How can i say? ให้ตาย....ฉันพูดอะไรลงไป

-

เขียนโดย steponstep

วันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2556 เวลา 07.09 น.

  11 ตอน
  0 วิจารณ์
  15.02K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 27 เมษายน พ.ศ. 2556 07.27 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) การลงเอยแบบไม่ได้คาดคิด

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
 ฉันเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยแสงดาวระยิบระยับ สายลมเย็นกระทบที่ใบหน้าในคืนที่ท้องฟ้ายามค่ำคืนช่างแสนสดใส ราวกับมันจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป ฉันมั่นใจว่านี่คือความฝัน ใช่...มันต้องเป็นความฝันแน่ๆ โลกแห่งความจริงไม่มีทางเป็นเช่นนี้แน่นอน                     ฉันเอนหลังลงบนพื้นหญ้าที่นุ่มราวกับสำลี มันกลายเป็นสีดำไปหมดเพราะความมืดมิดยามราตี ช่างมีความสุขจริงๆ ฉันปล่อยให้ตัวเองละลายไปในความฝันโดยไม่คิดจะตื่นขึ้นมาด้วยซ้ำ ผ่านไปไม่ทันเสี่ยวนาที ในความฝันนั้น มือของฉันก็รับรู้ถึงอะไรบางอย่าง....ฉันจึงลุกขึ้นนั่งอย่างไม่รีรอ สิ่งที่ฉันเห็นช่าง...                     มือน้อยๆที่บอบบาง และอบอุ่น กุมที่มือสีขาวซีดของฉัน เด็กหญิงตัวน้อยอายุคงราวๆสี่ขวบ ผมดำยาวถึงบ่า มีรอยยิ้มที่แสนหวาน ดวงตากลมโตเป็นประกายราวกับแสงดาวบนฟ้า จ้องมองมาที่ฉันอย่างกับจะไม่มีวันยอมให้ฉันตื่นจากความฝันนี้                 "หวัดดีจ้ะ...หนูเป็นใครจ้ะ แล้วทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ หรือว่า...หนูเป็นนางฟ้ารึเปล่า" ฉันถามเด็กหญิงด้วยรอยยิ้มอย่างนุ่มนวล ในฝัน....ฉันจะถามอะไรก็ได้ ไม่ผิดอยู่แล้ว                "หนูไม่รู้ค่ะ แล้วหนูก็ไม่ใช่นางฟ้าด้วย" เธอตอบด้วยริมฝีปากบางๆ แก้มยุ้ยๆ น่าหยิกจริงๆ                "อืม...ไม่เป็นไร ถ้าอย่างงั้น หนูชื่ออะไรจร้ะ"                "อืม....."                เด็กน้อยสบตากับฉันอย่างระห้อย ไม่นะ ฉันไม่ควรถามเลย ก่อนที่เธอจะพูดขึ้นมาว่า                "คุณแม่อยากให้หนูชื่ออะไรเหรอคะ คนที่ส่งหนูมาบอกให้หนูถามคุณแม่ค่ะ"                "อะ อะไรนะ คะ คะ คุณแม่ แล้วนี่ใครส่งหนูมา" กริ๊ดดดด...อะไรกันเนี่ย                "นางฟ้าค่ะ" เด็กน้อยตอบอย่างไม่รีรอ                "นางฟ้า...นางฟ้า  แล้วเขาอยู่ที่นี่รึเปล่า"ฉันเริ่มถามอย่างจริงจังมากขึ้น                "ไม่ค่ะ ตอนนี้นางฟ้าอยากให้หนูอยู่กับคุณแม่แค่สองคนค่ะ"                "ถ้ามีนางฟ้า งั้นเราก็อยู่บนสวรรค์งั้นเหรอ นี่เราตายทั้งคู่เลย....ใช่มั้ย" แววตาของเด็กน้อยเหมือนกับกำลังจะร้องไห้ เขาคงตกใจ และคงกลัวมากด้วยกับสิ่งที่ฉันพึ่งพูดจบ ฉันนี่ มันแย่จริงๆ                แววตาของเธอช่างเหมือนกับฉันไม่มีผิด โดยเฉพาะตอนที่กำลังจะร้องไห้ อันที่จริง เด็กคนนี้เหมือนกับฉันตอนเด็กๆมากเสียจนเหมือนกับฉันกำลังคุยกับตัวเองในวัยเด็ก น่าตลกจริงที่ฉันมั่นใจเหลือเกินว่าเธอคือลูกของฉัน                "คุณแม่ยังไม่ตายค่ะ"                 "แล้วหนูหล่ะ" ไม่ ไม่ ด้วยโปรดอย่าตายนะ เพียงแค่แววตานั้น ฉันก็รู้ได้ทันทีว่าฉันรักเขาแล้ว รักมากๆ รัก...                "หนูก็ยังไม่ตาย..." ยังไม่ทันที่เธอจะพูดจบฉันก็คว้าตัวของเด็กน้อยเข้ามากอดทันที                 "ทำไมคุณแม่กอดหนูแรงจังเลยหล่ะคะ"                "คุณแม่รักหนูไงคะ"                "แต่นางฟ้าบอกว่า...คุณแม่ไม่อยากมีหนูไม่ใช่หรอค่ะ"                "โถ่...นางฟ้าใจร้ายจัง แม่อยากมีหนูสิคะ แล้วก็รักหนูมากด้วย" นี่นางฟ้า...หรือซาตานกันเนี่ย โหดร้ายที่สุด                "คุณแม่ไม่ได้โกหกนะคะ"                "ไม่จร้ะ...ไม่แน่นอน"                "ถ้าอย่างงั้น....คุณแม่อยากให้หนูชื่ออะไรเหรอคะ หนูอยากมีชื่อที่คุณแม่ตั้งให้"                ฉันมองหน้าเขาโดยที่คิดไม่ออกเลยว่าจะให้ชื่อว่าอะไรดี อะไรนะที่ทำให้ฉันหลงใหลเขา....อะไรน๊า  อ่อ...ใช่ ดวงตาไง แววตาที่ น่าหลงใหล อืม..คิดออกแล้ว                "อาโนจร้ะ หนูชื่ออาโน เป็นไง ชอบชื่อนี้มั้ย"                "ทำไมชื่อเหมือนผู้ชายจังเลยหล่ะคะ" หวังว่าคงไม่มีพ่อแม่คนไหนในโลกที่มีลูกมานั่งวิจารณ์ชื่อตัวเองตอนที่ตั้งชื่อแบบนี้อย่างฉันแน่นอน ฮือ ฮือ                "อาโน ก็คือเรือที่ช่วยสัตว์โลกตอนน้ำท่วมโลกไงจร้ะ หนูจะได้ช่วยเหลือคนอื่นเหมือนกับเรือนี้ และ...อา  มาจากอาย ที่แปลว่าตา หนูมีดวงตาที่ทำให้คุณแม่รักหนูมากๆไงคะ"                "แล้วถ้าหนูไม่มีตา แล้วคุณแม่จะรักหนูมั้ยคะ"                "โถ่...เด็กโง่ ถึงหนูไม่มีแขน ไม่มีขา คุณแม่ก็รักหนูค่ะ"                "เย้...หนูจะกลับไปบอกนางฟ้าว่าคุณแม่รักหนู"               ดีมากลูกรัก...ฝากไปบอกยัยซาตานนั่นด้วย                 "จ้ะ...ฝากบอกว่ารักมากด้วยนะ"               จากนั้นฉันก็โอบกอดลูกสาวของฉันอีกครั้ง แต่กอดด้วยความรักอย่างแท้จริง และเราก็วิ่งเล่นกันบนพื้นหญ้า ภายใต้แสงดาวและสายลม จนกระทั่ง....               ................................................................................................               " ไอ...ไอ...ตื่นเถอะ..ทุกคนรอแกไปกินข้าวอยู่" เสียงแม่ของฉันเอง โอ้ววว ไฟคลินิคปิดเกือบครบทุกดวงแล้ว ฉันลุกขึ้นแบบกึ่งหลับกึ่งตื่น อะไรกันเนี่ย เพลียชะมัด อย่างกะหลับไปทั้งคืน               "โอ้วววว(หาว)หวัดดียามดึกค่ะคุณแม่ หนูตื่นแล้ว แล้วก็...หวัดดีตัวเล็กที่อยู่ในนี้ด้วย"ฉันลูบที่ท้องราวกับจะขยี้ท้องตัวเอง แม่มองฉันด้วยแววตาที่โกรธฉันมากๆ                "เด็กไม่อยู่แล้ว อย่าทำอะไรอย่างนั้นเลย พอเถอะ " เชอะ...มองหน้าก็รู้ว่าโกหก อย่าตีเนียนทำหน้าเครียดเลยค่ะคุณหมอ ถ้าฉันแท้งจริงๆ มีเหรอที่ฉันตื่นขึ้นมาจะชวนไปกินข้าว ตลกแล้ว แล้วตอนที่หลับอยู่ฉันก็อยู่กับลูกสาวฉันด้วย                "โกหกชัดๆ อย่าคิดว่าหนูจับไม่ได้นะ "                "ถ้างั้นก็หยุดทำอะไรเสี่ยงๆเแบบนี้ซะทีซี่ โตซะทีได้แล้ว"                "ค่ะ หนูจะไม่ทำอีก"ฉันตอบอย่างใซื่อ                ''ง่ายแบบนี้เลยเหรอ เหมือนไม่ใช่เธอเลยนะ" แม่คงงงกับสิ่งที่ฉันพูดจริงๆ                "ค่ะ ก็หนูรักลูกหนูหนิ"                "แม่ชักไม่แน่ใจแล้วสิว่าเมื้อกี๊นี้เธอแค่เป็นลมหรือหัวกระแทกพื้นกันแน่ เหอะเหอะ ว่าแต่..อยู่อารมณ์นี้ให้ได้ตลอดนะลูกสาว แม่จะได้เบาใจซะที"                ฉันยิ้มตอบโดยไม่พูดอะไรด้วยซ้ำ ยิ้มในแบบที่แม่ก็เชื่อว่าฉันพูดจริง                ฉันและแม่ก้าวออกจากคลินิคโดยทิ้งให้พนักงานของคลินิคเป็นคนปิดประตูและเมื่อฉันหันไปมองบนถนน รถของบาร์จอดอยู่ตรงนั้น เขาออกจากรถมายืนตรงกระโปรงรถจนแทบจะขึ้นไปนั่งอยู่บนนั้นอยู่แล้ว แม่ของฉันเดินเข้าไปคุยกับเขาอย่างถูกคอ เห็นแล้วระรานสายตาจริงๆ ส่วนแม่ฉันก็ไปสนิทกับอิตานี่ตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย ตอนเรียนยังไม่ขนาดนี้เลยนะ
                ฉันก้าวเข้าไปในรถที่เบาะหลัง แล้วทิ้งให้แม่นั่งหน้ากับอิตาหื่นไปสองคน อ่า....เบาะหลังนี่นิ่มสบายจัง คงต้องนอนอีกสักงีบแล้ว พอบาร์ออกรถความสงบในใจของฉันก้อเข้ามาอีกครั้ง แอร์เย็นๆกระทบไปที่หน้าของฉัน หนังตาก็เริ่มหย่อนลงมา เอาหล่ะได้เวลานอนแล้ววววว               "ว่าที่คุณแม่ครับ..วันนี้ผมคงเลี้ยงข้าวที่โรงพยาบาลนะ"เขาหันหลังมาพูดกับฉันโดยที่ไม่สนใจรถข้งหน้าด้วยซ้ำ ให้ตายเถอะ...ถ้ารถชนหล่ะก็ ฉันไม่ไว้หน้านายแน่               "ไมงั้นหล่ะ แล้วร้านหรูๆ กับข้าวเยอะๆแพงๆที่ฉันกำลังจะจินตนาการก็ล่มสลายไปหมดเลยสิ น่าสงสารลูกฉันจริงๆ"ฉันงอน               "วันนี้แม่ไปขึ้นเวรแทนป้าจุ๊จ้ะ เห็นว่าบาร์มีงานด่วนด้วย"แม่รีบช่วยเขาทันที               "งานที่ฉันต้องทำแทนเธอทั้งนั้น" ฉันควรจะยอมเขาใช่มั้ย               "อย่าเรื่องมากน่า ตอนฉันท้องแก...ก็กินแต่ข้าวโรงพยาบาล"               "ชัดเลย หนูถึงเป็นแบบนี้ไง"               "บ้าๆบอๆไม่เต็มเตง ใช่มั้ย" ทั้งแม่และบาร์หัวเราะกับอย่างร่าเริง                "เห็นดีเห็นงามกันใหญ่" ฉันบอกแล้วว่าฉันงอน               พอรถจอด  เราเข้าไปในศูนย์อาหารของโรงพยาบาลที่ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนอยู่ห้องกินข้าวที่บ้าน มุมเดิมๆ และเวลาเดิมๆที่ต้องมากินที่นี่ ทุกอย่างอยู่บนความเคยชินของฉันซะแล้ว คุณหมอรีบทานข้าวอย่างรวดเร็วแล้วทิ้งให้ฉันอยู่กับบาร์เพียงสองคนบนโต๊ะ                เขามองหน้าฉัน แล้วยิ้มก่อนจะพูดว่า                "แม่เธอกินไวมากเลยนะ ฉันเลยมีเวลาเหลือเยอะเลย อยากกินเค้กมั้ย"                "นายจะเลี้ยงใช่มั้ย"                "ก็แหงหล่ะ มีร้านนึงข้างๆโรงพยาบาล ไปกินที่นั่นกัน ก่อนที่ร้านจะปิด ฟังนะ ฉันจะเลี้ยงลูกหรอกไม่ได้เลี้ยงเธอ"                "กวนประสาทฉันตลอด"                 กวนประสาทอีกแล้วนะ ผู้ชายปากเสีย ไม่เป็นไร ในเมื่อฉันก็ยังไม่อิ่มอยู่แล้ว ไปกันเลย ว่าแต่...พ่อของลูกฉันลุกจากเก้าอี้ซะทีสิยะ ฉันฟอร์มให้นายลุกก่อนตั้งนานแล้วนะ................................................................................................................................    ร้านเค้ก ไทม์เอ้าท์ เวลา 19.40               "เมื่อไหร่เธอจะอิ่มซะทีอ่า ฉันต้องรีบไปหาลูกค้านะ "              "โถ่....อีกนิดนึงนะ"              "นิดนึงอะไรหล่ะ เธอจะกินหมดร้านอยู่แล้วนะ"              "หวงลูกหรอ กลัวลูกกินดีอยู่ดีช่ายมะ"              "อะไรของเธอ เพ้อเจ้อไปเรื่อย"              "ก็ดี....งั้นฉันกินต่อ"              "ฉันให้เวลาเธออีกห้านาที ไม่งั้นฉันจะไปก่อน"              "โอเค....งั้นฉันจะนั่งกินอยู่กับลูกสองคน"              เขาหน้าตาเหรอหราขึ้นมาทันทีที่ได้ยินประโยคนี้ ฮิฮิ น่าสงสารจิงๆ               "ฉันล้อเล่นน่า อีกสามนาทีฉันก็กินหมดแล้ว...."               ยังไม่ทันที่ฉันจะพูดจบ ผู้หญิงคนหนึ่งที่แต่งตัวเหมือนนางเอกหนังเกาหลีก็เดินเข้ามาแล้วหยิบแกวน้ำจากโต๊ะข้างๆสาดน้ำใส่หน้าของบาร์จนเปียกโชกไปหมด  จนฉันชะงักแล้วรีบลุกขึ้นทันที เธอหันมาพร้อมกับตวาดใส่ฉันเสียงดังลั่นร้าน                 "เธอไม่เกี่ยว....ฉันมีปัญหากับเขา" ฉันได้แต่หยุดยืนเฉยๆ โอเค ฉันควรทำไงดี งั้นก็ขอบคุณละกันที่ไม่มายุ่งกับฉัน แต่นายตายแน่ บาร์ นายทำให้ฉันขายหน้า                 "อะไรของเธอหล่ะ ห๊ะ....เราเลิกกันแล้วไม่ใช่หรอ"ให้ตาย..เขาดูร้ายเป็นบ้าเลย                 "ยัยนี่ใช่มั้ยที่ทำให้พี่เปลี่ยนไป" เธอหันมาชี้หน้าฉัน                  "นั่นแม่ของลูกฉัน เลิกตามรังควานได้แล้ว รีบๆออกจากร้านไปเลย"เขาตวาดใส่แม่นั่น สถานการณ์ชักไม่ดีเอามากๆแล้วสิ                 "งี่เง่าที่สุด ห่วยเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ หน้าตัวเมีย"                 เธอตบเข้าที่แก้มข้างซ้ายของเขาด้วยแรงที่ยิ่งกว่าที่เคยดูในหนัง ทุกคนในร้านได้แต่นิ่งเงียบ พอผู้หญิงคนนั้นเดินออกไปนอกร้าน บาร์ก็เดินหนีออกจากร้านทันที อ้าว...แล้วจะไปไหน เขาทิ้งฉันไว้ที่ร้านคนเดียว นั่นสิ....เขามันห่วยจริงๆด้วย                  ฉันกลับเข้าไปในโรงพยาบาล กะว่าจะเข้าไปนอนในห้องพักของแม่จนเช้าแล้วค่อยไปที่ออฟฟิต แต่ระหว่างทางกลับก็ได้มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น                  มีใครบางคนวิ่งมาจากด้านหลัง แล้วเอามือสองมือของเขามาปิดไว้ที่ตาของฉัน ให้ตาย ใครมาเล่นอะไรแบบนี้นะ                  "สะบายดีมั้ยเจ้าสาวของผม"                  เสียงที่ไม่ได้ฟังมานานแต่ยังคงคุ้นเคย เขาคนนั้น เราเคยสัญญาบางสิ่งกันเมื่อสองปีที่แล้ว ขอเฉลยละกัน....เขากับฉันสัญญากันเมื่อ 5 ปีที่แล้วว่า และเป็นสัญญาที่ทำให้เราไม่ได้เจอกันถึง 5 ปี นันคือ ถ้าเราสองคนอายุสามสิบเมื่อไหรแล้วยังไม่พบใครที่ใช่...เราจะแต่งงานกัน ซึ่งฉันหวังเสมอว่าสัญญานี้จะเป็นบทพิสูจน์สิ่ที่เรียกว่ารัก ของเขา ฮ่าๆ แต่ตอนนี้ เขานับเวลาผิดแล้ว                  "เรายังไม่สามสิบกันเลยนะคะคุณหมอ....."

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา