ์ทำไมกันนะ” เด็กสาวได้ยินเสียงโตแอบนั่งยองๆ ซุบซิบนินทากับเด็กชาย
เธอเดินเข้ามาใช้มือข้างหนึ่งกระชากคอเสื้อโต “อยากตายหรือยะ” อีฟตะคอกใส่เขาทำท่าราวกับจะเอากล้องยัดคอหอยให้ตายกันไปข้าง
“พ..พี่ธันเขามีแฟนแล้วจริงๆ หรือครับ” แทงค์ถามอีฟที่กำลังโมโหพลุแตก เพื่อช่วยชีวิตโตที่ริบหรี่ราวกับหิ้งห้อยที่กำลังจะโดนคางคกรับประทาน
“อาจจะนะจ๊ะ” สีหน้าราวกับยมทูตของเธอเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มนางฟ้าใจดีขณะหันมาคุยกับแทงค์
“ชิ มันจะไปมีได้ไงกันเล่า ในหัวของหมอนั่นวันๆ ก็มีแต่น้องชายกับพ่อแม่นั่นแหละ” โตพูดด้วยเสียงค่อยๆ
“มันก็ไม่แน่หรอกย่ะ” อีฟปล่อยมือออกจากคอเสื้อของโต
“ไม่หรอก ไม่มีทาง” โตยื่นคำขาด
“ทำไมมันจะไม่มีทางล่ะคะ” อีฟมองหน้าโตดุจดั่งจะกินเลือดกินเนื้อ
“ก็บอกแล้วไงว่าหมอนั่นน่ะวันๆ”
“พอเถอะครับ” แทงค์ตะโกนหยุดการต่อล้อต่อเถียงของทั้งสองคน “ผมจะกลับบ้านตามไปดูพี่เขาเองเลิกทะเลาะกันเรื่องพี่ชายผมเถอะครับ” แทงค์พูดเสร็จก็หันหลังให้เดินลงบันได
“เดี๋ยวก่อนแทงค์” โตจับไหล่ของเด็กน้อยเอาไว้ “วันนี้มีกิจกรรมชมรมต้องไปทำนะ ฮิฮิฮิ” เขาจับแทงค์แบกขึ้นบ่าพาไปยังห้องชมรม
“เดี๋ยวก่อนสิคะ จะไปทำอะไรกันงั้นเหรอ” ตาของหญิงสาวเป็นประกาย ในมือของเธอถือกล้องถ่ายรูป ภายในใจคิดถึงข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์โรงเรียน
“หินผีสิงน่ะ พอดีเมื่อเช้าเด็กของฉันเขาเอามาให้ก่อนสอบบอกว่าเป็นหินปริศนาที่พบบริเวณศาลเจ้ากลางแจ้ง ก็เลยจะลองไปทดสอบดูสักหน่อย” โตยิ้มให้ พลางแบกเด็กน้อยเดินต่อ
“เห น่าสนใจดีนี่นา” อีฟแววตาส่องประกาย “ฉันขอไปทำข่าวได้มั้ยคะ”
“ไม่ได้ ชมรมของฉันยอมให้เธอสัมภาษณ์ในหัวข้อที่เป็นชมรมแปลกๆ ก็จริง แต่เรื่องลึกลับก็บอกไปแล้วไงว่าเปิดเผยไม่ได้” โตถอนหายใจดัง เฮ้อ (‘ให้ตายเถอะฉันล่ะเหนื่อยกับพวกอ่านใจได้เหลือเกินไม่น่ายอมให้สัมภาษณ์เลย ถูกล้วงความลับไปซะหมด มันน่าเจ็บใจจริงๆ’)
“ถ่ายรูปก็ไม่ให้ เปิดเผยก็ไม่ได้ แบบนี้ก็ไม่ดังกันพอดีสิ” อีฟทำปากงอนเล็กน้อย
“ชมรมวิจัยเรื่องลึกลับน่ะเขาไม่ให้พวกเราตั้ง ถึงได้ต้องใช้ชื่อชมรมทำงานบ้านกลบเกลื่อนเอาไว้ไงล่ะ ถ้าเกิดความแตกมีหวังโดนยุบชมรมชัวร์ดังไม่ดังฉันไม่สนแต่ถ้าชมรมนี้โดนยุบ ละก็” โตหันมาทำตาขวางใส่อีฟจนดูน่ากลัวราวฆาตกร “ต่อให้เป็นผู้หญิงฉันก็ไม่เว้นหรอกนะ”
“….” อีฟถึงกับชะงักไปซักพัก เธอสัมผัสได้ถึงความหน้ากลัวของผู้ชายคนนี้
โตเปลี่ยนมายิ้มแล้วหันหน้ากลับไป “แต่ถ้าเธอมาเข้าชมรมของฉันละก็เป็นอีกเรื่องล่ะนะ” โตแบกแทงค์ซึ่งดูเหมือนจะหมดสติไปแล้วเนื่องจากตกใจที่โดนอุ้มอย่างไม่ทันตั้งตัว
ที่ห้องชมรม แทงค์ค่อยๆ ฟื้นได้สติบนโซฟา เขามองเห็นโตนั่งอยู่กับโต๊ะกำลังใช้แว่นขยายส่องก้อนหินรูปร่างประหลาดไปมา ในขณะที่อีฟกำลังมองอยู่ห่างๆ กล้องของเธอถูกโตยึดไว้ ห้อยอยู่กับคอของเขา
“พี่โต” แทงค์ค่อยๆ ลุกขึ้น “นี่มันกี่โมงแล้วครับ”
“นายเพิ่งจะสลบไปได้ 10 นาทีเองจะมากี่มงกี่โมงอะไรล่ะ” โตวางก้อนหินลงกับโต๊ะ “หินก้อนนี้เป็นหินวิญญาณจริงๆ ด้วยแหละแทงค์ มีวิญญาณตายโหงสิงสู่อยู่ ฮิฮิฮิ”
“อ..อ่า..คือหนูไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรเลยนี่คะ” อีฟมองดูอย่างงุนงง
“อ่อ..ฉันยังไม่ได้บอกสินะ ว่าที่จริงแล้วฉันสามารถมองสีสันกลิ่นไอของสิ่งเหนือธรรมชาติได้น่ะ สีมันเป็นสีดำซะด้วยสิสวยงามจัง” โตมองดูอย่างหลงใหล
“ขอดูหน่อยได้มั้ยคะ” อีฟเริ่มอยากรู้อยากเห็น ในขณะเดียวกันแทงค์ก็ค่อยๆ เดินมานั่งที่โต๊ะ
“อ่อ ได้สิ” โตยื่นหินให้อีฟ อย่างระมัดระวัง
เธอค่อยๆ พินิจ “เอ..มันก็ดูเป็นเห็นธรรมดานะคะ ไม่เห็นจะมีสีดำอะไรเลยว่าแต่สีดำนี่มันสวยตรงไหนงั้นหรือคะ”
โตยิ้มอย่างภาคภูมิใจในความรู้ “ฮิ ฮิฮิ ก็มันจะนำความตายมาสู่ผู้ครอบครองยังไงล่ะ แค่ได้สัมผัสถ้าเกิดไม่มีคาถาอะไรกันไว้เลยละก็ ได้ของเข้าถึงขั้นตายอย่างทรมานน่ะสิบอกให้ สีดำแห่งความตายของผีตายโหงนี่แหละแรงนักแล”
“ก็แล้วเอ็งจะให้ดิฉันถือทำหอกหาหอยอะไรยะ” อีฟเขวี้ยงก้อนหินใส่กบาลโตเต็มอัตราดัง โป๊ก ล้มหัวแตกนอนกองกับพื้น
“พี่โต” แทงค์ที่ดูจะเพิ่งได้สติถึงกับตาสว่างทันใด
“อ..โอย สงสัยที่จะโดนนำความตายมาหาจะเป็นฉันมากกว่าเธอนะยัยหนังสือพิมพ์” โตเอามือกุมศีรษะ น่าประหลาดที่เขาไม่โกรธหรือด่าว่าอะไรรุ่นน้องเลย
“อ..อุ๊ย เป็นอะไรมั้ยคะรุ่นพี่” อีฟรีบเดินเข้ามาดูอาการของโตใกล้ๆ
“อ..อื้ม ไม่เป็นไรหรอกพอดีฉันอึดเรื่องหัวแข็งน่ะ” โตคลำศีรษะตรวจดูแผล (‘ถึงมันจะแตกก็เถอะ’) “แทงค์วันนี้เราจะลงไปทำกิจกรรมนำหินไปวางคืนศาลเจ้ากัน เพราะถ้าเก็บไว้ฉันคงไม่ได้เจอแค่หัวแตกแน่ๆ”
“ครับ” แทงค์ตอบอย่างแข็งขัน
ทั้งสามคนเดินลงมาจนถึงศาลเจ้ากลางแจ้ง ระหว่างทางได้แวะพาโตไปเย็บแผลที่ห้องพยาบาลด้วย ขณะนี้เวลา 17.00น. โตนำก้อนหิน (ซึ่งเปื้อนเลือดจากหัวของเขา) ไปวางคืนไว้ข้างๆ ตุ๊กตานางรำ ทั้ง สามสวดคาถาบางอย่างซึ่งคนที่เดินผ่านไปมาคงจะไม่สามารถเข้าใจได้โดยง่ายหลัง จากนำวิญญาณตายโหงในหินไปฝากไว้กับศาลเจ้าเรียบร้อยแล้ว จึงเดินกลับเข้าตึกเรียนเพื่อไปเอาเป้และเก็บกวาดเช็ดคราบเลือดของโตที่พื้น
พวกเขาหยุดอยู่หน้าประตูห้องชมรม “เอาล่ะ ทำความสะอาด ทำความสะอาด” โตบิดขี้เกียจเล็กน้อย
“สมกับเป็นชมรมทำงานบ้านจริงๆ นะคะ เฮ้อ” อีฟพูดกลบเกลื่อนวีรกรรมนองเลือดของตน
แทงค์ที่รอทั้งสองคนสนทนากันอยู่นั้นก็เริ่มสะกิดใจบางอย่างกับห้องชมรม “เอ๊ะ เดี๋ยวก่อนนะครับพี่โต”
“มีอะไรงั้น” โตชะงักเล็กน้อย “เฮ่ย จริงด้วย ”
“ทำไมงั้นหรือ” อีฟมองดูสีหน้าของทั้งสองคนที่เปลี่ยนไป ราวกลับกลัวอะไรมากๆ
“นี่ยัยหนังสือพิมพ์ ตอนที่เราออกจากห้องเธอได้ปิดไฟไว้หรือเปล่า” โตเหงื่อตก
“ก..ก็ไม่ได้ปิดหนิ เปิดไว้นะคะ ทำไมงั้นหรือ”
“แต่ว่าตอนนี้ไฟที่ลอดออกมาจากช่องประตูมันไม่มีนี่นา” ทั้งสามเริ่มวิตกกังวล ตัดสินใจกันว่าจะเปิดประตูเข้าไปกันดีหรือไม่
แทงค์รวบรวมความกล้าเปิดประตูเข้าไปทันทีโดยที่โตและอีฟไม่ทันตั้งตัว เขาอยากจะรีบกลับบ้านมากเสียกว่าแม้จะกลัวผีอยู่ก็ตาม
ภายในห้องมืดมิดราวกับอยู่ในป่าช้า โตและอีฟค่อยๆ เดินตามหลังเด็กน้อยเข้ามา ได้กลิ่นควันดำลอยมาแตะจมูกของโต ราวกับความเงียบสงบนี้จะทำให้ตกใจตายได้ในพริบตา
แอด อีฟใจหายเมื่อได้ยินเสียงไม้เอียดแอดดังจากข้างหลัง หลังจากสิ้นสุดเสียง ปัง ของประตู ลมตี ฝับ ผ่านผ้าพันแผลที่หัวของโตไป
แทงค์ที่ได้ยินเสียงประตูดังก็ไม่กล้าหันกลับไปความกลัวกลืนกินเช่นเดียวกับ โตและอีฟ ประตูปิดแล้วแน่นอน ทุกคนคิดเช่นนั้น
และแล้วทั้งสามจึงตัดสินใจหันหลังกลับไปพร้อมกัน
“happy birthday to you happy birthday to you happy birthday happy birthday happy birthday to Brother” ธันกำลังร้องเพลงขณะไล่จุดเทียนบนเค้กที่ถืออยู่ ทีละเล่ม ทีละเล่ม
แทงค์และอีฟยืนนิ่งปากค้างตาถลนบรรยายไม่ถูก ได้แต่มองอย่างงุนงง ในขณะที่โตหลุดขำออกมาดังลั่นห้อง
“นี่มันอะไรกันครับ” แทงค์ถามด้วยน้ำเสียงเหมือนจะโกรธหน่อยๆ
ธันยิ้มให้แทงค์เล็กน้อย “ก็นะ วันนี้มันวันเกิดนายนี่ ให้ตายเถอะลืมวันเกิดตัวเองหรือไง” ธันค่อยๆ นำเค้กวางลงบนโต๊ะ
“อะ แฮ่มๆ ก็พอดีในห้องสอบธันมันมาอธิบายให้พี่ฟังน่ะ ว่าวันนี้วันเกิดแก พอดีลืมซื้อเค้กกับของขวัญก็เลยขอตัววิ่งไปซื้อของก่อน อ้อแล้วก็เพื่อให้เซอร์ไพร้ส์ฉันเลยกุเรื่องก้อนหินผีสิงขึ้นมา เพื่อให้พวกเราลงไปข้างล่างในจังหวะที่ธันจะกลับเข้ามาในห้องน่ะ ระหว่างที่เราลงไปข้างล่างหมอนั่นก็แอบเข้าไปหลบในห้องน้ำไง ส่วนเรื่องการติดต่อก็ใช้มือถือปิดเสียงส่งข้อความหากันในตอนที่นายหลับอยู่ ธันมันก็มาถึงหน้าโรงเรียนแล้วล่ะ ให้ตายเถอะคนอะไรไวปานวอกแถมเค้กก็หน้าไม่เละด้วย” โตยืดอกเล่าเรื่องราว “ดีใจมั้ยล่ะ”
“พี่ไม่เห็นต้องทำขนาดนี้เลยนี่ครับ” แทงค์มองหน้าธันอย่างซาบซึ้ง
“ก็เดิมทีไม่ตั้งใจจะทำขนาดนี้หรอกนะ แหะๆ ” ธันเหงื่อตกเล็กน้อย “เดิมที กะจะไปซื้อเค้กรอนายอยู่ที่บ้านน่ะ เลยขอโตกลับบ้านก่อน พอหมอนี่ถามเหตุผลซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็เลยบอกไปตามตรง หลังจากนั้นก็เลยเป็นไปตามนี้ไงล่ะ”
“หึๆ อ๋ออย่างนี้เองสินะ” อีฟกำหมัดจนมองเห็นเส้นเลือดปูด เธอดูหน้ากลัวและมืดมนจนบรรยากาศเริ่มกลับมามืดครึ้มสยดสยองอีกครั้ง “ที่ทำไปทั้งหมดก็เพื่อน้องชาย ช่างน่ายินดี ช่างน่ายินดีจริงๆ” อีฟเดินมาหาโตทีละก้าว ทีละก้าว
“ด..เดี๋ยว..เดี๋ยวก่อนอีฟ” โตเดินถอยหลังขาสั่นจนแทบจะล้มลง
“เอ๋..คราวนี้เรียกชื่อถูกด้วยแฮะ” อีฟค่อยๆ เงยหน้าขึ้นเผยแววตาสยอง “ทำไมไม่บอกฉันปล่อยให้กลัว ถ้าช็อคตายจะทำยังไงกันยะฮะ” อีฟจับคอเสื้อโตกระชากขึ้น ค่อยๆ ลากคอโตตามมา
“ก..ก็ ถ้าจะหลอกแทงค์ให้ได้ผลมันไม่ง่ายนี่นา ก็เลยคิดว่าไหนๆ ก็บังเอิญเจอกันแล้ว มันน่าจะช่วยเพิ่มบรรยากาศน่ากลัวๆ ได้สักหน่อย เอ่อ...ค..คือ..คือว่า” โตยิ้มแบบเฝื่อนๆ
“ได้ค่ะอยากได้บรรยากาศน่ากลั๊วน่ากลัวใช่มั้ยคะ เดี๋ยวแม่จัดให้” รอยยิ้มนรกครั้งนั้นทำให้โตไม่กล้าเรียกเธอว่ายัยหนังสือพิมพ์อีกเลย
“อ๊าก!!” เสียงร้องโหยหวนของประธานหนุ่มดังลั่นสนั่นไปทั้งอาคาร
(เนื่องจากมีการใช้ความรุนแรงถึงขั้นผิดกฎหมาย เราจึงไม่อาจบรรยายสถานการณ์ได้ในขณะนี้)
จบตอนจร้า!!
โปรดติดตามตอนต่อไป
ขอขอบคุณแรงใจของทุกคนที่ตามอ่านกันจนจบไปอีกตอนนะครับ ^^ สำหรับตอนนี้ก็เช่นเคยนะครับตำหนิติติงกันได้
ปล.รักนะ!คนอ่าน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.6 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ