Chabulanta ตำนานรักเทพมังกร

6.6

เขียนโดย Xian_xi

วันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2556 เวลา 15.34 น.

  13 ตอน
  20 วิจารณ์
  17.19K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 13.18 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

7) สหายเก่าจากลา

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
            ยินส่งคนไปสืบประวัติของชาบูหลั่นตา   พวกเขาตระเวนตามสืบทั้งเมือง   แต่ไม่มีใครสามารถ     
ให้คำตอบได้   รู้แต่เพียงว่าจู่ๆเขาก็ปรากฏตัวโดยไม่รู้ที่มา   นึกจะไปก็หายไปอย่างลึกลับไม่มีใครติดต่อได้  
อย่างกับสายลมที่พัดมาแล้วก็ผ่านหายไป   จะจับหรือคว้าไว้ไม่ได้เลย
                       
                          “  คงมีแต่แม่นางฟู่หลานเท่านั้นที่สามารถติดต่อเขาได้  ”  คนสืบข่าวกล่าว  “  แต่  
ชาวบ้านเคยถามนางแล้ว   นางก็ตอบว่าไม่รู้ที่มาของเขาเช่นกัน   ถ้าท่านถามนางก็คงได้คำตอบนี้เช่นกัน  ”
         
            ยินกุมขมับ   ทำไมคนๆนี้ถึงได้ลึกลับขนาดนี้
                       
                         “  คนเราก็ต้องมีตัวตนมีเบื้องหลัง   เป็นไปไม่ได้ที่จะหาไม่เจอ   บางทีอาจจะเป็น     
คนเมืองอื่น   ชาวเมืองนี้เลยไม่รู้ที่มาก็ได้   อย่างไรคงอยู่ในแคว้นนี้   หรือถ้าเป็นคนต่างแคว้นก็คงเป็น    
แคว้นใกล้   แต่ถ้ามาจากที่ไกล   อย่างไรก็ต้องมีถิ่นพำนักอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่นี่  ”
          ยินไม่ยอมแพ้  เขาเป็นแม่ทัพใหญ่ของแคว้นเฟิงโจว   มีหูตาพรรคพวกสอดแนมอยู่มากมาย   อย่างไร
ก็ต้องหาเจอจนได้
 
           
            แคว้นซู่ซินเป็นแคว้นเพื่อนบ้านทางตะวันออกของแคว้นเฟิงโจว   เป็นแคว้นขนาดเล็กแต่อุดมสมบูรณ์
และมีแหล่งแร่ที่สำคัญหลายแห่ง   แต่ด้วยความที่เป็นแคว้นเล็กกว่าทั้งยังไม่มีกำลังทหารที่เข้มแข็งเพียงพอ  
ทำให้แคว้นน้อยที่บริบูรณ์แห่งนี้ต้องตกเป็นประเทศราชของเฟิงโจวมาช้านาน   ทรัพย์สินของมีค่าในกองคลัง
ถูกย้ายออกนอกแคว้นในฐานะเครื่องบรรณาการปีแล้วปีเล่าแลกกับความคุ้มครองจากแคว้นใหญ่และกำลังทหาร
สบทบเมื่อถูกแคว้นอื่นที่หมายปองเช่นกันเข้าโจมตี
           
            แต่แม้จะมีฐานะเป็นประเทศราช   ที่นี่ก็ยังมีวังหลวงที่งามสง่าไม่แพ้เฟิงโจว   รั้วหินสูงแกร่งล้อม
เนื้อที่กว้างขวางไว้ภายใน   พอผ่านประตูกลางบานใหญ่เข้าไปก็จะเจอกับลานกว้างปูด้วยหิน   และเห็นอาคารไ
ม้หลังใหญ่ตั้งเด่นอยู่เบื้องหน้า   มีเสาต้นตระหง่านเรียงรายตลอดแนวระเบียงทางเดินที่เชื่อมอาคารตำหนักต่างๆ
ไว้ด้วยกัน
            
            ชายในชุดสง่าอย่างขุนนางวิ่งโร่ผ่านลานกว้างพร้อมผู้ติดตามอีกจำนวนหนึ่ง   ขึ้นทางเดินเชื่อมอาคาร
แล้วหายไป   ไม่นานก็มีกลุ่มนางในวิ่งสวนไปมา   ตามด้วยขุนนางอีกกลุ่มตามเข้ามาทีหลัง   ทุกคนดูวุ่นวาย
            
            หน้าตำหนักใหญ่มหาดเล็กเดินกลับไปมาอย่างกระวนกระวาย    กระทั่งเห็นกลุ่มขุนนางวิ่งกระหืด
กระหอบมา
                              
                            “  หมอหลวงมาแล้วพะย่ะค่ะ  ”
            
            มหาดเล็กรีบเปิดประตูให้   กลุ่มหมอหลวงรีบรุดเข้าไป   ด้านในสุดราชาซู่ซินนอนหลับพระเนตรอย่าง
เหนื่อยอ่อน   โดยมีรัชทายาทประทับเฝ้าอยู่ไม่ห่าง   พอได้ยินว่าหมอหลวงมาถึง   รัชทายาทก็หันมาด้วย  
พระเนตรแดงก่ำ   หัวหน้าหมอหลวงรีบตรวจดูพระอาการ   แล้วก็ชะงักงัน   สีหน้าซีดเผือด   แต่ยังแข็งใจตรวจ
พระอาการสองสามครั้ง   แล้วถอยออกมาอย่างยอมจำนน
                             
                             “  เป็นอย่างไรบ้าง  ”  รัชทายาทเร่งตรัสด้วยร้อนพระทัย
            
             หัวหน้าหมอหลวงก้มหน้างุด   แล้วส่ายหน้า
                             
                           “  พระอาการลุกลามถึงขั้นสุดท้ายแล้ว  กระหม่อมเกรงว่าจะทรงอยู่ไม่พ้นคืนนี้  ”
                              
                           “  ก็ทำอะไรสักอย่างซี!  ”
                              
                           “  ออนเซ็ง...  ”  ราชาซู่ซินปรามเสียงแผ่ว  ออนเซ็งหันกลับมาหาพระบิดา  จับ   
พระหัตถ์มากุมไว้อย่างปวดร้าวใจ
                              
                           “  เสด็จพ่อ   เสด็จพ่อจะต้องทรงหายดีนะ  ”
                              
                           “  พ่ออยู่มานานแล้ว  ”  ราชาซู่ซินตรัสปลอบ  “  ไม่จากวันนี้วันหน้าก็ต้องจากเจ้าไป  
เป็นห่วงก็แต่เจ้า   รัชทายาทต้องปกครองคนทั้งแคว้นต่อจากพ่อ   จงทำหน้าที่ให้ดีที่สุด   ความเลือดร้อน   
มักทำให้ตัวเองและคนอื่นๆต้องเดือดร้อน   ไม่มีพ่อแล้วเจ้าต้องเข้มแข็งขึ้นนะ   สุขุม   จะทำอะไรต้องคิดให้
รอบคอบ   อย่าลืมว่าการกระทำของเจ้าไม่เพียงชี้ชะตาตัวเองเท่านั้น   แต่หมายถึงความอยู่รอดของคน       
ทั้งแคว้น  ”
            
            ออนเซ็งเห็นพระบิดาอ่อนแรงลงทุกทีก็น้ำตาไหลพรากด้วยรู้สึกกลัว
                              
                         “  อีกอย่างเจ้าต้องรักษามิตรภาพกับแคว้นเฟิงโจวให้ดี   เครื่องบรรณาการอย่าให้ขาดตก
บกพร่อง   เราต้องพึ่งเขา  ”
            
            ได้ยินคำว่าเฟิงโจว   ดวงตาออนเซ็งก็ถลึงขึ้นอย่างโกรธขึ้ง
                              
                          “  เฟิงโจวเป็นแคว้น   ซู่ซินก็เป็นแคว้นเหมือนกัน   ทำไมเราต้องยอมทุกอย่าง      
นอกวังยังมีประชาชนที่ยากจน   เครื่องบรรณาการพวกนั้นยังมาช่วยประชาชนเราได้อีกมาก   ไยต้องส่งไป  
เป็นความมั่งคั่งของพวกมัน  ”
                              
                          “  ซู่ซินยังไม่พร้อม   เรายังอ่อนแอเกินไป   เกินกว่าจะปลดแอกและสามารถยืนหยัดได้
ด้วยตัวเอง  ”  ออนเซ็งส่ายหน้าอย่างไม่อยากยอมรับ  “  หรือเจ้าอยากพ่ายแพ้และต้องสูญเสียใครต่อใครไป
เปล่าประโยชน์เหมือนคราวนั้นล่ะ  ”
              
             พอขึ้นเสียงมาก   ราชาซู่ซินก็หายพระทัยไม่ทัน   หอบหนักๆแล้วนิ่งพัก   ออนเซ็งกำมือแน่น    
คิดถึงเหตุการณ์เมื่อหลายปีก่อน   คราวนั้นเขากับพี่ชายต้องการปลดแอกให้ซู่ซิน   แต่พ่ายแพ้ไม่เป็นท่าและ 
ถูกจับตัวได้   พระบิดาต้องรับผิดชอบด้วยชีวิตของพี่ชาย   พี่ชายก็ยอมเสียสละเพื่อให้เขาได้มีชีวิตต่อมาถึง 
ทุกวันนี้   เขายังจำได้ดี   ใบหน้าพี่ชายที่หันมายิ้มน้อยๆให้เขาขณะกำลังไปแดนประหาร   และมือของเขา     
ก็สุดเอื้อมไปหาต้องเห็นพี่ชายตายไปต่อหน้าโดยที่ช่วยเหลือไม่ได้เลย   คิดถึงเรื่องเจ็บปวดในอดีต   มือนั้น   
ก็บีบเค้น  หยดน้ำตาเอ่อรอบดวงตา   แดงก่ำ   เสียใจและคั่งแค้น
              
             ได้สติก็รู้สึกว่าพระบิดาเงียบนานเกินไป   แต่เรียกเท่าไรก็ไม่ทรงตอบ   เหล่าหมอหลวงกับนางใน 
ส่งเสียงโฮขึ้นทันที   เลยไปถึงมหาดเล็กด้านนอกด้วย   ออนเซ็งตะลึงงัน   ไม่อยากเชื่อว่าพระบิดาจะจาก   
ไปแล้ว   แต่เมื่อเริ่มรู้สึกว่าทุกอย่างเป็นความจริง   น้ำตาที่เอ่อล้นก็พรั่งพรูออกมาเป็นสาย
                             
                             “  เสด็จพ่อ...”  ออนเซ็งร่ำไห้จนเสียงแหบด้วยความรวดร้าว “  เสด็จพ่อ!!  ”
            
             ทุกคนร่ำไห้ระงม   ออนเซ็งสะอึกสะอื้นอย่างไม่อายใคร
            
             หลังงานพระศพผ่านพ้นไป     ออนเซ็งอยู่ในชุดไว้ทุกข์นั่งเหม่อเพียงลำพังในห้องส่วนตัว          
แสงเทียนโบกสะบัดจับคราบน้ำตาที่ยังคงไหลอาบแก้มอย่างเงียบๆ   นึกถึงช่วงที่พระบิดายังมีพระชนม์ชีพอยู่  
ก็ยิ่งเศร้าสลด   นึกมาเรื่อยๆจนถึงคำสั่งเสียก่อนสิ้นพระชนม์   พลันดวงตาออนเซ็งก็ถลึงขึ้นอย่างดุดัน   บีบมือ
แน่นจนสั่นไปทั้งแขน
                              
                             “  เฟิงโจว...  ”
 
             
            ชาบูหลั่นตากังวลว่ายินจะไม่จริงใจกับฟู่หลาน   จึงไปหาพ่อแม่นาง   เฉินสุ่ยชางและนางไห่เซิน  
ซึ่งกำลังง่วนกับงานที่ไร่ต้องแปลกใจกับการมาเยือนนี้   ชาบูหลั่นตาเล่าว่าที่สัมผัสมายินเป็นคนอย่างไร     
เตือนให้ฟู่หลานอย่าอยู่ใกล้คนประเภทนั้น   ทั้งสองได้ฟังก็รู้สึกไม่สู้ดี   หันมาปรึกษากันอย่างกังวลใจ        
แต่จะทำอย่างไรได้   พวกเขาเป็นแค่ชนชั้นล่าง   ในขณะที่ยินอยู่สูงมีอำนาจมีอิทธิพล   ถ้าเขาชอบพอลูกสาว
แล้วจะไปขัดได้อย่างไร   ถ้าไปทำให้ไม่พอใจก็อาจเดือดร้อนทั้งครอบครัว    แต่ก็ไม่อยากให้ลูกต้องไปเจอกับ
คนไม่ดี   คิดหาทางออกอยู่สักพัก   สุ่ยชางก็นึกออก
                              
                           “  นายท่าน   ที่ผ่านมาท่านคอยเกื้อหนุนยามเราลำบาก   แสดงว่าท่านไม่ใช่คนธรรมดา
เช่นกัน   ตระกูลของท่านคงมีอำนาจพอให้แม่ทัพยินเกรงใจได้บ้าง   ตระกูลของข้าน้อยไม่มีอำนาจวาสนาใดๆ
จะคุ้มครองฟู่เอ๋อได้   คงต้องพึ่งท่าน   แต่ตั้งแต่รู้จักกันมาพวกเรายังไม่รู้เลยว่าท่านเป็นใคร   มาจากตระกูล
ไหน  ”  สุ่ยชางต้องการเปรียบเทียบสองตระกูล   ถ้าอยู่ในฐานะใกล้เคียงกันหรือเหนือกว่าก็พึ่งได้   ไม่ต้องกลัว
บารมีตระกูลเวย
             
            แต่ชาบูหลั่นตาอึกอัก   ไม่สามารถตอบได้ว่าเขาเป็นใคร
                             
                            “  ข้าขอโทษ   ข้าคงบอกไม่ได้  ”  สีหน้าที่มีความหวังเปลี่ยนเป็นกังวลแกมสงสัย  
“  แต่ข้ารับรองว่าสามารถปกป้องพวกท่านได้แน่นอน  ”
             
           สุ่ยชางรู้สึกสงสัยอย่างรุนแรง   แต่แรกแล้วไม่ว่ากับใครก็ไม่เคยยอมบอกที่มาของตัวเอง   จู่ๆก็ปรากฏ
ตัวมา   ตอนไปก็หายไปแบบไร้ร่องรอย   อย่างกับล่องหนได้   ไม่รู้กระทั่งที่อยู่   ติดต่อไม่ได้จนกว่าเจ้าตัวจะมา
เอง   ทำไมถึงลึกลับนัก   แล้วเขาก็นึกระแวงว่าบางทีคนๆนี้อาจหลบหนีบางอย่างอยู่   ถึงต้องอยู่หลบซ่อน    
จะไปจะมาไม่มีใครรู้ล่วงหน้า   แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นจริง   ฝากครอบครัวไว้กับเขาไม่ยิ่งอันตรายกว่าหรือ
             
           อันที่จริงชาบูหลั่นตาก็อึดอัดใจไม่น้อยที่พูดความจริงไม่ได้   เขารู้มาว่ามีแต่ชาวนาชาวไร่และพวกทำ
เกษตรเท่านั้นที่นับถือเทพมังกรฟ้าอย่างแรงกล้า   แต่ยินไม่ใช่   เขาคงหัวเราะเยาะเป็นเรื่องตลก   เทพมังกร
อะไรจะมาเดินปะปนกับชาวบ้านได้อย่างไร   คงไม่มีใครเชื่อ
             
            แต่สุ่ยชางก็รู้สึกเกรงใจเพราะอีกฝ่ายดีต่อครอบครัวเขามาตลอด   ที่มาเตือนเช่นนี้ก็คงเพราะห่วงลูก
เขาจริงๆ   แต่ถ้าไม่รู้ที่มาของเขา   หรือเขายังลำบากต้องหลบซ่อนอะไรแบบที่คิดไว้จริง   ก็คงไม่สามารถ  
คุ้มครองพวกเขาได้   เพราะจะเดือดร้อนกันทั้งหมด   ทั้งพวกเขาและคนช่วย
                               
                            “  แต่ข้าสามารถปกป้องพวกท่านได้จริงๆ  ”
                               
                          “  อย่าเลยนายท่าน   ท่านคนเดียวไม่ไหวหรอก   ตระกูลเวยเคยมีอำนาจที่สุดในแคว้น  
แล้วตอนนี้ลูกชายก็รับช่วงกุมอำนาจกองทัพ   ทำให้พวกเขายิ่งใหญ่มากถึงท่านจะเป็นเศรษฐี   แต่คงสู้กำลัง
พวกเขาไม่ได้   ท่านช่วยเหลือเรามาตลอด   ดังนั้นเราคงไม่อาจตอบแทนโดยการนำความเดือดร้อนมาให้ 
ท่าน  ”
             
             ชาบูหลั่นตาฟังแล้วรู้สึกไม่สบายใจที่พวกเขาไม่เชื่อมั่น
                                
                           “  ข้าสามารถปกป้องพวกท่านได้จริงๆ   พวกท่านจะเชื่อมั่นได้ไหม ”
                                
                           “  ตระกูลเวยยิ่งใหญ่ท่านอย่าเสี่ยงเลยดีกว่า  ”  นางไห่เซินสมทบ
 
              เทพมังกรมีสีหน้ากลัดกลุ้ม   ทำไมถึงเป็นแบบนี้   แล้วเขาจะทำอย่างไรต่อ   ไม่ทันนึกออกก็เห็น
สองผัวเมียชะงักเหมือนเห็นใครมา   หันไปดูเห็นเป็นฟู่หลาน   นางเองก็ท่าทางแปลกใจที่เห็นเขาอยู่ที่นี่    
ฝ่ายพ่อแม่รีบทำตัวปกติ   ยิ้มรับลูกสาว
                                      
                              “  ทำไมนายท่านถึงมาอยู่ที่นี่คะ  ”
            
            เขากลุ้มใจนัก  “  เจ้าไปคุยกับข้าหน่อยได้ไหม  ”
             
            พอออกมาพ้นหูตาของสุ่ยชางและไห่เซิน   เขาก็เล่าให้ฟัง   ทั้งเรื่องไปสัมผัสยินมาแล้วคิดว่าเขา 
ไม่จริงใจ   ตลอดจนที่คุยกับพ่อแม่นาง
                           
                          “  ท่านพ่อท่านแม่พูดถูก   เราต่ำต้อยเกินไปและเขาก็อยู่สูงเกินกว่าเราจะกล้าขัดใจเขา  
ทุกวันนี้เราก็เกรงใจจนไม่กล้าทำอะไรแล้ว  ”
                           
                          “  แต่เจ้าไม่ต้องกลัว   ข้าเป็นใครเจ้าก็รู้   ข้าพร้อมปกป้องเจ้า   จะไม่ให้ใครมาทำร้าย
ได้  ”
                           
                          “  ข้าปลอดภัย   แล้วท่านพ่อท่านแม่ข้าล่ะคะ   ถ้าข้าเลือกทำตามใจตัวเอง   พวกท่าน
ก็จะเดือดร้อน   ถ้าจริงอย่างที่ท่านว่า   เขาก็อาจใช้อำนาจกับพวกข้าก็ได้  ”
                           
                          “  ข้าจะปกป้องเจ้าและครอบครัวเจ้าด้วย   ข้าไม่มีวันให้ใครมาทำร้ายเพื่อนรักของข้า  ”
                           
                          “  แต่ท่านก็ไม่อาจอยู่คุ้มครองได้ตลอดเวลา   ท่านยังติดงาน  อยู่ๆ เดี๋ยวก็ต้องไป   
จากนั้นพวกข้าก็อยู่ลำพัง  ”
                           
                          “  เช่นนั้นก็ไปหลบซ่อนตัวสักที่   ข้าจะทำให้พวกเขาหาเจ้าไม่เจอ   ส่วนเรื่องเงิน      
ก็ไม่ต้องเป็นห่วง  ”
                           
                         “  แต่พวกข้าเป็นมนุษย์ต้องกินต้องใช้   พอไปจ่ายตลาดก็คงถูกจับตัวแล้ว   อีกอย่าง 
พ่อข้าช่วงนี้สุขภาพไม่สู้ดีนัก   จะหนีไปไหนฉุกละหุกคงไม่เป็นผลดี  ”
            
             ชาบูหลั่นตากลุ้มใจต่อ   คงกลุ้มมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ   จะทำอย่างไรกันล่ะทีนี้
 
             
             สุ่ยชางย่ำเท้ามาตามถนน   แสงแดดเบื้องบนและน้ำหนักผลผลิตที่แบกมาเต็มตะกร้าทำให้เขา   
เริ่มหายใจหอบ   เหงื่อเม็ดโตไหลปิดดวงตา   เขายกแขนเสื้อสีหม่นปาดออกแล้วเดินต่อ   พอพ้นหัวเลี้ยวก็เห็น
บ้านหลังใหญ่ตั้งโดดเด่น   เป็นแค่ทางผ่านแต่ก็อดไม่ได้ที่อยากแอบมองเข้าไปอย่างอยากรู้   แต่รั้วนั้นก็สูง 
เกินสายตา   เขาไม่รู้หรอกว่าเจ้าของบ้านเป็นใคร   แต่ถ้ามีบ้านใหญ่โตอย่างนี้คงไม่พ้นพวกคหบดี  เศรษฐี 
หรือขุนนาง   คิดถึงขุนนางเขาก็นึกถึงแม่ทัพยิน  ชายหนุ่มคนนั้นเป็นคนตระกูลขุนนางใหญ่   ที่ผ่านมาที่เข้าหา
วางท่าไม่ถือตัวและใจดี   แต่เวลาลุแก่อำนาจไม่รู้จะน่ากลัวขนาดไหน   แล้วพวกเขาจะเป็นอย่างไร   คิดแล้ว 
ก็ให้หวาดหวั่น   ทันใดนั้นภาพถนนและผู้คนรอบข้างก็พร่าเลือน   เขาคิดว่าเพราะความร้อนจึงสลัดหัวแรงๆ  
ซึ่งก็หาย   แต่พอก้าวต่อไปก็เป็นอีก   คราวนี้ภาพบิดเบี้ยวมองไม่รู้อะไรเป็นอะไรแล้วก็หมุนเร็ว   รู้สึกว่าเข่า
กระแทกของแข็ง   อาจเป็นพื้นแต่เขาก็ไม่รู้ว่าพื้นอยู่ไหนแล้วด้วยซ้ำ
                                  
                                 “  กรี้ดดดดดดดดดดดด  ”
             
            เสียงหวีดร้องช่วยดึงสติฉับพลัน   แต่เขาต้องใช้เวลาปรับประสาทการมองเห็นสักพัก   จึงพบว่า   
ตัวเองมานอนกึ่งหมอบบนพื้นแล้ว   หน้าประตูบ้านหลังใหญ่นั่น   ของที่แบกมาบนหลังกลิ้งขลุกๆไปตามถนน  
บางส่วนยังตกอยู่รอบๆแนวชายกระโปรงสีสดใส   แสดงว่ามันคงเทใส่ร่างเจ้าของกระโปรงด้วย   สุ่ยชางตกใจ
แหงนหน้าก็พบสตรีชั้นสูงปั้นสีหน้าถมึงทึงใส่ด้วยความไม่พอใจ
                                  
                           “  ไม่มีตามองหรือ   เดินมาขวางทางข้าแล้วยังทำผักสกปรกหล่นใส่กระโปรงผ้าชั้นดี
ของข้า  ”  นางกรีดเสียงสูง  ถลึงจ้องชาวไร่แต่งตัวมอซออย่างเคืองจัด
                                  
                           “  ข้าน้อยขอโทษขอรับ  ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ  ”  เขาละล่ำละลัก
                                  
                           “  แล้วดูผักเน่าๆของเจ้า   เอาขี้ดินมาด้วย!   ยี้  สกปรก  ”
                                 
                           “  ข...ข้าน้อยปัดให้  ”  เขายื่นมือไป  แต่ฝ่ายนั้นชักเท้าหนีอย่างรังเกียจ
                                 
                          “  ไม่ต้อง!  มือสกปรกจะยิ่งทำให้กระโปรงข้าเปื้อนมากขึ้นน่ะซี  มือเปื้อนดิน  เล็บดำ
อย่างนี้   ยี้!  สมกับเป็นพวกชั้นต่ำ  สกปรก   คราวหน้าเดินดูทางบ้างนะ!  ”
             
            เสียงแหลมสูงเสียดขึ้นสมอง   สุ่ยชางเครียดจัด   เวยฮูหยินสะบัดหน้าก้าวฉับๆไปที่เกี้ยว   ยังไม่วาย
ก่นด่า
                                  
                           “  พวกชั้นต่ำ!  จะกลับไปเปลี่ยนชุดเอาชุดนี้ไปซักด้วยนะ  ให้สะอาดล่ะ  โดยเฉพาะ
ตรงที่มือมันแตะ   ถ้าซักไม่ออกก็โยนทิ้งไป   ไม่ก็เผาทิ้งซะ   ไม่อยากเก็บไว้เป็นเสนียด!!  ”
             
           สั่งคนรับใช้ฉอดๆแล้วก็ขึ้นเกี้ยวออกไป   ฝ่ายสุ่ยชางยังหมอบอยู่ที่เดิม   ชนชั้นสูงเหยียดหยาม   
พวกเขาถึงเพียงนี้   แค่ไปแตะโดนก็หาว่าอัปมงคลเสียแล้ว   แค่ชนชั้นสูงธรรมดายังขนาดนี้   แล้วตระกูลเวย 
ที่มีอำนาจมากจะขนาดไหน   ลูกสาวชาวไร่อย่างเขาจะเจอขนาดไหน   จู่ๆเขาเกิดแน่นหน้าอก   หายใจขัด  
เขากุมหน้าอก   พยายามขืนตัว    แต่แล้วก็ทรุดลง   ภาพแผ่นหินปูพื้นถนนเลือนทุกทีก่อนจะดับมืดไป
 
                                  
                            “  เจ้าไม่ต้องห่วง   ข้ากำชับหมอให้ดูแลพ่อเจ้าอย่างดี  ”
              
            ยินไปพบสุ่ยชางนอนสลบหน้าบ้านขุนนางอีกตระกูลโดยบังเอิญ   จึงรีบพาส่งโรงหมอ   แล้วมาแจ้ง
ฟู่หลาน   เมื่อถึงมือหมอก็อาการดีขึ้น   แต่ตอนนี้ให้พักดูอาการที่โรงหมอก่อน   นางต้องกลับไปหาแม่   ยินจึง
อาสาตามมาส่ง
                                   
                             “  ขอบพระคุณท่านมากนะคะ  ”
             
            เขาแปลกใจที่น้ำเสียงนางเรียบเหมือนสีหน้า   ไม่ได้แสดงอารมณ์ซาบซึ้งอย่างคำพูด   แต่ก็เข้าใจว่า
นางคงกำลังเครียดอยู่
                                 
                           “  เจ้ามีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า   บอกข้าได้นะ  ”
                                 
                           “  ไม่มีอะไรค่ะ  ”  นางรู้สาเหตุจากพ่อแล้ว   ชนชั้นสูงเหยียดชนชั้นล่างถึงเพียงนี้
                                 
                           “  ข้าไม่เชื่อ  ”  ยินจ้องหน้าอย่างเค้นคำตอบ
               
             นางเองก็รู้สึกไม่มั่นใจเหมือนพ่อ   ตระกูลเวยจะหยิ่งจะเหยียดหยามดูถูกพวกนางยิ่งกว่านี้ไหม
                                 
                           “  ท่านพ่อไม่สบายข้าก็รู้สึกไม่สบายใจเป็นธรรมดา  ”  นางกล่าว  “  ท่านส่งข้าแค่ตรง
แยกนี้ก็พอค่ะ   ต่อจากนี้ข้าไปเองได้   ข้าอยู่ที่นี่ตั้งแต่เกิด   รู้จักถนนหนทางอย่างดี   ท่านไม่ต้องเป็นห่วง
หรอกค่ะ  ”
               
          ที่จริงยินจะให้นางขึ้นม้าตัวเดียวกันมา   แต่นางไม่ยอม   เขาเลยเดินตามมาส่ง   เป็นครั้งแรกที่เดินเท้า
ไกลไม่น้อย
                                 
                          “  ได้อย่างไร  ข้าต้องไปส่งเจ้าถึงบ้าน  ”
              
           ฝ่ายเทพมังกรกำลังนั่งกลุ้มอยู่บนสวรรค์    นึกเป็นห่วงนางเลยส่องญาณดู   รู้ว่ายินมาตอแยอีก       
ก็รีบร้อนลงมา   ไม่สนใจเซิ่งตู่ที่มาตามตัว   ปล่อยให้เขามองตาค้าง   ตกใจและงุนงง
                                  
                           “  ท่านช่วยข้ามามากแล้ว   ชนชั้นสูงอย่างท่านไม่ควรมาเดินไกลส่งผู้หญิงต่ำต้อย
อย่างข้า   ข้าขอตัวนะคะ  ”
               
             นางทำท่าจะไป   ยินรีบฉวยข้อมือนางรั้งไว้
                                  
                            “  เจ้าทำอะไร  ”  ทั้งคู่หันตามเสียง   ชาบูหลั่นตาโผล่มากะทันหันเสียจนยินคิดว่าเขา
ล่องหนมา   ไม่รู้มาอย่างไร   แต่มาก็ดีแล้ว  จะได้เห็นกับตาว่านางเป็นของเขา  เขายิ้มเย้ยแล้วหันมือข้างที่จับ
มือนาง  จงใจให้เห็นชัดๆ   พร้อมกับทำท่าจะจูงนางไป   ชาบูหลั่นตาตามเอ็ดเสียงลั่น   คว้าต้นแขนนาง
                                  
                             “  จะพานางไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น  ”
                                  
                             “  เจ้าไม่มีสิทธิ์มาห้าม  ”      
                                 
                             “  แต่เจ้าไม่มีสิทธิ์จะพานางไป  ”
             
            สองหนุ่มจ้องตาท้าทายและไม่ยอมกัน  ฟู่หลานชักอึดอัด   ชักมือออก  ยินมือค้าง  มองนางอย่าง 
ไม่เข้าใจ   ชาบูหลั่นตาพอใจมากที่นางทำเช่นนั้น
                                  
                             “  ไปเถอะฟู่เอ๋อ  ”
                                  
                             “  ฟู่เอ๋อ  ”  ยินขัด  “  ตอนนี้พ่อของเจ้าอยู่โรงหมอ  มีคนของข้าคอยดูแลไม่ให้
คลาดสายตา  ”
             
         นางมองหน้าเขา   รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาว่าพ่อจะเป็นอันตราย   แล้วหันไปหาชาบูหลั่นตา   เขาส่งสายตา
ตอบว่าไม่ต้องกลัว   เชื่อมั่นในตัวเขา   นางลังเลอยู่หลายตลบ
                                   
                          “  นายท่าน   ปล่อยแขนข้าเถอะค่ะ  ”
              
           เขาไม่คาดคิดว่าจะได้รับคำตอบนี้   จ้องนางอย่างอยากฟังให้แน่ใจอีกครั้ง
                                   
                          “  ปล่อยแขนข้าเถอะค่ะ  ”  เสียงนางแผ่วตอนท้าย   นางไม่อยากพูดเช่นนี้
              
            ยินยิ้มอย่างมีชัย   เทพมังกรนิ่งงัน   ฟู่หลานจ้องตอบด้วยแววตาเสียใจและรู้สึกผิด   แล้วดวงตาคม 
คู่นั้นก็หม่นหมองลง   มือที่ยึดแขนนางไว้แน่นค่อยๆคลายกลับไป   แล้วเขาก็หันหลังเดินหายไปอย่างรวดเร็ว
เหมือนเมื่อขามา
 
              
             หลังจากนั้นชาบูหลั่นตาก็ขาดการติดต่อไป   ฟู่หลานรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ครั้งนั้น   แต่ก็รู้ดีว่านาง
จำเป็น   นางได้แต่หวังว่าในวันหนึ่งเขาจะกลับมาอีกครั้ง   แต่มันอาจเป็นแค่ความหวังเลื่อนลอยเพราะไม่เคย
เกิดขึ้นเลยวันแล้ววันเล่า   ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะยกโทษให้นางไหม   หรือว่านางจะต้องสูญเสียเพื่อนที่ดีและห่วง
นางมากอย่างนายท่านไปจริงๆ
              
            แต่แล้วในวันหนึ่งนางบังเอิญเห็นเขายืนแอบอยู่ริมรั้ว   ที่แท้เขาไม่ได้หายไปไหนเลย   แต่คอยเฝ้าดู
อยู่ตลอด   เพียงแต่นางไม่รู้ตัวเท่านั้น   พอรู้ว่านางเห็นเข้า   เขาก็ทำท่าจะเดินจากไป   นางรีบตามคว้าไว้
                                
                            “  แม่ทัพยินไม่มาเหรอช่วงนี้  ”
                                 
                            “  กลับเมืองหลวงไปสักพักแล้ว   นายท่านหายไปไหนคะ   ข้าติดต่อท่านไม่ได้เลย  ”
                                
                            “  อย่างนั้นช่วงนี้เจ้าคงเหงาหน่อย  ”  เขาไม่ตอบคำถามนาง  “  คนสำคัญไม่อยู่   
ทั้งคน  ”
                                
                             “  นายท่าน...”  นางไม่สบายใจ
                                
                             “  ถามจริง   มีข้าอยู่นี่ทำให้เจ้าเดือดร้อนมากไหม  ”  เขากล่าว  “  ถ้าไม่มีข้า   ถึงมี
แม่ทัพยินเข้ามา   เจ้าก็คงไม่ต้องลำบากใจ   ไม่ต้องถูกกดดันแบบคราวนั้น   ถ้าไม่มีข้า   เขาก็คงไม่ใช้อำนาจ
กับเจ้าและครอบครัวจนทำให้พวกเจ้าไม่สบายใจ  ”
                                
                              “  นายท่าน   พูดอะไรอย่างนั้นคะ  ”
                                
                              “  นั่นสินะ  ”  เขาฝืนยิ้ม  “  แต่ก่อนข้าคิดว่าข้าเป็นคนสำคัญของเจ้า   ช่วยเจ้า   
ได้ทุกอย่าง   แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว   เจ้ามีคนที่สำคัญกว่า   เจ้าไม่เชื่อมั่นว่าข้าจะคุ้มครองเจ้าได้   และข้ายัง  
ทำให้เจ้าเดือดร้อน   ข้าก็ไม่ควรต้องอยู่อีกต่อไป   ขอโทษด้วยนะที่ทำให้เดือดร้อนและขอบคุณที่ยอม      
เป็นเพื่อนข้า  ”
             
            เขาจับมือนางที่เกาะกุมแขนเขา   ปลดออก   นางใจหายวาบ   พยายามไขว่คว้าแต่เขาก็ถอยไปไกล
                                
                            “  นายท่าน...”  นางกลัวจนน้ำตาเอ่อ
             
             เทพมังกรหันหลังกลับ   สีหน้านิ่ง  เย็นชาในแบบที่นางไม่เคยเห็น   แต่แววตากลับเศร้าอย่างที่สุด  
ก้าวจากไปทีละก้าว   สองก้าว   แต่ละก้าวเหมือนมีอะไรฉุดรั้งไว้   ให้ก้าวไปลำบากเหลือเกิน   คล้ายถูกหน่วง
ด้วยก้อนหิน    ใจฟู่หลานตะโกนกู่ร้องว่าอย่าไปจนสุดเสียง   แต่ปากนางกลับเอ่ยไม่ออก   มีแต่หยดน้ำตา    
ที่พรั่งพรูออกมาจนม่านตาพร่าเลือน   ยิ่งเห็นหลังเขาไกลออกไปทุกทีก็ยิ่งทนไม่ได้
                                 
                           “  นายท่าน...”  ในที่สุดนางก็เปิดปากที่หนักอึ้งจนได้   เพียงเท่านั้นจริงๆ   แต่ก็ทำให้
เขาหยุดกึก   หันกลับมาอีกครั้ง   ใบหน้านางบิดเบี้ยวคร่ำครวญ   สองข้างแก้มอาบน้ำตาเป็นสาย   แวบแรก 
นึกดีใจที่เขาหันกลับมา   แต่แล้วนางก็พูดอะไรไม่ได้อีก  เทพมังกรเม้มข่มริมฝีปากที่สั่นระริก   รอบดวงตาคม
เริ่มเห็นความชื้นบ้างแล้ว   ก่อนที่จะสะกดกลั้นไม่ไหว   เขารีบหันหลังเดินออกไปทันที   นางแทบเข่าอ่อน 
ร่ำไห้สะอึกสะอื้นจนสั่นเทิ้มไปทั้งตัว
             
               เส้นทางป่าเงียบสงัด   เงียบเหงาและว้าเหว่เหมือนใจเทพมังกรที่ฝืนตัวเองทุกขณะให้ก้าวออกมา 
ทุกที  ทุกที   ปวดร้าว  โหยหา  จนบางครั้งอยากจะวิ่งกลับไปทันที   แต่ก็สะกดไว้แล้วแข็งใจก้าวต่อไป  
เรื่อยๆ  หนทางระหว่างเขากับนางห่างไปทุกที
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา