Chabulanta ตำนานรักเทพมังกร

6.6

เขียนโดย Xian_xi

วันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2556 เวลา 15.34 น.

  13 ตอน
  20 วิจารณ์
  17.19K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 13.18 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) สหายต่างภพ 2

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
            ชาบูหลั่นตาได้ยินเสียงวิ่งย่ำดินหนักๆมุ่งมาจุดที่เขาอยู่   ออกไปดูหน้าปากถ้ำ   เสียงฝีเท้ากระทืบ
ต่อกันไม่เว้นระยะอย่างนี้  ต้องมาเยอะแน่  คิดจะไปดูเสียหน่อยว่าใครมา ทันใดร่างหนึ่งก็โผล่พรวดมากอดเขา 
ฟู่เอ๋อ  นั่นเอง
                      
                           “  เจ้า...  ”  เทพมังกรมองอย่างงุนงงแล้วตกใจเมื่อเห็นเสื้อผ้านางเปรอะฝุ่นทราย   
ดินโคลน   ซ้ำตามเนื้อตัวยังเต็มไปด้วยแผลถลอก   ผมเผ้าก็กระเซอะกระเซิงอย่างกับวิ่งหนีใครมา
                       
                           “  อย่าเพิ่งถามค่ะ   รีบเข้าไปก่อน  ”  นางผลักเขาเข้าไปในถ้ำ
          
           ทั้งคู่รุดผ่านพื้นหินขรุขระไปสู่โพรงถ้ำที่ทางเดินแคบลงทุกที   ถึงจุดหนึ่งต้องลอดตัวไป   พอออกมา
ได้ก็พบกับโพรงถ้ำขนาดใหญ่  สูง  และกว้างขวาง   แสงแดดรำไรเบื้องบนส่องพอมองเห็นลางๆ   ความชื้น 
ในถ้ำหยดต้องร่างน้อยจนสั่นสะท้านด้วยความกลัวและอ่อนล้า
                        
                         “  ช้าก่อน  ”  ชาบูหลั่นตาหยุดนาง  “  มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่  ทำไมข้าต้องหลบเข้ามา  
แล้วทำไมเจ้าถึงอยู่ในสภาพนี้  ”
                        
                         “  นายท่าน  ”  นางรู้สึกผิดจนน้ำตารื้น  “  มีคนมา  พวกเขากำลังมาที่นี่  ”
                        
                         “  แล้วทำไม?  ”
                       
                        “  เป็นข้าเองเจ้าค่ะ  เป็นข้าที่บอกกับพวกเขาว่าเทพมังกรมีจริง  แต่พวกเขาไม่ใช่ผู้ศรัทธา
เทพมังกรอย่างชาวผาจี  พวกเขากำลังมาที่นี่  มาพิสูจน์และจะจับท่านไปแสดงละครทำเงินให้พวกเขา  ”
          
             เสียงฝีเท้ากระทืบหนักมาหยุดที่หน้าปากถ้ำ     ฟู่เอ๋อผวาเฮือก  ชาบูหลั่นตาหันขวับไปทางนั้น
                        
                            “  เห็นใกล้ๆอย่างนี้ไกลน่าดูเลยเนอะ  ”  นักละครเร่คนหนึ่งวางสัมภาระกองบนพื้น
                        
                            “  หวังว่านังหนูนั่นจะไม่ทำให้เสียเวลาเปล่า  ”  หัวหน้าคณะหมายมั่นปั้นมือ  “  เฮ้ย 
จุดไฟ  จุดไฟเลย  ”
         
            ผู้ชำนาญกะเทาะหินไม่นานก็จุดไฟติดแล้วจุดต่อเป็นทอดๆ   ทีนี้ภายในถ้ำที่มืดสลัวก็สว่างจนเห็น
รอยหยักบนผนังหิน  หัวหน้าคณะชูคบไฟขึ้น  เดินนำเข้าไปเป็นคนแรก
                       
                          “  ไปโว๊ย  เข้าไปกัน  ”                                       
         
           ได้ยินเสียงพวกเขาใกล้เข้ามาทุกทีฟู่เอ๋อก็ยิ่งลนลาน   พยายามดันชาบูหลั่นตาให้เข้าไปลึกอีก
                        
                          “ พวกเขามาแล้ว  นายท่านรีบหลบไปเถอะ  ”
                       
                          “  แล้วเจ้าล่ะ  ”
                        
                          “  ข้าจะบอกพวกเขาว่าไม่มี   ไม่มีทั้งนั้น  ”  เสียงนางสั่นจนแทบฟังไม่รู้เรื่อง 
                        
                          “  ช้าก่อน  ”  ชาบูหลั่นตาเห็นเงาร่างคน  ดึงนางหลบเข้าไปหลังผนังหิน
                        
                          “  ไม่เห็นมีอะไรนี่หว่า  มีแต่ถ้ำกับถ้ำ  ”  พวกเขาส่องไฟไปทั่ว
                        
                          “  เทพมังกรฟ้าที่ไหนจะมาอยู่ต้นถ้ำ   คงอยู่ลึกเข้าไปนั่นแหละ  ”
                        
                          “  ถ้ำนี้จะลึกเท่าไรก็ไม่รู้  เฮ้ย  เรียกซิ  ”
                        
                          “  ขอรับ?  ”  ผู้รับคำสั่งทำหน้างง
                        
                          “  ข้าบอกให้เรียกเทพมังกร  ”  หัวหน้าตะคอกลั่น
          
            เทพมังกรฟังแล้วฉุนกึก  นึกเคืองว่าเจ้ามนุษย์นี่มันเป็นใครยิ่งใหญ่มาจากไหน  ถึงได้ตะโกนเรียกเขา
ด้วยน้ำเสียงกระโชกโฮกฮากไร้มารยาทแบบนี้
                        
                           “  เทพมังกรฟ้า   เทพมังกรฟ้า ”  ลูกคณะตะโกนโหวกเหวก  มีแต่เสียงตัวเองก้อง 
กลับมาเป็นคำตอบ  หัวหน้าคณะไม่เห็นมีอะไรก็เริ่มหงุดหงิด
                       
                           “  เทพมังกรฟ้าอยู่ที่นี่ใช่ไหม  ”  เขาตะโกนกลบคนอื่น  “  ถ้าแน่จริงมีจริงก็ออกมา  
สำแดงฤทธิ์ให้เห็นกันเสียหน่อย  หรือเทพมังกรฟ้าที่พวกผาจีนับถือนักหนาเป็นแค่เรื่องนิทานหลอกเด็กโกหก  
ผู้คนกันแน่   ห๊ะ  ”
                        
                           “  ถ้าให้เขาแสดงฤทธิ์ก็แย่สิขอรับ  ”  หนึ่งในนั้นชักกลัว
                       
                          “  จะกลัวอะไรวะ  แค่เทพชั้นปลายแถว   ขนาดเราเรียกมันยังหดหัวไม่กล้าออกมา  ”
          
            นัยน์ตาคมถลึงขึ้นแล้วแดงวาบ    เขาเป็นเทพมังกรฟ้า   หัวหน้าเหล่าเทพมังกร     ทั้งยังเป็น     
แม่ทัพสวรรค์    ผู้ที่จักรพรรดิสวรรค์ให้ความสำคัญและเมตตาอย่างมาก   ส่วนพวกมันเป็นใคร             
มนุษย์ปลายแถวกล้าดูหมิ่นเขาถึงเพียงนี้
          
              หัวหน้าคณะหัวเราะลั่น  ขณะที่คนอื่นก็เริ่มหัวเราะตาม  เสียงหัวเราะเย้ยหยันสะท้านยาวทิ่มแทงใจ
เทพมังกร
                          
                             “  ไหนวะ  ไหนวะ  ”  หัวหน้าคณะกวัดแกว่งคบไฟแล้วหัวเราะ
                          
                             “  ไม่มีหรอก  กลับเถอะหัวหน้าเสียเวลาเปล่า  ”
                          
                             “  ข้าอยากไล่เทพมังกรขี้ขลาดไปสุดกู่เลยว่ะ  ”  เขาบอก  “  ทีนี้จะไปเย้ยพวกผาจี
 หน้าโง่ว่าเทพมังกรของมันเป็นเรื่องหลอกลวง  ฮ่า  ฮ่า  ฮ่า  ”
           
             ความสะกดกลั้นอารมณ์ขาดผึง  ยอมให้มันมาลบหลู่ต่อไปไม่ได้แล้ว  องค์จักรพรรดิ  ท่านเซิ่งตู่ 
อย่าตำหนิเขาเลยนะ  ถ้าเขาจะขอ...สั่งสอนมนุษย์ปากดีสักครั้ง!!!
                         
                            “  ขว้างไฟเข้าไปเลย  อยากรู้นักว่ามันจะหัวหดวิ่งหนีไปถึงไหน  ”  อันที่จริงเขา  
ค่อนข้างแน่ใจว่าในนี้ไม่มีสิ่งลี้ลับอยู่เลย  แต่ที่ทำเพื่อความสะใจ   เขาเลี้ยวเข้าไปหลังผนังถ้ำ  ขว้างคบไฟ   
ในมือเข้าไปอย่างหยาบช้า  แววตาฟู่เอ๋อสะท้อนภาพเปลวไฟลุกช่วงแล่นมาที่นาง   พริบตาชาบูหลั่นตาก็พุ่งมา
ขวางทาง   คบไฟกระแทกฝ่ามือก่อนดับวูบ  ทั่วบริเวณนั้นตกอยู่ในความมืด
          
            หัวหน้าคณะหัวเราะไม่ออก   ตะลึงจนตัวแข็งกับที่   เมื่อครู่เหมือนเขาเห็นใบหน้าคนสะท้อนกับ 
เปลวไฟที่เจิดจ้า!
                         
                            “  ทำไมล่ะ  ก็อยากเห็นข้าไม่ใช่หรือ  ”  เสียงทุ้มก้องคำรามขู่แต่ก็เย้ยหยันอยู่ในที
          
            ดวงตาฝ่ายนั้นกลอกไปมาอย่างตื่นตระหนก
                          
                          “  ถ้าวันนี้ปล่อยให้มนุษย์ปลายแถวอย่างพวกเจ้ามาดูถูกเหยียดหยามได้  อีกหน่อยแม้แต่
สุนัขข้างถนนก็คงหัวเราะเยาะข้า  ”
          
            ทันใดนั้นใบหน้ามังกรก็โผล่พรวดเกือบชนหน้าผู้อวดดี  เขาตะลึงตาค้าง  ตัวแข็งทื่อ  หนวดยาวๆ  
ยื่นไล้หน้าเหมือนแกล้ง  ร่างนั้นสั่นสะท้านแล้วรู้สึกถึงน้ำอุ่นๆเริ่มไหลมาตามหว่างขา
          
             ขนาดเทพบนสวรรค์ยังกลัวใบหน้านี้  แล้วเจ้านี่จะเหลืออะไร!
          
            ดวงตาที่ลุกโพลงถลึงจนแทบถลนออกนอกเบ้า  สีแดงก่ำเหมือนเปลวไฟเต้นเร่าๆอยู่ในขุมนรก    
เจ้าของใบหน้าสะพรึงอ้าขากรรไกรจนสุด   เผยแนวเขี้ยวยาวคมกริบประหนึ่งดาบเหล็กวาบวับสะท้อนอยู่ใน  
ดวงตาที่สั่นระริก
                         
                            “  ว๊ากกกกกกกกกกกกก  อ๊ากกกกกกกกกกกกก!!!  ”  หัวหน้าคณะแหกปากลั่นจน 
หูลั่นเปรี๊ยะ   ไม่รออะไรอีกแล้ว   คนอื่นๆสับสนวุ่นวายไปตามกัน    ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น    ทันใดนั้นก็มีเสียง
คำรามต่ำออกมาจากส่วนลึกของถ้ำ   พวกเขาขนลุกซู่ด้วยความหวาดผวา   แล้วพื้นก็สั่นสะเทือน   เศษหิน 
ร่วงกราว  ราวกับถ้ำจะถล่มทลาย  ไม่รอดูว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว  พวกเขารีบหนีออกจากถ้ำ   ลากหัวหน้าคณะ 
ที่กำลังจะลมจับออกไปอย่างทุลักทุเล    เสียงคำรามกึกก้องไล่ตามมาไม่ขาดระยะ    พวกเขารีบวิ่งลงเขา      
ล้มลุกคลุกคลานชุลมุน  กระทั่งเผ่นหายลับไป
          
             ฟู่เอ๋อเห็นพวกเขาไปแล้วและนายท่านไม่ได้รับอันตรายใดๆก็โล่งใจ  แต่รู้สึกผิดมากกว่าที่เป็นต้นเหตุ
ให้เขาต้องเจอกับเรื่องวุ่นวายเช่นนี้
                          
                          “  นายท่าน   ข้าขอโทษค่ะ  ”  นางคุกเข่าลง  “  เป็นเพราะข้าทำอะไรไม่คิดเลยทำให้
ท่านต้องเดือดร้อนอย่างนี้  ”
                          
                         “  ฟู่เอ๋อ  ”  เขาดึงตัวนางขึ้น  “  อย่าทำเช่นนี้   เจ้าไม่ผิดหรอก   เจ้าแค่อยากให้ทุกคน
รู้ว่าเทพมังกรฟ้าที่เจ้านับถือมีจริงเท่านั้น  ”
                          
                         “  แต่ข้าก็บอกผิดคน  ”  นางว่าตัวเอง  “  ทำให้พวกเข้ามาหยามท่านถึงที่   ซ้ำยัง    
จะทำร้ายท่านด้วย  ”
                          
                         “  ข้าเองก็ไม่ได้ห้ามเจ้าบอกใคร  ”  เขาบอก  “  ทั้งยังไม่นึกเลยว่าจะมีมนุษย์กล้า 
หยาบคายกับข้า  ฟู่เอ๋อ  เจ้าไม่ได้ตั้งใจ   เรื่องทั้งหมดไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น   เจ้าก็อย่าโทษตัวเองเลยนะ  ”
                         
                         “  ต่อไปข้าจะไม่บอกใครอีกแล้ว   ไม่บอกอีกแล้ว  ”
                         
                         “  ช่างเถอะฟู่เอ๋อ   ถึงเจ้าไม่พูด  คนพวกนั้นก็ต้องพูด  ” เขามั่นใจ
                          
                         “  แต่เมื่อครู่นายท่านดูน่ากลัวมาก   ข้าคิดว่า...  ”
                          
                         “  คิดว่าพวกเขาจะไม่ได้ออกจากถ้ำอีกเลยตลอดไป  ”  เขาพูดแทน  “  ข้าไม่ทำเช่นนั้น
หรอกฟู่เอ๋อ   สวรรค์ก็มีกฎ   เราจะไม่ฆ่าใครถ้าไม่จำเป็นจริงๆ   แต่ก็ยอมให้พวกเขาลบหลู่ไม่ได้    ข้าถึงได้  
แสดงฤทธิ์เสียพวกเขาหนีกระเจิง  ต่อไปพวกเขาจะไม่กลับมาที่นี่อีกแล้ว   และจะไม่มีใครกล้าลบหลู่ข้าอีก  
เพราะพวกเขานั่นแหละที่จะกระจายความน่ายำเกรงของเทพมังกรฟ้าออกไป  ”
                         
                          “  จริงสิ    เมื่อกี้ที่คนพวกนั้นขว้างไฟใส่     นายท่านเอาตัวมาบังข้าไว้    เป็นอะไร      
หรือเปล่าคะ  ”  นางจับมือข้างนั้นมาพลิกดูหลายตลบด้วยความเป็นห่วง
                          
                          “  ข้าเป็นเทพนะ  ไฟแค่นี้ทำอะไรไม่ได้หรอก  ”  ชาบูหลั่นตาพูดอย่างอ่อนโยน       
“  ขอบคุณนะที่ย้อนกลับมาช่วยข้า  ”
          
            นางยิ้มออก  “  ข้าน้อยก็ขอบคุณนายท่านที่ไม่ถือโทษและยังช่วยข้าน้อยไว้ด้วย  ”
          
            เทพมังกรยิ้มใจดี  แล้วเอื้อมจับหัวนางเขย่าไปมาอย่างเอ็นดู
 
          
           ชาบูหลั่นตาเดินออกมาจากค่ายฝึกนักรบสวรรค์    หยุดยืนดูผืนเมฆที่ทอดไปอย่างสุดไกล   แสงทอง
นุ่มนวลมองแล้วเพลินตา   พลันคิดถึงท้องฟ้ายามพระอาทิตย์ตกที่โลกมนุษย์   แสงแดงเรื่อ  ชมพู   และ    
ส้มอ่อนไล่เฉดเหนือดวงอาทิตย์แดงดวงโตตระการตา   กำลังเคลื่อนลงหายลับไปหลังเงาทิวเขาอย่างช้าๆ  
เป็นภาพที่สวยงาม  ที่สวรรค์ไม่เคยมี  แล้วก็คิดถึงฟู่เอ๋อ  ถ้าเป็นช่วงนี้นางคงจะสาละวนกับการช่วยมารดา    
ทำอาหารเย็น  ไม่รู้จะวิ่งจนขาขวิดขนาดไหน  คิดแล้วก็หลุดยิ้มออกมา   แล้วนึกถึงตอนที่วิ่งมาเตือนเขา     
ทั้งที่แรงเด็กอาจจะวิ่งไม่ทันผู้ใหญ่และทางมาถ้ำก็ค่อนข้างชัน   แต่นางก็ยังอุตส่าห์วิ่งมาเพื่อช่วยเขา        
จากอันตราย   จะว่าไปก็เป็นสหายที่คบได้เหมือนกัน   สหายต่างภพ...
                        
                              “  ทำไมมายืนเหม่อผู้เดียว   ชาบูหลั่นตา  ”
                         
                              “  ท่านเซิ่งตู่  ” ชาบูหลั่นตาได้สติ  “  ทำไมมาเงียบๆ  ”
                         
                              “  ข้าก็เดินมาปกติ  ”  เซิ่งตู่ว่า  “  เจ้านั่นแหละเหม่อจนไม่รับรู้สถานการณ์รอบตัว  
ถ้าตอนนี้จอมปีศาจโผล่มากะทันหันเจ้าคงตายไปแล้ว  ”
                         
                             “  ขออภัยขอรับ  ”  เทพมังกรกล่าว
                         
                            “  และก็คงตายทั้งรอยยิ้ม  ”
                         
                            “  หา  ”
                         
                            “  ทำไมหรือ  ”  แม่ทัพใหญ่ยิ้มล้อ  “  บนโลกมนุษย์มีอะไรดีนักถึงทำให้เทพมังกร
ยิ้มได้แทบทั้งวันหลังกลับมา   ไม่เว้นแม้แต่ตอนฝึก   แล้วยังมายืนเหม่อยิ้มผู้เดียวอีก  ”
                         
                            “  ตอนฝึกด้วยหรือขอรับ  ”  ชาบูหลั่นตาเพิ่งรู้
                         
                            “  ทุกคนคร่ำเคร่งอยู่คงไม่ทันเห็นแต่ข้าสังเกตเจ้าอยู่  ”
          
            ชาบูหลั่นตานึกถึงตอนที่เผลอทำทวนหล่นใส่เท้าตัวเอง   เจ็บแต่ก็เก็บทวนขึ้นมาฝึกต่อทั้งรอยยิ้ม
                         
                          “  เพราะอะไรหรือ  ”
          
            นั่นสิ   เพราะอะไร...
                         
                          “  คงเป็นเพราะที่โลกมนุษย์มีอะไรน่าสนุกแล้วก็สวยอย่างที่ท่านเคยบอกไว้จริงๆขอรับ  ”
                         
                          “  แต่ข้าว่าดูท่าจะเป็นคนมากกว่า   ”  เทพมังกรชะงักกับรอยยิ้มที่มีความหมาย...ที่เขา
ไม่เข้าใจ  “  แววตาและรอยยิ้มของเจ้ามันฟ้อง   ถึงข้าจะอยู่สวรรค์มานานมากแต่ยังจำประสบการณ์ตอนที่เป็น
มนุษย์ได้อยู่  ”
                         
                         “  ถึงข้าจะปะปนอยู่กับพวกมนุษย์แต่ก็ไม่ได้สนิทกับใคร   นอกจาก  นอกจาก...  ”
                         
                         “  ความรู้สึกดีๆทำให้มีความสุขก็เป็นเรื่องดี  ”  อีกฝ่ายเอ่ยขัด  “  แต่ก็อย่าให้กระทบ 
กับหน้าที่ของเจ้า   อย่าลืมว่าตัวเองเป็นใคร  ต้องทำอะไรบ้าง  ”
                         
                         “  ขอรับ   ข้าจะไม่มีทางเที่ยวเพลินจนละเลยหน้าที่  ”  เทพมังกรเข้าใจว่าหมายถึง  
เรื่องที่เขาไปเที่ยวโลกมนุษย์บ่อยๆ
                        
                       “  อีกอย่างที่อย่าลืมเจ้าเป็นเทพไม่ใช่มนุษย์เหมือนพวกเขา  ”  เซิ่งตู่พูดแล้วส่ายหน้าปลง 
“  เป็นไปไม่ได้  ”
          
            แล้วเขาก็ขอตัวเดินออกไป   ทิ้งให้ชาบูหลั่นตายืนงงๆ   ไม่เข้าใจ  อะไรที่เป็นไปไม่ได้
 
          
            ฟู่เอ๋อเดินเลียบถนนกลางตลาด  ผู้คนขวักไขว่เดินสวนไปมา  ทั้งมาจ่ายตลาดและหาบของเร่ขาย  
นางเดินช้าๆดูของตามแผงขายของข้างทางไปพลางๆ   จู่ๆก็มีเสียงตะโกนโหวกเหวกจากฟากหนึ่งของถนน
                       
                           “  ถอยไป   ถอยไป   ท่านขุนนางกำลังมา  ”
          
            คนตะโกนแต่งชุดเรียบง่ายเหมือนคนรับใช้    พวกเขาตะโกนแล้วเข้ามากันทุกคนให้เข้าไปรวม      
ที่ข้างทาง   นางก็ถูกดันไปด้วย   แล้วขบวนรถม้าก็เคลื่อนผ่านถนน   เสียงล้อเอียดอาดท่ามกลางความเงียบ
ของชาวบ้านรอบนอก   พวกเขาถูกสั่งให้ค้อมหัวทำความเคารพเมื่อรถม้าผ่านมา
                       
                            “  เราอยู่ของเราดีๆ   เขาเข้ามาทีหลังทำไมต้องให้คนอื่นหลีกทางให้  ”   ฟู่เอ๋อ    
ไม่ชอบใจ
                       
                            “  ก็เขาเป็นขุนนางที่ยิ่งใหญ่   ตระกูลเวยที่กุมอำนาจมากที่สุดในตอนนี้  ”  ป้าข้างๆ
กระซิบตอบนาง  “  อย่าไปขัดใจเลยเดี๋ยวจะเดือดร้อน  ”
           
          พอดีรถม้าของท่านขุนนางกำลังผ่านหน้านาง   ฟู่เอ๋อลอบเงยหน้า   เห็นชายหญิงแต่งกายหรูหราคู่หนึ่ง
และเด็กหนุ่มท่าทางนิ่งขรึม   เขามองลงมา   สบตากับนาง  แต่ใบหน้านั้นก็นิ่งเฉยกระทั่งผ่านพ้นไป   เมื่อหมด
รถม้าคันสุดท้าย   ชาวบ้านที่หลบอยู่ข้างทางก็แตกตัวดำเนินชีวิตตามปกติ   ฝ่ายฟู่เอ๋อยังยืนที่เดิม   คิดในใจว่า
คนพวกนั้นก็เป็นคนเหมือนกันไม่เห็นจะวิเศษตรงไหน   กลับทำท่าเย่อหยิ่งบังคับให้คนอื่นก้มหัวให้   ไม่เหมือน
นายท่านของนาง   เขาคือเทพมังกรฟ้า   ยิ่งใหญ่กว่าคนพวกนี้เป็นไหนๆ   กลับมีท่าทีเป็นกันเอง   ไม่ถือตัว 
แม้แต่น้อยแม้นางจะต่ำต้อยกว่าเขามาก   และถ้าเขาผ่านมาทางนี้แบบวันนี้   ก็คงจะเดินมาอย่างคนธรรมดา    
ไม่บังคับให้ใครต้องถอยมายืนข้างทางแล้วครองถนนอยู่ผู้เดียว   และถ้าจะมีใครมาก้มหัวให้ก็คงก้มให้ด้วยใจ
                                                                                                                               
          
           หลังจากนั้นชาบูหลั่นตากับฟู่เอ๋อเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน   นับวันจะสนิทสนมกันยิ่งขึ้น   เขามีความสุข 
เมื่อได้อยู่กับนาง   ได้ท่องเที่ยวไปที่ต่างๆที่สวยงาม   สนุกสนาน   ได้ปะปนไปกับชาวบ้าน   ใช้ชีวิตอย่าง   
คนธรรมดา   กับนางที่ยอมรับเขาได้และเข้าใจเขา   ฝ่ายนางก็เช่นกัน   นางมีความสุขอย่างประหลาดทุกครั้ง 
ที่อยู่กับเขา   นางจะขึ้นไปที่ถ้ำแล้วเขาก็จะพานางไปเที่ยวที่ต่างๆด้วยกัน   เป็นเช่นนี้จนวันเวลาล่วงเลยไป
หลายปี
                    
          
            เท้าคู่หนึ่งวิ่งย่ำน้ำสาดกระเซ็น   ดินริมตลิ่งยุบลงเป็นรอยขณะเท้าคู่นั้นวิ่งผ่าน   เจ้าของถลกกระโปรง
สีหม่นสูงกว่าเข่าวิ่งอ้าวหนีอีกคนที่ไล่ตามมา
                       
                          “  จะหนีไปไหน   หยุดเดี๋ยวนี้นะ  ”
          
           ชาบูหลั่นตาวิ่งไล่ตามมาติดๆ    แม้ผ่านมาหลายปีแล้วแต่ใบหน้าเขาก็ยังไม่เปลี่ยนไปเลย    ยังดู 
หนุ่มแน่นและสดใสเหมือนเมื่อตอนที่จักรพรรดิสวรรค์เสกร่างเขาให้เป็นเช่นนี้   เด็กสาวที่เขาไล่ตามมากระโจน
โครมลงน้ำ   เขาโดดตามไปทันที
                        
                          “  จับได้แล้ว  ”
         
            ถึงนางจะเปียกปอนไปทั้งตัวแต่ก็หัวเราะร่า   วักน้ำสาดใส่เขา
                        
                           “  นี่แน่ะๆ  ”  นางยิ้มสดใส
         
            เทพมังกรจัดการกลับ   นางแทบหงายหลังเพราะคลื่นน้ำใหญ่
                       
                        “  แค่กๆ   ไม่ไหวแล้ว  ”  นางไต่กลับขึ้นมานั่งหอบแฮ่กๆบนตลิ่งเพราะเหนื่อยและหายใจ
ไม่ทัน  “  นายท่านวิ่งเร็วชะมัด   โอ๊ยเปียก   เปียกไปหมดแล้ว  ”
                       
                        “  ข้าแค่ก้าวตามเจ้ามาเท่านั้นนะ   ถ้าให้วิ่งจริงเจ้าไม่ทันได้ออกตัวหรอก ”ชาบูหลั่นตาว่า 
“  อีกอย่างวิ่งบนนี้ก็ได้แล้วเจ้าโดดลงน้ำทำไม  ”
                        
                        “  ข้ายอมแพ้ท่านแล้วเลยโดดลงน้ำ  ”
                       
                        “  เพื่อสาดน้ำใส่ข้าแทน   เนี่ยนะยอมแพ้ของเจ้า   แม่เด็กเจ้าเล่ห์  ”
          
          เทพมังกรกระตุกผมนางเบาๆอย่างนึกหมั่นไส้   ทีนี้มวยผมที่คลอนแคลนเพราะวิ่งกระแทกมาตลอดทาง
ก็หลุดสยาย  นางสลัดหัวอย่างแรงให้ผมที่ลงมาปิดหน้ากระจายออกไป   มือบางเสยขึ้นค้างไว้   ดวงตากลมโต
แวววาวเหมือนตาลูกกวางจิกตอบเล็กน้อย   แล้วหัวเราะ  ร่าเริงแกมขบขัน
                        
                           “  นี่แน่ะ  ”  นางผลักเขาจนเซแล้ววิ่งหนี
                        
                           “  ฟู่เอ๋อ!  ”  ชาบูหลั่นตาตะโกนไล่หลัง  “   ไหนว่ายอมแพ้แล้วอย่างไรล่ะ”
                        
                           “  ข้าแค่นั่งพัก  ”  นางหันมาตอบ
                        
                           “  ร้ายจริงๆ   อย่าหนีนะ  ”
          
           นางวิ่งโร่เดี๋ยวเดียวก็หายไป   ชาบูหลั่นตาเข้าใจว่านางเข้าป่าไปแล้ว   ที่แท้นางหลบอยู่หลังพุ่มไม้  
พอเห็นเขาแล่นผ่านไปก็หัวเราะเบาๆแล้ววิ่งไปทางตรงข้าม
          
            หญ้าตามลาดเชิงเขาพลิ้วระลอกดูเป็นคลื่นสีเขียวละลานตา   ร่างบางสั่นเล็กน้อยเพราะต้องลม  
เหลียวไปดูทางที่วิ่งมา   ไม่เห็นแม้แต่เงาของผู้ไล่ตามก็ลดความเร็วลง   เป็นเดินท่องเที่ยวอย่างสบายใจ   
นางเห็นต้นท้อต้นหนึ่งขึ้นเด่นกลางทุ่งหญ้า   ดอกของมันสีชมพูอ่อนแกมขาวบอบบาง   ยามสายลมโบกสะบัด  
มันก็โรยร่วงราวกับความฝัน   ข้างใต้ต้นนั้นมองเป็นพรมสีชมพูละมุนตา   ดึงดูดให้นางเข้าไปใกล้   นางก้มเก็บ
ดอกหนึ่งขึ้นมาดม   กลิ่นหอมอ่อนๆให้ความสดชื่นและน่าหลงใหลไม่น้อย   นางแหงนหน้าขึ้นดูอย่างตื่นตา   
มัวเพลิดเพลินอยู่พักหนึ่งก็เริ่มรู้สึกว่ามีใครกำลังจ้องนางอยู่   นางหันไปดู   ชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งบนหลังม้า    
ไม่ไกลจากนางนัก   พอเห็นว่านางมองตอบเขาก็ขับม้าเข้ามาใกล้   แล้วลงจากม้า
                          
                              “  ท่าน...  ”  ฟู่เอ๋อพินิจเขา   ชายหนุ่มเบื้องหน้ารูปร่างสูงใหญ่   ผิวคล้ำกว่านาง
เล็กน้อย   คิ้วเข้ม   ดวงตาคมคายฉายแววมุ่งมั่นอยู่ภายใน   และท่วงท่าองอาจดังพยัคฆ์  นางคุ้นหน้าไม่มาก  
จำได้ว่าอาจเคยเห็นเขา   ฝ่ายเขาเห็นนางตั้งแต่อยู่ไกลๆ    รู้สึกว่าแม่นางผู้นี้มีความงดงามที่น่าสนใจ   พอ 
เข้ามาใกล้ขนาดนี้ก็ยิ่งรู้สึกว่ามองถูก   ดวงตากลมโตแวววาวฉ่ำน้ำดังตาลูกกวาง   คิ้วโค้งได้รูป   จมูกโด่ง  
เป็นสันงาม   เรียวปากเล่าก็ชมพูอ่อนดังมวลบุปผา   ดวงหน้าเรียวเสลา   และรูปร่างก็บอบบางราวกับดอกท้อ 
ที่รายล้อมนางอยู่
                          
                             “  นี่คือมนุษย์หรือนางไม้แห่งต้นท้อ...  ”
          
            ฟู่เอ๋อฟังแล้วงวยงง  “  นายท่าน...  ”
                          
                           “  อ้อ  ขอโทษ   เจ้าเป็นมนุษย์ใช่หรือไม่  ”
          
            นางกระพริบตาถี่ๆแล้วพยักรับงงๆ   เขายิ้มแก้เก้อแล้วว่า
                          
                          “  เจ้าเป็นใคร   ชื่ออะไร   บ้านอยู่แถวนี้หรือ  ”
                          
                          “  ข้าน้อยแซ่เฉิน  ชื่อฟู่หลาน   อยู่ที่หมู่บ้านด้านล่างเชิงเขาค่ะ  ”
                          
                          “  ฟู่หลานหรือ  ข้าแซ่เวย  ชื่อยิน  ที่นี่เป็นบ้านเกิดของข้า   บ้านข้าอยู่ในตัวเมือง  ”
                          
                          “  ตระกูลเวย?  ” 
                          
                          “  ใช่แล้ว  ”
           
         ฟู่เอ๋อนึกถึงเจ้าของขบวนรถม้าที่นางต่อว่าเมื่อหลายปีก่อน   นางพอนึกออกแล้ว   คงเป็นเขา   เด็กหนุ่ม
ท่าทางนิ่งขรึมเย็นชาคนนั้น   แต่วันนี้กลับมีท่าทีสุภาพใจดี
                          
                       “  ข้าขอเรียกเจ้าว่าฟู่เอ๋อได้ไหม  ”
            
            นางอยากปฏิเสธว่าเขากับนางไม่สนิทกันขนาดนั้น  แต่ก็กลืนคำพูดนั้นกลับไป   เมื่อนึกถึงคำพูด 
ของป้าคนนั้น   พวกเขาเป็นขุนนางที่ยิ่งใหญ่   อย่าขัดใจจะดีกว่า  
                          
                           “  เจ้าค่ะ   นายท่านเวย  ”
                          
                           “  เรียกข้าว่ายินเฉยๆเถอะ  ”  เขาบอก
                          
                           “  ท่านเป็นถึงขุนนาง   ลูกชาวไร่ต่ำต้อยอย่างข้าน้อยไม่บังอาจ  ”
                          
                           “  อย่าเกรงใจเลย   เจ้ากับข้าก็คนเหมือนกัน   ไม่มีใครต่ำหรือสูงกว่าใคร   เรียกว่ายิน
ก็ได้  ”
                          
                           “  ข้าน้อยขอเรียกว่าท่านยินดีกว่า  ”  นางกล่าว
                         
                           “  เอาเถอะ  ”  เขายอมแพ้  “  ข้าต้องขอโทษด้วยที่เมื่อครู่ออกจะพูดเพ้อ แต่เจ้า     
รู้ไหม    ความงามของเจ้ายิ่งมายืนใต้ต้นท้อยิ่งขับความงามเจ้ายิ่งโดดเด่น    งดงามและบอบบางเหมือน     
แม่นางดอกท้อ  ”
          
            ฟู่เอ๋อที่ไม่เคยได้รับคำชมจากชายใดรู้สึกขวยเขินไม่น้อย   ยินเอื้อมเด็ดดอกท้อแล้วยื่นให้นาง
                          
                           “  แม่นางดอกท้อ...  ”
         
            ฟู่เอ๋อหัวใจเต้นโครมครามไม่เป็นจังหวะ   ยื่นมือไปรับอย่างขัดเขิน   ยินยิ้มปลื้ม   นางไม่กล้ามอง
หน้าเขา  ได้แต่จ้องดอกท้อในมืออย่างเอียงอาย   ฝ่ายชาบูหลั่นตาตามหานางไม่เจอ   จับญาณดูรู้ว่านางอยู่ใต้
ต้นท้อ  มาถึงพอดี   เห็นนางอยู่กับชายที่เขาไม่รู้จัก   ทั้งคู่ส่งยิ้มหวานกันไปมา  และชายคนนั้นก็จ้องนาง  
ด้วยแววตาหยาดเยิ้ม   เขารู้สึกใจหายวาบขึ้นมาทันที
          
                        คนๆนั้นเป็นใคร  แล้วทำไมนางถึงมีรอยยิ้มในแบบที่เขาไม่เคยเห็น
           
             ด้วยความสงสัยและร้อนรนหมายคำตอบ   เขาดิ่งไปหาทันที
  

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา