เผลอรัก...จับใจ
10.0
เขียนโดย soso_sung
วันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2556 เวลา 14.15 น.
20 chapter
0 วิจารณ์
24.75K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 25 เมษายน พ.ศ. 2556 20.49 น. โดย เจ้าของนิยาย
3)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่3
“กริ๊ด นี้เธอทำบุญด้วยอะไรเนี่ย คุณคาร์ลก็ชอบเธอ เหวินอี้ก็ยังมาชอบเธออีก” ฉันเล่าเหตุการณ์วันนี้ให้ซูฟังและผลก็ออกมาเป็นอย่างที่เห็น เธอกรี๊ดกร๊าดไม่เกรงใจลูกค้าที่ตอนนี้เริ่มจะสนใจพวกเราแล้ว
“เบาๆสิ ฉันขอแก้ข่าวว่าคุณคาร์ลของเธอชอบฉัน เขาก็แค่แกล้งฉันไปอย่างนั้น ส่วน
เหวินอี้เขาเป็นเพื่อนฉันต่างหากละ”
“ไม่จริงหรอก ฉันไม่เชื่อ” ซูยังคงไม่เชื่อในสิ่งที่ฉันพูด
“แล้วแต่เธอเถอะย่ะ” ฉันเลิกสนใจซูที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ล้อฉัน ฉันเลยมารับออเดอร์เมื่อสัญญาณจากโต๊ะลูกค้าดังขึ้น
“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าจะรับอะไรดีค่ะ”
“ขอเป็น...”
ไม่ทันที่ลูกค้าจะได้สั่งก็เกิดเสียงเอะอะโวยวายดังจากหน้าประตูร้าน
“ไขไข่ เธอทำแบบนี้ไม่ได้นะ”
ทีแรกเธอว่าจะไม่สนใจ แต่เพราะมีชื่อของเธออยู่ด้วยเลยทำให้เธอต้องละจากลูกค้าไปดูหน้าร้านว่าเกิดอะไรขึ้น
“ขอโทษนะค่ะ โปรดรอสักครู่” ฉันเอ่ยขอโทษแล้วรีบเดินไปที่เกิดเหตุเมื่อเห็นว่าคนที่มา อาละวาทคือใคร
“อาเฉินนายมาทำอะไรที่นี้” ฉันเข้าไปถามอาเฉินที่ตอนนี้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟผลักพนักงานชายที่พยายามที่จะเข้าไปจับเขา
“เธอต่างหากที่ทำอะไรลงไป” อาเฉินย้อนถามฉันด้วยน้ำเสียงหาเรื่อง
“ฉันไปทำอะไร” ฉันถามอย่างงงๆ
“นี้เกิดอะไรขึ้นนะ” เสียงเฉียบขาดที่ฟังแล้วเป็นต้องขนลุกจากหัวหน้าดังขึ้นทางด้านหลัง
“หัวหน้า” นี้ฉันต้องตายแน่ๆเลย
“ไขไข่ ผู้ชายคนนี้ใครกัน” หัวหน้ากอดอกแล้วถามฉันโดยท่าทางนิ่งๆ
“เพื่อน...”
“ผมเป็นแฟนเธอ” อาเฉินตอบขึ้นมาด้วยเสียงเข้มแล้วมายืนขวางระหว่างฉันกับหัวหน้า
“เขาไม่ใช่แฟนฉันค่ะ” ฉันผลักอาเฉินกระเด็นไปอยู่อีกฝากหนึ่งทันที
“ไม่ว่าเธอสองคนจะเป็นอะไรกัน ฉันไม่สนแต่ฉันขอสั่งให้เธอจัดการเรื่องพวกนี้ให้เรียบร้อยเดี๋ยวนี้”
“รับทราบค่ะ” ค่อยยังชั่วที่เงาหัวฉันยังอยู่ ยังไม่ถูกประหารโดยการไล่ออก แต่เหมือนว่าคำภาวนามันไม่ได้เป็นอย่างที่หวังไว้
“แล้วเธอก็เก็บของออกไปจากร้านฉันซะ” ฉันเข้าใจแล้วว่าการถูกไล่ออกมันเป็นยังไง ฉันเข้าใจถึงผู้หญิงแคชเชียร์คนนั้น เวรกรรมคงจะตามฉันทันแล้วสินะ
“แต่หัวหน้าค่ะ” ฉันเข้าไปกอดแขนหัวหน้าแต่ก็ถูกเธอสะบัดออก
“กฎของฉันมีให้ปฏิบัติตามไม่ใช่ให้แหก ถึงเธอจะไม่เคยทำตัวแย่ๆมาตลอดสามปี แต่ใครทำผิดก็ต้องได้ทำโทษ เข้าใจ๋!”
กฎของร้านนี้มี10ข้อ
ข้อที่1 ลูกค้าคือพระเจ้าแต่ถ้าหากลูกค้าพูดไม่รู้เรื่องก็ให้แจ้งความทันที
ข้อที่2 ห้ามมีเรื่องกันในร้านไม่ว่าจะเป็นพนักงานกับลูกค้าหรือพนักงานกันเอง
ข้อที่3 หากผิดกฎหรือทำให้หัวหน้าไม่พอใจไล่ออกสถานเดียวไม่มีข้อยกเว้น
ฯลฯ
คือผิดตั้งแต่ข้องสองแล้วขอไม่เสริมต่อนะเพราะช๊อคกับเรื่องที่เจออยู่
“หัวหน้า” ฉันเรียกหัวหน้าที่เดินออกไปไม่สนใจอะไร ร่างกายของฉันก็เริ่มอ่อนยวบคล้ายหมดแรงต้องลงไปนั่งกองกับพื้น
“ไขไข่เธอโอเคนะ” ซูเดินเข้ามาประคองฉันแล้วถามด้วยความเป็นห่วง
“ไขไข่เฉินขอโทษ เฉินไม่ได้ตั้งใจ” เสียงของอาเฉินดังขึ้นทำให้วิญญาณที่ล่องลอยได้กลับเข้ามาในร่าง
“นายยังมีหน้ามาเรียกฉันอีกหรอตาทึ้มไร้สมอง นายจะไปไหนก็ไปเลย ฉันเกลียดนาย” ฉันลุกขึ้นต่อว่าเขาด้วยความโกรธอย่างห้ามไม่อยู่
“ไขไข่เธอยังโอเคอยู่ไม” แต่มันเป็นเพียงความคิดชั่ววูบของฉัน ฉันไม่สามารถตะโกนออกไปอย่างนางมารร้ายได้ เพราะฉันเป็นนางฟ้าที่ต้องรักษาภาพพจน์
“ฉันยังโอเค ซูฉันอยากให้เธอช่วยหางานใหม่ให้ฉันไม่ว่างานมันจะเป็นแบบไหนก็ตาม”
“ได้ทั้งนั้น ฉันจะรีบหางานให้เธอนะ” แล้วซูก็ดึงฉันไปกอดอีกที “เธอมีปัญหาอะไรโทรหาฉันได้เสมอนะ”
“ขอบใจนะ ฉันจะไม่ลืมเธอเลย” ฉันกอดเธอตอบแล้วผละออกด้วยความเศร้า จบแล้วสินะ การเป็นพนักงานพาร์ทไทม์
“เฉินไม่ได้ตั้งใจทำให้เธอตกงานจริงๆนะ” พออกจากร้านอาเฉินก็พยายามพูดอธิบายในสิ่งที่เขาทำไปทั้งหมดและเหตุผลของเขาเป็นเพียงเพราะหึงฉันที่ฉันได้ไปกินข้าวกับเหวินอี้ แต่เขาไม่เคยได้ไปกินข้าวกับฉันแบบสองต่อสองเลย มันไม่ยุติธรรมกับเขา นี้คือสาเหตุที่เขามาอาละวาดในครั้งนี้มันชั่งมีสาระซะจริงๆ
“เฉินจะไปอธิบายกับหัวหน้าของเธอว่าเฉิน...”
“พอเถอะอาเฉิน ตอนนี้ฉันอยากอยู่คนเดียว”
“เธอคงเกลียดฉันแล้วใช่ไม” อาเฉินถามด้วยน้ำเสียงที่ผิดหวังและเจ็บปวด นัยน์ตาตาของเขาเริ่มมีน้ำคลอ
“อาเฉิน ฉันขอโทษนะ แต่ตอนนี้ฉันอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ” ถึงเขาจะเป็นตัวน่ารำคาญสำหรับฉัน แต่ตอนนี้ฉันไม่อยากจะสนใจอะไรทั้งนั้น
“ไม่เป็นไร เธอมีอะไรก็โทรหาฉันนะ” อาเฉินเดินคอตกออกไปพร้อมกับน้ำใสๆที่ไหลออกมา
“เฮ้อ... ตกงาน ฉันตกงานฉันไม่มีงานทำ ฮ่าๆๆๆ” และเมื่ออาเฉินเดินจากไปไม่นานฉันก็เดินคอตกตรงกลับบ้านพร้อมกับพูดคนเดียวและหัวเราะคนเดียวอย่างบ้าคลั่ง แต่ดีที่ว่าผู้คนแถวนี้ไม่ค่อยจะมีสักเท่าไร
“เจ๊เป็นไรมากป่าวเนี่ย” จู่เสียงเล็กๆเหมือนเด็กผู้ชายดังไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่ฉันยืนอยู่
“มากเลยละ”
“ผมทำให้เจ๊หายเศร้าเอาไม” เด็กน้อยยิ้มร่าเริงโดยเฉพาะแววตาที่แวววาวนั้นทำให้รู้สึกเหมือนเคยเห็นที่ไหน
“ทำอะไรละ” ฉันย่อตัวลงไปถามด้วยความสนใจ อย่างน้อยมีคนทำให้หัวเราะก็อาจจะดีก็ได้
“มาเป็นแฟนกับผมไง”คำพูดที่หลุดออกมาจากปากเล็กนั้นทำให้ฉันต้องมองอย่างอึ้งๆ
“ฮ่าๆๆๆ” ฉันหัวเราะร่าแล้วคว้าตัวเด็กน้อยเข้ามากอด
“เจ๊ ผมหายใจไม่ออก” เด็กน้อยพยายามผลักฉันออก
“นายขอฉันเป็นแฟนหรอ ตัวแค่เนี่ย”
“ทีแรกผมคิดอย่างนั้น แต่ตอนนี้ผมขอเปลี่ยนใจ โอ้ย!”
“เด็กบ้า เรื่องแบบนี้อย่ามาล้อเล่นนะ ฉันเสียใจนะรู้ไม”
“แล้วเจ๊จะมาเขกหัวผมทำไมละเนี่ย เจ็บนะรู้ไม”
“ก็นายมาให้ความหวังฉันนิ” ฉันมองหน้าเด็กน้อยที่เอามือป้อมๆลูบหัวตัวเอง
“เลิกเจ็บได้แล้ว ฉันไม่ได้ตีแรงซะหน่อย”
“ตกลงเจ๊จะเป็นแฟนผมไมอ่ะ”
“หนอย เด็กบ้า แก่แดดนักนะเรา รอนายโตก่อนฉันจะยอมแต่งงานด้วยเลยเอ้า” ฉันทำเป็นใจดียอมจะแต่งงานกับเด็กที่ห่างจากฉันเกือบรอบปี
“ไม่เอาอ่ะ ถึงตอนนั้นเจ๊ก็แก่แล้วนะสิ” เด็กน้อยทำแก้มป่องกอดอกส่ายหัวไปมา
“เด็กบ้า ว่าฉันแก่หรอ แล้วใครขอฉันเป็นแฟนย่ะ” ฉันยื่นมือเข้าไปดึงแก้มป่องๆนั้นทำให้เด็กน้อยถึงกับร้องเสียงหลงออกมา
“โอ้ย!!...เจ๊ ผมเจ็บนะ” เด็กน้อยพยายามดึงมือของฉันให้ออก
“น่ารักจังเลย” ฉันก็ยังไม่หยุดทั้งบีบทั้งดึงอย่างหมั่นเขียว
“หยุดน่า”
“หยุดก็ได้ แล้วนี้นายมากับใครเนี่ย” ฉันมองซ้ายมองขวาก็ไม่เห็นมีใครอยู่ตรงนี้สักคน “พี่ชาย” เด็กน้อยตอบ
“แล้วไปไหนซะละ” มองรอบตัวก็ไม่เห็นจะมีใครเลย และพอฉันจะลุกขึ้นเพื่อมองให้ไกลกว่านี้ว่าพี่ชายของเด็กน้อยอยู่ไหนก็เกิดอาการเซเพราะหน้ามืด ทำให้ฉันทรงตัวไม่อยู่ร่างกายเลยหงายไปข้างหลังเหมือนคล้ายเป็นลม และนั้นทำให้ฉันเตรียมรับกับความเจ็บแต่แล้วความเจ็บนั้นกลับไม่เกิด แต่กลับอะไรบางอย่างแข็งแรงมาประคองฉันไว้
“เธอโอเคหรือเปล่า” เสียงนุ่มๆถามพร้อมคว้าตัวฉันและประคองให้นั่งลง
“ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว ขอบคุณมากคะ” ฉันกำลังจะขยับตัวลุกขึ้นเมื่อรู้สึกหาย แต่จู่ๆตัวฉันก็ลอยขึ้นโดยอ้อมแขนแข็งแรง
“คุณทำอะไรนะ” ฉันดิ้นๆในอ้อมแขนด้วยความตกใจแต่ก็ไม่เท่ากับคนที่อุ้มฉัน
“อยู่นิ่งๆสิเดี๋ยวก็ตกหรอก” เขาเตือนด้วยความหวังดี
“เฮียคาร์ลไปไหนมาครับ ผมหาซะทั่ว” เสียงเล็กๆของเด็กน้อยดึงให้เราสองคนหันไปสนใจ แต่ในความสนใจของฉันก็คือ ผู้ชายคนนี้เป็นพี่ของเด็กน้อยอย่างนั้นหรอ
“ไปทำธุระตอนนี้เสร็จแล้ว ไปขึ้นรถเถอะ”
“แล้วกระเป๋าเจ๊ละครับ”
“ทิ้งไว้นั้นแหละเดี๋ยวเทศบาลขยะก็มาเก็บไปทิ้งเองแหละ” เขาตอบอย่างไม่สนใจแล้วตั้งท่าจะเดินแต่ก็ต้องร้องออกมาเมื่อฉันบีบขอเขาอย่างแรง
“นั้นมันกระเป๋าของฉันแล้วมันก็ไม่ใช่ขยะด้วย เก็บของๆฉันมาเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นก็ปล่อยฉันลง”
“โอ้ย ฉันหายใจไม่ออก” หัวของเขาสั่นคลอไปด้วยมือของฉันที่เขย่า แต่เขาก็ไม่ยอมปล่อยฉันลงแถมยังกอดฉันไว้แน่นยิ่งกว่าเดิม
“โหดเป็นบ้าเลย” เสียงเล็กๆบ่นอย่างกลัวๆแต่ก็ยอมหยิบกระเป๋าขึ้นมาถือ “เจ๊ ผมหยิบแล้ว ปล่อยมือออกจากคอเฮียเถอะ”
“นายจะปล่อยฉันลงได้หรือยัง” เมื่อเห็นว่าเด็กน้อยหยิบกระเป๋าฉันมาอุ้มกอดไว้อย่างดี ฉันเลยตวัดตาขวางมองเขา และเขาก็ยอมปล่อยฉันโดยดี
“นายมีปัญหาอะไร” ฉันถามเขาอย่างหาเรื่องเมื่อเห็นว่าเขายังคงมองฉันไม่วางตา
“เลือดเธอไหลนะ” เขายื่นผ้าเช็ดหน้ามาให้ฉัน
“เฮ้ย!” ฉันเตะไปที่จมูกก็เจอเลือดที่ไหลออกมาไม่หยุด
“เอาไปเช็ดซะ” ไม่ต้องให้เขาบอกเป็นครั้งที่สองฉันก็คว้าผ้าเช็ดหน้ามาอุดรูจมูกทันที
“นอนพักตรงนี้ก่อน” เขาพาฉันเดินมาหยุดที่เก้าอี้ริมทาง
“ฉันคิดว่ามันหยุดแล้วนะ” ฉันหันหน้าไปหาเขาที่ยังคงยืนประกบอยู่ไม่ห่างโดยมีเด็กน้อยยืนอยู่ข้างๆ
“ฉันคืนผ้าเช็ดหน้าให้” เพียงไม่นานฉันก็เช็คดูว่าเลือดได้หยุดไหลแล้วหรือยังพอเห็นว่าเลือดหยุดไหลแล้วฉันก็ยื่นผ้าเช็ดหน้าคืนเขา
“มันไม่ใช่ของฉัน เธอเอาทิ้งเถอะ” นี้คือคำตอบของเขา
“ไม่ใช่ของนายแล้วของใคร นายเป็นคนยื่นมาเองกับมือหรือนายรังเกียจเลือดของฉัน ฉันเอาไปซักแล้วคืนให้นายใหม่ก็ได้” เขานี้เหลือเชื่อเลย อะไรๆก็จะเอาทิ้งหมด
“นายเงียบทำไม” หรือเขาไม่เข้าใจที่ฉันพูด
“ก็มันไม่ใช่ของฉัน เธอจะคืนฉันได้ยังไง”
“ไม่ใช่ของนายแล้วของใครละ” อารมณ์เริ่มจะพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆอีกแล้ว ฉันรู้สึกถึงความร้อนในโพรงจมูกคล้ายเลือดที่แห้งไปแล้วกำลังจะละลายไหลย้อยออกมาอีก
“เอ่อ...ของผมเองครับ” จู่ๆก็มีเสียงแก่ๆดังขึ้นจากข้างๆ และพอฉันหันไปก็เจอกับ
“ของคุณ...”
“คุณลุงขับรถของผมเอง” ฉันได้ยินเสียงเหมือนแก้วแตกใกล้ๆ โอ้ย!! ทำไมชีวิตฉันถึงได้เป็นแบบนี้นะ เจอเรื่องหน้าแตกมาแล้วกี่ครั้งก็ไม่อายเท่าครั้งนี้มาก่อน
“ฉันขอโทษ” ฉันตอบเสียงอ่อยๆแล้วก้มหน้ามือบิดผ้าเป็นพัลวัน อยากจะให้เลือดกำเดาไหลอีกรอบจัง
“ไม่เป็นไร เจ้าของก็อยู่นี้แล้ว คืนเขาสิ” ฉันเห็นเขายิ้มน้อยๆที่มุมปากด้วย เมื่อกี้เขายิ้มเยาะฉันใช่ไม
“นายไม่ต้องมายิ้มเลยนะ คุณลุงค่ะเดี๋ยวหนูซักคืนให้นะคะ แล้วก็ขอบคุณด้วยนะคะ” ประโยคแรกเสียงห้วนๆให้คนเป็นเข้านาย แต่สองประโยคหลังหันไปหาคุณลุงแล้วทำเสียงหวานๆ
“ไม่เป็นไรครับเดี๋ยวผมเอาไปซักเองก็ได้” คุณลุงดึงผ้าเช็ดหน้าออกจากมือฉันทันที
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณลุง เดี๋ยวหนูกลับไปซักเอง หนูเกรงใจนะคะ” แล้วฉันก็คว้าผ้าเช็ดหน้ากลับมาถืออีกครั้ง
“เลิกเล่นได้แล้ว” แล้วก่อนที่จะมากไปกว่านี้เสียงเข้มก็มาพร้อมกับมือที่กระชากผ้าไปถือเอง
“ครับ” เหมือนจะรู้กันสองคนเพราะคุณลุงรีบวิ่งไปขึ้นรถและสตาร์ทรถทันที
“เนี่ยไม่ต้องซักมันหรอกยังไงก็ไม่ออก” เขาชูผ้าเช็ดหน้าที่มีคราบเลือดแห้งกรังของฉันแล้วก็โยนทิ้งที่ถังขยะแล้วก็สั่งฉันเสียงเข้ม “ทีนี้ก็ไปขึ้นรถ”
“ขึ้นรถไปไหน” ฉันถามเขา
“คีย์” เขาเอ่ยชื่อใครสักคนแต่ก็ไม่ต้องสงสัยเพราะเด็กน้อยก็ได้เข้ามาลากฉันให้ขึ้นรถ
“เจ๊รีบขึ้นเถอะก่อนที่เฮียจะโกรธ” เมื่อฉันทำท่าไม่ไปไหนเด็กน้อยคีย์ก็รีบพูดแล้วทำหน้ากลัวๆ
“ทำไมฉันต้องทำตามด้วยละ เฮียนายไม่ใช่เฮียฉันซะหน่อย” เหมือนกับว่าฉันจะตัดสินใจได้ผิดเพราะฉันรู้สึกเหมือนลมเย็นๆผ่านไปวูบหนึ่ง
“ว้ายย นายจะทำอะไรนะ ปล่อยฉันลงนะ” ฉันโวยวายใหญ่เมื่อคาร์ลอุ้มฉันแล้วเหวี่ยงพาดไหล่
“ผมบอกแล้วไม่เชื่อ” เด็กน้อยคีย์เอ่ยออกมาพร้อมกับสายหัวไปมา
“คุณทำบ้าอะไรเนี่ย” เมื่อขึ้นรถเสร็จแล้วฉันก็โวยวายไม่ยอมหยุด
“อยู่เงียบๆสักนาทีได้ไม” เขาหันมาตอบนิ่งๆ
“...” แต่สายตาของเขาบ่งบอกได้ดีว่ารำคาญฉันเต็มแก แล้วเขาจะเอาฉันขึ้นรถมาด้วยทำไม
“เฮีย พรุ่งนี้วันหยุด อย่าลืมสัญญาของเรานะครับ” เด็กน้อยทวงสัญญาคนเป็นพี่ชายทันที
“ได้สิ” เขาตอบแล้วก็ยีหัวเด็กน้อยอย่างเมามันส์ มองมุมนี้เขาก็น่ารักดี แต่พอนึกถึงเรื่องที่เขาทำกับฉันแล้วฉันยิ่งอยากจะอยู่ห่างไกลจากเขาเหลือเกิน
“เจ๊ด้วยนะ พรุ่งนี้ผมจะไปรับ” จู่ๆเด็กน้อยก็หันมาคุยกับฉันทำให้ฉันต้องหยุดความคิดนั้น
“หือ ฉันหรอ พรุ่งนี้ฉันไม่...” ฉันกำลังจะพูดว่าไม่ว่าง แต่พอสายตาเหลือบไปเห็นคนตัวโตก็แทบจะกลับลิ้นไม่ทัน
“ไม่มีปัญหา กี่โมงละ”
“เก้าโมง”
“เก้าโมง!!!”
“แล้วเจอกันนะครับ” ไม่ทันที่ฉันจะท้วงรถก็ได้มาจอดที่หน้าบ้านเรียบร้อย แถมยังถูกเจ้าของรถทั้งสองไล่ให้ลงจากรถด้วยสายตาอีกต่างหาก
“จ๊ะ แล้วเจอกันนะจ๊ะ บ๊ายบาย” พอลงมาจากรถฉันก็ได้แต่พูดกับตัวเองพร้อมโบกมือลาด้วยความเศร้าใจ
“เฮ้ย” ฉันถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้ากับปัญหาที่เจอมาแต่ในเมื่อเราเกิดมาแล้วก็ต้องสู้ต่อไป
“อย่างน้อยโลกก็ยังไม่มืด หาวิธีสู้ต่อไป สู้ๆๆขายไข่” ฉันให้กำลังใจตัวเองแล้วเดินเข้าบ้านตัวเอง
“ให้ตายสิ แล้วฉันจะใส่ชุดไหนละเนี่ย” เด็กน้อยสร้างปัญหาให้ฉันอีกแล้ว
“อยากจะบ้าตาย เสื้อผ้าก็ยังไม่ได้ซักเต็มตะกร้า ส่วนที่มีในตู้ก็...” พอหยิบเสื้อผ้าที่อยู่ในตู้ที่ทั้งใส่ได้และไม่ได้ก็ได้แต่ถอดใจ
“โทรไปขอยืมอาเยียนดีไมนะ ไม่ดีๆๆ ขี้เกียจตอบคำถาม งั้น...ซูใช่ ซูต้องมีชุดให้ฉันยืมแน่ๆๆ แต่...ซู” ได้แต่มองกระจกแล้วจิตนาการภาพว่าตัวเองที่ใส่เสื้อผ้าของซูที่ไม่ต่างอะไรจากของผู้ชายสักเท่าไรก็ได้แต่ถอดถอนใจ
“หรือฉันจะโทรไปยกเลิกดีนะ” แต่เห็นสายตาของเด็กน้อยที่เศร้าและสายตาดุๆของตาบ้านั้นแล้ว ก็ทำให้ไม่กล้า อีกอย่างก็ไม่มีเบอร์ด้วยแหละ
“เฮ้อ เหนื่อยจังเลย” ไขไข่ล้มตัวลงนอนพร้อมกับหลับตาและเพียงเวลาไม่นาน ความเหนื่อยก็พรากให้เข้าสู่นิทราในเวลาต่อมา
“กริ๊ด นี้เธอทำบุญด้วยอะไรเนี่ย คุณคาร์ลก็ชอบเธอ เหวินอี้ก็ยังมาชอบเธออีก” ฉันเล่าเหตุการณ์วันนี้ให้ซูฟังและผลก็ออกมาเป็นอย่างที่เห็น เธอกรี๊ดกร๊าดไม่เกรงใจลูกค้าที่ตอนนี้เริ่มจะสนใจพวกเราแล้ว
“เบาๆสิ ฉันขอแก้ข่าวว่าคุณคาร์ลของเธอชอบฉัน เขาก็แค่แกล้งฉันไปอย่างนั้น ส่วน
เหวินอี้เขาเป็นเพื่อนฉันต่างหากละ”
“ไม่จริงหรอก ฉันไม่เชื่อ” ซูยังคงไม่เชื่อในสิ่งที่ฉันพูด
“แล้วแต่เธอเถอะย่ะ” ฉันเลิกสนใจซูที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ล้อฉัน ฉันเลยมารับออเดอร์เมื่อสัญญาณจากโต๊ะลูกค้าดังขึ้น
“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าจะรับอะไรดีค่ะ”
“ขอเป็น...”
ไม่ทันที่ลูกค้าจะได้สั่งก็เกิดเสียงเอะอะโวยวายดังจากหน้าประตูร้าน
“ไขไข่ เธอทำแบบนี้ไม่ได้นะ”
ทีแรกเธอว่าจะไม่สนใจ แต่เพราะมีชื่อของเธออยู่ด้วยเลยทำให้เธอต้องละจากลูกค้าไปดูหน้าร้านว่าเกิดอะไรขึ้น
“ขอโทษนะค่ะ โปรดรอสักครู่” ฉันเอ่ยขอโทษแล้วรีบเดินไปที่เกิดเหตุเมื่อเห็นว่าคนที่มา อาละวาทคือใคร
“อาเฉินนายมาทำอะไรที่นี้” ฉันเข้าไปถามอาเฉินที่ตอนนี้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟผลักพนักงานชายที่พยายามที่จะเข้าไปจับเขา
“เธอต่างหากที่ทำอะไรลงไป” อาเฉินย้อนถามฉันด้วยน้ำเสียงหาเรื่อง
“ฉันไปทำอะไร” ฉันถามอย่างงงๆ
“นี้เกิดอะไรขึ้นนะ” เสียงเฉียบขาดที่ฟังแล้วเป็นต้องขนลุกจากหัวหน้าดังขึ้นทางด้านหลัง
“หัวหน้า” นี้ฉันต้องตายแน่ๆเลย
“ไขไข่ ผู้ชายคนนี้ใครกัน” หัวหน้ากอดอกแล้วถามฉันโดยท่าทางนิ่งๆ
“เพื่อน...”
“ผมเป็นแฟนเธอ” อาเฉินตอบขึ้นมาด้วยเสียงเข้มแล้วมายืนขวางระหว่างฉันกับหัวหน้า
“เขาไม่ใช่แฟนฉันค่ะ” ฉันผลักอาเฉินกระเด็นไปอยู่อีกฝากหนึ่งทันที
“ไม่ว่าเธอสองคนจะเป็นอะไรกัน ฉันไม่สนแต่ฉันขอสั่งให้เธอจัดการเรื่องพวกนี้ให้เรียบร้อยเดี๋ยวนี้”
“รับทราบค่ะ” ค่อยยังชั่วที่เงาหัวฉันยังอยู่ ยังไม่ถูกประหารโดยการไล่ออก แต่เหมือนว่าคำภาวนามันไม่ได้เป็นอย่างที่หวังไว้
“แล้วเธอก็เก็บของออกไปจากร้านฉันซะ” ฉันเข้าใจแล้วว่าการถูกไล่ออกมันเป็นยังไง ฉันเข้าใจถึงผู้หญิงแคชเชียร์คนนั้น เวรกรรมคงจะตามฉันทันแล้วสินะ
“แต่หัวหน้าค่ะ” ฉันเข้าไปกอดแขนหัวหน้าแต่ก็ถูกเธอสะบัดออก
“กฎของฉันมีให้ปฏิบัติตามไม่ใช่ให้แหก ถึงเธอจะไม่เคยทำตัวแย่ๆมาตลอดสามปี แต่ใครทำผิดก็ต้องได้ทำโทษ เข้าใจ๋!”
กฎของร้านนี้มี10ข้อ
ข้อที่1 ลูกค้าคือพระเจ้าแต่ถ้าหากลูกค้าพูดไม่รู้เรื่องก็ให้แจ้งความทันที
ข้อที่2 ห้ามมีเรื่องกันในร้านไม่ว่าจะเป็นพนักงานกับลูกค้าหรือพนักงานกันเอง
ข้อที่3 หากผิดกฎหรือทำให้หัวหน้าไม่พอใจไล่ออกสถานเดียวไม่มีข้อยกเว้น
ฯลฯ
คือผิดตั้งแต่ข้องสองแล้วขอไม่เสริมต่อนะเพราะช๊อคกับเรื่องที่เจออยู่
“หัวหน้า” ฉันเรียกหัวหน้าที่เดินออกไปไม่สนใจอะไร ร่างกายของฉันก็เริ่มอ่อนยวบคล้ายหมดแรงต้องลงไปนั่งกองกับพื้น
“ไขไข่เธอโอเคนะ” ซูเดินเข้ามาประคองฉันแล้วถามด้วยความเป็นห่วง
“ไขไข่เฉินขอโทษ เฉินไม่ได้ตั้งใจ” เสียงของอาเฉินดังขึ้นทำให้วิญญาณที่ล่องลอยได้กลับเข้ามาในร่าง
“นายยังมีหน้ามาเรียกฉันอีกหรอตาทึ้มไร้สมอง นายจะไปไหนก็ไปเลย ฉันเกลียดนาย” ฉันลุกขึ้นต่อว่าเขาด้วยความโกรธอย่างห้ามไม่อยู่
“ไขไข่เธอยังโอเคอยู่ไม” แต่มันเป็นเพียงความคิดชั่ววูบของฉัน ฉันไม่สามารถตะโกนออกไปอย่างนางมารร้ายได้ เพราะฉันเป็นนางฟ้าที่ต้องรักษาภาพพจน์
“ฉันยังโอเค ซูฉันอยากให้เธอช่วยหางานใหม่ให้ฉันไม่ว่างานมันจะเป็นแบบไหนก็ตาม”
“ได้ทั้งนั้น ฉันจะรีบหางานให้เธอนะ” แล้วซูก็ดึงฉันไปกอดอีกที “เธอมีปัญหาอะไรโทรหาฉันได้เสมอนะ”
“ขอบใจนะ ฉันจะไม่ลืมเธอเลย” ฉันกอดเธอตอบแล้วผละออกด้วยความเศร้า จบแล้วสินะ การเป็นพนักงานพาร์ทไทม์
“เฉินไม่ได้ตั้งใจทำให้เธอตกงานจริงๆนะ” พออกจากร้านอาเฉินก็พยายามพูดอธิบายในสิ่งที่เขาทำไปทั้งหมดและเหตุผลของเขาเป็นเพียงเพราะหึงฉันที่ฉันได้ไปกินข้าวกับเหวินอี้ แต่เขาไม่เคยได้ไปกินข้าวกับฉันแบบสองต่อสองเลย มันไม่ยุติธรรมกับเขา นี้คือสาเหตุที่เขามาอาละวาดในครั้งนี้มันชั่งมีสาระซะจริงๆ
“เฉินจะไปอธิบายกับหัวหน้าของเธอว่าเฉิน...”
“พอเถอะอาเฉิน ตอนนี้ฉันอยากอยู่คนเดียว”
“เธอคงเกลียดฉันแล้วใช่ไม” อาเฉินถามด้วยน้ำเสียงที่ผิดหวังและเจ็บปวด นัยน์ตาตาของเขาเริ่มมีน้ำคลอ
“อาเฉิน ฉันขอโทษนะ แต่ตอนนี้ฉันอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ” ถึงเขาจะเป็นตัวน่ารำคาญสำหรับฉัน แต่ตอนนี้ฉันไม่อยากจะสนใจอะไรทั้งนั้น
“ไม่เป็นไร เธอมีอะไรก็โทรหาฉันนะ” อาเฉินเดินคอตกออกไปพร้อมกับน้ำใสๆที่ไหลออกมา
“เฮ้อ... ตกงาน ฉันตกงานฉันไม่มีงานทำ ฮ่าๆๆๆ” และเมื่ออาเฉินเดินจากไปไม่นานฉันก็เดินคอตกตรงกลับบ้านพร้อมกับพูดคนเดียวและหัวเราะคนเดียวอย่างบ้าคลั่ง แต่ดีที่ว่าผู้คนแถวนี้ไม่ค่อยจะมีสักเท่าไร
“เจ๊เป็นไรมากป่าวเนี่ย” จู่เสียงเล็กๆเหมือนเด็กผู้ชายดังไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่ฉันยืนอยู่
“มากเลยละ”
“ผมทำให้เจ๊หายเศร้าเอาไม” เด็กน้อยยิ้มร่าเริงโดยเฉพาะแววตาที่แวววาวนั้นทำให้รู้สึกเหมือนเคยเห็นที่ไหน
“ทำอะไรละ” ฉันย่อตัวลงไปถามด้วยความสนใจ อย่างน้อยมีคนทำให้หัวเราะก็อาจจะดีก็ได้
“มาเป็นแฟนกับผมไง”คำพูดที่หลุดออกมาจากปากเล็กนั้นทำให้ฉันต้องมองอย่างอึ้งๆ
“ฮ่าๆๆๆ” ฉันหัวเราะร่าแล้วคว้าตัวเด็กน้อยเข้ามากอด
“เจ๊ ผมหายใจไม่ออก” เด็กน้อยพยายามผลักฉันออก
“นายขอฉันเป็นแฟนหรอ ตัวแค่เนี่ย”
“ทีแรกผมคิดอย่างนั้น แต่ตอนนี้ผมขอเปลี่ยนใจ โอ้ย!”
“เด็กบ้า เรื่องแบบนี้อย่ามาล้อเล่นนะ ฉันเสียใจนะรู้ไม”
“แล้วเจ๊จะมาเขกหัวผมทำไมละเนี่ย เจ็บนะรู้ไม”
“ก็นายมาให้ความหวังฉันนิ” ฉันมองหน้าเด็กน้อยที่เอามือป้อมๆลูบหัวตัวเอง
“เลิกเจ็บได้แล้ว ฉันไม่ได้ตีแรงซะหน่อย”
“ตกลงเจ๊จะเป็นแฟนผมไมอ่ะ”
“หนอย เด็กบ้า แก่แดดนักนะเรา รอนายโตก่อนฉันจะยอมแต่งงานด้วยเลยเอ้า” ฉันทำเป็นใจดียอมจะแต่งงานกับเด็กที่ห่างจากฉันเกือบรอบปี
“ไม่เอาอ่ะ ถึงตอนนั้นเจ๊ก็แก่แล้วนะสิ” เด็กน้อยทำแก้มป่องกอดอกส่ายหัวไปมา
“เด็กบ้า ว่าฉันแก่หรอ แล้วใครขอฉันเป็นแฟนย่ะ” ฉันยื่นมือเข้าไปดึงแก้มป่องๆนั้นทำให้เด็กน้อยถึงกับร้องเสียงหลงออกมา
“โอ้ย!!...เจ๊ ผมเจ็บนะ” เด็กน้อยพยายามดึงมือของฉันให้ออก
“น่ารักจังเลย” ฉันก็ยังไม่หยุดทั้งบีบทั้งดึงอย่างหมั่นเขียว
“หยุดน่า”
“หยุดก็ได้ แล้วนี้นายมากับใครเนี่ย” ฉันมองซ้ายมองขวาก็ไม่เห็นมีใครอยู่ตรงนี้สักคน “พี่ชาย” เด็กน้อยตอบ
“แล้วไปไหนซะละ” มองรอบตัวก็ไม่เห็นจะมีใครเลย และพอฉันจะลุกขึ้นเพื่อมองให้ไกลกว่านี้ว่าพี่ชายของเด็กน้อยอยู่ไหนก็เกิดอาการเซเพราะหน้ามืด ทำให้ฉันทรงตัวไม่อยู่ร่างกายเลยหงายไปข้างหลังเหมือนคล้ายเป็นลม และนั้นทำให้ฉันเตรียมรับกับความเจ็บแต่แล้วความเจ็บนั้นกลับไม่เกิด แต่กลับอะไรบางอย่างแข็งแรงมาประคองฉันไว้
“เธอโอเคหรือเปล่า” เสียงนุ่มๆถามพร้อมคว้าตัวฉันและประคองให้นั่งลง
“ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว ขอบคุณมากคะ” ฉันกำลังจะขยับตัวลุกขึ้นเมื่อรู้สึกหาย แต่จู่ๆตัวฉันก็ลอยขึ้นโดยอ้อมแขนแข็งแรง
“คุณทำอะไรนะ” ฉันดิ้นๆในอ้อมแขนด้วยความตกใจแต่ก็ไม่เท่ากับคนที่อุ้มฉัน
“อยู่นิ่งๆสิเดี๋ยวก็ตกหรอก” เขาเตือนด้วยความหวังดี
“เฮียคาร์ลไปไหนมาครับ ผมหาซะทั่ว” เสียงเล็กๆของเด็กน้อยดึงให้เราสองคนหันไปสนใจ แต่ในความสนใจของฉันก็คือ ผู้ชายคนนี้เป็นพี่ของเด็กน้อยอย่างนั้นหรอ
“ไปทำธุระตอนนี้เสร็จแล้ว ไปขึ้นรถเถอะ”
“แล้วกระเป๋าเจ๊ละครับ”
“ทิ้งไว้นั้นแหละเดี๋ยวเทศบาลขยะก็มาเก็บไปทิ้งเองแหละ” เขาตอบอย่างไม่สนใจแล้วตั้งท่าจะเดินแต่ก็ต้องร้องออกมาเมื่อฉันบีบขอเขาอย่างแรง
“นั้นมันกระเป๋าของฉันแล้วมันก็ไม่ใช่ขยะด้วย เก็บของๆฉันมาเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นก็ปล่อยฉันลง”
“โอ้ย ฉันหายใจไม่ออก” หัวของเขาสั่นคลอไปด้วยมือของฉันที่เขย่า แต่เขาก็ไม่ยอมปล่อยฉันลงแถมยังกอดฉันไว้แน่นยิ่งกว่าเดิม
“โหดเป็นบ้าเลย” เสียงเล็กๆบ่นอย่างกลัวๆแต่ก็ยอมหยิบกระเป๋าขึ้นมาถือ “เจ๊ ผมหยิบแล้ว ปล่อยมือออกจากคอเฮียเถอะ”
“นายจะปล่อยฉันลงได้หรือยัง” เมื่อเห็นว่าเด็กน้อยหยิบกระเป๋าฉันมาอุ้มกอดไว้อย่างดี ฉันเลยตวัดตาขวางมองเขา และเขาก็ยอมปล่อยฉันโดยดี
“นายมีปัญหาอะไร” ฉันถามเขาอย่างหาเรื่องเมื่อเห็นว่าเขายังคงมองฉันไม่วางตา
“เลือดเธอไหลนะ” เขายื่นผ้าเช็ดหน้ามาให้ฉัน
“เฮ้ย!” ฉันเตะไปที่จมูกก็เจอเลือดที่ไหลออกมาไม่หยุด
“เอาไปเช็ดซะ” ไม่ต้องให้เขาบอกเป็นครั้งที่สองฉันก็คว้าผ้าเช็ดหน้ามาอุดรูจมูกทันที
“นอนพักตรงนี้ก่อน” เขาพาฉันเดินมาหยุดที่เก้าอี้ริมทาง
“ฉันคิดว่ามันหยุดแล้วนะ” ฉันหันหน้าไปหาเขาที่ยังคงยืนประกบอยู่ไม่ห่างโดยมีเด็กน้อยยืนอยู่ข้างๆ
“ฉันคืนผ้าเช็ดหน้าให้” เพียงไม่นานฉันก็เช็คดูว่าเลือดได้หยุดไหลแล้วหรือยังพอเห็นว่าเลือดหยุดไหลแล้วฉันก็ยื่นผ้าเช็ดหน้าคืนเขา
“มันไม่ใช่ของฉัน เธอเอาทิ้งเถอะ” นี้คือคำตอบของเขา
“ไม่ใช่ของนายแล้วของใคร นายเป็นคนยื่นมาเองกับมือหรือนายรังเกียจเลือดของฉัน ฉันเอาไปซักแล้วคืนให้นายใหม่ก็ได้” เขานี้เหลือเชื่อเลย อะไรๆก็จะเอาทิ้งหมด
“นายเงียบทำไม” หรือเขาไม่เข้าใจที่ฉันพูด
“ก็มันไม่ใช่ของฉัน เธอจะคืนฉันได้ยังไง”
“ไม่ใช่ของนายแล้วของใครละ” อารมณ์เริ่มจะพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆอีกแล้ว ฉันรู้สึกถึงความร้อนในโพรงจมูกคล้ายเลือดที่แห้งไปแล้วกำลังจะละลายไหลย้อยออกมาอีก
“เอ่อ...ของผมเองครับ” จู่ๆก็มีเสียงแก่ๆดังขึ้นจากข้างๆ และพอฉันหันไปก็เจอกับ
“ของคุณ...”
“คุณลุงขับรถของผมเอง” ฉันได้ยินเสียงเหมือนแก้วแตกใกล้ๆ โอ้ย!! ทำไมชีวิตฉันถึงได้เป็นแบบนี้นะ เจอเรื่องหน้าแตกมาแล้วกี่ครั้งก็ไม่อายเท่าครั้งนี้มาก่อน
“ฉันขอโทษ” ฉันตอบเสียงอ่อยๆแล้วก้มหน้ามือบิดผ้าเป็นพัลวัน อยากจะให้เลือดกำเดาไหลอีกรอบจัง
“ไม่เป็นไร เจ้าของก็อยู่นี้แล้ว คืนเขาสิ” ฉันเห็นเขายิ้มน้อยๆที่มุมปากด้วย เมื่อกี้เขายิ้มเยาะฉันใช่ไม
“นายไม่ต้องมายิ้มเลยนะ คุณลุงค่ะเดี๋ยวหนูซักคืนให้นะคะ แล้วก็ขอบคุณด้วยนะคะ” ประโยคแรกเสียงห้วนๆให้คนเป็นเข้านาย แต่สองประโยคหลังหันไปหาคุณลุงแล้วทำเสียงหวานๆ
“ไม่เป็นไรครับเดี๋ยวผมเอาไปซักเองก็ได้” คุณลุงดึงผ้าเช็ดหน้าออกจากมือฉันทันที
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณลุง เดี๋ยวหนูกลับไปซักเอง หนูเกรงใจนะคะ” แล้วฉันก็คว้าผ้าเช็ดหน้ากลับมาถืออีกครั้ง
“เลิกเล่นได้แล้ว” แล้วก่อนที่จะมากไปกว่านี้เสียงเข้มก็มาพร้อมกับมือที่กระชากผ้าไปถือเอง
“ครับ” เหมือนจะรู้กันสองคนเพราะคุณลุงรีบวิ่งไปขึ้นรถและสตาร์ทรถทันที
“เนี่ยไม่ต้องซักมันหรอกยังไงก็ไม่ออก” เขาชูผ้าเช็ดหน้าที่มีคราบเลือดแห้งกรังของฉันแล้วก็โยนทิ้งที่ถังขยะแล้วก็สั่งฉันเสียงเข้ม “ทีนี้ก็ไปขึ้นรถ”
“ขึ้นรถไปไหน” ฉันถามเขา
“คีย์” เขาเอ่ยชื่อใครสักคนแต่ก็ไม่ต้องสงสัยเพราะเด็กน้อยก็ได้เข้ามาลากฉันให้ขึ้นรถ
“เจ๊รีบขึ้นเถอะก่อนที่เฮียจะโกรธ” เมื่อฉันทำท่าไม่ไปไหนเด็กน้อยคีย์ก็รีบพูดแล้วทำหน้ากลัวๆ
“ทำไมฉันต้องทำตามด้วยละ เฮียนายไม่ใช่เฮียฉันซะหน่อย” เหมือนกับว่าฉันจะตัดสินใจได้ผิดเพราะฉันรู้สึกเหมือนลมเย็นๆผ่านไปวูบหนึ่ง
“ว้ายย นายจะทำอะไรนะ ปล่อยฉันลงนะ” ฉันโวยวายใหญ่เมื่อคาร์ลอุ้มฉันแล้วเหวี่ยงพาดไหล่
“ผมบอกแล้วไม่เชื่อ” เด็กน้อยคีย์เอ่ยออกมาพร้อมกับสายหัวไปมา
“คุณทำบ้าอะไรเนี่ย” เมื่อขึ้นรถเสร็จแล้วฉันก็โวยวายไม่ยอมหยุด
“อยู่เงียบๆสักนาทีได้ไม” เขาหันมาตอบนิ่งๆ
“...” แต่สายตาของเขาบ่งบอกได้ดีว่ารำคาญฉันเต็มแก แล้วเขาจะเอาฉันขึ้นรถมาด้วยทำไม
“เฮีย พรุ่งนี้วันหยุด อย่าลืมสัญญาของเรานะครับ” เด็กน้อยทวงสัญญาคนเป็นพี่ชายทันที
“ได้สิ” เขาตอบแล้วก็ยีหัวเด็กน้อยอย่างเมามันส์ มองมุมนี้เขาก็น่ารักดี แต่พอนึกถึงเรื่องที่เขาทำกับฉันแล้วฉันยิ่งอยากจะอยู่ห่างไกลจากเขาเหลือเกิน
“เจ๊ด้วยนะ พรุ่งนี้ผมจะไปรับ” จู่ๆเด็กน้อยก็หันมาคุยกับฉันทำให้ฉันต้องหยุดความคิดนั้น
“หือ ฉันหรอ พรุ่งนี้ฉันไม่...” ฉันกำลังจะพูดว่าไม่ว่าง แต่พอสายตาเหลือบไปเห็นคนตัวโตก็แทบจะกลับลิ้นไม่ทัน
“ไม่มีปัญหา กี่โมงละ”
“เก้าโมง”
“เก้าโมง!!!”
“แล้วเจอกันนะครับ” ไม่ทันที่ฉันจะท้วงรถก็ได้มาจอดที่หน้าบ้านเรียบร้อย แถมยังถูกเจ้าของรถทั้งสองไล่ให้ลงจากรถด้วยสายตาอีกต่างหาก
“จ๊ะ แล้วเจอกันนะจ๊ะ บ๊ายบาย” พอลงมาจากรถฉันก็ได้แต่พูดกับตัวเองพร้อมโบกมือลาด้วยความเศร้าใจ
“เฮ้ย” ฉันถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้ากับปัญหาที่เจอมาแต่ในเมื่อเราเกิดมาแล้วก็ต้องสู้ต่อไป
“อย่างน้อยโลกก็ยังไม่มืด หาวิธีสู้ต่อไป สู้ๆๆขายไข่” ฉันให้กำลังใจตัวเองแล้วเดินเข้าบ้านตัวเอง
“ให้ตายสิ แล้วฉันจะใส่ชุดไหนละเนี่ย” เด็กน้อยสร้างปัญหาให้ฉันอีกแล้ว
“อยากจะบ้าตาย เสื้อผ้าก็ยังไม่ได้ซักเต็มตะกร้า ส่วนที่มีในตู้ก็...” พอหยิบเสื้อผ้าที่อยู่ในตู้ที่ทั้งใส่ได้และไม่ได้ก็ได้แต่ถอดใจ
“โทรไปขอยืมอาเยียนดีไมนะ ไม่ดีๆๆ ขี้เกียจตอบคำถาม งั้น...ซูใช่ ซูต้องมีชุดให้ฉันยืมแน่ๆๆ แต่...ซู” ได้แต่มองกระจกแล้วจิตนาการภาพว่าตัวเองที่ใส่เสื้อผ้าของซูที่ไม่ต่างอะไรจากของผู้ชายสักเท่าไรก็ได้แต่ถอดถอนใจ
“หรือฉันจะโทรไปยกเลิกดีนะ” แต่เห็นสายตาของเด็กน้อยที่เศร้าและสายตาดุๆของตาบ้านั้นแล้ว ก็ทำให้ไม่กล้า อีกอย่างก็ไม่มีเบอร์ด้วยแหละ
“เฮ้อ เหนื่อยจังเลย” ไขไข่ล้มตัวลงนอนพร้อมกับหลับตาและเพียงเวลาไม่นาน ความเหนื่อยก็พรากให้เข้าสู่นิทราในเวลาต่อมา
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ