Chabulanta ตำนานรักเทพมังกร
6.6
เขียนโดย Xian_xi
วันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2556 เวลา 15.34 น.
13 ตอน
20 วิจารณ์
18.99K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 13.18 น. โดย เจ้าของนิยาย
5) สหายต่างภพ 2
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ ชาบูหลั่นตาได้ยินเสียงวิ่งย่ำดินหนักๆมุ่งมาจุดที่เขาอยู่ ออกไปดูหน้าปากถ้ำ เสียงฝีเท้ากระทืบ
ต่อกันไม่เว้นระยะอย่างนี้ ต้องมาเยอะแน่ คิดจะไปดูเสียหน่อยว่าใครมา ทันใดร่างหนึ่งก็โผล่พรวดมากอดเขา
ฟู่เอ๋อ นั่นเอง
“ เจ้า... ” เทพมังกรมองอย่างงุนงงแล้วตกใจเมื่อเห็นเสื้อผ้านางเปรอะฝุ่นทราย
ดินโคลน ซ้ำตามเนื้อตัวยังเต็มไปด้วยแผลถลอก ผมเผ้าก็กระเซอะกระเซิงอย่างกับวิ่งหนีใครมา
“ อย่าเพิ่งถามค่ะ รีบเข้าไปก่อน ” นางผลักเขาเข้าไปในถ้ำ
ทั้งคู่รุดผ่านพื้นหินขรุขระไปสู่โพรงถ้ำที่ทางเดินแคบลงทุกที ถึงจุดหนึ่งต้องลอดตัวไป พอออกมา
ได้ก็พบกับโพรงถ้ำขนาดใหญ่ สูง และกว้างขวาง แสงแดดรำไรเบื้องบนส่องพอมองเห็นลางๆ ความชื้น
ในถ้ำหยดต้องร่างน้อยจนสั่นสะท้านด้วยความกลัวและอ่อนล้า
“ ช้าก่อน ” ชาบูหลั่นตาหยุดนาง “ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมข้าต้องหลบเข้ามา
แล้วทำไมเจ้าถึงอยู่ในสภาพนี้ ”
“ นายท่าน ” นางรู้สึกผิดจนน้ำตารื้น “ มีคนมา พวกเขากำลังมาที่นี่ ”
“ แล้วทำไม? ”
“ เป็นข้าเองเจ้าค่ะ เป็นข้าที่บอกกับพวกเขาว่าเทพมังกรมีจริง แต่พวกเขาไม่ใช่ผู้ศรัทธา
เทพมังกรอย่างชาวผาจี พวกเขากำลังมาที่นี่ มาพิสูจน์และจะจับท่านไปแสดงละครทำเงินให้พวกเขา ”
เสียงฝีเท้ากระทืบหนักมาหยุดที่หน้าปากถ้ำ ฟู่เอ๋อผวาเฮือก ชาบูหลั่นตาหันขวับไปทางนั้น
“ เห็นใกล้ๆอย่างนี้ไกลน่าดูเลยเนอะ ” นักละครเร่คนหนึ่งวางสัมภาระกองบนพื้น
“ หวังว่านังหนูนั่นจะไม่ทำให้เสียเวลาเปล่า ” หัวหน้าคณะหมายมั่นปั้นมือ “ เฮ้ย
จุดไฟ จุดไฟเลย ”
ผู้ชำนาญกะเทาะหินไม่นานก็จุดไฟติดแล้วจุดต่อเป็นทอดๆ ทีนี้ภายในถ้ำที่มืดสลัวก็สว่างจนเห็น
รอยหยักบนผนังหิน หัวหน้าคณะชูคบไฟขึ้น เดินนำเข้าไปเป็นคนแรก
“ ไปโว๊ย เข้าไปกัน ”
ได้ยินเสียงพวกเขาใกล้เข้ามาทุกทีฟู่เอ๋อก็ยิ่งลนลาน พยายามดันชาบูหลั่นตาให้เข้าไปลึกอีก
“ พวกเขามาแล้ว นายท่านรีบหลบไปเถอะ ”
“ แล้วเจ้าล่ะ ”
“ ข้าจะบอกพวกเขาว่าไม่มี ไม่มีทั้งนั้น ” เสียงนางสั่นจนแทบฟังไม่รู้เรื่อง
“ ช้าก่อน ” ชาบูหลั่นตาเห็นเงาร่างคน ดึงนางหลบเข้าไปหลังผนังหิน
“ ไม่เห็นมีอะไรนี่หว่า มีแต่ถ้ำกับถ้ำ ” พวกเขาส่องไฟไปทั่ว
“ เทพมังกรฟ้าที่ไหนจะมาอยู่ต้นถ้ำ คงอยู่ลึกเข้าไปนั่นแหละ ”
“ ถ้ำนี้จะลึกเท่าไรก็ไม่รู้ เฮ้ย เรียกซิ ”
“ ขอรับ? ” ผู้รับคำสั่งทำหน้างง
“ ข้าบอกให้เรียกเทพมังกร ” หัวหน้าตะคอกลั่น
เทพมังกรฟังแล้วฉุนกึก นึกเคืองว่าเจ้ามนุษย์นี่มันเป็นใครยิ่งใหญ่มาจากไหน ถึงได้ตะโกนเรียกเขา
ด้วยน้ำเสียงกระโชกโฮกฮากไร้มารยาทแบบนี้
“ เทพมังกรฟ้า เทพมังกรฟ้า ” ลูกคณะตะโกนโหวกเหวก มีแต่เสียงตัวเองก้อง
กลับมาเป็นคำตอบ หัวหน้าคณะไม่เห็นมีอะไรก็เริ่มหงุดหงิด
“ เทพมังกรฟ้าอยู่ที่นี่ใช่ไหม ” เขาตะโกนกลบคนอื่น “ ถ้าแน่จริงมีจริงก็ออกมา
สำแดงฤทธิ์ให้เห็นกันเสียหน่อย หรือเทพมังกรฟ้าที่พวกผาจีนับถือนักหนาเป็นแค่เรื่องนิทานหลอกเด็กโกหก
ผู้คนกันแน่ ห๊ะ ”
“ ถ้าให้เขาแสดงฤทธิ์ก็แย่สิขอรับ ” หนึ่งในนั้นชักกลัว
“ จะกลัวอะไรวะ แค่เทพชั้นปลายแถว ขนาดเราเรียกมันยังหดหัวไม่กล้าออกมา ”
นัยน์ตาคมถลึงขึ้นแล้วแดงวาบ เขาเป็นเทพมังกรฟ้า หัวหน้าเหล่าเทพมังกร ทั้งยังเป็น
แม่ทัพสวรรค์ ผู้ที่จักรพรรดิสวรรค์ให้ความสำคัญและเมตตาอย่างมาก ส่วนพวกมันเป็นใคร
มนุษย์ปลายแถวกล้าดูหมิ่นเขาถึงเพียงนี้
หัวหน้าคณะหัวเราะลั่น ขณะที่คนอื่นก็เริ่มหัวเราะตาม เสียงหัวเราะเย้ยหยันสะท้านยาวทิ่มแทงใจ
เทพมังกร
“ ไหนวะ ไหนวะ ” หัวหน้าคณะกวัดแกว่งคบไฟแล้วหัวเราะ
“ ไม่มีหรอก กลับเถอะหัวหน้าเสียเวลาเปล่า ”
“ ข้าอยากไล่เทพมังกรขี้ขลาดไปสุดกู่เลยว่ะ ” เขาบอก “ ทีนี้จะไปเย้ยพวกผาจี
หน้าโง่ว่าเทพมังกรของมันเป็นเรื่องหลอกลวง ฮ่า ฮ่า ฮ่า ”
ความสะกดกลั้นอารมณ์ขาดผึง ยอมให้มันมาลบหลู่ต่อไปไม่ได้แล้ว องค์จักรพรรดิ ท่านเซิ่งตู่
อย่าตำหนิเขาเลยนะ ถ้าเขาจะขอ...สั่งสอนมนุษย์ปากดีสักครั้ง!!!
“ ขว้างไฟเข้าไปเลย อยากรู้นักว่ามันจะหัวหดวิ่งหนีไปถึงไหน ” อันที่จริงเขา
ค่อนข้างแน่ใจว่าในนี้ไม่มีสิ่งลี้ลับอยู่เลย แต่ที่ทำเพื่อความสะใจ เขาเลี้ยวเข้าไปหลังผนังถ้ำ ขว้างคบไฟ
ในมือเข้าไปอย่างหยาบช้า แววตาฟู่เอ๋อสะท้อนภาพเปลวไฟลุกช่วงแล่นมาที่นาง พริบตาชาบูหลั่นตาก็พุ่งมา
ขวางทาง คบไฟกระแทกฝ่ามือก่อนดับวูบ ทั่วบริเวณนั้นตกอยู่ในความมืด
หัวหน้าคณะหัวเราะไม่ออก ตะลึงจนตัวแข็งกับที่ เมื่อครู่เหมือนเขาเห็นใบหน้าคนสะท้อนกับ
เปลวไฟที่เจิดจ้า!
“ ทำไมล่ะ ก็อยากเห็นข้าไม่ใช่หรือ ” เสียงทุ้มก้องคำรามขู่แต่ก็เย้ยหยันอยู่ในที
ดวงตาฝ่ายนั้นกลอกไปมาอย่างตื่นตระหนก
“ ถ้าวันนี้ปล่อยให้มนุษย์ปลายแถวอย่างพวกเจ้ามาดูถูกเหยียดหยามได้ อีกหน่อยแม้แต่
สุนัขข้างถนนก็คงหัวเราะเยาะข้า ”
ทันใดนั้นใบหน้ามังกรก็โผล่พรวดเกือบชนหน้าผู้อวดดี เขาตะลึงตาค้าง ตัวแข็งทื่อ หนวดยาวๆ
ยื่นไล้หน้าเหมือนแกล้ง ร่างนั้นสั่นสะท้านแล้วรู้สึกถึงน้ำอุ่นๆเริ่มไหลมาตามหว่างขา
ขนาดเทพบนสวรรค์ยังกลัวใบหน้านี้ แล้วเจ้านี่จะเหลืออะไร!
ดวงตาที่ลุกโพลงถลึงจนแทบถลนออกนอกเบ้า สีแดงก่ำเหมือนเปลวไฟเต้นเร่าๆอยู่ในขุมนรก
เจ้าของใบหน้าสะพรึงอ้าขากรรไกรจนสุด เผยแนวเขี้ยวยาวคมกริบประหนึ่งดาบเหล็กวาบวับสะท้อนอยู่ใน
ดวงตาที่สั่นระริก
“ ว๊ากกกกกกกกกกกกก อ๊ากกกกกกกกกกกกก!!! ” หัวหน้าคณะแหกปากลั่นจน
หูลั่นเปรี๊ยะ ไม่รออะไรอีกแล้ว คนอื่นๆสับสนวุ่นวายไปตามกัน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทันใดนั้นก็มีเสียง
คำรามต่ำออกมาจากส่วนลึกของถ้ำ พวกเขาขนลุกซู่ด้วยความหวาดผวา แล้วพื้นก็สั่นสะเทือน เศษหิน
ร่วงกราว ราวกับถ้ำจะถล่มทลาย ไม่รอดูว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว พวกเขารีบหนีออกจากถ้ำ ลากหัวหน้าคณะ
ที่กำลังจะลมจับออกไปอย่างทุลักทุเล เสียงคำรามกึกก้องไล่ตามมาไม่ขาดระยะ พวกเขารีบวิ่งลงเขา
ล้มลุกคลุกคลานชุลมุน กระทั่งเผ่นหายลับไป
ฟู่เอ๋อเห็นพวกเขาไปแล้วและนายท่านไม่ได้รับอันตรายใดๆก็โล่งใจ แต่รู้สึกผิดมากกว่าที่เป็นต้นเหตุ
ให้เขาต้องเจอกับเรื่องวุ่นวายเช่นนี้
“ นายท่าน ข้าขอโทษค่ะ ” นางคุกเข่าลง “ เป็นเพราะข้าทำอะไรไม่คิดเลยทำให้
ท่านต้องเดือดร้อนอย่างนี้ ”
“ ฟู่เอ๋อ ” เขาดึงตัวนางขึ้น “ อย่าทำเช่นนี้ เจ้าไม่ผิดหรอก เจ้าแค่อยากให้ทุกคน
รู้ว่าเทพมังกรฟ้าที่เจ้านับถือมีจริงเท่านั้น ”
“ แต่ข้าก็บอกผิดคน ” นางว่าตัวเอง “ ทำให้พวกเข้ามาหยามท่านถึงที่ ซ้ำยัง
จะทำร้ายท่านด้วย ”
“ ข้าเองก็ไม่ได้ห้ามเจ้าบอกใคร ” เขาบอก “ ทั้งยังไม่นึกเลยว่าจะมีมนุษย์กล้า
หยาบคายกับข้า ฟู่เอ๋อ เจ้าไม่ได้ตั้งใจ เรื่องทั้งหมดไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น เจ้าก็อย่าโทษตัวเองเลยนะ ”
“ ต่อไปข้าจะไม่บอกใครอีกแล้ว ไม่บอกอีกแล้ว ”
“ ช่างเถอะฟู่เอ๋อ ถึงเจ้าไม่พูด คนพวกนั้นก็ต้องพูด ” เขามั่นใจ
“ แต่เมื่อครู่นายท่านดูน่ากลัวมาก ข้าคิดว่า... ”
“ คิดว่าพวกเขาจะไม่ได้ออกจากถ้ำอีกเลยตลอดไป ” เขาพูดแทน “ ข้าไม่ทำเช่นนั้น
หรอกฟู่เอ๋อ สวรรค์ก็มีกฎ เราจะไม่ฆ่าใครถ้าไม่จำเป็นจริงๆ แต่ก็ยอมให้พวกเขาลบหลู่ไม่ได้ ข้าถึงได้
แสดงฤทธิ์เสียพวกเขาหนีกระเจิง ต่อไปพวกเขาจะไม่กลับมาที่นี่อีกแล้ว และจะไม่มีใครกล้าลบหลู่ข้าอีก
เพราะพวกเขานั่นแหละที่จะกระจายความน่ายำเกรงของเทพมังกรฟ้าออกไป ”
“ จริงสิ เมื่อกี้ที่คนพวกนั้นขว้างไฟใส่ นายท่านเอาตัวมาบังข้าไว้ เป็นอะไร
หรือเปล่าคะ ” นางจับมือข้างนั้นมาพลิกดูหลายตลบด้วยความเป็นห่วง
“ ข้าเป็นเทพนะ ไฟแค่นี้ทำอะไรไม่ได้หรอก ” ชาบูหลั่นตาพูดอย่างอ่อนโยน
“ ขอบคุณนะที่ย้อนกลับมาช่วยข้า ”
นางยิ้มออก “ ข้าน้อยก็ขอบคุณนายท่านที่ไม่ถือโทษและยังช่วยข้าน้อยไว้ด้วย ”
เทพมังกรยิ้มใจดี แล้วเอื้อมจับหัวนางเขย่าไปมาอย่างเอ็นดู
ชาบูหลั่นตาเดินออกมาจากค่ายฝึกนักรบสวรรค์ หยุดยืนดูผืนเมฆที่ทอดไปอย่างสุดไกล แสงทอง
นุ่มนวลมองแล้วเพลินตา พลันคิดถึงท้องฟ้ายามพระอาทิตย์ตกที่โลกมนุษย์ แสงแดงเรื่อ ชมพู และ
ส้มอ่อนไล่เฉดเหนือดวงอาทิตย์แดงดวงโตตระการตา กำลังเคลื่อนลงหายลับไปหลังเงาทิวเขาอย่างช้าๆ
เป็นภาพที่สวยงาม ที่สวรรค์ไม่เคยมี แล้วก็คิดถึงฟู่เอ๋อ ถ้าเป็นช่วงนี้นางคงจะสาละวนกับการช่วยมารดา
ทำอาหารเย็น ไม่รู้จะวิ่งจนขาขวิดขนาดไหน คิดแล้วก็หลุดยิ้มออกมา แล้วนึกถึงตอนที่วิ่งมาเตือนเขา
ทั้งที่แรงเด็กอาจจะวิ่งไม่ทันผู้ใหญ่และทางมาถ้ำก็ค่อนข้างชัน แต่นางก็ยังอุตส่าห์วิ่งมาเพื่อช่วยเขา
จากอันตราย จะว่าไปก็เป็นสหายที่คบได้เหมือนกัน สหายต่างภพ...
“ ทำไมมายืนเหม่อผู้เดียว ชาบูหลั่นตา ”
“ ท่านเซิ่งตู่ ” ชาบูหลั่นตาได้สติ “ ทำไมมาเงียบๆ ”
“ ข้าก็เดินมาปกติ ” เซิ่งตู่ว่า “ เจ้านั่นแหละเหม่อจนไม่รับรู้สถานการณ์รอบตัว
ถ้าตอนนี้จอมปีศาจโผล่มากะทันหันเจ้าคงตายไปแล้ว ”
“ ขออภัยขอรับ ” เทพมังกรกล่าว
“ และก็คงตายทั้งรอยยิ้ม ”
“ หา ”
“ ทำไมหรือ ” แม่ทัพใหญ่ยิ้มล้อ “ บนโลกมนุษย์มีอะไรดีนักถึงทำให้เทพมังกร
ยิ้มได้แทบทั้งวันหลังกลับมา ไม่เว้นแม้แต่ตอนฝึก แล้วยังมายืนเหม่อยิ้มผู้เดียวอีก ”
“ ตอนฝึกด้วยหรือขอรับ ” ชาบูหลั่นตาเพิ่งรู้
“ ทุกคนคร่ำเคร่งอยู่คงไม่ทันเห็นแต่ข้าสังเกตเจ้าอยู่ ”
ชาบูหลั่นตานึกถึงตอนที่เผลอทำทวนหล่นใส่เท้าตัวเอง เจ็บแต่ก็เก็บทวนขึ้นมาฝึกต่อทั้งรอยยิ้ม
“ เพราะอะไรหรือ ”
นั่นสิ เพราะอะไร...
“ คงเป็นเพราะที่โลกมนุษย์มีอะไรน่าสนุกแล้วก็สวยอย่างที่ท่านเคยบอกไว้จริงๆขอรับ ”
“ แต่ข้าว่าดูท่าจะเป็นคนมากกว่า ” เทพมังกรชะงักกับรอยยิ้มที่มีความหมาย...ที่เขา
ไม่เข้าใจ “ แววตาและรอยยิ้มของเจ้ามันฟ้อง ถึงข้าจะอยู่สวรรค์มานานมากแต่ยังจำประสบการณ์ตอนที่เป็น
มนุษย์ได้อยู่ ”
“ ถึงข้าจะปะปนอยู่กับพวกมนุษย์แต่ก็ไม่ได้สนิทกับใคร นอกจาก นอกจาก... ”
“ ความรู้สึกดีๆทำให้มีความสุขก็เป็นเรื่องดี ” อีกฝ่ายเอ่ยขัด “ แต่ก็อย่าให้กระทบ
กับหน้าที่ของเจ้า อย่าลืมว่าตัวเองเป็นใคร ต้องทำอะไรบ้าง ”
“ ขอรับ ข้าจะไม่มีทางเที่ยวเพลินจนละเลยหน้าที่ ” เทพมังกรเข้าใจว่าหมายถึง
เรื่องที่เขาไปเที่ยวโลกมนุษย์บ่อยๆ
“ อีกอย่างที่อย่าลืมเจ้าเป็นเทพไม่ใช่มนุษย์เหมือนพวกเขา ” เซิ่งตู่พูดแล้วส่ายหน้าปลง
“ เป็นไปไม่ได้ ”
แล้วเขาก็ขอตัวเดินออกไป ทิ้งให้ชาบูหลั่นตายืนงงๆ ไม่เข้าใจ อะไรที่เป็นไปไม่ได้
ฟู่เอ๋อเดินเลียบถนนกลางตลาด ผู้คนขวักไขว่เดินสวนไปมา ทั้งมาจ่ายตลาดและหาบของเร่ขาย
นางเดินช้าๆดูของตามแผงขายของข้างทางไปพลางๆ จู่ๆก็มีเสียงตะโกนโหวกเหวกจากฟากหนึ่งของถนน
“ ถอยไป ถอยไป ท่านขุนนางกำลังมา ”
คนตะโกนแต่งชุดเรียบง่ายเหมือนคนรับใช้ พวกเขาตะโกนแล้วเข้ามากันทุกคนให้เข้าไปรวม
ที่ข้างทาง นางก็ถูกดันไปด้วย แล้วขบวนรถม้าก็เคลื่อนผ่านถนน เสียงล้อเอียดอาดท่ามกลางความเงียบ
ของชาวบ้านรอบนอก พวกเขาถูกสั่งให้ค้อมหัวทำความเคารพเมื่อรถม้าผ่านมา
“ เราอยู่ของเราดีๆ เขาเข้ามาทีหลังทำไมต้องให้คนอื่นหลีกทางให้ ” ฟู่เอ๋อ
ไม่ชอบใจ
“ ก็เขาเป็นขุนนางที่ยิ่งใหญ่ ตระกูลเวยที่กุมอำนาจมากที่สุดในตอนนี้ ” ป้าข้างๆ
กระซิบตอบนาง “ อย่าไปขัดใจเลยเดี๋ยวจะเดือดร้อน ”
พอดีรถม้าของท่านขุนนางกำลังผ่านหน้านาง ฟู่เอ๋อลอบเงยหน้า เห็นชายหญิงแต่งกายหรูหราคู่หนึ่ง
และเด็กหนุ่มท่าทางนิ่งขรึม เขามองลงมา สบตากับนาง แต่ใบหน้านั้นก็นิ่งเฉยกระทั่งผ่านพ้นไป เมื่อหมด
รถม้าคันสุดท้าย ชาวบ้านที่หลบอยู่ข้างทางก็แตกตัวดำเนินชีวิตตามปกติ ฝ่ายฟู่เอ๋อยังยืนที่เดิม คิดในใจว่า
คนพวกนั้นก็เป็นคนเหมือนกันไม่เห็นจะวิเศษตรงไหน กลับทำท่าเย่อหยิ่งบังคับให้คนอื่นก้มหัวให้ ไม่เหมือน
นายท่านของนาง เขาคือเทพมังกรฟ้า ยิ่งใหญ่กว่าคนพวกนี้เป็นไหนๆ กลับมีท่าทีเป็นกันเอง ไม่ถือตัว
แม้แต่น้อยแม้นางจะต่ำต้อยกว่าเขามาก และถ้าเขาผ่านมาทางนี้แบบวันนี้ ก็คงจะเดินมาอย่างคนธรรมดา
ไม่บังคับให้ใครต้องถอยมายืนข้างทางแล้วครองถนนอยู่ผู้เดียว และถ้าจะมีใครมาก้มหัวให้ก็คงก้มให้ด้วยใจ
หลังจากนั้นชาบูหลั่นตากับฟู่เอ๋อเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน นับวันจะสนิทสนมกันยิ่งขึ้น เขามีความสุข
เมื่อได้อยู่กับนาง ได้ท่องเที่ยวไปที่ต่างๆที่สวยงาม สนุกสนาน ได้ปะปนไปกับชาวบ้าน ใช้ชีวิตอย่าง
คนธรรมดา กับนางที่ยอมรับเขาได้และเข้าใจเขา ฝ่ายนางก็เช่นกัน นางมีความสุขอย่างประหลาดทุกครั้ง
ที่อยู่กับเขา นางจะขึ้นไปที่ถ้ำแล้วเขาก็จะพานางไปเที่ยวที่ต่างๆด้วยกัน เป็นเช่นนี้จนวันเวลาล่วงเลยไป
หลายปี
เท้าคู่หนึ่งวิ่งย่ำน้ำสาดกระเซ็น ดินริมตลิ่งยุบลงเป็นรอยขณะเท้าคู่นั้นวิ่งผ่าน เจ้าของถลกกระโปรง
สีหม่นสูงกว่าเข่าวิ่งอ้าวหนีอีกคนที่ไล่ตามมา
“ จะหนีไปไหน หยุดเดี๋ยวนี้นะ ”
ชาบูหลั่นตาวิ่งไล่ตามมาติดๆ แม้ผ่านมาหลายปีแล้วแต่ใบหน้าเขาก็ยังไม่เปลี่ยนไปเลย ยังดู
หนุ่มแน่นและสดใสเหมือนเมื่อตอนที่จักรพรรดิสวรรค์เสกร่างเขาให้เป็นเช่นนี้ เด็กสาวที่เขาไล่ตามมากระโจน
โครมลงน้ำ เขาโดดตามไปทันที
“ จับได้แล้ว ”
ถึงนางจะเปียกปอนไปทั้งตัวแต่ก็หัวเราะร่า วักน้ำสาดใส่เขา
“ นี่แน่ะๆ ” นางยิ้มสดใส
เทพมังกรจัดการกลับ นางแทบหงายหลังเพราะคลื่นน้ำใหญ่
“ แค่กๆ ไม่ไหวแล้ว ” นางไต่กลับขึ้นมานั่งหอบแฮ่กๆบนตลิ่งเพราะเหนื่อยและหายใจ
ไม่ทัน “ นายท่านวิ่งเร็วชะมัด โอ๊ยเปียก เปียกไปหมดแล้ว ”
“ ข้าแค่ก้าวตามเจ้ามาเท่านั้นนะ ถ้าให้วิ่งจริงเจ้าไม่ทันได้ออกตัวหรอก ”ชาบูหลั่นตาว่า
“ อีกอย่างวิ่งบนนี้ก็ได้แล้วเจ้าโดดลงน้ำทำไม ”
“ ข้ายอมแพ้ท่านแล้วเลยโดดลงน้ำ ”
“ เพื่อสาดน้ำใส่ข้าแทน เนี่ยนะยอมแพ้ของเจ้า แม่เด็กเจ้าเล่ห์ ”
เทพมังกรกระตุกผมนางเบาๆอย่างนึกหมั่นไส้ ทีนี้มวยผมที่คลอนแคลนเพราะวิ่งกระแทกมาตลอดทาง
ก็หลุดสยาย นางสลัดหัวอย่างแรงให้ผมที่ลงมาปิดหน้ากระจายออกไป มือบางเสยขึ้นค้างไว้ ดวงตากลมโต
แวววาวเหมือนตาลูกกวางจิกตอบเล็กน้อย แล้วหัวเราะ ร่าเริงแกมขบขัน
“ นี่แน่ะ ” นางผลักเขาจนเซแล้ววิ่งหนี
“ ฟู่เอ๋อ! ” ชาบูหลั่นตาตะโกนไล่หลัง “ ไหนว่ายอมแพ้แล้วอย่างไรล่ะ”
“ ข้าแค่นั่งพัก ” นางหันมาตอบ
“ ร้ายจริงๆ อย่าหนีนะ ”
นางวิ่งโร่เดี๋ยวเดียวก็หายไป ชาบูหลั่นตาเข้าใจว่านางเข้าป่าไปแล้ว ที่แท้นางหลบอยู่หลังพุ่มไม้
พอเห็นเขาแล่นผ่านไปก็หัวเราะเบาๆแล้ววิ่งไปทางตรงข้าม
หญ้าตามลาดเชิงเขาพลิ้วระลอกดูเป็นคลื่นสีเขียวละลานตา ร่างบางสั่นเล็กน้อยเพราะต้องลม
เหลียวไปดูทางที่วิ่งมา ไม่เห็นแม้แต่เงาของผู้ไล่ตามก็ลดความเร็วลง เป็นเดินท่องเที่ยวอย่างสบายใจ
นางเห็นต้นท้อต้นหนึ่งขึ้นเด่นกลางทุ่งหญ้า ดอกของมันสีชมพูอ่อนแกมขาวบอบบาง ยามสายลมโบกสะบัด
มันก็โรยร่วงราวกับความฝัน ข้างใต้ต้นนั้นมองเป็นพรมสีชมพูละมุนตา ดึงดูดให้นางเข้าไปใกล้ นางก้มเก็บ
ดอกหนึ่งขึ้นมาดม กลิ่นหอมอ่อนๆให้ความสดชื่นและน่าหลงใหลไม่น้อย นางแหงนหน้าขึ้นดูอย่างตื่นตา
มัวเพลิดเพลินอยู่พักหนึ่งก็เริ่มรู้สึกว่ามีใครกำลังจ้องนางอยู่ นางหันไปดู ชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งบนหลังม้า
ไม่ไกลจากนางนัก พอเห็นว่านางมองตอบเขาก็ขับม้าเข้ามาใกล้ แล้วลงจากม้า
“ ท่าน... ” ฟู่เอ๋อพินิจเขา ชายหนุ่มเบื้องหน้ารูปร่างสูงใหญ่ ผิวคล้ำกว่านาง
เล็กน้อย คิ้วเข้ม ดวงตาคมคายฉายแววมุ่งมั่นอยู่ภายใน และท่วงท่าองอาจดังพยัคฆ์ นางคุ้นหน้าไม่มาก
จำได้ว่าอาจเคยเห็นเขา ฝ่ายเขาเห็นนางตั้งแต่อยู่ไกลๆ รู้สึกว่าแม่นางผู้นี้มีความงดงามที่น่าสนใจ พอ
เข้ามาใกล้ขนาดนี้ก็ยิ่งรู้สึกว่ามองถูก ดวงตากลมโตแวววาวฉ่ำน้ำดังตาลูกกวาง คิ้วโค้งได้รูป จมูกโด่ง
เป็นสันงาม เรียวปากเล่าก็ชมพูอ่อนดังมวลบุปผา ดวงหน้าเรียวเสลา และรูปร่างก็บอบบางราวกับดอกท้อ
ที่รายล้อมนางอยู่
“ นี่คือมนุษย์หรือนางไม้แห่งต้นท้อ... ”
ฟู่เอ๋อฟังแล้วงวยงง “ นายท่าน... ”
“ อ้อ ขอโทษ เจ้าเป็นมนุษย์ใช่หรือไม่ ”
นางกระพริบตาถี่ๆแล้วพยักรับงงๆ เขายิ้มแก้เก้อแล้วว่า
“ เจ้าเป็นใคร ชื่ออะไร บ้านอยู่แถวนี้หรือ ”
“ ข้าน้อยแซ่เฉิน ชื่อฟู่หลาน อยู่ที่หมู่บ้านด้านล่างเชิงเขาค่ะ ”
“ ฟู่หลานหรือ ข้าแซ่เวย ชื่อยิน ที่นี่เป็นบ้านเกิดของข้า บ้านข้าอยู่ในตัวเมือง ”
“ ตระกูลเวย? ”
“ ใช่แล้ว ”
ฟู่เอ๋อนึกถึงเจ้าของขบวนรถม้าที่นางต่อว่าเมื่อหลายปีก่อน นางพอนึกออกแล้ว คงเป็นเขา เด็กหนุ่ม
ท่าทางนิ่งขรึมเย็นชาคนนั้น แต่วันนี้กลับมีท่าทีสุภาพใจดี
“ ข้าขอเรียกเจ้าว่าฟู่เอ๋อได้ไหม ”
นางอยากปฏิเสธว่าเขากับนางไม่สนิทกันขนาดนั้น แต่ก็กลืนคำพูดนั้นกลับไป เมื่อนึกถึงคำพูด
ของป้าคนนั้น พวกเขาเป็นขุนนางที่ยิ่งใหญ่ อย่าขัดใจจะดีกว่า
“ เจ้าค่ะ นายท่านเวย ”
“ เรียกข้าว่ายินเฉยๆเถอะ ” เขาบอก
“ ท่านเป็นถึงขุนนาง ลูกชาวไร่ต่ำต้อยอย่างข้าน้อยไม่บังอาจ ”
“ อย่าเกรงใจเลย เจ้ากับข้าก็คนเหมือนกัน ไม่มีใครต่ำหรือสูงกว่าใคร เรียกว่ายิน
ก็ได้ ”
“ ข้าน้อยขอเรียกว่าท่านยินดีกว่า ” นางกล่าว
“ เอาเถอะ ” เขายอมแพ้ “ ข้าต้องขอโทษด้วยที่เมื่อครู่ออกจะพูดเพ้อ แต่เจ้า
รู้ไหม ความงามของเจ้ายิ่งมายืนใต้ต้นท้อยิ่งขับความงามเจ้ายิ่งโดดเด่น งดงามและบอบบางเหมือน
แม่นางดอกท้อ ”
ฟู่เอ๋อที่ไม่เคยได้รับคำชมจากชายใดรู้สึกขวยเขินไม่น้อย ยินเอื้อมเด็ดดอกท้อแล้วยื่นให้นาง
“ แม่นางดอกท้อ... ”
ฟู่เอ๋อหัวใจเต้นโครมครามไม่เป็นจังหวะ ยื่นมือไปรับอย่างขัดเขิน ยินยิ้มปลื้ม นางไม่กล้ามอง
หน้าเขา ได้แต่จ้องดอกท้อในมืออย่างเอียงอาย ฝ่ายชาบูหลั่นตาตามหานางไม่เจอ จับญาณดูรู้ว่านางอยู่ใต้
ต้นท้อ มาถึงพอดี เห็นนางอยู่กับชายที่เขาไม่รู้จัก ทั้งคู่ส่งยิ้มหวานกันไปมา และชายคนนั้นก็จ้องนาง
ด้วยแววตาหยาดเยิ้ม เขารู้สึกใจหายวาบขึ้นมาทันที
คนๆนั้นเป็นใคร แล้วทำไมนางถึงมีรอยยิ้มในแบบที่เขาไม่เคยเห็น
ด้วยความสงสัยและร้อนรนหมายคำตอบ เขาดิ่งไปหาทันที
ต่อกันไม่เว้นระยะอย่างนี้ ต้องมาเยอะแน่ คิดจะไปดูเสียหน่อยว่าใครมา ทันใดร่างหนึ่งก็โผล่พรวดมากอดเขา
ฟู่เอ๋อ นั่นเอง
“ เจ้า... ” เทพมังกรมองอย่างงุนงงแล้วตกใจเมื่อเห็นเสื้อผ้านางเปรอะฝุ่นทราย
ดินโคลน ซ้ำตามเนื้อตัวยังเต็มไปด้วยแผลถลอก ผมเผ้าก็กระเซอะกระเซิงอย่างกับวิ่งหนีใครมา
“ อย่าเพิ่งถามค่ะ รีบเข้าไปก่อน ” นางผลักเขาเข้าไปในถ้ำ
ทั้งคู่รุดผ่านพื้นหินขรุขระไปสู่โพรงถ้ำที่ทางเดินแคบลงทุกที ถึงจุดหนึ่งต้องลอดตัวไป พอออกมา
ได้ก็พบกับโพรงถ้ำขนาดใหญ่ สูง และกว้างขวาง แสงแดดรำไรเบื้องบนส่องพอมองเห็นลางๆ ความชื้น
ในถ้ำหยดต้องร่างน้อยจนสั่นสะท้านด้วยความกลัวและอ่อนล้า
“ ช้าก่อน ” ชาบูหลั่นตาหยุดนาง “ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมข้าต้องหลบเข้ามา
แล้วทำไมเจ้าถึงอยู่ในสภาพนี้ ”
“ นายท่าน ” นางรู้สึกผิดจนน้ำตารื้น “ มีคนมา พวกเขากำลังมาที่นี่ ”
“ แล้วทำไม? ”
“ เป็นข้าเองเจ้าค่ะ เป็นข้าที่บอกกับพวกเขาว่าเทพมังกรมีจริง แต่พวกเขาไม่ใช่ผู้ศรัทธา
เทพมังกรอย่างชาวผาจี พวกเขากำลังมาที่นี่ มาพิสูจน์และจะจับท่านไปแสดงละครทำเงินให้พวกเขา ”
เสียงฝีเท้ากระทืบหนักมาหยุดที่หน้าปากถ้ำ ฟู่เอ๋อผวาเฮือก ชาบูหลั่นตาหันขวับไปทางนั้น
“ เห็นใกล้ๆอย่างนี้ไกลน่าดูเลยเนอะ ” นักละครเร่คนหนึ่งวางสัมภาระกองบนพื้น
“ หวังว่านังหนูนั่นจะไม่ทำให้เสียเวลาเปล่า ” หัวหน้าคณะหมายมั่นปั้นมือ “ เฮ้ย
จุดไฟ จุดไฟเลย ”
ผู้ชำนาญกะเทาะหินไม่นานก็จุดไฟติดแล้วจุดต่อเป็นทอดๆ ทีนี้ภายในถ้ำที่มืดสลัวก็สว่างจนเห็น
รอยหยักบนผนังหิน หัวหน้าคณะชูคบไฟขึ้น เดินนำเข้าไปเป็นคนแรก
“ ไปโว๊ย เข้าไปกัน ”
ได้ยินเสียงพวกเขาใกล้เข้ามาทุกทีฟู่เอ๋อก็ยิ่งลนลาน พยายามดันชาบูหลั่นตาให้เข้าไปลึกอีก
“ พวกเขามาแล้ว นายท่านรีบหลบไปเถอะ ”
“ แล้วเจ้าล่ะ ”
“ ข้าจะบอกพวกเขาว่าไม่มี ไม่มีทั้งนั้น ” เสียงนางสั่นจนแทบฟังไม่รู้เรื่อง
“ ช้าก่อน ” ชาบูหลั่นตาเห็นเงาร่างคน ดึงนางหลบเข้าไปหลังผนังหิน
“ ไม่เห็นมีอะไรนี่หว่า มีแต่ถ้ำกับถ้ำ ” พวกเขาส่องไฟไปทั่ว
“ เทพมังกรฟ้าที่ไหนจะมาอยู่ต้นถ้ำ คงอยู่ลึกเข้าไปนั่นแหละ ”
“ ถ้ำนี้จะลึกเท่าไรก็ไม่รู้ เฮ้ย เรียกซิ ”
“ ขอรับ? ” ผู้รับคำสั่งทำหน้างง
“ ข้าบอกให้เรียกเทพมังกร ” หัวหน้าตะคอกลั่น
เทพมังกรฟังแล้วฉุนกึก นึกเคืองว่าเจ้ามนุษย์นี่มันเป็นใครยิ่งใหญ่มาจากไหน ถึงได้ตะโกนเรียกเขา
ด้วยน้ำเสียงกระโชกโฮกฮากไร้มารยาทแบบนี้
“ เทพมังกรฟ้า เทพมังกรฟ้า ” ลูกคณะตะโกนโหวกเหวก มีแต่เสียงตัวเองก้อง
กลับมาเป็นคำตอบ หัวหน้าคณะไม่เห็นมีอะไรก็เริ่มหงุดหงิด
“ เทพมังกรฟ้าอยู่ที่นี่ใช่ไหม ” เขาตะโกนกลบคนอื่น “ ถ้าแน่จริงมีจริงก็ออกมา
สำแดงฤทธิ์ให้เห็นกันเสียหน่อย หรือเทพมังกรฟ้าที่พวกผาจีนับถือนักหนาเป็นแค่เรื่องนิทานหลอกเด็กโกหก
ผู้คนกันแน่ ห๊ะ ”
“ ถ้าให้เขาแสดงฤทธิ์ก็แย่สิขอรับ ” หนึ่งในนั้นชักกลัว
“ จะกลัวอะไรวะ แค่เทพชั้นปลายแถว ขนาดเราเรียกมันยังหดหัวไม่กล้าออกมา ”
นัยน์ตาคมถลึงขึ้นแล้วแดงวาบ เขาเป็นเทพมังกรฟ้า หัวหน้าเหล่าเทพมังกร ทั้งยังเป็น
แม่ทัพสวรรค์ ผู้ที่จักรพรรดิสวรรค์ให้ความสำคัญและเมตตาอย่างมาก ส่วนพวกมันเป็นใคร
มนุษย์ปลายแถวกล้าดูหมิ่นเขาถึงเพียงนี้
หัวหน้าคณะหัวเราะลั่น ขณะที่คนอื่นก็เริ่มหัวเราะตาม เสียงหัวเราะเย้ยหยันสะท้านยาวทิ่มแทงใจ
เทพมังกร
“ ไหนวะ ไหนวะ ” หัวหน้าคณะกวัดแกว่งคบไฟแล้วหัวเราะ
“ ไม่มีหรอก กลับเถอะหัวหน้าเสียเวลาเปล่า ”
“ ข้าอยากไล่เทพมังกรขี้ขลาดไปสุดกู่เลยว่ะ ” เขาบอก “ ทีนี้จะไปเย้ยพวกผาจี
หน้าโง่ว่าเทพมังกรของมันเป็นเรื่องหลอกลวง ฮ่า ฮ่า ฮ่า ”
ความสะกดกลั้นอารมณ์ขาดผึง ยอมให้มันมาลบหลู่ต่อไปไม่ได้แล้ว องค์จักรพรรดิ ท่านเซิ่งตู่
อย่าตำหนิเขาเลยนะ ถ้าเขาจะขอ...สั่งสอนมนุษย์ปากดีสักครั้ง!!!
“ ขว้างไฟเข้าไปเลย อยากรู้นักว่ามันจะหัวหดวิ่งหนีไปถึงไหน ” อันที่จริงเขา
ค่อนข้างแน่ใจว่าในนี้ไม่มีสิ่งลี้ลับอยู่เลย แต่ที่ทำเพื่อความสะใจ เขาเลี้ยวเข้าไปหลังผนังถ้ำ ขว้างคบไฟ
ในมือเข้าไปอย่างหยาบช้า แววตาฟู่เอ๋อสะท้อนภาพเปลวไฟลุกช่วงแล่นมาที่นาง พริบตาชาบูหลั่นตาก็พุ่งมา
ขวางทาง คบไฟกระแทกฝ่ามือก่อนดับวูบ ทั่วบริเวณนั้นตกอยู่ในความมืด
หัวหน้าคณะหัวเราะไม่ออก ตะลึงจนตัวแข็งกับที่ เมื่อครู่เหมือนเขาเห็นใบหน้าคนสะท้อนกับ
เปลวไฟที่เจิดจ้า!
“ ทำไมล่ะ ก็อยากเห็นข้าไม่ใช่หรือ ” เสียงทุ้มก้องคำรามขู่แต่ก็เย้ยหยันอยู่ในที
ดวงตาฝ่ายนั้นกลอกไปมาอย่างตื่นตระหนก
“ ถ้าวันนี้ปล่อยให้มนุษย์ปลายแถวอย่างพวกเจ้ามาดูถูกเหยียดหยามได้ อีกหน่อยแม้แต่
สุนัขข้างถนนก็คงหัวเราะเยาะข้า ”
ทันใดนั้นใบหน้ามังกรก็โผล่พรวดเกือบชนหน้าผู้อวดดี เขาตะลึงตาค้าง ตัวแข็งทื่อ หนวดยาวๆ
ยื่นไล้หน้าเหมือนแกล้ง ร่างนั้นสั่นสะท้านแล้วรู้สึกถึงน้ำอุ่นๆเริ่มไหลมาตามหว่างขา
ขนาดเทพบนสวรรค์ยังกลัวใบหน้านี้ แล้วเจ้านี่จะเหลืออะไร!
ดวงตาที่ลุกโพลงถลึงจนแทบถลนออกนอกเบ้า สีแดงก่ำเหมือนเปลวไฟเต้นเร่าๆอยู่ในขุมนรก
เจ้าของใบหน้าสะพรึงอ้าขากรรไกรจนสุด เผยแนวเขี้ยวยาวคมกริบประหนึ่งดาบเหล็กวาบวับสะท้อนอยู่ใน
ดวงตาที่สั่นระริก
“ ว๊ากกกกกกกกกกกกก อ๊ากกกกกกกกกกกกก!!! ” หัวหน้าคณะแหกปากลั่นจน
หูลั่นเปรี๊ยะ ไม่รออะไรอีกแล้ว คนอื่นๆสับสนวุ่นวายไปตามกัน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทันใดนั้นก็มีเสียง
คำรามต่ำออกมาจากส่วนลึกของถ้ำ พวกเขาขนลุกซู่ด้วยความหวาดผวา แล้วพื้นก็สั่นสะเทือน เศษหิน
ร่วงกราว ราวกับถ้ำจะถล่มทลาย ไม่รอดูว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว พวกเขารีบหนีออกจากถ้ำ ลากหัวหน้าคณะ
ที่กำลังจะลมจับออกไปอย่างทุลักทุเล เสียงคำรามกึกก้องไล่ตามมาไม่ขาดระยะ พวกเขารีบวิ่งลงเขา
ล้มลุกคลุกคลานชุลมุน กระทั่งเผ่นหายลับไป
ฟู่เอ๋อเห็นพวกเขาไปแล้วและนายท่านไม่ได้รับอันตรายใดๆก็โล่งใจ แต่รู้สึกผิดมากกว่าที่เป็นต้นเหตุ
ให้เขาต้องเจอกับเรื่องวุ่นวายเช่นนี้
“ นายท่าน ข้าขอโทษค่ะ ” นางคุกเข่าลง “ เป็นเพราะข้าทำอะไรไม่คิดเลยทำให้
ท่านต้องเดือดร้อนอย่างนี้ ”
“ ฟู่เอ๋อ ” เขาดึงตัวนางขึ้น “ อย่าทำเช่นนี้ เจ้าไม่ผิดหรอก เจ้าแค่อยากให้ทุกคน
รู้ว่าเทพมังกรฟ้าที่เจ้านับถือมีจริงเท่านั้น ”
“ แต่ข้าก็บอกผิดคน ” นางว่าตัวเอง “ ทำให้พวกเข้ามาหยามท่านถึงที่ ซ้ำยัง
จะทำร้ายท่านด้วย ”
“ ข้าเองก็ไม่ได้ห้ามเจ้าบอกใคร ” เขาบอก “ ทั้งยังไม่นึกเลยว่าจะมีมนุษย์กล้า
หยาบคายกับข้า ฟู่เอ๋อ เจ้าไม่ได้ตั้งใจ เรื่องทั้งหมดไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น เจ้าก็อย่าโทษตัวเองเลยนะ ”
“ ต่อไปข้าจะไม่บอกใครอีกแล้ว ไม่บอกอีกแล้ว ”
“ ช่างเถอะฟู่เอ๋อ ถึงเจ้าไม่พูด คนพวกนั้นก็ต้องพูด ” เขามั่นใจ
“ แต่เมื่อครู่นายท่านดูน่ากลัวมาก ข้าคิดว่า... ”
“ คิดว่าพวกเขาจะไม่ได้ออกจากถ้ำอีกเลยตลอดไป ” เขาพูดแทน “ ข้าไม่ทำเช่นนั้น
หรอกฟู่เอ๋อ สวรรค์ก็มีกฎ เราจะไม่ฆ่าใครถ้าไม่จำเป็นจริงๆ แต่ก็ยอมให้พวกเขาลบหลู่ไม่ได้ ข้าถึงได้
แสดงฤทธิ์เสียพวกเขาหนีกระเจิง ต่อไปพวกเขาจะไม่กลับมาที่นี่อีกแล้ว และจะไม่มีใครกล้าลบหลู่ข้าอีก
เพราะพวกเขานั่นแหละที่จะกระจายความน่ายำเกรงของเทพมังกรฟ้าออกไป ”
“ จริงสิ เมื่อกี้ที่คนพวกนั้นขว้างไฟใส่ นายท่านเอาตัวมาบังข้าไว้ เป็นอะไร
หรือเปล่าคะ ” นางจับมือข้างนั้นมาพลิกดูหลายตลบด้วยความเป็นห่วง
“ ข้าเป็นเทพนะ ไฟแค่นี้ทำอะไรไม่ได้หรอก ” ชาบูหลั่นตาพูดอย่างอ่อนโยน
“ ขอบคุณนะที่ย้อนกลับมาช่วยข้า ”
นางยิ้มออก “ ข้าน้อยก็ขอบคุณนายท่านที่ไม่ถือโทษและยังช่วยข้าน้อยไว้ด้วย ”
เทพมังกรยิ้มใจดี แล้วเอื้อมจับหัวนางเขย่าไปมาอย่างเอ็นดู
ชาบูหลั่นตาเดินออกมาจากค่ายฝึกนักรบสวรรค์ หยุดยืนดูผืนเมฆที่ทอดไปอย่างสุดไกล แสงทอง
นุ่มนวลมองแล้วเพลินตา พลันคิดถึงท้องฟ้ายามพระอาทิตย์ตกที่โลกมนุษย์ แสงแดงเรื่อ ชมพู และ
ส้มอ่อนไล่เฉดเหนือดวงอาทิตย์แดงดวงโตตระการตา กำลังเคลื่อนลงหายลับไปหลังเงาทิวเขาอย่างช้าๆ
เป็นภาพที่สวยงาม ที่สวรรค์ไม่เคยมี แล้วก็คิดถึงฟู่เอ๋อ ถ้าเป็นช่วงนี้นางคงจะสาละวนกับการช่วยมารดา
ทำอาหารเย็น ไม่รู้จะวิ่งจนขาขวิดขนาดไหน คิดแล้วก็หลุดยิ้มออกมา แล้วนึกถึงตอนที่วิ่งมาเตือนเขา
ทั้งที่แรงเด็กอาจจะวิ่งไม่ทันผู้ใหญ่และทางมาถ้ำก็ค่อนข้างชัน แต่นางก็ยังอุตส่าห์วิ่งมาเพื่อช่วยเขา
จากอันตราย จะว่าไปก็เป็นสหายที่คบได้เหมือนกัน สหายต่างภพ...
“ ทำไมมายืนเหม่อผู้เดียว ชาบูหลั่นตา ”
“ ท่านเซิ่งตู่ ” ชาบูหลั่นตาได้สติ “ ทำไมมาเงียบๆ ”
“ ข้าก็เดินมาปกติ ” เซิ่งตู่ว่า “ เจ้านั่นแหละเหม่อจนไม่รับรู้สถานการณ์รอบตัว
ถ้าตอนนี้จอมปีศาจโผล่มากะทันหันเจ้าคงตายไปแล้ว ”
“ ขออภัยขอรับ ” เทพมังกรกล่าว
“ และก็คงตายทั้งรอยยิ้ม ”
“ หา ”
“ ทำไมหรือ ” แม่ทัพใหญ่ยิ้มล้อ “ บนโลกมนุษย์มีอะไรดีนักถึงทำให้เทพมังกร
ยิ้มได้แทบทั้งวันหลังกลับมา ไม่เว้นแม้แต่ตอนฝึก แล้วยังมายืนเหม่อยิ้มผู้เดียวอีก ”
“ ตอนฝึกด้วยหรือขอรับ ” ชาบูหลั่นตาเพิ่งรู้
“ ทุกคนคร่ำเคร่งอยู่คงไม่ทันเห็นแต่ข้าสังเกตเจ้าอยู่ ”
ชาบูหลั่นตานึกถึงตอนที่เผลอทำทวนหล่นใส่เท้าตัวเอง เจ็บแต่ก็เก็บทวนขึ้นมาฝึกต่อทั้งรอยยิ้ม
“ เพราะอะไรหรือ ”
นั่นสิ เพราะอะไร...
“ คงเป็นเพราะที่โลกมนุษย์มีอะไรน่าสนุกแล้วก็สวยอย่างที่ท่านเคยบอกไว้จริงๆขอรับ ”
“ แต่ข้าว่าดูท่าจะเป็นคนมากกว่า ” เทพมังกรชะงักกับรอยยิ้มที่มีความหมาย...ที่เขา
ไม่เข้าใจ “ แววตาและรอยยิ้มของเจ้ามันฟ้อง ถึงข้าจะอยู่สวรรค์มานานมากแต่ยังจำประสบการณ์ตอนที่เป็น
มนุษย์ได้อยู่ ”
“ ถึงข้าจะปะปนอยู่กับพวกมนุษย์แต่ก็ไม่ได้สนิทกับใคร นอกจาก นอกจาก... ”
“ ความรู้สึกดีๆทำให้มีความสุขก็เป็นเรื่องดี ” อีกฝ่ายเอ่ยขัด “ แต่ก็อย่าให้กระทบ
กับหน้าที่ของเจ้า อย่าลืมว่าตัวเองเป็นใคร ต้องทำอะไรบ้าง ”
“ ขอรับ ข้าจะไม่มีทางเที่ยวเพลินจนละเลยหน้าที่ ” เทพมังกรเข้าใจว่าหมายถึง
เรื่องที่เขาไปเที่ยวโลกมนุษย์บ่อยๆ
“ อีกอย่างที่อย่าลืมเจ้าเป็นเทพไม่ใช่มนุษย์เหมือนพวกเขา ” เซิ่งตู่พูดแล้วส่ายหน้าปลง
“ เป็นไปไม่ได้ ”
แล้วเขาก็ขอตัวเดินออกไป ทิ้งให้ชาบูหลั่นตายืนงงๆ ไม่เข้าใจ อะไรที่เป็นไปไม่ได้
ฟู่เอ๋อเดินเลียบถนนกลางตลาด ผู้คนขวักไขว่เดินสวนไปมา ทั้งมาจ่ายตลาดและหาบของเร่ขาย
นางเดินช้าๆดูของตามแผงขายของข้างทางไปพลางๆ จู่ๆก็มีเสียงตะโกนโหวกเหวกจากฟากหนึ่งของถนน
“ ถอยไป ถอยไป ท่านขุนนางกำลังมา ”
คนตะโกนแต่งชุดเรียบง่ายเหมือนคนรับใช้ พวกเขาตะโกนแล้วเข้ามากันทุกคนให้เข้าไปรวม
ที่ข้างทาง นางก็ถูกดันไปด้วย แล้วขบวนรถม้าก็เคลื่อนผ่านถนน เสียงล้อเอียดอาดท่ามกลางความเงียบ
ของชาวบ้านรอบนอก พวกเขาถูกสั่งให้ค้อมหัวทำความเคารพเมื่อรถม้าผ่านมา
“ เราอยู่ของเราดีๆ เขาเข้ามาทีหลังทำไมต้องให้คนอื่นหลีกทางให้ ” ฟู่เอ๋อ
ไม่ชอบใจ
“ ก็เขาเป็นขุนนางที่ยิ่งใหญ่ ตระกูลเวยที่กุมอำนาจมากที่สุดในตอนนี้ ” ป้าข้างๆ
กระซิบตอบนาง “ อย่าไปขัดใจเลยเดี๋ยวจะเดือดร้อน ”
พอดีรถม้าของท่านขุนนางกำลังผ่านหน้านาง ฟู่เอ๋อลอบเงยหน้า เห็นชายหญิงแต่งกายหรูหราคู่หนึ่ง
และเด็กหนุ่มท่าทางนิ่งขรึม เขามองลงมา สบตากับนาง แต่ใบหน้านั้นก็นิ่งเฉยกระทั่งผ่านพ้นไป เมื่อหมด
รถม้าคันสุดท้าย ชาวบ้านที่หลบอยู่ข้างทางก็แตกตัวดำเนินชีวิตตามปกติ ฝ่ายฟู่เอ๋อยังยืนที่เดิม คิดในใจว่า
คนพวกนั้นก็เป็นคนเหมือนกันไม่เห็นจะวิเศษตรงไหน กลับทำท่าเย่อหยิ่งบังคับให้คนอื่นก้มหัวให้ ไม่เหมือน
นายท่านของนาง เขาคือเทพมังกรฟ้า ยิ่งใหญ่กว่าคนพวกนี้เป็นไหนๆ กลับมีท่าทีเป็นกันเอง ไม่ถือตัว
แม้แต่น้อยแม้นางจะต่ำต้อยกว่าเขามาก และถ้าเขาผ่านมาทางนี้แบบวันนี้ ก็คงจะเดินมาอย่างคนธรรมดา
ไม่บังคับให้ใครต้องถอยมายืนข้างทางแล้วครองถนนอยู่ผู้เดียว และถ้าจะมีใครมาก้มหัวให้ก็คงก้มให้ด้วยใจ
หลังจากนั้นชาบูหลั่นตากับฟู่เอ๋อเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน นับวันจะสนิทสนมกันยิ่งขึ้น เขามีความสุข
เมื่อได้อยู่กับนาง ได้ท่องเที่ยวไปที่ต่างๆที่สวยงาม สนุกสนาน ได้ปะปนไปกับชาวบ้าน ใช้ชีวิตอย่าง
คนธรรมดา กับนางที่ยอมรับเขาได้และเข้าใจเขา ฝ่ายนางก็เช่นกัน นางมีความสุขอย่างประหลาดทุกครั้ง
ที่อยู่กับเขา นางจะขึ้นไปที่ถ้ำแล้วเขาก็จะพานางไปเที่ยวที่ต่างๆด้วยกัน เป็นเช่นนี้จนวันเวลาล่วงเลยไป
หลายปี
เท้าคู่หนึ่งวิ่งย่ำน้ำสาดกระเซ็น ดินริมตลิ่งยุบลงเป็นรอยขณะเท้าคู่นั้นวิ่งผ่าน เจ้าของถลกกระโปรง
สีหม่นสูงกว่าเข่าวิ่งอ้าวหนีอีกคนที่ไล่ตามมา
“ จะหนีไปไหน หยุดเดี๋ยวนี้นะ ”
ชาบูหลั่นตาวิ่งไล่ตามมาติดๆ แม้ผ่านมาหลายปีแล้วแต่ใบหน้าเขาก็ยังไม่เปลี่ยนไปเลย ยังดู
หนุ่มแน่นและสดใสเหมือนเมื่อตอนที่จักรพรรดิสวรรค์เสกร่างเขาให้เป็นเช่นนี้ เด็กสาวที่เขาไล่ตามมากระโจน
โครมลงน้ำ เขาโดดตามไปทันที
“ จับได้แล้ว ”
ถึงนางจะเปียกปอนไปทั้งตัวแต่ก็หัวเราะร่า วักน้ำสาดใส่เขา
“ นี่แน่ะๆ ” นางยิ้มสดใส
เทพมังกรจัดการกลับ นางแทบหงายหลังเพราะคลื่นน้ำใหญ่
“ แค่กๆ ไม่ไหวแล้ว ” นางไต่กลับขึ้นมานั่งหอบแฮ่กๆบนตลิ่งเพราะเหนื่อยและหายใจ
ไม่ทัน “ นายท่านวิ่งเร็วชะมัด โอ๊ยเปียก เปียกไปหมดแล้ว ”
“ ข้าแค่ก้าวตามเจ้ามาเท่านั้นนะ ถ้าให้วิ่งจริงเจ้าไม่ทันได้ออกตัวหรอก ”ชาบูหลั่นตาว่า
“ อีกอย่างวิ่งบนนี้ก็ได้แล้วเจ้าโดดลงน้ำทำไม ”
“ ข้ายอมแพ้ท่านแล้วเลยโดดลงน้ำ ”
“ เพื่อสาดน้ำใส่ข้าแทน เนี่ยนะยอมแพ้ของเจ้า แม่เด็กเจ้าเล่ห์ ”
เทพมังกรกระตุกผมนางเบาๆอย่างนึกหมั่นไส้ ทีนี้มวยผมที่คลอนแคลนเพราะวิ่งกระแทกมาตลอดทาง
ก็หลุดสยาย นางสลัดหัวอย่างแรงให้ผมที่ลงมาปิดหน้ากระจายออกไป มือบางเสยขึ้นค้างไว้ ดวงตากลมโต
แวววาวเหมือนตาลูกกวางจิกตอบเล็กน้อย แล้วหัวเราะ ร่าเริงแกมขบขัน
“ นี่แน่ะ ” นางผลักเขาจนเซแล้ววิ่งหนี
“ ฟู่เอ๋อ! ” ชาบูหลั่นตาตะโกนไล่หลัง “ ไหนว่ายอมแพ้แล้วอย่างไรล่ะ”
“ ข้าแค่นั่งพัก ” นางหันมาตอบ
“ ร้ายจริงๆ อย่าหนีนะ ”
นางวิ่งโร่เดี๋ยวเดียวก็หายไป ชาบูหลั่นตาเข้าใจว่านางเข้าป่าไปแล้ว ที่แท้นางหลบอยู่หลังพุ่มไม้
พอเห็นเขาแล่นผ่านไปก็หัวเราะเบาๆแล้ววิ่งไปทางตรงข้าม
หญ้าตามลาดเชิงเขาพลิ้วระลอกดูเป็นคลื่นสีเขียวละลานตา ร่างบางสั่นเล็กน้อยเพราะต้องลม
เหลียวไปดูทางที่วิ่งมา ไม่เห็นแม้แต่เงาของผู้ไล่ตามก็ลดความเร็วลง เป็นเดินท่องเที่ยวอย่างสบายใจ
นางเห็นต้นท้อต้นหนึ่งขึ้นเด่นกลางทุ่งหญ้า ดอกของมันสีชมพูอ่อนแกมขาวบอบบาง ยามสายลมโบกสะบัด
มันก็โรยร่วงราวกับความฝัน ข้างใต้ต้นนั้นมองเป็นพรมสีชมพูละมุนตา ดึงดูดให้นางเข้าไปใกล้ นางก้มเก็บ
ดอกหนึ่งขึ้นมาดม กลิ่นหอมอ่อนๆให้ความสดชื่นและน่าหลงใหลไม่น้อย นางแหงนหน้าขึ้นดูอย่างตื่นตา
มัวเพลิดเพลินอยู่พักหนึ่งก็เริ่มรู้สึกว่ามีใครกำลังจ้องนางอยู่ นางหันไปดู ชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งบนหลังม้า
ไม่ไกลจากนางนัก พอเห็นว่านางมองตอบเขาก็ขับม้าเข้ามาใกล้ แล้วลงจากม้า
“ ท่าน... ” ฟู่เอ๋อพินิจเขา ชายหนุ่มเบื้องหน้ารูปร่างสูงใหญ่ ผิวคล้ำกว่านาง
เล็กน้อย คิ้วเข้ม ดวงตาคมคายฉายแววมุ่งมั่นอยู่ภายใน และท่วงท่าองอาจดังพยัคฆ์ นางคุ้นหน้าไม่มาก
จำได้ว่าอาจเคยเห็นเขา ฝ่ายเขาเห็นนางตั้งแต่อยู่ไกลๆ รู้สึกว่าแม่นางผู้นี้มีความงดงามที่น่าสนใจ พอ
เข้ามาใกล้ขนาดนี้ก็ยิ่งรู้สึกว่ามองถูก ดวงตากลมโตแวววาวฉ่ำน้ำดังตาลูกกวาง คิ้วโค้งได้รูป จมูกโด่ง
เป็นสันงาม เรียวปากเล่าก็ชมพูอ่อนดังมวลบุปผา ดวงหน้าเรียวเสลา และรูปร่างก็บอบบางราวกับดอกท้อ
ที่รายล้อมนางอยู่
“ นี่คือมนุษย์หรือนางไม้แห่งต้นท้อ... ”
ฟู่เอ๋อฟังแล้วงวยงง “ นายท่าน... ”
“ อ้อ ขอโทษ เจ้าเป็นมนุษย์ใช่หรือไม่ ”
นางกระพริบตาถี่ๆแล้วพยักรับงงๆ เขายิ้มแก้เก้อแล้วว่า
“ เจ้าเป็นใคร ชื่ออะไร บ้านอยู่แถวนี้หรือ ”
“ ข้าน้อยแซ่เฉิน ชื่อฟู่หลาน อยู่ที่หมู่บ้านด้านล่างเชิงเขาค่ะ ”
“ ฟู่หลานหรือ ข้าแซ่เวย ชื่อยิน ที่นี่เป็นบ้านเกิดของข้า บ้านข้าอยู่ในตัวเมือง ”
“ ตระกูลเวย? ”
“ ใช่แล้ว ”
ฟู่เอ๋อนึกถึงเจ้าของขบวนรถม้าที่นางต่อว่าเมื่อหลายปีก่อน นางพอนึกออกแล้ว คงเป็นเขา เด็กหนุ่ม
ท่าทางนิ่งขรึมเย็นชาคนนั้น แต่วันนี้กลับมีท่าทีสุภาพใจดี
“ ข้าขอเรียกเจ้าว่าฟู่เอ๋อได้ไหม ”
นางอยากปฏิเสธว่าเขากับนางไม่สนิทกันขนาดนั้น แต่ก็กลืนคำพูดนั้นกลับไป เมื่อนึกถึงคำพูด
ของป้าคนนั้น พวกเขาเป็นขุนนางที่ยิ่งใหญ่ อย่าขัดใจจะดีกว่า
“ เจ้าค่ะ นายท่านเวย ”
“ เรียกข้าว่ายินเฉยๆเถอะ ” เขาบอก
“ ท่านเป็นถึงขุนนาง ลูกชาวไร่ต่ำต้อยอย่างข้าน้อยไม่บังอาจ ”
“ อย่าเกรงใจเลย เจ้ากับข้าก็คนเหมือนกัน ไม่มีใครต่ำหรือสูงกว่าใคร เรียกว่ายิน
ก็ได้ ”
“ ข้าน้อยขอเรียกว่าท่านยินดีกว่า ” นางกล่าว
“ เอาเถอะ ” เขายอมแพ้ “ ข้าต้องขอโทษด้วยที่เมื่อครู่ออกจะพูดเพ้อ แต่เจ้า
รู้ไหม ความงามของเจ้ายิ่งมายืนใต้ต้นท้อยิ่งขับความงามเจ้ายิ่งโดดเด่น งดงามและบอบบางเหมือน
แม่นางดอกท้อ ”
ฟู่เอ๋อที่ไม่เคยได้รับคำชมจากชายใดรู้สึกขวยเขินไม่น้อย ยินเอื้อมเด็ดดอกท้อแล้วยื่นให้นาง
“ แม่นางดอกท้อ... ”
ฟู่เอ๋อหัวใจเต้นโครมครามไม่เป็นจังหวะ ยื่นมือไปรับอย่างขัดเขิน ยินยิ้มปลื้ม นางไม่กล้ามอง
หน้าเขา ได้แต่จ้องดอกท้อในมืออย่างเอียงอาย ฝ่ายชาบูหลั่นตาตามหานางไม่เจอ จับญาณดูรู้ว่านางอยู่ใต้
ต้นท้อ มาถึงพอดี เห็นนางอยู่กับชายที่เขาไม่รู้จัก ทั้งคู่ส่งยิ้มหวานกันไปมา และชายคนนั้นก็จ้องนาง
ด้วยแววตาหยาดเยิ้ม เขารู้สึกใจหายวาบขึ้นมาทันที
คนๆนั้นเป็นใคร แล้วทำไมนางถึงมีรอยยิ้มในแบบที่เขาไม่เคยเห็น
ด้วยความสงสัยและร้อนรนหมายคำตอบ เขาดิ่งไปหาทันที
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ