เผลอรัก...จับใจ

10.0

เขียนโดย soso_sung

วันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2556 เวลา 14.15 น.

  20 chapter
  0 วิจารณ์
  24.77K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 25 เมษายน พ.ศ. 2556 20.49 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

12)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
บทที่12
 
 
 
คนเรามีสิ่งชั่วร้ายอยู่ในตัวเพียงแต่เราจะปลุกมันด้วยวิธีไหน บางคนอาจจะปลุกมันเองคืนตามสัญชาตญาณหรือความต้องการเบื้องลึก แต่สำหรับคาร์ลมันไม่ใช่ทั้งสองอย่าง เขาไม่ต้องที่จะเป็นตัวร้ายให้ใครต้องเดือดร้อน เขาเองเสียอีกที่พยายามไม่ให้ความชั่วร้ายในตัวเขาออกมาแต่ก็ไม่วายมักจะมีคนมาปลุกให้มันออกมาโชว์ความร้ายกาจของตัวเขาและพวกเขาก็ได้ทำตามอย่างที่มันต้องการ พวกมันตื่นขึ้นจากความหลับใหล ความร้ายกาจของมันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับมัจจุราชด้วยซ้ำเพราะพวกมันได้ครอบคลุมคาร์ลให้ทำดังสิ่งที่มัจจุราชทำนั้นคือพรากวิญาณ แต่นั้นก็ไม่อาจจะทำให้ความชั่วร้ายนั้นหายไปเมื่อมันบรรลุเป้าหมาย ความหิวกระหายของมันไม่มีใครอาจห้ามมันได้ นอกจากมันจะต้องจัดการให้สิ้นซาก คาร์ลได้รับการบำบัดด้วยการเข้าสถานบำบัดจิตใจ เขาต้องไปอยู่ในนั้นถึงสามปีเต็มๆกว่าจะออกมาและกลับมาเป็นคาร์ลมนุษย์ปกติดังเช่นทุกวัน และครั้งนี้โชคดีของพวกมันยังคงอยู่อย่างเงียบๆภายใต้จิตใจของคาร์ล แต่เชื่อได้ว่าหากถูกสะกิดอีกครั้งรับลองได้ว่าคาร์ลผู้ขี้เล่นคงได้หายสาบสูญไปพร้อมกับผู้ที่สะกิด 
 
            “เพื่อน...นายโอเคใช่ไมว่ะ” เดลล์เดินเข้ามาถามคาร์ลด้วยความเป็นห่วง
            “ฉันโอเค” คาร์ลไม่ละสายตาจากขายไข่ที่นอนนิ่งดังเจ้าหญิงนิทรา
            “เธอจะไม่เป็นอะไร” เดลล์ตบไหล่เพื่อให้กำลังใจ
            “ใช่ เดี๋ยวเธอก็ตื่น” คาร์ลกุมมือขายไข่ไม่ยอมไปไหนมาหลายชั่วโมงแล้วตั้งแต่ที่เธอเริ่มสงบแล้วนอนนิ่งแบบนี้
            “ฉันว่านายไปอาบน้ำซะน้อยดีกว่าไม” เดลล์ลองชวนเพื่อนให้ไปอาบน้ำเพื่อให้รู้สึกผ่อนคลาย
            “ยังไม่ใช่ตอนนี้” คาร์ลตอบกลับมาเสียงนิ่ง
            “ตามใจนาย” เดลล์ไม่สามารถเกลี่ยกล่อมเพื่อนของเขาได้เลย เขาทำได้แต่ถอนหายใจแล้วเดินออกมาเพื่อให้เพื่อนของเขาได้อยู่เงียบๆตามลำพังกับหญิงสาว
            “ฉันกลัวแล้ว ไม่ อย่าเข้ามา” เสียงสั่นร้องลั่นด้วยความกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า
            “ไขไข่ ใจเย็นไว้ เธอไม่เป็นอะไร ชู่ว เย็นไว้ๆ” เมื่อจู่ๆขายไข่ก็ร้องตะโกนลั่นทำให้คาร์ลถึงกับสะดุ้งเขาต้องพูดปลอบแล้วลูบผมให้เธอใจเย็นลง
            “ฉันอยู่ตรงนี้ เธอจะปลอดภัย” เมื่อขายไข่ได้ยินแล้วว่าเธอจะปลอดภัยเธอก็เริ่มที่จะสงบลง แต่น้ำตากลับไหลออกมาดังสายน้ำไม่หยุดง่ายๆ
            “อย่าร้องที่รัก ผมจะไม่ให้คุณเป็นอันตรายเด็ดขาด ผมรักคุณ” คาร์ลก้มลงซับน้ำตาด้วยรอบจูบที่อบอุ่น นั้นทำให้สายน้ำที่ไหลหยุดลงได้อย่างไม่ยากเย็น
            “เกิดอะไรขึ้น...” เดลล์เข้ามาอย่างตกใจเมื่อได้ยินเสียงหญิงสาวร้องออกมาแต่พอเข้ามาก็เข้าใจถึงเหตุการณ์เมื่อเห็นคาร์ลกำลังนอนกอดหญิงสาวอยู่ข้างกายไม่ยอมห่างไปไหน เขาก็เดินอกมาและปิดประตูให้เรียบร้อย
            “ที่รัก...ปลอดภัยแล้ว” คาร์ลยังคงลูบผมเธออย่างอ่อนโยน กล่อมเธอให้นอนหลับสบายไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอ
            “ฉันกลัว...” ไขไข่ละเมออกมาแล้วมุดเข้าหาความอบอุ่นจากอกกว้างของชายหนุ่ม
            “ฉันรักเธอ ฉันจะไม่ยอมให้เธอเป็นอะไรเด็ดขาด” คาร์ลบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง ไม่รู้ว่าหญิงสาวจะได้ยินหรือไม่ได้ยินแต่เขาก็พูดออกมาด้วยความจริงใจ แต่ในใจของเขาคิดเพียงอย่างเดียวว่าหากรู้ว่าใครเป็นคนบ่งการเรื่องทั้งหมดนี้เขาจะไม่ยอมปล่อยไว้เด็ดขาด
 
 
            และคนที่คาร์ลคาดโทษไว้ในใจก็กำลังร้อนรนกับปัญหาที่ตัวเองสร้างขึ้น
            “ฉันบอกพวกนายให้ดูแลดีๆทำไมถึงทำพลาด” เจ๊ใหญ่ของพวกคิ๊กกรี๊ดร้องถามออกมาด้วยความคับแค้นใจ
            “พวกผมพยายามแล้วแต่พวกมัน...” คิ๊กที่ตอนนี้นั่งคุกเขาจับปากที่แตกของตัวเองบอกแต่ก็ถูกขัด “พยายามหรอ พวกนายบ้าไปแล้วหรือยังไง เรื่องพวกนี้มันง่ายยิ่งกว่าถอดกางเกง พวกนายยังทำพลาด แล้วไอ้พวกบ้าพวกนั้นใครปล่อยให้มันมาเดินเพ่นพ่านเล่นงานพวกนายได้” เจ๊ใหญ่ยังคงตะโกนออกมาด้วยความโมโหไม่ฟังสิ่งที่พวกคิ๊กพูด
            “แล้วดู พวกนั้นมีแค่สองคน แต่พวกนายมีเป็นสิบ” เจ๊ใหญ่ชี้ไปที่ทอมอมิเตอร์ที่กำลังฉายภาพที่เกิดขึ้น
            “พวกผมทำเต็มที่แล้วเจ๊ แต่ไอ้พวกบ้านั้น...” แมคพยายามที่จะชี้แจ้งเรื่องที่ตัวเองโดนพวกคนบ้าทำร้าย
            “นายไม่ต้องมาอ้าง คนบ้ามันก็ยังเป็นคนบ้าวันยังคำ” เจ๊ใหญ่เดินกุมขยับไปมาแล้วก็หันมาตวาดไม่ยอมหยุด
            “พอเถอะเดี๋ยวเธอก็บ้าตามพวกมันหรอก” เจียที่ตอนนี้ก็ดูไม่จืดไม่ต่างอะไรจากคิ๊ก เหตุเกิดจากถูกเจ๊ใหญ่ซ้อมแถมยังถูกมัดติดกับเก้าอี้อยู่ด้วย
            “นายหุบปากไปเลยเจีย เพราะนายทำให้แผนการนี้ไม่สำเร็จ” เจ๊ใหญ่เดินเข้าไปคว้าผมเพื่อให้เจียมองหน้าเธอชัดๆ “ถ้าไม่เป็นเพราะนาย ฉันก็ไม่ต้องมาเดือดร้อนแบบนี้” แล้วเจ๊ใหญ่ก็สะบัดมือออก
            ก๊อก ก๊อก
            “ใคร” เจ๊ใหญ่ถาม
            “เจ้าหน้าที่ตำรวจ ขอให้คุณไปให้ปากคำที่โรงพักด้วย” คุณตำรวจยืนอยู่หน้าประตูพูดไปตามหน้าที่
            เจ๊ใหญ่เดินไปเปิดประตูแล้วยิ้มหวานๆแสดงท่าทีเรียบร้อยซึ่งแตกต่างจากเมื่อกี้นี้
“อีกครึ่งชั่วโมงดิฉันจะไปพบคุณตำรวจที่ สน. แต่ตอนนี้ดิฉันขอเคลียธุระส่วนตัวก่อนได้ไมค่ะ”
            “คงจะไม่ได้ นี้หมายเรียกจับคุณครับ” คุณตำรวจยิ้มหวานแล้วยื่นใบสั่งจับตรงหนาของเจ๊ใหญ่
            “ถ้าคุณไม่อยากเดือดร้อน ขอเชิญออกไปเดี๋ยวนี้ค่ะ” เจ๊ใหญ่ยังคงยิ้มหวานแล้วพูดด้วยความใจเย็น แต่หากข้างในนั้นกับเดือดราวราวาเตรียมปะทุออกมา
            “ผมเสียใจด้วยที่ต้องทำแบบนี้” คุณตำรวจสองนายเข้ามาล็อคเจ๊ใหญ่พร้อมใส่กุญแจมือแล้วลากเธอออกมาจากโรงพยาบาลบ้าทันที
            “ตำเรียดๆ ฉันเป็นตำเรียด จับมัน มันบ้า” ระหว่างทางเดินคนบ้าก็เดินเข้ามาแล้วทำท่าตะเบ๊ะ ไม่ได้สนใจเลยว่าหญิงสาวตรงหน้านั้นมองอย่างอาฆาตแค้นขนาดไหน
            “ประหาร ตายซะทานเดียว ตาย ตาย” คนบ้าเริ่มทยอยกันเข้ามาดูคนที่ใส่เครื่องแบบแปลกๆแล้วก็ร้อง ตายๆๆ กันยกใหญ่
            “ไปให้พ้นไอ้พวกบ้า” เจ๊ใหญ่ร้องตะโกนไม่ต่างจากคนบ้าแล้วพยายามที่จะเข้าไปแตะคนบ้าที่ทำท่าเหลอหลาเข้ามาหมายจะจูบแก้มเธอ
            “สวยแต่โหด จ๋อยไม่เอาจ๋อยไม่ชอบ”
            “ไอ้บ้าไปตายซะ”
            “จ๋อยไม่ได้บ้า เธอแหละบ้า บ้า บ้า” จ๋อยชี้หน้าเธอแล้วเต้นท่าระบำชาวเกาะไปทั่วทางเดิน
            “ไปได้แล้ว” ตำรวจดันหลังเจ๊ใหญ่ให้ก้าวเดิน
 
 
 
เรื่องราวที่เกิดขึ้นก็ได้ผ่านไปแล้วราวสองสัปดาห์แต่มันเหมือนพึ่งเกิดขึ้นเพียงเมื่อวานนี้สำหรับคาร์ล ส่วนขายไข่นั้นอาการตกใจของเธอเริ่มดีขึ้น เธอพยายามลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้เร็วที่สุดและใช้ชีวิตตามปกติ แต่ส่วนที่ไม่ปกติก็คือการดูแลพิเศษจากคาร์ล เวลาเธอจะไปไหนเขามักจะไปกับเธอด้วยหากว่าเขาติดประชุมเขาก็มักจะส่งบอร์ดี้การ์ดที่ฝีมือดีมาคอยปกป้องเธอ และวันนี้ก็เช่นกันเมื่อเธอกำลังจะออกจากคอนโดของเขาเพื่อไปเรียนตามปกติ
            “ที่รักรอผมก่อน” เสียงคาร์ลที่ร้องทักขึ้นอย่างร้อยรนกว่าเธอจะไม่รอเขา
            “คุณคาร์ลคะ ไขไข่ไม่เป็นอะไรแล้ว จริงๆนะคะ” เธอตอบจริงจังเมื่อยังเห็นคาร์ลทำหน้าไม่พอใจที่เธอปฏิเสธการดูแลจากเขา แต่ในความเป็นจริงแล้วเธอรู้สึกดีด้วยซ้ำที่เขาคอยหวงใยเธอ แต่บางครั้งมันก็ทำให้เธอรู้สึกแปลกๆเนื่องจากไม่เคยมีใครห่วงใยดูแลเธอแบบนี้มาก่อน
            “ป้องกันไว้ดีกว่า เราไปกันได้หรือยัง” เขาตอบแค่นั้นก็เดินเอามาคว้ามือฉันไปจับ
            “แล้วเมื่อไรไขไข่จะกลับบ้านได้ละคะ” ที่จริงเธอก็ไม่ได้หวังคำตอบจากเขาหรอกเพียงเธอแค่อยากจะให้เขารู้ว่าเธอก็ยังมีบ้านอยู่นะ เพราะหลังจากที่เธอตื่นขึ้นมาเขาก็ไม่ยอมให้เธอไปไหนเลย
            “คุณจะไปเอาอะไรละ เดี๋ยวผมให้ลูกน้องไปเอาให้” เขาตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเรียบอย่างไม่พอใจกับคำถาม
            “งั้นฉันเลิกเรียน คุณคาร์ลไปส่งฉันได้ไมค่ะ” ฉันหันไปชวนเขาด้วยเสียงหวาน
            “ได้สิครับ ถ้าคุณไปไหนผมก็ไปด้วย” เขาหันมายิ้มด้วยความดีใจที่ครั้งนี้ฉันเอ่ยชวนเขา
ฉันๆไม่แน่ใจว่าหัวใจดวงน้อยๆของฉันตอบสนองต่อผู้ชายคนข้างๆของฉันเมื่อไร เพียงแต่รู้ว่าหากฉันไม่ได้มองหน้าเขาหรือได้ฟังคำพูดที่ห่วงใยขากเขา ฉันคงไม่มีความสุขเหมือนทุกวันนี้
            “วันนี้ที่รักอยากทานอะไรครับ” จู่ๆเขาก็เอ่ยถามขึ้นมา
            “แล้วแต่คุณคาร์ลเลยค่ะ ฝีมือของคุณคาร์ลอร่อยที่สุด” ฉันตอบโดยร้อยยิ้มที่คิดว่าสวยที่สุดให้เขา ฉันยังไม่ได้บอกเขาว่าหัวใจของฉันตอนนี้ไปอยู่ที่เขาเรียบร้อยแล้ว
            “อืม ถ้าอย่างนั้นหลังจากไปเก็บของเราไปซื้อของมาทำอาหารกันดีกว่าเน๊อะ” เขาชวนด้วยน้ำเสียงแจ่มใสอย่างมากมาย
            “ค่ะ” ฉันตอบรับเพียงแค่นั้นเขาก็ฉวยโอกาสหอมแก้มฉันฟอดใหญ่ ทำให้แก้มฉันเริ่มร้อนขึ้นมา
 
และเมื่อคุณคาร์ลมาส่งฉันที่มหา’ลัย ฉันก็ต้องเจอกับสายตาแปลกๆของคนที่นี้ อาจจะเพราะว่าเรื่องข่าวที่ออกไปนั้นก็ได้ แต่ฉันไม่สนหรอกว่าพวกเขาจะมองฉันยังไง แต่ที่ฉันสนก็คือผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าฉัน
            “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” เหวินอี้ยืนโดยเอามือซุกใส่กระเป๋ากางเกง
            “ใช่ นายสบายดีไม” ฉันเดินเข้าไปหาแล้วยิ้มบางๆ
            “ก็ปกติดี เธอละ” เหวินอี้ถามกลับพร้อมออกเดินเพื่อที่จะเข้าเรียน
            “สบายดี ฉัน...” ฉันหยุดเดินแล้วมองหน้าเหวินอี้เพื่อที่จะบอกเรื่องสำคัญกับเขา
            “ฉันขอโทษที่ไม่ได้บอกเธอก่อนหน้านี้” แต่จู่ๆเหวินอี้ก็ชิ่งพูดเสียก่อน “ฉันขอโทษที่ใช้เธอเป็นเครื่องมือพิสูจน์ความรักระหว่างฉันกับยูมิ” เหวินอี้พูดออกมาด้วเยสียงที่เศร้ากับเรื่องที่เขาทำลงไป
            “ไขไข่ ฉันไม่ขอให้เธอยกโทษให้ฉันหรอกนะ แต่เรายังเป็นเพื่อนกันได้ไม” เหวินอี้มองตาฉันด้วยแววตาขอร้อง
“อืม ในเมื่อนายไม่รักฉันและฉันก็ไม่ได้รักนาย ฉันถือว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันเป็นเพียงความฝัน”ถึงแม้ฉันจะเสียใจกับสิ่งที่เขาทำแต่ฉันก็ไม่อยากไปเสียเวลาที่ต้องมานั่งเสียใจกับเรื่องที่มันเป็นไปไม่ได้
            “ขอบคุณนะ” เหวินอี้พูดออกมาด้วยความดีใจ
            “ฉันก็ต้องขอบใจนายเหมือนกัน” ฉันตอบยิ้มๆและเดินจากออกมา
 
            “เธอหายไปไหนมา ฉันตกใจแทบแย่” พอเดินออกมาจากเหวินอี้อาเยียนก็วิ่งตามมาพร้อมอาฉี
            “ฉันอยู่กับคุณคาร์ล ฉันปลอดภัยดี”
            “ยัยบ้า ฉันคิดว่าเธอจะตายไปแล้ว ไปหาที่บ้านก็ไม่เจอ ถามใครก็ไม่มีใครเห็น” อาเยียนเข้ามาสวมกอดแล้วฉันก็สัมผัสถึงไหล่ที่สั่นๆของเธอ
            “ฉันไม่เป็นอะไร” เสียงของฉันเริ่มสั่นอย่างยากที่จะควบคุมเมื่อรับรู้ได้จากความห่วงใยของเพื่อน
            “อย่าทำแบบนี้อีกนะ” อาเยียนผละออกมาแล้วเช็ดน้ำตาที่ตอนนี้มันนองหน้าของเธอจนหมดสวย
            “ฉันจะไม่ทำให้เธอเป็นห่วงอีกแล้ว” ฉันเช็ดน้ำตาของตัวเองแล้วยิ้มอย่างมีความสุขไปให้เพื่อให้อาเยียนสบายใจว่าฉันจะไม่เป็นอะไร
            “ดี ถ้าอย่างนั้นวันนี้เราไปเลี้ยงฉลองกันเถอะ” อาเยียนร้องตะโกนออกมาอย่างดีใจแล้วเริ่มชวนฉันไปเที่ยว
            “อาฉีไปกันนะ” อาเยี่ยนหันไปชวนอาฉีที่ตอนนี้ได้แต่ทำหน้าเรียบๆเหมือนครุ่นคิดอะไรอยู่
            “มีอะไรหรอ” ฉันหันไปถามอาฉีที่ไม่ตอบรับแล้วมองตามสายตาที่อาฉีกำลังมองอยู่
            “ไม่มีอะไรหรอก แล้วแต่พวกเธอแล้วกัน” เมื่อาฉีได้สติก็รีบหันมาตอบแล้วคว้าอาเยียนไปจูบที่ขมับแล้วพากันเดินเข้าห้องเรียน
 
 
 
ในห้องสอบสวนคดีมีหญิงสาวที่นั่งเรียบร้อยอยู่กลางห้องที่มีเพียงโต๊ะยาว และมีผู้คุมยืนอยู่อีกสองคน
            “คุณเพ้ย เจ๊ใหญ่แห่งแก๊งสลายลม” เจ้าหน้าที่สอบสวนหญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับประวัติ
            “สวัสดีค่ะคุณ...” คุณเพ้อหันไปยิ้มทัก
            “ฉันเสี่ยวจาง ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ” เสี่ยงจางเจ้าหน้าที่สอบสวนตอบ
            “คะ ยินดีที่ได้รู้จัก”
            “ฉันอยากทราบว่า...”
            “ฉันจะไม่ตอบคำถามจนกว่าทนายของฉันจะมา หวังว่าคุณจะไม่ว่าอะไรนะคะ” คุณเพ้ยตอบแล้วหันไปยิ้มหวานให้เจ้าหน้าที่
            “ไม่มีปัญหาคะ” และรอเพียงไม่นานทนายประจำตระกูลไทหยางก็เดินเข้ามาในห้อง
            “ขอโทษที่ทำให้รอนานนะคับ” เสียงทุ้มน่าฟังดังขึ้นทางหน้าประตู และสิ่งที่เสี่ยงจางสังเกตถึงผู้มาใหม่คนนี้ ทนายที่ว่าน่าจะแก่รุ่นราวคราวปู่แล้ว แต่ทำไมดูเขาแล้วยังหนุ่มแถมดูหล่อเหลาดังเทพบุตรลงมาโปรด
            “สวัสดีคะ ฉันเสี่ยงจาง” เสี่ยงจางลุกขึ้นทักทายเขา
            “สวัสดีครับ ผมเจิ้งลี่”
            “เราจะเริ่มกันเลยแล้วกันนะคะ” เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเสี่ยงจางก็เริ่มเปิดประเด็นข้นมาก่อน
            “จะเป็นการรบกวนไมครับถ้าผมอยากได้น้ำชาสักถ้วย” แต่ยังไม่ทันได้ถามอะไรเจิ้งลี่ก็เอ่ยขัดด้วยความเกรงใจ
            “เอ่อ...ได้ค่ะ” เสี่ยงจางตอบรับอย่างงุนงง และหันไปพร้อมจะสั่งผู้ควบคุมแต่ก็ถูกขัดอีกครั้งด้วยเจิ้งลี่
            “คุณเสี่ยงจางครับ ผมๆไม่ไว้ใจใครรบกวนคุณ...” ถึงแม้ว่าเจิ้งลี่จะแสดงท่าทางว่าเกรงใจแต่ในความรู้สึกของเสี่ยงจางมันไม่ใช่อย่างที่เห็นตรงหน้า
            “ค่ะ งั้นรอสักครูนะคะ” แต่ก็เลี่ยงไม่ได้เลยต้องทำตามคำเรียกร้อง
            “ขอบคุณมากครับ” เสียงเอ่ยขอบคุณผ่านเรียวปากที่ยิ้มกว้างจากเจิ้งลี่ แต่เสี่ยงจางไม่ทันได้เห็นและเมื่อเสี่ยงจางเดินออกจากห้องเพียงไม่นาน เจิ้งลี่ก็เดินลุกไปมาในห้อง
            “ผมขอเวลาอยู่กับคุณเพ้อหน่อยจะได้ไมครับ” เจิ้งลี่หันไปถามผู้ควบคุม
            “ไม่ได้ครับ” และพ้นเสียงตอบ จู่ๆผู้ควบคุมก็ล้มทั้งยืนในขณะที่เจิ้งลี่ยืนห่างออกจากผู้คุมหลายเมตร
            “ขอโทษด้วยนะครับ” เจิ้งลี่ก้มหัวขอโทษแต่ริมฝีปากยังเผยรอยยิ้มที่เห็นแล้วก็รู้สึกขนลุกไปทั้งตัว
            “เลิกเล่นได้แล้ว” เสียงหวานเหมือนหน้าตาเอ่ยออกมาคล้ายห้ามปราม
            “ครับ เจ้านาย” เจิ้งลี่เดินเข้าไปไขกุญแจมืออกให้พ้นพันธนาการ
            “ฝีมือนายยังดีเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะ” คุณเพ้ยลูบที่ข้อมือแล้วมองชื่นชมผู้ที่ช่วยเหลือตน
            “ก็...คนมันหน้าตาดี” เจิ้งลี่ตอบแล้วมองลึกเข้าไปในดวงตาที่เคยเปล่งประกาย
            “ฉันไม่อยากติดคุกรอบสอง” คุณเพ้ยหันหน้าหนีแล้วเอ่ยเสียงเรียบ
            “ฮ่าๆๆ เมื่อคุณอยู่กับผมแล้วคุณจะปลอดภัย” เจิ้งลี่ที่สติเกือบหลุดไปกับความคิดของตัวเองก็ต้องรีบตั้งสติใหม่เมื่อได้ยินเสียงหวานนั้น
            “ไปได้หรือยัง” เสียงหวานที่พยายามทำให้เข้มขึ้นนั้นทำให้เจิ้งลี่ต้องรีบจัดการกับสิ่งที่ตัวเองทำและพาเจ้านายของตัวเองออกไปจากสถานที่แห่งนี้
ถึงแม้ว่าครั้งนี้พวกเขาจะหนีออกไปได้อีกครั้งแต่การกระทำของพวกเขาก็ยังมีคนค่อยสังเกตการณ์อยู่ ไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไรหรืออยู่ที่ไหนก็ตาม...แล้วเราจะได้เจอกัน
 
 
            “มีอะไรหรือเปล่าอาฉี” ฉันทักอาฉีที่จู่ๆก็ทำหน้านิ้วคิ้วขมวด
            “นั้นสิ อาฉี นายไปแอบมีกิ๊กที่ไหนแล้วไม่บอกฉัน” อาเยียนหาเรื่องอาฉีทันที
            “ไม่ใช่อย่างนั้น แต่พักนี้ไม่เห็นอาเฉินเลย” พออาฉีพูดออกมาก็ทำให้ฉันนึกขึ้นได้ว่าอาเฉินหายไปไหน
            “นั้นสิ ทุกทีจะมาป่วนเปี้ยนให้ได้เห็นตลอด” อาเยียนเริ่มตั้งข้อสังเกต
            “ไขไข่ๆๆ ฉันคิดถึงเธอจังเลย”
            “เสียงคุ้นๆนะ” พวกเราสาคนมองหน้ากันแล้วมองไปที่ต้นเสียงก็ต้องตกใจเมื่อเห็นผู้ชายคนหนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาทางพวกเรา
            “อาเฉิน!!!” พวกเราสามคนร้องออกมาพร้อมกันอีกครั้งโดยไม่ได้นัดหมาย
            “ขายไข่ฉันคิดถึงเธอจังเลย” อาเฉินวิ่งเข้ามาดึงฉันเข้าไปกอด
            “อา...อาเฉิน...” ฉันพยายามดันอาเฉินออกแต่ยิ่งดันก็ยิ่งถูกอาเฉินรัดแน่น
            “อาเฉินพอแล้ว ขายไข่หายใจจะไม่ออแล้วนั้น” อาเยียนที่หายตกใจก่อนคนแรกรีบแยกอาเฉินออกจากฉัน
            “อ่ะ ขอโทษทีเราตื่นเต้นไปหน่อย” อาเฉินรีบชักมือที่กอดอยู่ลงทันที
            “แอ๊ก แอ๊ก นายทำบ้าอะไรของนายเนี่ย” ฉันทั้งไอทั้งต่อว่ากับสิ่งที่อาเฉินทำ
            “ไขไข่ ฉันขอโทษนะ ฉันเพียงแค่ดีใจที่เจอเธอ” อาเฉินเอ่ยออกมาด้วยเสียงเศร้าๆ
พอเห็นเขาทำท่าทางเหมือนหมาหงอยก็รู้สึกสงสารที่ไปว่าเขาอย่างนั้น ซึ่งเราก็ไม่ได้เจอกันได้สักพักและพอเจอกัน เขาอาจจะดีใจที่ได้เจอฉันอีกก็แค่นั้น
            “อืม ที่หลังก็อย่าทำอีกละ” ฉันบอกปัดๆไป
            “จริงนะ ขายไข่ไม่โกรธเรานะ” อาเฉินพูดด้วยเสียงร่าเริงแต่สายตาของเขาเหมือนมีอะไรบางอย่างแต่ก็เพียงแปบเดียวสายตาของอาเฉินก็กลับเต้นระริกอีกครั้ง
            “ฉันไม่ได้โกรธนายแล้วจริงๆ เราไปกินข้าวด้วยกันไม” ฉันลองเอ่ยชวน
            “นี้...นี้ ฉันฝันไปหรือเปล่าเนี่ย” อาเฉินมองหน้าฉันตาค้างเหมือนว่าสิ่งที่ได้ยินจากปากฉันเป็นเรื่องสิ่งมหัศจรรย์ของโลก
            “นายคงไม่อยาก...”
            “ไม่ ไม่ ไม่ ฉันอยาก เรารีบไปกันเลยดีกว่า” ว่าเสร็จอาเฉินก็เข้ามาลากฉันออกจากโต๊ะแล้วก็ข้องแขนมาที่โรงอาหาร ระหว่างทางเขาก็พูดนู่นพูดนี่จนคนที่เดินสวนทางมองมาทางเราอย่างแปลกๆจนเรามาถึงที่โรงอาหารและสิ่งที่เจอก็คือนักศึกษานับร้อยเดินขวักไขว่ บ้างก็ต่อคิวซื้ออาหาร บ้างก็เดินกิน วุ่นวายไปหมด
            “ฉันอยากออกไปข้างนอก” คนที่ส่งเสียงร่าเริงตลอดพูดเสียงเครียดขึ้นเมื่อเจอกับสภาพที่น่าอึดอัด
            “หืม นายไม่อยากกินแล้วหรอ” ฉันหันไปถามหน้าซื่อๆ
            “พอได้แล้วขายไข่ ถ้าเธอไม่อยากกินกับฉันเธอก็ตอบมาตรงๆสิ” จู่ๆอาเฉินก็ตะโกนใส่หน้าฉันเสียงดังทำให้ผู้คนใกล้ฉันถึงกับหนมามองเรา
            “นายเป็นอะไรไป” อาเยียนคว้าตัวอาเฉินให้หันมาตอบ
            “มันเรื่องของฉันเธอยุ่งอะไรด้วย” อาเฉินยังคงตะโกนใส่หน้าไม่ยอมหยุด
            “อาเฉิน...” ฉันเรียกอาเฉินด้วยเสียงเบา เนื่องด้วยความตกใจที่ไม่เคยเจออาเฉินที่มีแต่พูดเพราะตะโกนใส่แบบนี้
            “อะไรของเธออีก” ดูเหมือนตอนนี้อาเฉินจะควบคุมตัวเองไม่ได้ สายตาที่เขามองมาทางฉันมันเป็นสายตาที่แข็งกร้าวพร้อมที่จะทำในสิ่งที่ไม่คาดคิดได้ตลอด
            “ฉันว่านายควรกลับบ้านไปก่อนดีกว่า” อาฉีเข้ามาแก้ไขสถานการณ์ที่น่าอึดอัดตอนนี้
            “นายไม่ต้องมาถูกตัวฉัน” อาเฉินปัดมืออาฉีออกแต่สายตายังมองมาที่ฉัน
            “นายเลิกมองฉันด้วยสายตาแบบนี้ได้ไม” ไม่รู้ทำไมฉันก็พูดออกมาทั้งที่ฉันควรจะเงียบแล้วให้อาเฉินเดินออกไป
            “หึ” อาเฉินไม่ตอบแต่กลับกระตุกยิ้มแล้วหันหลังเดินออกไปโดยไม่สนใจใคร แม้แต่คนที่เดินชนเขา
            “เกิดอะไรขึ้นกับหมอนั้นนะ ดูสายตาที่มองมาทางแกสิ”อาเยียนเข้ามาจับแขนฉันที่สั่นไปทั้งตัว
            “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” ฉันรู้สึกกลัวจริงๆ เกิดอะไรขึ้นกับอาเฉินนะ
            “พวกเรากลับบ้านกันเถอะ” อาฉีเดินเข้ามาแตะไหล่ฉันอย่างให้กำลังใจ หลังจากนั้นอาเยียนกับอาฉีก็เดินออกไปจากอาหาร

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา