Chabulanta ตำนานรักเทพมังกร
เขียนโดย Xian_xi
วันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2556 เวลา 15.34 น.
แก้ไขเมื่อ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 13.18 น. โดย เจ้าของนิยาย
7) สหายเก่าจากลา
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความยินส่งคนไปสืบประวัติของชาบูหลั่นตา พวกเขาตระเวนตามสืบทั้งเมือง แต่ไม่มีใครสามารถ
ให้คำตอบได้ รู้แต่เพียงว่าจู่ๆเขาก็ปรากฏตัวโดยไม่รู้ที่มา นึกจะไปก็หายไปอย่างลึกลับไม่มีใครติดต่อได้
อย่างกับสายลมที่พัดมาแล้วก็ผ่านหายไป จะจับหรือคว้าไว้ไม่ได้เลย
“ คงมีแต่แม่นางฟู่หลานเท่านั้นที่สามารถติดต่อเขาได้ ” คนสืบข่าวกล่าว “ แต่
ชาวบ้านเคยถามนางแล้ว นางก็ตอบว่าไม่รู้ที่มาของเขาเช่นกัน ถ้าท่านถามนางก็คงได้คำตอบนี้เช่นกัน ”
ยินกุมขมับ ทำไมคนๆนี้ถึงได้ลึกลับขนาดนี้
“ คนเราก็ต้องมีตัวตนมีเบื้องหลัง เป็นไปไม่ได้ที่จะหาไม่เจอ บางทีอาจจะเป็น
คนเมืองอื่น ชาวเมืองนี้เลยไม่รู้ที่มาก็ได้ อย่างไรคงอยู่ในแคว้นนี้ หรือถ้าเป็นคนต่างแคว้นก็คงเป็น
แคว้นใกล้ แต่ถ้ามาจากที่ไกล อย่างไรก็ต้องมีถิ่นพำนักอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่นี่ ”
ยินไม่ยอมแพ้ เขาเป็นแม่ทัพใหญ่ของแคว้นเฟิงโจว มีหูตาพรรคพวกสอดแนมอยู่มากมาย อย่างไร
ก็ต้องหาเจอจนได้
แคว้นซู่ซินเป็นแคว้นเพื่อนบ้านทางตะวันออกของแคว้นเฟิงโจว เป็นแคว้นขนาดเล็กแต่อุดมสมบูรณ์
และมีแหล่งแร่ที่สำคัญหลายแห่ง แต่ด้วยความที่เป็นแคว้นเล็กกว่าทั้งยังไม่มีกำลังทหารที่เข้มแข็งเพียงพอ
ทำให้แคว้นน้อยที่บริบูรณ์แห่งนี้ต้องตกเป็นประเทศราชของเฟิงโจวมาช้านาน ทรัพย์สินของมีค่าในกองคลัง
ถูกย้ายออกนอกแคว้นในฐานะเครื่องบรรณาการปีแล้วปีเล่าแลกกับความคุ้มครองจากแคว้นใหญ่และกำลังทหาร
สบทบเมื่อถูกแคว้นอื่นที่หมายปองเช่นกันเข้าโจมตี
แต่แม้จะมีฐานะเป็นประเทศราช ที่นี่ก็ยังมีวังหลวงที่งามสง่าไม่แพ้เฟิงโจว รั้วหินสูงแกร่งล้อม
เนื้อที่กว้างขวางไว้ภายใน พอผ่านประตูกลางบานใหญ่เข้าไปก็จะเจอกับลานกว้างปูด้วยหิน และเห็นอาคารไ
ม้หลังใหญ่ตั้งเด่นอยู่เบื้องหน้า มีเสาต้นตระหง่านเรียงรายตลอดแนวระเบียงทางเดินที่เชื่อมอาคารตำหนักต่างๆ
ไว้ด้วยกัน
ชายในชุดสง่าอย่างขุนนางวิ่งโร่ผ่านลานกว้างพร้อมผู้ติดตามอีกจำนวนหนึ่ง ขึ้นทางเดินเชื่อมอาคาร
แล้วหายไป ไม่นานก็มีกลุ่มนางในวิ่งสวนไปมา ตามด้วยขุนนางอีกกลุ่มตามเข้ามาทีหลัง ทุกคนดูวุ่นวาย
หน้าตำหนักใหญ่มหาดเล็กเดินกลับไปมาอย่างกระวนกระวาย กระทั่งเห็นกลุ่มขุนนางวิ่งกระหืด
กระหอบมา
“ หมอหลวงมาแล้วพะย่ะค่ะ ”
มหาดเล็กรีบเปิดประตูให้ กลุ่มหมอหลวงรีบรุดเข้าไป ด้านในสุดราชาซู่ซินนอนหลับพระเนตรอย่าง
เหนื่อยอ่อน โดยมีรัชทายาทประทับเฝ้าอยู่ไม่ห่าง พอได้ยินว่าหมอหลวงมาถึง รัชทายาทก็หันมาด้วย
พระเนตรแดงก่ำ หัวหน้าหมอหลวงรีบตรวจดูพระอาการ แล้วก็ชะงักงัน สีหน้าซีดเผือด แต่ยังแข็งใจตรวจ
พระอาการสองสามครั้ง แล้วถอยออกมาอย่างยอมจำนน
“ เป็นอย่างไรบ้าง ” รัชทายาทเร่งตรัสด้วยร้อนพระทัย
หัวหน้าหมอหลวงก้มหน้างุด แล้วส่ายหน้า
“ พระอาการลุกลามถึงขั้นสุดท้ายแล้ว กระหม่อมเกรงว่าจะทรงอยู่ไม่พ้นคืนนี้ ”
“ ก็ทำอะไรสักอย่างซี! ”
“ ออนเซ็ง... ” ราชาซู่ซินปรามเสียงแผ่ว ออนเซ็งหันกลับมาหาพระบิดา จับ
พระหัตถ์มากุมไว้อย่างปวดร้าวใจ
“ เสด็จพ่อ เสด็จพ่อจะต้องทรงหายดีนะ ”
“ พ่ออยู่มานานแล้ว ” ราชาซู่ซินตรัสปลอบ “ ไม่จากวันนี้วันหน้าก็ต้องจากเจ้าไป
เป็นห่วงก็แต่เจ้า รัชทายาทต้องปกครองคนทั้งแคว้นต่อจากพ่อ จงทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ความเลือดร้อน
มักทำให้ตัวเองและคนอื่นๆต้องเดือดร้อน ไม่มีพ่อแล้วเจ้าต้องเข้มแข็งขึ้นนะ สุขุม จะทำอะไรต้องคิดให้
รอบคอบ อย่าลืมว่าการกระทำของเจ้าไม่เพียงชี้ชะตาตัวเองเท่านั้น แต่หมายถึงความอยู่รอดของคน
ทั้งแคว้น ”
ออนเซ็งเห็นพระบิดาอ่อนแรงลงทุกทีก็น้ำตาไหลพรากด้วยรู้สึกกลัว
“ อีกอย่างเจ้าต้องรักษามิตรภาพกับแคว้นเฟิงโจวให้ดี เครื่องบรรณาการอย่าให้ขาดตก
บกพร่อง เราต้องพึ่งเขา ”
ได้ยินคำว่าเฟิงโจว ดวงตาออนเซ็งก็ถลึงขึ้นอย่างโกรธขึ้ง
“ เฟิงโจวเป็นแคว้น ซู่ซินก็เป็นแคว้นเหมือนกัน ทำไมเราต้องยอมทุกอย่าง
นอกวังยังมีประชาชนที่ยากจน เครื่องบรรณาการพวกนั้นยังมาช่วยประชาชนเราได้อีกมาก ไยต้องส่งไป
เป็นความมั่งคั่งของพวกมัน ”
“ ซู่ซินยังไม่พร้อม เรายังอ่อนแอเกินไป เกินกว่าจะปลดแอกและสามารถยืนหยัดได้
ด้วยตัวเอง ” ออนเซ็งส่ายหน้าอย่างไม่อยากยอมรับ “ หรือเจ้าอยากพ่ายแพ้และต้องสูญเสียใครต่อใครไป
เปล่าประโยชน์เหมือนคราวนั้นล่ะ ”
พอขึ้นเสียงมาก ราชาซู่ซินก็หายพระทัยไม่ทัน หอบหนักๆแล้วนิ่งพัก ออนเซ็งกำมือแน่น
คิดถึงเหตุการณ์เมื่อหลายปีก่อน คราวนั้นเขากับพี่ชายต้องการปลดแอกให้ซู่ซิน แต่พ่ายแพ้ไม่เป็นท่าและ
ถูกจับตัวได้ พระบิดาต้องรับผิดชอบด้วยชีวิตของพี่ชาย พี่ชายก็ยอมเสียสละเพื่อให้เขาได้มีชีวิตต่อมาถึง
ทุกวันนี้ เขายังจำได้ดี ใบหน้าพี่ชายที่หันมายิ้มน้อยๆให้เขาขณะกำลังไปแดนประหาร และมือของเขา
ก็สุดเอื้อมไปหาต้องเห็นพี่ชายตายไปต่อหน้าโดยที่ช่วยเหลือไม่ได้เลย คิดถึงเรื่องเจ็บปวดในอดีต มือนั้น
ก็บีบเค้น หยดน้ำตาเอ่อรอบดวงตา แดงก่ำ เสียใจและคั่งแค้น
ได้สติก็รู้สึกว่าพระบิดาเงียบนานเกินไป แต่เรียกเท่าไรก็ไม่ทรงตอบ เหล่าหมอหลวงกับนางใน
ส่งเสียงโฮขึ้นทันที เลยไปถึงมหาดเล็กด้านนอกด้วย ออนเซ็งตะลึงงัน ไม่อยากเชื่อว่าพระบิดาจะจาก
ไปแล้ว แต่เมื่อเริ่มรู้สึกว่าทุกอย่างเป็นความจริง น้ำตาที่เอ่อล้นก็พรั่งพรูออกมาเป็นสาย
“ เสด็จพ่อ...” ออนเซ็งร่ำไห้จนเสียงแหบด้วยความรวดร้าว “ เสด็จพ่อ!! ”
ทุกคนร่ำไห้ระงม ออนเซ็งสะอึกสะอื้นอย่างไม่อายใคร
หลังงานพระศพผ่านพ้นไป ออนเซ็งอยู่ในชุดไว้ทุกข์นั่งเหม่อเพียงลำพังในห้องส่วนตัว
แสงเทียนโบกสะบัดจับคราบน้ำตาที่ยังคงไหลอาบแก้มอย่างเงียบๆ นึกถึงช่วงที่พระบิดายังมีพระชนม์ชีพอยู่
ก็ยิ่งเศร้าสลด นึกมาเรื่อยๆจนถึงคำสั่งเสียก่อนสิ้นพระชนม์ พลันดวงตาออนเซ็งก็ถลึงขึ้นอย่างดุดัน บีบมือ
แน่นจนสั่นไปทั้งแขน
“ เฟิงโจว... ”
ชาบูหลั่นตากังวลว่ายินจะไม่จริงใจกับฟู่หลาน จึงไปหาพ่อแม่นาง เฉินสุ่ยชางและนางไห่เซิน
ซึ่งกำลังง่วนกับงานที่ไร่ต้องแปลกใจกับการมาเยือนนี้ ชาบูหลั่นตาเล่าว่าที่สัมผัสมายินเป็นคนอย่างไร
เตือนให้ฟู่หลานอย่าอยู่ใกล้คนประเภทนั้น ทั้งสองได้ฟังก็รู้สึกไม่สู้ดี หันมาปรึกษากันอย่างกังวลใจ
แต่จะทำอย่างไรได้ พวกเขาเป็นแค่ชนชั้นล่าง ในขณะที่ยินอยู่สูงมีอำนาจมีอิทธิพล ถ้าเขาชอบพอลูกสาว
แล้วจะไปขัดได้อย่างไร ถ้าไปทำให้ไม่พอใจก็อาจเดือดร้อนทั้งครอบครัว แต่ก็ไม่อยากให้ลูกต้องไปเจอกับ
คนไม่ดี คิดหาทางออกอยู่สักพัก สุ่ยชางก็นึกออก
“ นายท่าน ที่ผ่านมาท่านคอยเกื้อหนุนยามเราลำบาก แสดงว่าท่านไม่ใช่คนธรรมดา
เช่นกัน ตระกูลของท่านคงมีอำนาจพอให้แม่ทัพยินเกรงใจได้บ้าง ตระกูลของข้าน้อยไม่มีอำนาจวาสนาใดๆ
จะคุ้มครองฟู่เอ๋อได้ คงต้องพึ่งท่าน แต่ตั้งแต่รู้จักกันมาพวกเรายังไม่รู้เลยว่าท่านเป็นใคร มาจากตระกูล
ไหน ” สุ่ยชางต้องการเปรียบเทียบสองตระกูล ถ้าอยู่ในฐานะใกล้เคียงกันหรือเหนือกว่าก็พึ่งได้ ไม่ต้องกลัว
บารมีตระกูลเวย
แต่ชาบูหลั่นตาอึกอัก ไม่สามารถตอบได้ว่าเขาเป็นใคร
“ ข้าขอโทษ ข้าคงบอกไม่ได้ ” สีหน้าที่มีความหวังเปลี่ยนเป็นกังวลแกมสงสัย
“ แต่ข้ารับรองว่าสามารถปกป้องพวกท่านได้แน่นอน ”
สุ่ยชางรู้สึกสงสัยอย่างรุนแรง แต่แรกแล้วไม่ว่ากับใครก็ไม่เคยยอมบอกที่มาของตัวเอง จู่ๆก็ปรากฏ
ตัวมา ตอนไปก็หายไปแบบไร้ร่องรอย อย่างกับล่องหนได้ ไม่รู้กระทั่งที่อยู่ ติดต่อไม่ได้จนกว่าเจ้าตัวจะมา
เอง ทำไมถึงลึกลับนัก แล้วเขาก็นึกระแวงว่าบางทีคนๆนี้อาจหลบหนีบางอย่างอยู่ ถึงต้องอยู่หลบซ่อน
จะไปจะมาไม่มีใครรู้ล่วงหน้า แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ฝากครอบครัวไว้กับเขาไม่ยิ่งอันตรายกว่าหรือ
อันที่จริงชาบูหลั่นตาก็อึดอัดใจไม่น้อยที่พูดความจริงไม่ได้ เขารู้มาว่ามีแต่ชาวนาชาวไร่และพวกทำ
เกษตรเท่านั้นที่นับถือเทพมังกรฟ้าอย่างแรงกล้า แต่ยินไม่ใช่ เขาคงหัวเราะเยาะเป็นเรื่องตลก เทพมังกร
อะไรจะมาเดินปะปนกับชาวบ้านได้อย่างไร คงไม่มีใครเชื่อ
แต่สุ่ยชางก็รู้สึกเกรงใจเพราะอีกฝ่ายดีต่อครอบครัวเขามาตลอด ที่มาเตือนเช่นนี้ก็คงเพราะห่วงลูก
เขาจริงๆ แต่ถ้าไม่รู้ที่มาของเขา หรือเขายังลำบากต้องหลบซ่อนอะไรแบบที่คิดไว้จริง ก็คงไม่สามารถ
คุ้มครองพวกเขาได้ เพราะจะเดือดร้อนกันทั้งหมด ทั้งพวกเขาและคนช่วย
“ แต่ข้าสามารถปกป้องพวกท่านได้จริงๆ ”
“ อย่าเลยนายท่าน ท่านคนเดียวไม่ไหวหรอก ตระกูลเวยเคยมีอำนาจที่สุดในแคว้น
แล้วตอนนี้ลูกชายก็รับช่วงกุมอำนาจกองทัพ ทำให้พวกเขายิ่งใหญ่มากถึงท่านจะเป็นเศรษฐี แต่คงสู้กำลัง
พวกเขาไม่ได้ ท่านช่วยเหลือเรามาตลอด ดังนั้นเราคงไม่อาจตอบแทนโดยการนำความเดือดร้อนมาให้
ท่าน ”
ชาบูหลั่นตาฟังแล้วรู้สึกไม่สบายใจที่พวกเขาไม่เชื่อมั่น
“ ข้าสามารถปกป้องพวกท่านได้จริงๆ พวกท่านจะเชื่อมั่นได้ไหม ”
“ ตระกูลเวยยิ่งใหญ่ท่านอย่าเสี่ยงเลยดีกว่า ” นางไห่เซินสมทบ
เทพมังกรมีสีหน้ากลัดกลุ้ม ทำไมถึงเป็นแบบนี้ แล้วเขาจะทำอย่างไรต่อ ไม่ทันนึกออกก็เห็น
สองผัวเมียชะงักเหมือนเห็นใครมา หันไปดูเห็นเป็นฟู่หลาน นางเองก็ท่าทางแปลกใจที่เห็นเขาอยู่ที่นี่
ฝ่ายพ่อแม่รีบทำตัวปกติ ยิ้มรับลูกสาว
“ ทำไมนายท่านถึงมาอยู่ที่นี่คะ ”
เขากลุ้มใจนัก “ เจ้าไปคุยกับข้าหน่อยได้ไหม ”
พอออกมาพ้นหูตาของสุ่ยชางและไห่เซิน เขาก็เล่าให้ฟัง ทั้งเรื่องไปสัมผัสยินมาแล้วคิดว่าเขา
ไม่จริงใจ ตลอดจนที่คุยกับพ่อแม่นาง
“ ท่านพ่อท่านแม่พูดถูก เราต่ำต้อยเกินไปและเขาก็อยู่สูงเกินกว่าเราจะกล้าขัดใจเขา
ทุกวันนี้เราก็เกรงใจจนไม่กล้าทำอะไรแล้ว ”
“ แต่เจ้าไม่ต้องกลัว ข้าเป็นใครเจ้าก็รู้ ข้าพร้อมปกป้องเจ้า จะไม่ให้ใครมาทำร้าย
ได้ ”
“ ข้าปลอดภัย แล้วท่านพ่อท่านแม่ข้าล่ะคะ ถ้าข้าเลือกทำตามใจตัวเอง พวกท่าน
ก็จะเดือดร้อน ถ้าจริงอย่างที่ท่านว่า เขาก็อาจใช้อำนาจกับพวกข้าก็ได้ ”
“ ข้าจะปกป้องเจ้าและครอบครัวเจ้าด้วย ข้าไม่มีวันให้ใครมาทำร้ายเพื่อนรักของข้า ”
“ แต่ท่านก็ไม่อาจอยู่คุ้มครองได้ตลอดเวลา ท่านยังติดงาน อยู่ๆ เดี๋ยวก็ต้องไป
จากนั้นพวกข้าก็อยู่ลำพัง ”
“ เช่นนั้นก็ไปหลบซ่อนตัวสักที่ ข้าจะทำให้พวกเขาหาเจ้าไม่เจอ ส่วนเรื่องเงิน
ก็ไม่ต้องเป็นห่วง ”
“ แต่พวกข้าเป็นมนุษย์ต้องกินต้องใช้ พอไปจ่ายตลาดก็คงถูกจับตัวแล้ว อีกอย่าง
พ่อข้าช่วงนี้สุขภาพไม่สู้ดีนัก จะหนีไปไหนฉุกละหุกคงไม่เป็นผลดี ”
ชาบูหลั่นตากลุ้มใจต่อ คงกลุ้มมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ จะทำอย่างไรกันล่ะทีนี้
สุ่ยชางย่ำเท้ามาตามถนน แสงแดดเบื้องบนและน้ำหนักผลผลิตที่แบกมาเต็มตะกร้าทำให้เขา
เริ่มหายใจหอบ เหงื่อเม็ดโตไหลปิดดวงตา เขายกแขนเสื้อสีหม่นปาดออกแล้วเดินต่อ พอพ้นหัวเลี้ยวก็เห็น
บ้านหลังใหญ่ตั้งโดดเด่น เป็นแค่ทางผ่านแต่ก็อดไม่ได้ที่อยากแอบมองเข้าไปอย่างอยากรู้ แต่รั้วนั้นก็สูง
เกินสายตา เขาไม่รู้หรอกว่าเจ้าของบ้านเป็นใคร แต่ถ้ามีบ้านใหญ่โตอย่างนี้คงไม่พ้นพวกคหบดี เศรษฐี
หรือขุนนาง คิดถึงขุนนางเขาก็นึกถึงแม่ทัพยิน ชายหนุ่มคนนั้นเป็นคนตระกูลขุนนางใหญ่ ที่ผ่านมาที่เข้าหา
วางท่าไม่ถือตัวและใจดี แต่เวลาลุแก่อำนาจไม่รู้จะน่ากลัวขนาดไหน แล้วพวกเขาจะเป็นอย่างไร คิดแล้ว
ก็ให้หวาดหวั่น ทันใดนั้นภาพถนนและผู้คนรอบข้างก็พร่าเลือน เขาคิดว่าเพราะความร้อนจึงสลัดหัวแรงๆ
ซึ่งก็หาย แต่พอก้าวต่อไปก็เป็นอีก คราวนี้ภาพบิดเบี้ยวมองไม่รู้อะไรเป็นอะไรแล้วก็หมุนเร็ว รู้สึกว่าเข่า
กระแทกของแข็ง อาจเป็นพื้นแต่เขาก็ไม่รู้ว่าพื้นอยู่ไหนแล้วด้วยซ้ำ
“ กรี้ดดดดดดดดดดดด ”
เสียงหวีดร้องช่วยดึงสติฉับพลัน แต่เขาต้องใช้เวลาปรับประสาทการมองเห็นสักพัก จึงพบว่า
ตัวเองมานอนกึ่งหมอบบนพื้นแล้ว หน้าประตูบ้านหลังใหญ่นั่น ของที่แบกมาบนหลังกลิ้งขลุกๆไปตามถนน
บางส่วนยังตกอยู่รอบๆแนวชายกระโปรงสีสดใส แสดงว่ามันคงเทใส่ร่างเจ้าของกระโปรงด้วย สุ่ยชางตกใจ
แหงนหน้าก็พบสตรีชั้นสูงปั้นสีหน้าถมึงทึงใส่ด้วยความไม่พอใจ
“ ไม่มีตามองหรือ เดินมาขวางทางข้าแล้วยังทำผักสกปรกหล่นใส่กระโปรงผ้าชั้นดี
ของข้า ” นางกรีดเสียงสูง ถลึงจ้องชาวไร่แต่งตัวมอซออย่างเคืองจัด
“ ข้าน้อยขอโทษขอรับ ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ” เขาละล่ำละลัก
“ แล้วดูผักเน่าๆของเจ้า เอาขี้ดินมาด้วย! ยี้ สกปรก ”
“ ข...ข้าน้อยปัดให้ ” เขายื่นมือไป แต่ฝ่ายนั้นชักเท้าหนีอย่างรังเกียจ
“ ไม่ต้อง! มือสกปรกจะยิ่งทำให้กระโปรงข้าเปื้อนมากขึ้นน่ะซี มือเปื้อนดิน เล็บดำ
อย่างนี้ ยี้! สมกับเป็นพวกชั้นต่ำ สกปรก คราวหน้าเดินดูทางบ้างนะ! ”
เสียงแหลมสูงเสียดขึ้นสมอง สุ่ยชางเครียดจัด เวยฮูหยินสะบัดหน้าก้าวฉับๆไปที่เกี้ยว ยังไม่วาย
ก่นด่า
“ พวกชั้นต่ำ! จะกลับไปเปลี่ยนชุดเอาชุดนี้ไปซักด้วยนะ ให้สะอาดล่ะ โดยเฉพาะ
ตรงที่มือมันแตะ ถ้าซักไม่ออกก็โยนทิ้งไป ไม่ก็เผาทิ้งซะ ไม่อยากเก็บไว้เป็นเสนียด!! ”
สั่งคนรับใช้ฉอดๆแล้วก็ขึ้นเกี้ยวออกไป ฝ่ายสุ่ยชางยังหมอบอยู่ที่เดิม ชนชั้นสูงเหยียดหยาม
พวกเขาถึงเพียงนี้ แค่ไปแตะโดนก็หาว่าอัปมงคลเสียแล้ว แค่ชนชั้นสูงธรรมดายังขนาดนี้ แล้วตระกูลเวย
ที่มีอำนาจมากจะขนาดไหน ลูกสาวชาวไร่อย่างเขาจะเจอขนาดไหน จู่ๆเขาเกิดแน่นหน้าอก หายใจขัด
เขากุมหน้าอก พยายามขืนตัว แต่แล้วก็ทรุดลง ภาพแผ่นหินปูพื้นถนนเลือนทุกทีก่อนจะดับมืดไป
“ เจ้าไม่ต้องห่วง ข้ากำชับหมอให้ดูแลพ่อเจ้าอย่างดี ”
ยินไปพบสุ่ยชางนอนสลบหน้าบ้านขุนนางอีกตระกูลโดยบังเอิญ จึงรีบพาส่งโรงหมอ แล้วมาแจ้ง
ฟู่หลาน เมื่อถึงมือหมอก็อาการดีขึ้น แต่ตอนนี้ให้พักดูอาการที่โรงหมอก่อน นางต้องกลับไปหาแม่ ยินจึง
อาสาตามมาส่ง
“ ขอบพระคุณท่านมากนะคะ ”
เขาแปลกใจที่น้ำเสียงนางเรียบเหมือนสีหน้า ไม่ได้แสดงอารมณ์ซาบซึ้งอย่างคำพูด แต่ก็เข้าใจว่า
นางคงกำลังเครียดอยู่
“ เจ้ามีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า บอกข้าได้นะ ”
“ ไม่มีอะไรค่ะ ” นางรู้สาเหตุจากพ่อแล้ว ชนชั้นสูงเหยียดชนชั้นล่างถึงเพียงนี้
“ ข้าไม่เชื่อ ” ยินจ้องหน้าอย่างเค้นคำตอบ
นางเองก็รู้สึกไม่มั่นใจเหมือนพ่อ ตระกูลเวยจะหยิ่งจะเหยียดหยามดูถูกพวกนางยิ่งกว่านี้ไหม
“ ท่านพ่อไม่สบายข้าก็รู้สึกไม่สบายใจเป็นธรรมดา ” นางกล่าว “ ท่านส่งข้าแค่ตรง
แยกนี้ก็พอค่ะ ต่อจากนี้ข้าไปเองได้ ข้าอยู่ที่นี่ตั้งแต่เกิด รู้จักถนนหนทางอย่างดี ท่านไม่ต้องเป็นห่วง
หรอกค่ะ ”
ที่จริงยินจะให้นางขึ้นม้าตัวเดียวกันมา แต่นางไม่ยอม เขาเลยเดินตามมาส่ง เป็นครั้งแรกที่เดินเท้า
ไกลไม่น้อย
“ ได้อย่างไร ข้าต้องไปส่งเจ้าถึงบ้าน ”
ฝ่ายเทพมังกรกำลังนั่งกลุ้มอยู่บนสวรรค์ นึกเป็นห่วงนางเลยส่องญาณดู รู้ว่ายินมาตอแยอีก
ก็รีบร้อนลงมา ไม่สนใจเซิ่งตู่ที่มาตามตัว ปล่อยให้เขามองตาค้าง ตกใจและงุนงง
“ ท่านช่วยข้ามามากแล้ว ชนชั้นสูงอย่างท่านไม่ควรมาเดินไกลส่งผู้หญิงต่ำต้อย
อย่างข้า ข้าขอตัวนะคะ ”
นางทำท่าจะไป ยินรีบฉวยข้อมือนางรั้งไว้
“ เจ้าทำอะไร ” ทั้งคู่หันตามเสียง ชาบูหลั่นตาโผล่มากะทันหันเสียจนยินคิดว่าเขา
ล่องหนมา ไม่รู้มาอย่างไร แต่มาก็ดีแล้ว จะได้เห็นกับตาว่านางเป็นของเขา เขายิ้มเย้ยแล้วหันมือข้างที่จับ
มือนาง จงใจให้เห็นชัดๆ พร้อมกับทำท่าจะจูงนางไป ชาบูหลั่นตาตามเอ็ดเสียงลั่น คว้าต้นแขนนาง
“ จะพานางไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น ”
“ เจ้าไม่มีสิทธิ์มาห้าม ”
“ แต่เจ้าไม่มีสิทธิ์จะพานางไป ”
สองหนุ่มจ้องตาท้าทายและไม่ยอมกัน ฟู่หลานชักอึดอัด ชักมือออก ยินมือค้าง มองนางอย่าง
ไม่เข้าใจ ชาบูหลั่นตาพอใจมากที่นางทำเช่นนั้น
“ ไปเถอะฟู่เอ๋อ ”
“ ฟู่เอ๋อ ” ยินขัด “ ตอนนี้พ่อของเจ้าอยู่โรงหมอ มีคนของข้าคอยดูแลไม่ให้
คลาดสายตา ”
นางมองหน้าเขา รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาว่าพ่อจะเป็นอันตราย แล้วหันไปหาชาบูหลั่นตา เขาส่งสายตา
ตอบว่าไม่ต้องกลัว เชื่อมั่นในตัวเขา นางลังเลอยู่หลายตลบ
“ นายท่าน ปล่อยแขนข้าเถอะค่ะ ”
เขาไม่คาดคิดว่าจะได้รับคำตอบนี้ จ้องนางอย่างอยากฟังให้แน่ใจอีกครั้ง
“ ปล่อยแขนข้าเถอะค่ะ ” เสียงนางแผ่วตอนท้าย นางไม่อยากพูดเช่นนี้
ยินยิ้มอย่างมีชัย เทพมังกรนิ่งงัน ฟู่หลานจ้องตอบด้วยแววตาเสียใจและรู้สึกผิด แล้วดวงตาคม
คู่นั้นก็หม่นหมองลง มือที่ยึดแขนนางไว้แน่นค่อยๆคลายกลับไป แล้วเขาก็หันหลังเดินหายไปอย่างรวดเร็ว
เหมือนเมื่อขามา
หลังจากนั้นชาบูหลั่นตาก็ขาดการติดต่อไป ฟู่หลานรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ครั้งนั้น แต่ก็รู้ดีว่านาง
จำเป็น นางได้แต่หวังว่าในวันหนึ่งเขาจะกลับมาอีกครั้ง แต่มันอาจเป็นแค่ความหวังเลื่อนลอยเพราะไม่เคย
เกิดขึ้นเลยวันแล้ววันเล่า ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะยกโทษให้นางไหม หรือว่านางจะต้องสูญเสียเพื่อนที่ดีและห่วง
นางมากอย่างนายท่านไปจริงๆ
แต่แล้วในวันหนึ่งนางบังเอิญเห็นเขายืนแอบอยู่ริมรั้ว ที่แท้เขาไม่ได้หายไปไหนเลย แต่คอยเฝ้าดู
อยู่ตลอด เพียงแต่นางไม่รู้ตัวเท่านั้น พอรู้ว่านางเห็นเข้า เขาก็ทำท่าจะเดินจากไป นางรีบตามคว้าไว้
“ แม่ทัพยินไม่มาเหรอช่วงนี้ ”
“ กลับเมืองหลวงไปสักพักแล้ว นายท่านหายไปไหนคะ ข้าติดต่อท่านไม่ได้เลย ”
“ อย่างนั้นช่วงนี้เจ้าคงเหงาหน่อย ” เขาไม่ตอบคำถามนาง “ คนสำคัญไม่อยู่
ทั้งคน ”
“ นายท่าน...” นางไม่สบายใจ
“ ถามจริง มีข้าอยู่นี่ทำให้เจ้าเดือดร้อนมากไหม ” เขากล่าว “ ถ้าไม่มีข้า ถึงมี
แม่ทัพยินเข้ามา เจ้าก็คงไม่ต้องลำบากใจ ไม่ต้องถูกกดดันแบบคราวนั้น ถ้าไม่มีข้า เขาก็คงไม่ใช้อำนาจ
กับเจ้าและครอบครัวจนทำให้พวกเจ้าไม่สบายใจ ”
“ นายท่าน พูดอะไรอย่างนั้นคะ ”
“ นั่นสินะ ” เขาฝืนยิ้ม “ แต่ก่อนข้าคิดว่าข้าเป็นคนสำคัญของเจ้า ช่วยเจ้า
ได้ทุกอย่าง แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว เจ้ามีคนที่สำคัญกว่า เจ้าไม่เชื่อมั่นว่าข้าจะคุ้มครองเจ้าได้ และข้ายัง
ทำให้เจ้าเดือดร้อน ข้าก็ไม่ควรต้องอยู่อีกต่อไป ขอโทษด้วยนะที่ทำให้เดือดร้อนและขอบคุณที่ยอม
เป็นเพื่อนข้า ”
เขาจับมือนางที่เกาะกุมแขนเขา ปลดออก นางใจหายวาบ พยายามไขว่คว้าแต่เขาก็ถอยไปไกล
“ นายท่าน...” นางกลัวจนน้ำตาเอ่อ
เทพมังกรหันหลังกลับ สีหน้านิ่ง เย็นชาในแบบที่นางไม่เคยเห็น แต่แววตากลับเศร้าอย่างที่สุด
ก้าวจากไปทีละก้าว สองก้าว แต่ละก้าวเหมือนมีอะไรฉุดรั้งไว้ ให้ก้าวไปลำบากเหลือเกิน คล้ายถูกหน่วง
ด้วยก้อนหิน ใจฟู่หลานตะโกนกู่ร้องว่าอย่าไปจนสุดเสียง แต่ปากนางกลับเอ่ยไม่ออก มีแต่หยดน้ำตา
ที่พรั่งพรูออกมาจนม่านตาพร่าเลือน ยิ่งเห็นหลังเขาไกลออกไปทุกทีก็ยิ่งทนไม่ได้
“ นายท่าน...” ในที่สุดนางก็เปิดปากที่หนักอึ้งจนได้ เพียงเท่านั้นจริงๆ แต่ก็ทำให้
เขาหยุดกึก หันกลับมาอีกครั้ง ใบหน้านางบิดเบี้ยวคร่ำครวญ สองข้างแก้มอาบน้ำตาเป็นสาย แวบแรก
นึกดีใจที่เขาหันกลับมา แต่แล้วนางก็พูดอะไรไม่ได้อีก เทพมังกรเม้มข่มริมฝีปากที่สั่นระริก รอบดวงตาคม
เริ่มเห็นความชื้นบ้างแล้ว ก่อนที่จะสะกดกลั้นไม่ไหว เขารีบหันหลังเดินออกไปทันที นางแทบเข่าอ่อน
ร่ำไห้สะอึกสะอื้นจนสั่นเทิ้มไปทั้งตัว
เส้นทางป่าเงียบสงัด เงียบเหงาและว้าเหว่เหมือนใจเทพมังกรที่ฝืนตัวเองทุกขณะให้ก้าวออกมา
ทุกที ทุกที ปวดร้าว โหยหา จนบางครั้งอยากจะวิ่งกลับไปทันที แต่ก็สะกดไว้แล้วแข็งใจก้าวต่อไป
เรื่อยๆ หนทางระหว่างเขากับนางห่างไปทุกที
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ