Chabulanta ตำนานรักเทพมังกร
6.6
เขียนโดย Xian_xi
วันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2556 เวลา 15.34 น.
13 ตอน
20 วิจารณ์
18.98K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 13.18 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) เทพมังกรผู้เดียวดาย
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ แมกไม้เขียวชอุ่มแผ่กิ่งใหญ่ซับซ้อนจนแทบเห็นเป็นผืนเดียวกัน สายหมอกเย็นเคล้าเคลียหยอกใบ
สีหยก ดอกไม้นานาพันธุ์ที่เคยเบ่งบานชูดอกสะพรั่งบัดนี้กลับเหงาหงอยเซื่องซึมด้วยไม่มีใครมาชื่นชมอีกแล้ว
ผลไม้สุกน่ากินรอเก้ออยู่บนต้นแม่ อยากจะปลิดตัวเองลงมาก็ทำไม่ได้เพราะไม่มีใครต้องการมัน
อุทยานใหญ่ร้างทวยเทพ มีเพียงส่ำสัตว์ที่ออกหากินตามปกติ ยอดหญ้าชื้นน้ำค้างและผลไม้สุก
เป็นอาหารอย่างดีสำหรับพวกมัน กวางเผือกขนแวววาวเล็มหญ้าอ่อนเหนือเนินเขา กระต่ายปุยฝ้ายตาสีฟ้า
สดใสโดดไปมามองหาอาหาร ต้นไม้ใดที่มีผลล้วนคลาคล่ำไปด้วยนกหลากชนิด บินโฉบเข้าโฉบออก ทั้ง
ตีปีกและจิกผลไม้สุกจนกิ่งไหวโอนเอน สั่นระรัวไปทั้งต้น พวกมันไม่จำเป็นต้องเดินทางไกลหาอาหารเพราะ
ไม่ว่าที่ใดที่มันไปต่างมีอาหารทั้งสิ้นและเพียงพอกับทุกตัว ทั้งยังไม่ต้องกลัวเกรงอันตรายใดๆเพราะที่นี่ไม่มี
สัตว์กินเนื้อ เว้นแต่...และพวกมันก็อาศัยอยู่ที่นี่อย่างสงบสุขตลอดมา
ทุกตัวต่างเดินกินอาหารไปเรื่อยๆ แต่ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ใจกลางอุทยานที่ชาวสวรรค์ขนานนามว่า
‘ ดงลำนำ ’ ดงนี้เป็นส่วนพิเศษและแตกต่างจากที่ใดในอุทยานที่ชาวสวรรค์ต้องมาให้ได้ กล่าวกันว่าถ้า
ไม่มาที่นี่ก็ถือว่ามาไม่ถึงอุทยานสวรรค์
ดงลำนำเป็นที่ตั้งของต้นไม้เงินสิบต้นซึ่งเรียงล้อมใจกลางเป็นวงกลมใหญ่ ใบของมันวาววับ ทอแสง
เงินสุกใส ไม่ว่าอยู่ไกลแค่ไหนก็เป็นที่สังเกต ใบเหล่านี้หากกระทบเสียดสีกันก็จะเกิดเสียงใสก้องกังวาน
ขจรไกลไปทั่ว ใครที่ได้ฟังก็ต้องเคลิบเคลิ้มลืมตัวประหนึ่งใจประสานเป็นหนึ่งเดียวกับทำนองเพลง โชคดีที่
บริเวณนี้มักมีสายลมอ่อนมาจากไหนไม่รู้พัดให้ใบไหวเสียดสีดังคำสั่งให้นักดนตรีบรรเลงเพลงเพราะอย่างนั้น
แล้วสักพักลมก็ยิ่งกระพือโหมทำให้ลำนำใบไม้เงินไพเราะสุดบรรยาย สะกดจิตใจผู้ฟังให้นิ่งงัน ดื่มด่ำนาน
เท่านาน ใครที่เข้ามาจะออกไปได้ต่อเมื่อลมหยุดพัดเท่านั้น ซึ่งก็เพียงครู่เดียว
เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วผสานสายน้ำไหลรินเป็นสิ่งเดียวที่แสดงว่าในอุทยานใหญ่นี้ยังคงมีสิ่งมีชีวิต
ขณะที่สัตว์อื่นเลือกจะเล็มอาหารอย่างเงียบๆ
ทันใดนั้นก็มีเสียงลั่นครืดยาวราวกับใครมาถอนรากถอนโคนต้นไม้แล้วกำลังลากไปอย่างนั้น สัตว์
ทั้งหลายตกใจผวาหนีไปตั้งหลักเสียไกล แต่แล้วเสียงประหลาดนั้นก็หายไปพร้อมกับลำนำใบไม้เงินเริ่มครวญ
แว่วมา พวกมันหันรีหันขวางแล้วถอยไปหากินที่อื่นที่ไกลมากกว่านี้
ทันใดเกิดเสียงครืดลั่นอีกครั้ง คราวนี้บรรดานกฝูงแตกกระจาย พอเสียงสงบไก่ฟ้าที่หากินบริเวณ
เดียวกันก็หายไปรวดเดียวสามสิบตัว ที่เหลือไม่ลังเลอีกแล้วรีบโจนหนีหายไปอย่างรวดเร็ว
ลำตัวมหึมาลากท้องพลุ้ยกลับไปที่ดงลำนำ แล้วทิ้งตัวแผ่หลากลางวงต้นไม้เงินลมอ่อนเริ่มโชยมา
เหล่าใบไม้เงินเริ่มต้นบรรเลงเพลงกังวาน ลำตัวยาวเหยียดพาดทับโคนต้นไม้ไปไกลหลายสิบต้น
ทุกอย่างกลับเข้าสู่ความเงียบสงบ มีเสียงกรนเบาๆมาจากร่างยักษ์ที่นอนสงบนิ่ง
ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินเสียงเพลงหวานที่ไม่ใช่ลำนำใบไม้เงินมาจากที่ไหนสักแห่ง มันปรือตาขึ้น
อย่างง่วงงุน ภาพข้างหน้าพร่าเลือนเห็นอะไรสีเงินเคลื่อนไหวๆบนกิ่งไม้ แล้วชัดขึ้น มันเห็นนกประหลาด
ตัวหนึ่ง ขนของมันสีเงินแวววาวเฉกเช่นใบไม้เงิน หางเป็นแพยาวขยับขึ้นลงตามจังหวะเยื้องย่าง ทุกท่วงท่า
จะเหลือบสีสันต่างๆดูน่าอัศจรรย์ มันเดินเล็มใบเงิน ทันใดนั้นก็บินถลาไปอีกกิ่งที่อยู่ไม่ไกลนัก แล้วโก่งคอ
ร้องเสียงหวาน
เจ้ามังกรนอนดูเพลินๆพักหนึ่งแล้วจะลุกหมายจะไปดูใกล้ๆ แต่นกสีเงินเหลือบเห็นก่อน มันร้องกี๊ด
แล้วสลัดปีกบินชนต้นไม้ถลามาทางมังกร มันร้องเสียงแหลมกว่าเดิมแล้วรีบกระพือปีกหนีไปอย่างตระหนก
เจ้ามังกรเฝ้ารอนกตัวอื่นอยู่พักใหญ่ แต่ก็ไม่มีตัวไหนผ่านมาทางนี้อีกเลย มันเหลียวซ้ายแลขวาเห็นสระน้ำ
อยู่ไม่ไกลนัก จึงค่อยๆคืบคลานไปอย่างระมัดระวัง
น้ำในสระใสกระจ่างจนมันสามารถเห็นใบหน้าตัวเองอย่างชัดเจน ใบหน้าที่ดูดุดันนี่หรือน่าเกลียด
น่ากลัวขนาดที่สรรพสัตว์ในป่าแห่งนี้ยังทนไม่ได้
กลิ่นหอมอ่อนๆของบัวขาวช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นบ้าง มันเริ่มเห็นปลาว่ายขึ้นใกล้ผิวน้ำ ทีละตัว
สองตัว สะบัดหางว่ายคลอเคลียกัน ปลาสีทอง แดง เขียว เงินยวง ส้ม น้ำเงินและดำว่ายวนต่อกัน
เป็นวงกลม ไม่มีแตกแถว แต่ละตัวมีเกล็ดแวววาวสุกปลั่งงดงาม
กบสีทองโผล่หน้าออกมาจากหลังกอบัว โดดไปมาระหว่างใบบัวสีหยก เจ้ามังกรขยับลูกตาตาม
กบมาทางมัน
อ่อบ!
มันหยุดเกือบทันทีแล้วร่วงตุ๋มลงไปในน้ำ อีกฝ่ายรีบมองลงไป ลูกตาวาวเล็กๆจ้องตอบแล้วหายวืด
ไปใต้ก้อนหิน เจ้ามังกรมองหาอย่างไรก็ไม่เจอเลยละสายตาไปดูพวกปลาแทน มันยื่นหน้าเข้าใกล้ผิวน้ำ
ทุกที กระทั่งปากจุ่มน้ำมิดเกือบถึงตา พอดีปลาตัวหนึ่งกลอกตาขึ้นเบื้องบน เห็นเขี้ยวแหลมๆเข้าก็ตกใจ
สะบัดหางว่ายไปทิศตรงข้าม ตัวอื่นที่ว่ายตามหลังมาถูกชนชุลมุน ทั้งวงแตกกระจาย พวกมันว่ายสวนกัน
วุ่นวายแล้วหายไปทั้งหมดในเวลาไม่นาน ท้องน้ำกลับสู่ความสงบอีกครั้ง มันโงหัวขึ้นจากน้ำ
มันทำคอตก จะมีใครบ้างที่ไม่หนีมัน จะมีใครบ้างที่ไม่กลัวมัน จะมีใครบ้างที่ยอมเป็นเพื่อนกับมัน
มันมองไปรอบๆ ไม่มีใครเลย ทั่วอุทยานเงียบสนิท โดยเฉพาะรอบตัวมัน!
เสียงย่ำหญ้าถี่ขึ้น แม้จะแผ่วเบา แต่เจ้ามังกรก็สัมผัสได้ว่ามีใครกำลังมาทางนี้ มันขยับตัวอย่าง
เบาที่สุดขณะเพ่งไปทางนั้น
ทั้งที่มันหลบมาอยู่ในป่าลึกขนาดนี้แล้ว ทำไมพวกเขายังตามมารังควาน
ชายผู้หนึ่งเลี้ยวออกมาจากเงาไม้ครึ้ม เขาสวมชุดไหมทองระยับ
ทันใดนั้นเจ้ามังกรก็รู้สึกหวงอุทยานที่มันยึดเป็นที่อาศัยมาหลายวัน และโกรธด้วยคิดว่าอีกฝ่ายจะมา
ไล่ที่อีก มันคำรามขู่
แต่ผู้มาใหม่ยิ้มตอบ ไม่สะทกสะท้าน
มันจึงพุ่งเข้าหา ต้นไม้หลายสิบต้นถล่มระเนระนาด ชายผู้นั้นยังยืนสงบกระทั่งมังกรไปถึง เขายกมือ
ยันหน้าผากมัน มันไปข้างหน้าไม่ได้จึงม้วนตัวกลับ สะบัดหางฟาดกิ่งไม้ใหญ่เหนือศีรษะเขาหักร่วง
จักรพรรดิเงยพระพักตร์ พริบตาพระองค์ก็ปรากฏอีกฟาก
เจ้ามังกรพยายามหมุนตัวกลับ แต่ติดสิ่งกีดขวางเต็มไปหมด
“ เจ้าตัวใหญ่และมีกำลังมหาศาลก็จริง แต่ก็น่ากลัวสำหรับที่โล่งเท่านั้น เมื่ออยู่ใน
ที่แคบ ร่างกายที่ใหญ่โตจะเป็นอุปสรรคต่อตัวเจ้าเอง ”
พระองค์ทรงพุ่งเข้าหา มันตกใจดีดตัวหนี ต้นไม้ใหญ่น้อยล้มครืน ทรงทะยานข้ามลำตัวมหึมา
แล้วหมุนองค์ฟาดหัตถ์ไปที่ลำตัวมัน เจ้ามังกรสะเทือนตามแรง ใบหน้าฉายความเจ็บปวด ก่อนทั้งร่าง
จะหล่นวูบ
“ เรากำเนิดมาในอาณาเขตของสวรรค์เช่นกัน ไม่ควรจะมาสู้กัน ”
ทรงตรัสกับมันที่หมอบบนพื้น มันคำรามขู่ พยายามจะขยับตัวให้ได้ แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล
“ เพราะร่างกายที่ใหญ่โตเกินไป อาจสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น ” ทรงแตะ
หน้าผากมัน แสงสีขาวเรืองไหลผ่านพระหัตถ์เข้าสู่ศีรษะเจ้ามังกร “มาอยู่กับข้าเถิด แล้วเจ้าจะได้รับ
การยอมรับจากทุกคน ”
แววตาที่ประกายกล้าด้วยเพลิงโกรธกลับอ่อนลง ดูท้อแท้และเศร้าใจเมื่อนึกถึงสีหน้าท่าทางของคน
ที่โห่ไล่มันเมื่อหลายวันก่อน ไม่รู้ว่าเกลียดชังอะไรกันนักหนา ทั้งที่มันไม่เคยทำอะไรให้เลย แล้วคนผู้นี้
เป็นใครกัน คิดว่าจะทำให้คนใจร้ายพวกนั้นยอมรับมันได้หรือ
“ ข้าคือจักรพรรดิผู้ปกครองโลกสวรรค์ เป็นใหญ่สูงสุดกว่าเทพทั้งมวล มีนามว่าเป่าซิน
ทุกคนล้วนยำเกรงข้า เจ้าไม่ต้องกลัวสิ่งใดทั้งนั้น ข้าจะปกป้องเจ้าเอง ”
มันมององค์จักรพรรดิ ทรงแย้มพระโอษฐ์เชื่อมั่น
มันกลอกตาลง
ถ้ายังอยู่อย่างนี้ก็ต้องใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว ไม่มีครอบครัว ไม่มีเพื่อน ไม่มีใครสนใจเหลียวแล
มันลองหยั่งความรู้สึกตัวเองว่าจะทนต่อไปได้ไหม แม้ที่ผ่านมาจะเริ่มชินชากับสภาวะแบบนี้แล้วก็ตาม แต่มัน
อยากอยู่แบบนี้ตลอดไปไหม
ไม่...
มันรู้ว่าตัวเองยังต้องการ
มิตรภาพ ความรัก ความเอาใจใส่และได้รับการยอมรับจากทุกคน
ถ้าเช่นนั้นก็สู้ยอมเชื่อชายผู้นี้สักครั้ง แม้จะไม่มั่นใจเท่าไรนักว่าจะได้รับสิ่งนั้นจริงๆ แต่ถ้ามีโอกาส
ที่จะเสี่ยง มันควรปฏิเสธหรือ
เจ้ามังกรค่อยๆหมอบกายลงโดยยังชูศีรษะไว้ มองจักรพรรดิครู่หนึ่งแล้วค้อมศีรษะ พระองค์
ดีพระทัยยิ่งนัก ทรงลูบศีรษะมันอย่างอ่อนโยน
“ ข้าขอตั้งชื่อเจ้าว่าชาบูหลั่นตา ต่อจากนี้เจ้าคือพาหนะของข้า จงติดตามข้าไป
ทุกที่ มาเถิด จะไม่มีผู้ใดรังเกียจหรือผลักไสเจ้าได้อีก ”
รอยยิ้มสดใสปรากฏทั้งบนใบหน้าและดวงตาที่เป็นประกายด้วยความหวังของชาบูหลั่นตา
ฝ่ายผู้ตามเสด็จยืนรออย่างกระวนกระวายที่นอกเขตอุทยาน เพราะเสียงต่อสู้อย่างหนักหน่วงเมื่อครู่
จู่ๆก็เงียบไปกะทันหัน และเป็นความเงียบที่ยาวนาน เซิ่งตู่เดินกลับไปมาด้วยความร้อนใจ แล้วทำท่า
จะเข้าไปในอุทยาน
“ ช้าก่อน ” เอ่อจี้ร้องห้าม “ องค์จักรพรรดิทรงมีพระบัญชาห้ามมิให้พวกเรา
ตามเสด็จเข้าไป ท่านลืมไปแล้วหรืออย่างไร ”
“ แต่ข้าเป็นห่วงพระองค์ จู่ๆเสียงก็เงียบไปอย่างนี้แล้วจะมัวนิ่งนอนใจได้อย่างไรกัน ”
“ องค์จักรพรรดิเสด็จออกมาแล้ว! ”
พวกเขาหันขวับไปทางนั้น ฉับพลันพื้นดินก็สั่นสะเทือนจนร่างโอนเอนไปตามกัน จักรพรรดิสวรรค์
ทรงดำเนินออกมาอย่างสง่างามโดยมีเจ้ามังกรตามมาเบื้องหลัง
พวกเขาตื่นตะลึงไม่คิดว่าจะได้เห็นมันใกล้ขนาดนี้ พอได้สติเซิ่งตู่ก็มองพระองค์ ทรงพยักหน้า
“ นี่คือชาบูหลั่นตา ” พระองค์ตรัส “ ต่อไปนี้เขาจะมาเป็นพาหนะของข้า เราคุยกัน
รู้เรื่องแล้ว เขาไม่มีเจตนาร้าย ดังนั้นพวกท่านไม่จำเป็นต้องกลัวเขา ฝากตัวพวกเขาหน่อยสิ ”
ชาบูหลั่นตาก้มหัวอย่างนอบน้อมที่สุด อีกฝ่ายทำหน้าเลิกลักแต่ก็โค้งตอบ
“ รีบไปกันเถอะ ตอนนี้ทุกคนคงรอข้าอยู่ ”
พาหนะทรงตัวใหม่รู้หน้าที่ดีจึงยอบกายลงให้พระองค์เสด็จขึ้นไป พอพระองค์ทรงประทับมั่นแล้ว
มันก็มุ่งทะยานไปทางเมือง
พวกในเมืองจะมีสีหน้าแบบไหนนะ ชาบูหลั่นตาถามทั้งที่รู้คำตอบดี แต่นึกไม่ออกว่าพวกเขาจะมี
ท่าทีอย่างไรต่อมัน
หลังคาทองคำส่องประกายวิบวับอยู่ไกลๆ มันมองลงไปเบื้องล่าง เห็นชาวเมืองออกมายืนออ
เต็มไปหมด ทั้งบนถนนและหน้าประตูเมือง พวกเขาเฝ้าดูด้วยท่าทีหวาดหวั่น พอเห็นจักรพรรดิทรงประทับ
เหนือเจ้ามังกรก็โห่ร้องออกมาอย่างยินดีในชัยชนะ หนึ่งในนั้นตะโกนทรงพระเจริญแล้วอีกหลายเสียงก็ขานรับ
ต่อกันเป็นทอดๆ จนในที่สุดก็กลายเป็นเสียงกระหึ่มกึกก้อง พระองค์ทรงแย้มโอษฐ์รับอย่างเบิกบาน
แต่เจ้ามังกรกลับนึกหดหู่และน้อยใจที่ใครๆก็เห็นมันเป็นเจ้าตัวร้าย
เซิ่งตู่ทูลถามว่าจะให้ชาบูหลั่นตาอยู่ที่ไหน เพราะมันใหญ่โตเกินกว่าจะให้อยู่ในเมือง
“ ข้าจะให้เขาอยู่ที่เดิม เพียงแต่เวลาข้าเรียกหาให้เข้ามาทางช่องข้างท้องพระโรงที่มี
ขนาดใหญ่พอให้เขาผ่านเข้ามาได้ ”
ไม่เคยมีช่องแบบนั้นหรอก เอ่อจี้ฟังแล้วก็รู้ว่ามีงานเข้า
จากนั้นจักรพรรดิเป่าซินทรงประกาศชื่อและฐานะต่อไปของชาบูหลั่นตาให้ชาวสวรรค์ทราบโดยทั่วกัน
เจ้ามังกรมองไปรอบๆ ไม่มีผู้ใดหนีมันอีกแล้ว และพวกเขาก้มศีรษะทำความเคารพมัน
“ ท่านชาบูหลั่นตา ”
มันรู้สึกมีความสุขและโล่งใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ราวกับอากาศรอบตัวแผ่ขยายไปไพศาล
ราวกับเห็นทุ่งดอกไม้อันงดงามและมีนกสีเงินมาเต้นระบำอยู่รอบๆ ล่องลอยอยู่ในความสุขและเบิกบานใจ
ด้วยอารมณ์นั้นจึงชูคอขึ้นแล้วคำรามก้อง
เสียงกรีดร้องแผดมาจากไหนไม่รู้ ชาวสวรรค์ต่างถอยกรูดไปทันที มันทำหน้างง งุนงงและหวั่นใจ
“ พวกเขายังไม่ชินกับเจ้า ” จักรพรรดิทรงลูบหัวปลอบมัน แล้วตรัสกับประชาชน
“ ไม่ต้องกลัวเขาหรอก ”
พวกเขาจึงคลายการรวมตัวออกมายืนที่เดิม
นับจากนั้น ครั้งใดที่จักรพรรดิเป่าซินทรงประสงค์จะเสด็จไปที่ไหน ก็จะรับสั่งให้ลั่นกลอง ครั้น
เสียงกลองก้องไปถึงอุทยานนอกเมือง ชาบูหลั่นตาได้ยินก็จะรีบมา แล้วชาวสวรรค์ก็จะเห็นมังกรตัวใหญ่เหาะ
เข้ามาทางช่องข้างท้องพระโรงอย่างเริงร่า
วันหนึ่ง เสียงกลองในท้องพระโรงก็ลั่นขึ้น
ชาบูหลั่นตาที่นอนสงบอยู่ลืมตาผึง นกสีเงินตกใจเสียงถลาร่อนขึ้นเบื้องบน ก่อนเจ้ามังกรจะทะยาน
ขึ้นมุ่งไปทางตำหนักใหญ่ ชาวสวรรค์รีบหลบหลังสิ่งก่อสร้าง ใครอยู่ใกล้ตำหนักตน หลบเข้าตำหนัก ใครอยู่
บนถนนก็รีบซ่อนตัวตามที่ต่างๆ ลำตัวสีหยกแล่นฉิวเหนือพวกเขา วนรอบตำหนักสองรอบแล้วมุดหายเข้าไปใน
ช่องว่างขนาดใหญ่
ภายในท้องพระโรงสว่างไสวด้วยแสงเรืองรองจากอัญมณีประดับผนัง พื้นหยกวาววับสะท้อนเงา
เพดานทองอร่ามและเสาแดงต้นตระหง่าน ระหว่างเสาเหล่านั้นเคยเป็นที่ยืนของบรรดาขุนนางยามจักรพรรดิ
เสด็จออกว่าราชการ แต่บัดนี้ไร้ผู้ใด เหลือเพียงจักรพรรดิทรงประทับบัลลังก์หยกขาวอ่านรายงานต่อ
ด้วยพระพักตร์สงบนิ่ง ชาบูหลั่นตาเข้ามาถึงก็ยอบกายลงต่ำกว่าผู้เป็นนาย
“ มาแล้วหรือ ” จักรพรรดิเป่าซินทรงละพระเนตรจากรายงาน “ ทุกทีเรียกเจ้ามา
แล้วต้องไปเลย แต่วันนี้ข้าอยากอ่านรายงานให้จบก่อน อีกนิดเดียว รอได้ไหม ”
เจ้ามังกรหรี่ตาลง พยักหัวหงึกทำนองว่าจะอย่างไรก็แล้วแต่นาย พระองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์บางๆ
แล้วทรงอ่านรายงานต่อ
ชาบูหลั่นตามองไปรอบๆห้อง ดูเพดานทองคำ ผนังแพรวพราว และเสาต้นใหญ่สูงสง่า
องค์จักรพรรดิทรงสงบนักจนมันนึกว่ากำลังอยู่ตัวเดียวในห้องนี้ มองช่องแสงที่มันผ่านเข้ามาก็เห็นแต่ฟ้าสีทอง
อ้างว้าง มันกดหัวลงด้วยรู้สึกหดหู่หม่นหมอง
การขยับตัวของมังกรเกิดเสียงไม่ใช่น้อย จักรพรรดิเป่าซินจึงทรงเงยพระพักตร์ดู ทอดพระเนตรเห็น
สีหน้าของมันไม่สู้ดี เข้าพระทัยว่าทรงให้รอนานเกินไป
“ อีกนิดเดียวเท่านั้น ”
ชาบูหลั่นตามองพระองค์แวบเดียวก็กดหัวลงไปอีก พระองค์ทรงเริ่มแปลกพระทัย
“ เป็นอะไรหรือเปล่าชาบูหลั่นตา ”
มันเอาปากทิ่มพื้นแล้วค้างไว้อย่างนั้น แต่ไม่ยอมตอบพระองค์
“ ชาบูหลั่นตา ”
“ ข้าแต่องค์จักรพรรดิเป่าซินผู้เมตตาและเกรียงไกร ”
เดิมชาบูหลั่นตาพูดเป็นแต่ภาษามังกร จักรพรรดิเป่าซินทรงมีพระประสงค์ให้มันสื่อสารกับพระองค์
รู้เรื่อง จึงทรงประทานพรให้มันพูดภาษาเทพได้
“ ว่ามาเลย ”
เจ้ามังกรทำอึกอัก บิดตัวไปซ้ายทีขวาที ไม่ยอมคายคำพูดออกมาเสียที
“ ทรงอ่านรายงานต่อเถอะพะย่ะค่ะ เสร็จแล้วจะได้เสด็จไปธุระต่อ ธุระของฝ่าบาท
ย่อมสำคัญกว่าเรื่องของข้าพระองค์ ”
“ แต่ธุระของข้าก็คือดูแลทุกข์สุขของประชาชน ” ทรงเร่งเร้า
มันตอบพระองค์ด้วยความเงียบเพียงอึดใจ ก่อนจะรวบรวมคำพูดออกมา
“ ข้าพระองค์เป็นมังกรอยู่ที่นี่ช่างเดียวดายนัก ”
“ เดียวดาย ” พระองค์ไม่เข้าพระทัยความทั้งหมด “ เจ้าหมายความว่าอย่างไร ”
“ ข้าพระองค์อยู่ที่นี่ไม่มีเพื่อนเลยพะย่ะค่ะ ”
“ ชาวสวรรค์ตั้งมากมายไม่มีผู้ใดจะเป็นเพื่อนกับเจ้าเชียวหรือ ”
ชาบูหลั่นตาสั่นหัว
“ พวกเขากลัวร่างกายที่ใหญ่โตและพลังของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ย่างกรายไปที่ใด
ก็ต้องพากันหลบหลีกไปไกลทุกครั้ง มุดเข้าตำหนักบ้างและทุกๆที่ที่พวกเขาจะเข้าไปหลบได้ ราวกับ
ข้าพระองค์เป็นปีศาจร้ายที่จะรังควานเอาชีวิตพวกเขาอย่างนั้น ”
“ ทั้งที่ข้าประกาศฐานะเจ้าอย่างชัดเจน และบอกไม่ให้กลัวเจ้าแล้วเชียว ”
จักรพรรดิเป่าซินทรงตรัสอย่างขุ่นเคือง
“ โปรดอย่าทรงพิโรธพวกเขาเลยพะย่ะค่ะ เป็นเพราะข้าพระองค์อาภัพเองที่เกิดมามี
รูปร่างหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวอย่างนี้ ” พูดจบก็กลับไปเป็นมังกรหน้าเหี่ยวตามเดิม
แววพระเนตรจักรพรรดิสวรรค์แปรเป็นหดหู่พระทัยเมื่อนึกถึงวันแรกที่รับ เจ้ามังกรเข้ามา ทรงจำ
สีหน้าท่าทางที่เบิกบานด้วยความหวังว่าจะได้รับการยอมรับและมิตรภาพจากชาวสวรรค์ได้ แต่วันนี้กลายเป็น
มังกรหน้าเหี่ยวเพราะทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่หวังไว้ ทรงตำหนิองค์เองว่าทำให้มันผิดหวัง
“ ฝ่าบาท ” ชาบูหลั่นตามองพระพักตร์ที่เคร่งเครียดของพระองค์ “ อย่าทรง
คิดมาก... ”
“ ชาบูหลั่นตา ” พระองค์ทรงนึกขึ้นได้ “ เอาอย่างนี้สิ ในเมื่อพวกเขากลัวเจ้าเพราะ
ร่างกายที่ใหญ่โต เช่นนั้นก็แค่ให้เจ้ามีรูปร่างหน้าตาแบบเดียวกับพวกเขา ดูซิว่าจะยังไม่กล้าเข้าใกล้เจ้า
อีกไหม ”
ชาบูหลั่นตาเบิกตากว้างอย่างงุนงง มันเป็นมังกร จู่ๆจะให้มีรูปร่างหน้าตาแบบเทพ จะเป็นไปได้
อย่างไร
“ ไม่ยากหรอก ” ทรงแย้มโอษฐ์อย่างมีความนัย
จักรพรรดิเป่าซินหลับพระเนตร ทรงรวบรวมสมาธิร่ายมนตรา ภาพเทพบุตรหนุ่มปรากฏชัดขึ้น
ชัดขึ้น
“ ข้ารู้แล้วว่าจะให้เจ้าเป็นแบบไหน ”
พระองค์วาดหัตถ์ไปข้างหน้า แสงสีแดงเลื่อมระยับปานเกล็ดทับทิมไหลเลื้อยออกมาเหมือนงู
ตรงเข้าล้อมร่างชาบูหลั่นตาแล้วพันรอบเป็นเกลียวตั้งแต่หัวจรดปลายหาง แสงสีทับทิมเรืองรองกลืนร่าง
เจ้ามังกรจนมิด อึดใจเดียวก็คลายออก
เทพบุตรหนุ่มองค์ใหม่ปรากฏกายหลังม่านแสง เขาสวมชุดไหมสีแดงวาววับ ปักลายต้นสนและ
กิ่งไผ่เล็กๆสีทอง ใส่รองเท้าหนังสีดำมัน
จักรพรรดิเป่าซินแย้มโอษฐ์แจ่มใสอย่างพอพระทัยในผลงาน
เรือนผมดำขลับดุจน้ำรักที่บรรจงแต่งแต้มถ้วยจานเสวยอันล้ำค่าของจักรพรรดิถูกมุ่นเป็นมวยเหนือ
กระหม่อม ใบหน้าเรียวเสลา คิ้วเข้ม ดวงตาเรียวยาวคมกริบดั่งพญาเหยี่ยว กอปรกับผิวพรรณขาวผุดผ่อง
และรูปร่างสูงเพรียวงามสง่า ทำให้เขาจัดเป็นเทพบุตรรูปงามองค์หนึ่ง
“ ดูเจ้าสิ ชาบูหลั่นตา ” พระองค์ทรงชื่นชม
ชาบูหลั่นตามองตัวเองอย่างตื่นๆ “ ข้าพระองค์เป็นอะไรไปแล้ว ”
“ ร่างใหม่ของเจ้า ชาบูหลั่นตา ข้าให้เจ้ามีร่างกายเหมือนเทพบุตรทั่วไป จะได้ไม่มี
ผู้ใดผลักไสเจ้าได้อีก ยามปกติเจ้าก็อยู่ในร่างนี้แล้วกัน แต่เมื่อข้าเรียกรับใช้หรือเมื่อเจ้าต้องการจะกลับไปเป็น
มังกรอย่างเดิม ”
ชาบูหลั่นตาจะก้มรับ พลันเซถลาไปข้างหน้า เขาตกใจเอนกลับทันเลยไม่ล้ม
“ ทรงตัวบนสองขานี่ยากจัง ” เขาลองก้าวขาข้างหนึ่ง ทันใดนั้นก็เสียหลัก ทั้งร่าง
ถลาไปกองกับพื้น
จักรพรรดิเป่าซินทรงสรวลเล็กน้อย “ เจ้ายังไม่ชินน่ะซี ลองฝึกเดินไป เดี๋ยวก็คล่องเอง ”
พระองค์เอี้ยวองค์หยิบไม้เท้าซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ยื่นให้ชาบูหลั่นตา
“ ไม้เท้าที่เทพอารักษ์ภูเขาเทวะมอบให้ข้าเป็นที่ระลึก รับไปเถิด มันจะช่วยค้ำกายเจ้า
เวลาหัดเดิน ”
“ แต่ว่าข้าพระองค์ ”
“ รับไปเถิด ”
ชาบูหลั่นตาค้อมรับ จักรพรรดิทรงดำเนินลงมาประทานให้ถึงที่และยังทรงช่วยพยุงเขาขึ้นมาพร้อมกับ
ทรงสอนวิธีใช้ไม้เท้า
ชาบูหลั่นตาค่อยๆก้าวแล้วเกือบล้ม พระองค์ประคองทันแล้วให้เดินต่อ ไม่นานเขาก็เดินได้ด้วย
ตัวเองแต่ยังต้องมีไม้เท้าพยุงกาย จักรพรรดิเป่าซินจึงดำเนินกลับไปประทับนั่งอ่านรายงานต่อ และทรง
เงยพักตร์ดูเป็นระยะ เห็นเทพบุตรองค์ใหม่ฝึกก้าวช้าๆอย่างมุ่งมั่นตั้งใจก็แย้มโอษฐ์เอ็นดู แล้วก้มพักตร์
อ่านรายงานต่อไป
นับจากนั้น ชาวสวรรค์ก็ร่ำลือกันถึงเทพบุตรแปลกหน้าที่มักทักทายพูดคุยกับพวกเขา ไม่มีใครรู้ว่า
เขามาจากไหน อยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไร แต่ด้วยใบหน้าหล่อเหลาและท่าทางยิ้มแย้มมีมิตรไมตรี รวมถึงคอย
สอบถามเรื่องราวต่างๆ ทำให้ชาบูหลั่นตาสนิทสนมกับพวกเขาอย่างรวดเร็ว แทบทุกครั้งอีกฝ่ายจะสอบถาม
ที่มาของเขา เขาจะตอบว่าไม่ทราบซึ่งก็เป็นความจริง ครั้นถามสาเหตุที่ต้องถือไม้เท้าก็ตอบเพียงว่าขาไม่ดี
เท่านั้น
เสียงกลั้วหัวเราะของเทพชราดังขึ้นกลางวงสนทนาที่มีกว่าสิบคน
“ คุยกันมาตั้งนาน เรายังไม่รู้ชื่อเจ้าเลย พ่อหนุ่ม ”
“ ข้าชื่อชาบูหลั่นตาขอรับ ” เขาตอบอย่างกระตือรือร้น
ความเงียบงันพลันแล่นปกคลุมทั่ววงสนทนา เทพมังกรหุบยิ้มด้วยประหลาดใจกับบรรยากาศรอบตัว
“ ชื่อนี้ข้าคุ้นๆเหมือนเคยได้ยินที่ไหน ”
“ ชื่อมังกรยักษ์ที่เป็นพาหนะทรงขององค์จักรพรรดิอย่างไรล่ะ ” หนึ่งในนั้นแทรกขึ้น
แล้วทั้งหมดก็หันมาจ้องเทพบุตรแปลกหน้าเป็นตาเดียว เขาทำอะไรไม่ถูก ทุกสายตาที่จ้องมาล้วนระแวง
แกมหวาดกลัว
“ เขาเป็นอะไรกับมังกรนั่น ” พวกเขาถามกัน
ชาบูหลั่นตาคาดไม่ถึงกับสายตาเช่นนั้น แต่ก็ไม่เสียทีเดียว
“ ชื่อเหมือนมาก ”
“ ชื่อเหมือนหรือ ” ชาบูหลั่นตากลืนเสียง นึกไม่ออกว่าจะทำอย่างไรต่อ
“ ใช่แล้วแค่ชื่อเหมือน ” หนึ่งในนั้นตบมือแล้วโพล่งขึ้น “ มังกรจะกลายเป็นเทพบุตร
ได้อย่างไร จริงไหม ”
ผู้ฟังพยักหน้าอย่างคล้อยตาม ชาบูหลั่นตาเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกโล่งใจ
“ อาวุโส ข้าสงสัยอย่างหนึ่ง ” เขาพูด
“ ว่ามาสิ ”
“ ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว ข้าเห็นสายตาของพวกท่าน ทำไมไม่ตื่นเต้นดีใจตอนที่เข้าใจว่า
ข้าเป็นมังกร ทั้งที่เป็นพาหนะของจักรพรรดิน่าจะมีฐานะสูงส่งแท้ๆ เหตุใดพวกท่านจึงแสดงท่าทาง
หวาดกลัวอย่างกับว่าเคยถูกเขาระรานมาก่อน ”
อาวุโสทำท่าลำบากใจ
“ บอกจริงๆนะพ่อหนุ่ม เรากลัวเขา ”
“ เหตุใด ”
“ เขาเคยมารุกรานจนเดือดร้อนกันไปทั่ว จนองค์จักรพรรดิต้องรับเขามาอยู่ด้วย
สวรรค์จึงกลับสู่ความสงบสุขอีกครั้ง แต่เรายังหวาดกลัวทุกครั้งที่เห็นเขา ”
“ ไม่รู้ว่าเหตุใดองค์จักรพรรดิไม่ทรงประหารมันเสีย กลับรับเข้ามาเป็นบริวารให้พวกเรา
ต้องหวาดหวั่นอยู่นั่น ” เสียงหนึ่งว่า
“ พระองค์คงทรงมีเหตุผลน่ะ จึงยังทรงเก็บมันไว้ ” อีกเสียงว่า
“ แต่พูดก็พูดเถอะ พวกข้ายอมรับเขาเพราะองค์จักรพรรดิเท่านั้น ”
สีหน้าชาบูหลั่นตาหม่นหมองลงอย่างมาก และกำลังกลายเป็นเครียดจัดเมื่อได้รับรู้ความจริงเหล่านี้
“ แล้วถ้าเมื่อครู่ข้าตอบว่าข้าคือชาบูหลั่นตาที่เป็นมังกรล่ะ ” ดวงตาเขาเรื่อสีแดง
“ พวกข้าคงรีบหนีไปให้ไกลสักสิบลี้ ร้อยลี้ได้ยิ่งดี ”
ชาบูหลั่นตาตะลึงงัน
จบ...จบแล้ว จบแล้วทุกอย่าง
คิดว่าเป็นมังกรรูปร่างใหญ่โตทำให้พวกเขากลัวเลยแปลงเป็นเทพบุตร ยอมลำบากเดินขาเป๋
ผูกมิตรกับพวกเขาด้วยความอดทนและใส่ใจ แต่แค่รู้ว่าอาจเป็นมังกรก็ทำท่าจะหนีเขาไปอีก แล้วทั้งหมดนี้
ทุ่มเทเพื่ออะไร
“ ไหนท่านว่ากลัว แล้วเหตุใดต้องหนีไปเสียไกลขนาดนั้น ”
“ ก็กลัวถึงต้องหนี ”
“ แต่สำหรับข้า มันคือความเกลียดชัง ”
ชาบูหลั่นตากล่าวเสียงเครือ มันมาพร้อมกับความชื้นรอบดวงตาคม
“ ข้าขอตัวก่อน ”
เขาเดินลิ่วออกไปจากกลุ่ม พ้นพวกเขา หยาดน้ำใสกระจ่างก็ร่วงอาบแก้มทั้งสอง คำพูดสุดท้าย
ยังก้องไปมาในหัว
สำหรับข้า มันคือความเกลียดชัง
หญิงสาวร่างบอบบางก้มดมดอกไม้สีสดบนพุ่มไม้ข้างรั้ว ชาบูหลั่นตาเดินซึมมาจากทางหนึ่ง หยุด
ดูนางโดยไม่ได้ตั้งใจ ดวงตาคมเหม่อลอยไม่สนใจสิ่งรอบตัวแม้แต่น้อย ไม่สนกระทั่งหยดน้ำตาที่ไหล
อาบแก้มไม่รู้ครั้งที่เท่าไร เจ้าของใบหน้างามรู้ตัวหันมาดู เห็นใบหน้าเศร้าสร้อยผิดปกติของเทพบุตร
แปลกหน้าก็จ้องตอบด้วยความสงสัย ดวงตาอีกฝ่ายกระตุกนิดหนึ่งอย่างเพิ่งรู้สึกตัว นางยืดตัวขึ้น หมุนร่าง
มาทางเขา ส่งไมตรีผ่านดวงตาที่เป็นประกายและรอยยิ้มสดใส ชาบูหลั่นตายิ้มนิดๆด้วยความยินดีแฝง
ความขมขื่นที่ยังคงค้างอยูในใจ
“ ท่านเพิ่งมาใหม่หรือ ”
เขาเดินมาใกล้นาง “ ใช่ ”
“ สีหน้าท่านไม่สู้ดีนัก รอยยิ้มก็ไม่สดใสเท่าที่ควร มีเรื่องทุกข์ใจหรือเปล่า ”
“ เจ้ามังกรทำให้ข้าเป็นแบบนี้ ”
“ ทำไมหรือ หรือมันมาระรานท่าน ”
“ ทำไมข้าต้องเกิดมาเป็นมังกรด้วย! ” เขาระบายความอัดอั้นออกมา
“ อะไรนะ ”
ชาบูหลั่นตารีบสงบอารมณ์ด้วยกลัวว่านางจะกลัวเขาไปด้วย แต่ปิดสีหน้ากลัดกลุ้มไม่มิด
“ สวรรค์เป็นที่อยู่ของคนดี ทุกคนที่นี่ย่อมพบกับความสุขสำราญไม่จบสิ้น แต่
ท่านกลับมีความทุกข์เช่นนี้ ท่านจะเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่ว่าอะไรที่เป็นความทุกข์ของท่าน เผื่อข้าจะช่วยได้
ไม่มากก็น้อย ”
เทพมังกรมองนางอย่างตื่นเต้นระคนดีใจ เป็นครั้งแรกที่ชาวสวรรค์อารีต่อเขาถึงเพียงนี้ ไม่ทัน
บอกกล่าวใดๆกับนาง ท่อนแขนกำยำจากไหนไม่รู้พุ่งมากระชากร่างนางถลาลอยไปทั้งร่าง
“ เจ้าทำอะไร ” ชาบูหลั่นตาไม่พอใจ
“ เจ้าต่างหากที่จะทำอะไร ”
เทพบุตรผู้มาใหม่ทำสีหน้าถมึงทึง นางอัปสรรีบรั้งบ่าเขาแล้วปรามให้ใจเย็น
“ ข้าไม่เข้าใจ ข้ากำลังพูดคุยกับนาง แล้วจู่ๆเจ้ามาทำการอันหยาบคายอย่างนี้ได้
อย่างไร ” ชาบูหลั่นตาว่า
“ อะไรนะ ” อีกฝ่ายถลึงตา นางอัปสรรีบก้าวมายืนข้างหน้าเขา
“ ขออภัยท่านด้วย เขาเป็นคนรักของข้า ”
“ แล้วก็รู้ไว้ด้วย! ” เขาผลักนางออกไปแล้วออกมายืนด้านหน้า
“ พอเถิด ”
“ เจ้าก็เหมือนกัน ” เขาชี้หน้าคนรัก “ เจ้ามีข้าอยู่แล้วก็ยังมาสนิทสนมกับชายอื่น
อีก ”
“ ข้าแค่คุยกับเขาแล้วมันเป็นการนอกใจท่านที่ไหนกัน ”
เสียงโต้เถียงของสองคู่รักเซ็งแซ่ขึ้นทุกทีจนชาวสวรรค์ที่ผ่านไปมาพากันหยุดดูด้วยความสงสัย
เทพบุตรขี้หึงโต้คำพูดที่มีเหตุผลไม่ได้ยิ่งเดือดจัด หันมาพุ่งหมัดใส่ชาบูหลั่นตาแต่เขาเบี่ยงตัวหลบทัน
จ้องนัยน์ตาอีกฝ่าย ไฟแห่งความโกรธเกรี้ยวลุกโชนในดวงตาคู่นั้นยากที่ผู้ใดจะยับยั้งได้อีก เขาผลักคนรัก
ออกไป
ชาบูหลั่นตาถอยไปหนึ่งก้าวซึ่งทำให้รู้สึกมั่นคงมากขึ้น เขาไม่อยากพบกับเหตุการณ์เช่นนี้เลย แต่
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีทางเลือก
เทพบุตรขี้หึงรุกเข้ามาอย่างหนักหน่วง ชาบูหลั่นตาปัดป้องทุกทางแล้วถอยออกไปเพราะไม่อยาก
ทำร้ายเขา แต่เขาตามเข้ามาอีก ชาวสวรรค์ที่มุ่งอยู่ต่างเอะอะชุลมุนเมื่อชาบูหลั่นตาถูกแรงผลักอีกฝ่าย
กระเด็น แต่เขาทรงตัวทันและตั้งหลักเตรียมรับ
เทพบุตรขี้หึงตามตะลุยต่อ ทันใดนั้นคนรักเขาก็ถลามาขวางไว้ ชาบูหลั่นตาดูออกว่าอีกฝ่ายยั้งมือ
ไม่ทันแน่จึงดึงนางมาหลบข้างหลัง ถูกหมัดเข้าที่แก้มเต็มเปา
เขาทำหน้าเบ้ แผลที่โหนกแก้มเจ็บแปลบ
“ ไปตามทหารมาเร็ว ” เทพบุตรองค์หนึ่งบอกองค์ข้างๆ
อีกฝ่ายยังตามราวีไม่ลดละ ชาบูหลั่นตาที่เริ่มโกรธจากการถูกทำร้ายก็เริ่มตอบโต้บ้าง แต่ไม่ถนัดนัก
เพราะนางอัปสรคอยขวางพวกเขาอยู่ สองหนุ่มสู้ หนึ่งนางห้าม พัวพันอยู่อย่างนั้น
เทพบุตรขี้หึงจับแขนนางได้ เหวี่ยงออกให้พ้นทาง นางเซถลาเกือบล้ม ดีที่ผู้สังเกตการณ์
ประคองทัน
“ เจ้าทำกับนางได้อย่างไร ” ชาบูหลั่นตานึกไม่ถึง
“ อย่ายุ่ง ” อีกฝ่ายคำรามตอบแล้วกรากเข้ามาตะครุบไหล่ เขาสลัดหลุดแล้วหมุนร่าง
หลบหมัดที่พุ่งตามมาไม่หยุดยั้ง
จู่ๆชาบูหลั่นตาก็รู้สึกว่าร่างเบาขึ้น เบาและคล่องตัวเหมือนตอนที่ยังมีร่างเป็นมังกร เสียงลม
หวีดหวิวอยู่ข้างหู ภาพชาวสวรรค์ที่รายล้อมรอบด้านดูพร่าเลือน แม้แต่ใบหน้าคู่ต่อสู้ รู้สึกถึงพลังความร้อน
ที่แล่นไปมาในร่างกายกำลังมุ่งไปที่ปลายแขน แสงส้มเรืองสว่างวาบ ดวงตาคู่ต่อสู้เบิกกว้างก่อนจะถูก
พลังลึกลับผลักกระเด็นไปไกล เช่นเดียวกับชาวสวรรค์รอบด้าน วิมานน้อยใหญ่ถล่มครืนโครม เศษอิฐ
ชิ้นส่วนหลังคากระเด็นขึ้นฟ้า ก่อนตกลงมาเพิ่มเสียงสนั่น
ดวงตาเทพมังกรแดงฉานเบิกโพลง แผ่นดินเบื้องหน้าแยกกว้างเป็นทางยาว ชาวสวรรค์ตกตะลึง
กับพลังมหาศาลที่น่าสะพรึงกลัว
“ พลังช่างร้ายกาจนัก ” เทพบุตรขี้หึงอุทาน เขาค่อยๆถอยออกไปรวมกับคนอื่น
“ เจ้าปีศาจ! ”
“ ใช่แล้ว เจ้าต้องเป็นปีศาจแน่ ” เทพบุตรขี้หึงกล่าวหา
คำพูดต่างๆหลั่งไหลออกมาจากปากพวกเขา ดังระงมไปหมด
“ ข้าไม่เคยเห็นหน้าเขามาก่อน ”
“ ซ้ำยังมาถามเรื่องต่างๆจากพวกเรา ”
“ พลังที่น่ากลัวขนาดนั้นไม่เคยเห็นมาก่อน ”
“ เขาต้องเป็นปีศาจแปลงกายมาแน่ ”
เทพมังกรตกใจกับข้อกล่าวหานั้น ยิ่งไปกว่านั้นนางอัปสรที่เคยแสดงความเห็นใจเขายังมีท่าที
หวาดระแวงไม่ต่างจากคนอื่น
“ ไม่ใช่นะ ”
“ เขาเป็นปีศาจลอบเข้ามาในเมืองเราเพื่อสืบข่าว ”
คำกล่าวหาต่างๆยังพรั่งพรูออกมา
“ ปีศาจลอบเข้ามาแล้ว รีบไปแจ้งทหารเร็วๆเข้า ”
“ ข้าไม่ใช่! ” ชาบูหลั่นตาตวาดเสียงกึกก้อง
แต่นั่นยิ่งทำให้ชาวสวรรค์เข้าใจว่าเขามุ่งร้ายจริงๆ
“ ปีศาจอยู่ที่ไหน ”
น้ำเสียงห้าวหาญที่คุ้นเคยดังขึ้น ชาบูหลั่นตาแหงนหน้า นักรบเกราะทองปรากฏกลางอากาศ
อย่างงามสง่า เบื้องหลังเค้ามีนักรบกลุ่มใหญ่อาวุธครบครัน
“ ท่านแม่ทัพ ” เทพบุตรองค์หนึ่งชี้มา “ อยู่นั่นขอรับ ”
“ ท่านเซิ่งตู่ ” ชาบูหลั่นตาจำเขาได้
แต่แม่ทัพสวรรค์ไม่รู้จักร่างใหม่ของเจ้ามังกร ดวงตากร้าวแกร่งถลึงจ้องเขาอย่างดุดัน
“ เจ้ารู้จักข้าแล้วยังลอบเข้ามา! ”
“ ท่านเซิ่งตู่ ” ชาบูหลั่นตาตกใจ “ ฟังข้าก่อน ”
แม่ทัพสวรรค์ชักดาบออกมา คมโลหะมันปลาบน่ากลัว
“ อย่าขัดขืนเรา ” เขาเตือน “ เราจะจับเจ้าไปสอบสวน อยู่ตรงนั้น! อย่าขยับ ”
“ ท่าน! ” ชาบูหลั่นตาชะงัก เหล่านักรบเข้าจับกุมแต่เขาไม่ยอม “ ข้าไม่ใช่ปีศาจ ”
ดวงตาเทพมังกรแดงวาบ พลังความร้อนวิ่งวนทั่วร่างกาย พริบตาแสงสีส้มลุกวาบแล้วบรรดานักรบ
ก็กระเด็นไปไกล
แม่ทัพสวรรค์เคืองจัด ปลายแหลมสีเงินพุ่งตรงมา ชาบูหลั่นตาหลบอย่างรวดเร็ว เซิ่งตู่หมุนร่างกลับ
พลางตวัดดาบเล่นงานอีก เทพมังกรก้มศีรษะแล้วลอดใต้แขนเขาอ้อมไปด้านหลัง สลัดแขนฟาดหลังแม่ทัพ
ซวดเซไป
เซิ่งตู่ตั้งหลักได้ก็รุกใหม่ ขณะที่ชาบูหลั่นตาเอาแต่หลบ ประกายดาบวูบวาบฟาดฟันเร็วยิ่งกว่า
สายฟ้า เทพมังกรหลบพัลวัน ปลายดาบเกี่ยวเอามวยผมหลุดสยาย เขาเหวี่ยงศีรษะ ปลายผมยกลอย
ตามแรง เสียงดาบฟาดฟันแหวกอากาศไม่หยุดหย่อน กลุ่มไหมสีดำร่วงกระจายเต็มพื้น
เซิ่งตู่หยุดพักในท่าเตรียม ชาบูหลั่นตาชะงักงันอย่างระวังตัว เส้นผมที่เงางามดุจรักที่เคลือบ
เครื่องใช้ชั้นสูงของจักรพรรดิ บัดนี้เว้าแหว่งไม่เป็นทรง เทพมังกรมองเศษผมบนพื้นแล้วคลำหัวตน
อย่างตระหนก เส้นผมดำเงางามที่เขาได้รับพระราชทานมาถูกแม่ทัพผู้นี้ทำลายสิ้น
“ เจ้า ” เขาคำรามด้วยความโกรธ
เทพมังกรแยกเขี้ยวยาวแหลมเหมือนใบมีด ดวงตาแดงจัดดังเปลวไฟที่กระพือโหมด้วยความ
โกรธเกรี้ยวในใจเขา
“ องค์จักรพรรดิ องค์จักรพรรดิ ”
ขุนนางผู้หนึ่งวิ่งโร่มาทางท้องพระโรง วิ่งเลยประตูไปแล้วถอยกลับมา พอผ่านทหารรักษาการณ์ก็
สะดุดธรณีประตูล้มคะมำ ทำเอาจักรพรรดิเป่าซินที่กำลังทรงงานตามลำพังสะดุ้ง
“ เกิดอะไรขึ้น ”
เขารีบลุกแล้ววิ่งมาเบื้องหน้าพระองค์
“ ทูลฝ่าบาท ”
“ เกิดอะไรขึ้น ” พระองค์ทอดพระเนตรสีหน้าตื่นๆของเขา
“ มีปีศาจลอบเข้าเมืองมาพะย่ะค่ะ ”
“ ว่าอย่างไรนะ ” พระองค์ตกพระทัย “ เป็นไปไม่ได้ เรามีการคุ้มกันที่แน่นหนา
มันจะเข้ามาได้อย่างไร ”
“ จริงๆพะย่ะค่ะ ชาวสวรรค์ต่างเห็นกันถ้วนหน้า มันมาแค่ตนเดียว ตอนนี้แม่ทัพสวรรค์
กำลังจะจับตัวมันให้ได้ แต่มันขัดขืนเลยวุ่นวายกันใหญ่ ”
“ แค่หนึ่งเดียวก็ทำให้แม่ทัพสวรรค์เสียเวลาขนาดนี้ ต่านชิง เตือนเซิ่งตู่ว่าอย่า
ประมาท ”
“ พะย่ะค่ะ ” ต่านชิงน้อมรับ “ แต่ที่น่าแปลกก็คือ... ”
“ อะไร ”
“ รูปร่างหน้าตามันเหมือนพวกเรามากพะย่ะค่ะ ดูไม่ออกเลยว่าเป็นปีศาจ ”
“ เหมือนเรา ” พระองค์ฉงนพระทัย
“ พะย่ะค่ะ คิ้วเข้ม ตาคมเหมือนเหยี่ยว รูปร่างสูงเพรียวงามสง่า ผิวพรรณก็
ผุดผ่อง ไม่อยากเชื่อเลยว่าเป็นปีศาจ ”
จักรพรรดิเป่าซินทรงดำริตามครู่หนึ่งแล้วตกพระทัย
“ ต่านชิง นั่นปีศาจที่ไหนกัน ชาบูหลั่นตาต่างหาก ”
“ หา ”
“ ข้าให้เขาแปลงร่างเป็นเราได้ แต่ยังไม่ได้บอกให้ผู้ใดรู้ แย่ล่ะ เซิ่งตู่คงทำร้าย
เขาแน่ แม่ทัพใหญ่ไม่เคยปล่อยให้ผู้รุกรานจากไปโดยง่าย ยิ่งถ้าขัดขืน...ต่านชิง รีบไปห้ามเซิ่งตู่เสีย
ถ้าไปไม่ทันข้าจะลงโทษเจ้า ”
ต่านชิงตาเหลือก “ พะย่ะค่ะ ”
เขาวิ่งอ้าวออกไป
กว่าต่านชิงจะไปถึงก็ถึงจังหวะที่เซิ่งตู่คิดฆ่าชาบูหลั่นตาเสีย ท่วงท่าต่อสู้ของทั้งสองหนักหน่วง
รุนแรง เสียงสนั่นหวั่นไหวไปถึงในท้องพระโรง จักรพรรดิเป่าซินร้อนพระทัยมากขึ้น แล้วทนไม่ไหวลุกขึ้น
ยืน ทรงดำเนินกลับไปมาอยู่หลายรอบอย่างระทึกแกมหวาดหวั่น
ไม่มีผู้ใดได้ยินเสียงต่านชิงเลยเพราะถูกเสียงต่อสู้กลบหมด เขาแผดเสียงครั้งแล้วครั้งเล่าจน
แหบหาย คำตรัสคาดโทษหากห้ามไม่ทันเร่งเร้าขึ้นมาอีก ต่านชิงรวบรวมเสียงสุดท้าย
“ หยุดเดี๋ยวนี้!!! ”
ชาวสวรรค์หลบคู่ต่อสู้มาชนเขาจนเซถลา พอดีชาบูหลั่นตาไปทางนั้น เซิ่งตู่แทงดาบตามมา
จ่อที่คอต่านชิง
“ ว้ากกกกก ” เขาร้องเสียงหลง “ ท่านนี่จะฆ่าข้ารึ!! ”
แม่ทัพสวรรค์ยั้งมือทัน ตกใจ “ แล้วท่านมาขวางไว้ทำไม?! ”
“ เป็นรับสั่งขององค์จักรพรรดิ เขาไม่ใช่ปีศาจ แต่เป็นชาบูหลั่นตา ”
เซิ่งตู่ตกตะลึงหันไปมองชาบูหลั่นตา
“ ขออภัยด้วย ”
เซิ่งตู่ค้อมหัวเป็นเชิงขอโทษ ดวงตาคมกริบตวัดจ้องเขาอย่างขุ่นเคือง
“ ข้าบอกแล้วว่าให้ฟังข้าก่อน ฟังข้าก่อน ”
“ แล้วท่านจะขัดขืนข้าทำไม ”
“ เพราะข้าไม่ใช่ปีศาจ! ”
“ พอเถิด ” จักรพรรดิเป่าซินทรงปรามก่อนจะเลยเถิดไปไกล ชาบูหลั่นตาทำท่า
ฮึดฮัดแต่ก็ยอมสงบปากสงบคำ
“ เรื่องวุ่นวายในวันนี้กระหม่อมผิดเองที่ไม่ดูให้ดี ”
“ จะเป็นความผิดของท่านได้อย่างไร ข้าต่างหากที่ไม่ประกาศให้ทุกคนรู้ ”
สีหน้าแม่ทัพใหญ่ดูผ่อนคลายขึ้นทันที
“ เจ้าล่ะ ชาบูหลั่นตา เหตุใดจึงมีเรื่องวิวาทกับคนอื่นเขา ”
“ เจ้านั่นเข้าใจผิดคิดว่าข้าพระองค์ไปยุ่งกับคนรักเขา ”
“ ก็ท่านชาบูหลั่นตารูปงามไม่เบานี่ ” เซิ่งตู่ล้อด้วยรอยยิ้มสุภาพ คาดไม่ถึงว่า
อีกฝ่ายจะหันขวับจ้องเขาอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน จึงหันกลับแล้วปรับสีหน้าสงบเคร่งขรึมตามเดิม
จักรพรรดิเป่าซินทอดพระเนตรผมแหว่งเป็นกระจุกของเทพมังกรแล้วอนาถพระทัย
“ ดูสิ ผมเจ้าเว้าแหว่งไม่เป็นทรงอย่างนี้ หากออกไปข้างนอก ทุกคนต้องจ้องเจ้า
เป็นตาเดียวแน่ แต่เอาเถิด ไม่เป็นไร ข้าจะเสกให้เจ้ากลับไปเป็นอย่างเดิมแล้วกัน ”
“ ไม่เป็นไรพะย่ะค่ะ ” ชาบูหลั่นตาปฏิเสธสวนขึ้นมา “ ข้าพระองค์ขอเป็นเช่นนี้ต่อไป
ดีกว่า ”
“ เพราะอะไร ” พระองค์ประหลาดพระทัย
“ เทพมังกรถูกแม่ทัพใหญ่ตัดผมเป็นเรื่องที่ทุกคนรู้ทั่วกัน ปล่อยไว้อย่างนี้พวกเขาจะ
ได้จำข้าพระองค์ได้ จะได้ไม่ต้องถูกกล่าวหาว่าเป็นปีศาจอีก ”
“ แต่ตอนนี้ทุกคนก็รู้จักเจ้าแล้วนี่ ”
“ ทรงผมประหลาดผิดแผกจากผู้ใดย่อมได้รับการจดจำ แค่เห็นแต่ไกลก็รู้ว่าเป็น
ข้าพระองค์ แม่ทัพใหญ่จะได้ไม่เข้าใจผิด คราวนี้ถูกตัดผม คราวหน้าคงถูกตัดหัว! ” ชาบูหลั่นตา
ประชดประชัน
ความกังวลแสดงออกมาทั้งสีหน้าและแววตาของเซิ่งตู่ เขารับรู้ได้ว่าเทพมังกรยังโกรธเคืองอยู่
ไม่น้อย
“ ข้าพระองค์ขอทูลลา ” ชาบูหลั่นตาค้อมศีรษะ
บานประตูใหญ่เปิดผาง ทหารเฝ้าประตูดึงหอกกลับไปแนบแขน ชาบูหลั่นตาก้าวออกมา
ชาวสวรรค์ด้านนอกเห็นเข้าสะกิดเรียกพวกตน ไม่นานทุกสายตก็จ้องมาที่เขา ดวงตาทุกคู่ฉายความ
หวั่นเกรง หวาดระแวง แม้แต่สายตาทหารยามก็ดูแปลกไป เทพมังกรมองทุกคน รู้สึกกดดันและเสียใจ
“ เข้ามาใกล้ข้าสิ ” เขาซ่อนน้ำตา “ จะถอยไปทำไม ข้าไม่ทำอะไรพวกท่าน
หรอก ”
ชาวสวรรค์กลับยิ่งถอยไปรวมกัน
“ ข้ามันน่ารังเกียจ น่าเกลียดน่ากลัวนักใช่ไหม ”
ทว่าทุกสายตาที่ตอบมาบอกความหวาดระแวงและมีท่าทีระวังตัว
“ มังกรนิรนามไร้ผู้กำเนิด ไร้ที่พึ่งโดดเดี่ยวไร้ผู้ใดข้างกาย ” น้ำเสียงที่เคยเปี่ยม
อำนาจกลับแหบพร่าด้วยความเศร้าระทมและสิ้นหวัง “ ด้วยหน้าตาอัปลักษณ์น่ากลัว รูปร่างทลายขุนเขา
จึงสยบยอมต่อจักรพรรดิเป่าซินผู้กล้า หวังเพียงความเมตตาและมิตรภาพที่จริงใจ ความหวังเบิกฟ้าสดใส...
พลันทลายลง ธนูแหลมคมเท่าไรมิอาจทะลุหินใหญ่ เช่นเดียวกับข้ามิอาจชนะใจประชาชน! ”
เสียงนั้นก้องสะท้านไปทั่ว นำพาความเศร้าโศก คับแค้นสู่ทุกอณูจิตใจซึ่งเต็มไปด้วยความ
หวาดหวั่นของทุกคน หยดน้ำใสปริ่มล้นขอบตาแล้วไหลอาบแก้มของผู้เอ่ยวจี แล้วเขาก็หันหลังวิ่งออกไป
แต่ละก้าวที่เหยียบย่ำพร้อมจะหมดแรงได้ทุกขณะ จนมาหยุดที่อุทยานนอกเมือง เขาทุบกำปั้นกับต้นไม้ใหญ่
ยิ่งเจ็บยิ่งออกแรง น้ำตาอุ่นไหลอาบแก้ม เจ็บปวด เจ็บปวดเหลือเกิน โดยเฉพาะที่หัวใจ
จักรพรรดิเป่าซินและเซิ่งตู่นิ่งสงบท่ามกลางความเงียบวังเวงของท้องพระโรง ราวรูปปั้นศิลา
อัญมณีพริ้งพรายทอแสงดังเพลิงคบใหญ่ขับความงามอย่างเปล่าเปลี่ยวให้แก่ห้องโอฬารที่เงียบเหงาแห่งนี้
ทหารเฝ้าประตูวิ่งเข้ามาทูลคำพูดชาบูหลั่นตาทุกคำแล้วกลับออกไป ทั่วท้องพระโรงกลับสู่
ความเงียบอีกครั้ง
พลันพระวรกายจักรพรรดิเป่าซินก็เอนอ่อนทรุดลง ประหนึ่งสัตว์ยักษ์ฉุดรั้งองค์ดำดิ่งสู่ห้วงมหรรณพ
อันลึกล้ำและมืดมิด เต็มไปด้วยความกังวลและหวาดหวั่น
“ ข้าทำทุกอย่างเพื่อปกป้องเขา ” พระองค์ตรัสเสียงพร่า “ มอบตำแหน่งสำคัญ
ให้ แต่ก็ไม่อาจทำให้เขาเป็นที่ยอมรับ แล้วอย่างนี้เทพมังกรที่โกรธเคืองและน้อยใจจะทำอย่างไร ”
ทรงกังวลยิ่งขึ้นเมื่อนึกถึงนิมิตร้าย แม่ทัพสวรรค์ดูพระองค์นิ่งๆครู่หนึ่ง
“ จะทรงบอกกระหม่อมได้หรือไม่ว่านิมิตที่ทรงทอดพระเนตรได้คืออะไร ”
พระองค์ทอดพระเนตรเขา ใบหน้าเซิ่งตู่สงบเยือกเย็นเหมือนทุกครั้ง นิ่งเสียจนทรงรู้สึกว่าพระองค์
กระโตกกระตากเกินไป
ครั้นได้ฟังเรื่องทั้งหมด ใบหน้าสงบนั้นก็พยักหน้าช้าๆ
“ กระหม่อมเข้าใจความกังวลพระทัยของฝ่าบาท แต่ก็ใช่ว่าจะอับจนทางแก้เสียทีเดียว ”
พระเนตรองค์จักรพรรดิเบิกขึ้นนิดหนึ่งอย่างประหลาดพระทัยและมีความหวัง
“ จะให้ข้าทำอย่างไร ”
“ กระหม่อมจะจัดการเอง ท่านชาบูหลั่นตามีสิ่งที่ควรทำ กระหม่อมจะบอกเขา ”
เซิ่งตู่ทูลตอบ “ ขอเพียงทรงมีพระบัญชาให้เขาย้ายมาประจำอยู่ในทัพของกระหม่อม แล้วกระหม่อมจะสอน
ให้เขาได้รับการยอมรับได้ด้วยตัวเอง ”
“ แล้วท่านจะทำอย่างไร ”
แม่ทัพใหญ่ยิ้มเยือกเย็น แล้วทูลตอบด้วยคำถาม
“ ทรงไว้วางพระทัยกระหม่อมหรือไม่ ”
คำถามนั้นกระตุกพระทัยแล้วยึดรั้งไว้ ทรงอยากถามต่อแต่ไม่รู้จะตรัสอย่างไร เพราะถ้าซักไซ้
แม่ทัพใหญ่อีกก็เท่ากับทรงแสดงว่าไม่ไว้พระทัยเขา แล้วพระองค์ก็นึกขึ้นว่าแม่ทัพใหญ่ผู้นี้อยู่กับพระองค์มา
ช้านานแล้ว ปฏิบัติหน้าที่ไม่เคยบกพร่อง ทั้งความภักดีก็เป็นที่ปรากฏ แม้จะทรงสงสัยว่าเหตุใดเขาจึง
ไม่ยอมบอกวิธี แต่ก็ทรงเชื่อว่าเขามีเหตุผล
“ ก็ได้ ข้าจะให้ชาบูหลั่นตาไปอยู่กับท่าน แต่ว่า...แน่ใจหรือว่าเขาจะได้รับการยอมรับ
อย่างแท้จริง ”
“ พะย่ะค่ะ ” แววตาแม่ทัพใหญ่มั่นคงจริงจังเหมือนน้ำเสียง “ ขอบพระทัยที่ทรง
ไว้วางพระทัยกระหม่อม ”
หยกสีเข้มรูปหยดน้ำห้อยย้อยจากกิ่งสีน้ำตาลเข้มขรุขระซึ่งยิ่งขับสีเขียวชอุ่มให้ยิ่งงามโดดเด่น ดุจ
งานศิลป์อันวิจิตรบรรจงของช่างศิลป์อันเลื่องลือ ละลานตาไปทั่วทั้งป่ากว้าง นกสีเงินเยื้องกายแผ่วเบา
ขยับแพหางสีรุ้งพลางครวญเพลงหวาน แว่วเสียงสวบสาบมาแต่ไกลกำลังมีผู้ย่ำเท้าเข้ามา ฝีเท้านั้นกระทืบ
หนักๆบนงานศิลป์ที่ช่างบรรจงสร้างอย่างไม่เกรงใจ บ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังโมโหขุ่นเคือง
เสียงเพลงหวานแผ่วลง แผ่วลง ทว่าเสียงย่ำเท้ากลับยิ่งดังขึ้น นกสีเงินกระโจนผลุบเข้าหลังม่าน
ใบหยก ชายหนุ่มเลี้ยวโผล่เข้ามา
“ ถ้ารังเกียจข้านักก็ออกไปกันให้หมดเลย ” เขาพูดอย่างหงุดหงิด
ก้อนแข็งสีเทาขว้างโดนลำต้นตุบใหญ่ นกสีเงินที่ซ่อนหลังพุ่มไม้ผวาหนีตาลีตาลาน
เสียงย่ำเท้าของผู้มาใหม่อีกกลุ่มใกล้เข้ามาทุกที ชาบูหลั่นตานึกสงสัยว่าใครกันกล้าเข้ามาหาเขา
ยามหงุดหงิดเช่นนี้
สีหยก ดอกไม้นานาพันธุ์ที่เคยเบ่งบานชูดอกสะพรั่งบัดนี้กลับเหงาหงอยเซื่องซึมด้วยไม่มีใครมาชื่นชมอีกแล้ว
ผลไม้สุกน่ากินรอเก้ออยู่บนต้นแม่ อยากจะปลิดตัวเองลงมาก็ทำไม่ได้เพราะไม่มีใครต้องการมัน
อุทยานใหญ่ร้างทวยเทพ มีเพียงส่ำสัตว์ที่ออกหากินตามปกติ ยอดหญ้าชื้นน้ำค้างและผลไม้สุก
เป็นอาหารอย่างดีสำหรับพวกมัน กวางเผือกขนแวววาวเล็มหญ้าอ่อนเหนือเนินเขา กระต่ายปุยฝ้ายตาสีฟ้า
สดใสโดดไปมามองหาอาหาร ต้นไม้ใดที่มีผลล้วนคลาคล่ำไปด้วยนกหลากชนิด บินโฉบเข้าโฉบออก ทั้ง
ตีปีกและจิกผลไม้สุกจนกิ่งไหวโอนเอน สั่นระรัวไปทั้งต้น พวกมันไม่จำเป็นต้องเดินทางไกลหาอาหารเพราะ
ไม่ว่าที่ใดที่มันไปต่างมีอาหารทั้งสิ้นและเพียงพอกับทุกตัว ทั้งยังไม่ต้องกลัวเกรงอันตรายใดๆเพราะที่นี่ไม่มี
สัตว์กินเนื้อ เว้นแต่...และพวกมันก็อาศัยอยู่ที่นี่อย่างสงบสุขตลอดมา
ทุกตัวต่างเดินกินอาหารไปเรื่อยๆ แต่ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ใจกลางอุทยานที่ชาวสวรรค์ขนานนามว่า
‘ ดงลำนำ ’ ดงนี้เป็นส่วนพิเศษและแตกต่างจากที่ใดในอุทยานที่ชาวสวรรค์ต้องมาให้ได้ กล่าวกันว่าถ้า
ไม่มาที่นี่ก็ถือว่ามาไม่ถึงอุทยานสวรรค์
ดงลำนำเป็นที่ตั้งของต้นไม้เงินสิบต้นซึ่งเรียงล้อมใจกลางเป็นวงกลมใหญ่ ใบของมันวาววับ ทอแสง
เงินสุกใส ไม่ว่าอยู่ไกลแค่ไหนก็เป็นที่สังเกต ใบเหล่านี้หากกระทบเสียดสีกันก็จะเกิดเสียงใสก้องกังวาน
ขจรไกลไปทั่ว ใครที่ได้ฟังก็ต้องเคลิบเคลิ้มลืมตัวประหนึ่งใจประสานเป็นหนึ่งเดียวกับทำนองเพลง โชคดีที่
บริเวณนี้มักมีสายลมอ่อนมาจากไหนไม่รู้พัดให้ใบไหวเสียดสีดังคำสั่งให้นักดนตรีบรรเลงเพลงเพราะอย่างนั้น
แล้วสักพักลมก็ยิ่งกระพือโหมทำให้ลำนำใบไม้เงินไพเราะสุดบรรยาย สะกดจิตใจผู้ฟังให้นิ่งงัน ดื่มด่ำนาน
เท่านาน ใครที่เข้ามาจะออกไปได้ต่อเมื่อลมหยุดพัดเท่านั้น ซึ่งก็เพียงครู่เดียว
เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วผสานสายน้ำไหลรินเป็นสิ่งเดียวที่แสดงว่าในอุทยานใหญ่นี้ยังคงมีสิ่งมีชีวิต
ขณะที่สัตว์อื่นเลือกจะเล็มอาหารอย่างเงียบๆ
ทันใดนั้นก็มีเสียงลั่นครืดยาวราวกับใครมาถอนรากถอนโคนต้นไม้แล้วกำลังลากไปอย่างนั้น สัตว์
ทั้งหลายตกใจผวาหนีไปตั้งหลักเสียไกล แต่แล้วเสียงประหลาดนั้นก็หายไปพร้อมกับลำนำใบไม้เงินเริ่มครวญ
แว่วมา พวกมันหันรีหันขวางแล้วถอยไปหากินที่อื่นที่ไกลมากกว่านี้
ทันใดเกิดเสียงครืดลั่นอีกครั้ง คราวนี้บรรดานกฝูงแตกกระจาย พอเสียงสงบไก่ฟ้าที่หากินบริเวณ
เดียวกันก็หายไปรวดเดียวสามสิบตัว ที่เหลือไม่ลังเลอีกแล้วรีบโจนหนีหายไปอย่างรวดเร็ว
ลำตัวมหึมาลากท้องพลุ้ยกลับไปที่ดงลำนำ แล้วทิ้งตัวแผ่หลากลางวงต้นไม้เงินลมอ่อนเริ่มโชยมา
เหล่าใบไม้เงินเริ่มต้นบรรเลงเพลงกังวาน ลำตัวยาวเหยียดพาดทับโคนต้นไม้ไปไกลหลายสิบต้น
ทุกอย่างกลับเข้าสู่ความเงียบสงบ มีเสียงกรนเบาๆมาจากร่างยักษ์ที่นอนสงบนิ่ง
ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินเสียงเพลงหวานที่ไม่ใช่ลำนำใบไม้เงินมาจากที่ไหนสักแห่ง มันปรือตาขึ้น
อย่างง่วงงุน ภาพข้างหน้าพร่าเลือนเห็นอะไรสีเงินเคลื่อนไหวๆบนกิ่งไม้ แล้วชัดขึ้น มันเห็นนกประหลาด
ตัวหนึ่ง ขนของมันสีเงินแวววาวเฉกเช่นใบไม้เงิน หางเป็นแพยาวขยับขึ้นลงตามจังหวะเยื้องย่าง ทุกท่วงท่า
จะเหลือบสีสันต่างๆดูน่าอัศจรรย์ มันเดินเล็มใบเงิน ทันใดนั้นก็บินถลาไปอีกกิ่งที่อยู่ไม่ไกลนัก แล้วโก่งคอ
ร้องเสียงหวาน
เจ้ามังกรนอนดูเพลินๆพักหนึ่งแล้วจะลุกหมายจะไปดูใกล้ๆ แต่นกสีเงินเหลือบเห็นก่อน มันร้องกี๊ด
แล้วสลัดปีกบินชนต้นไม้ถลามาทางมังกร มันร้องเสียงแหลมกว่าเดิมแล้วรีบกระพือปีกหนีไปอย่างตระหนก
เจ้ามังกรเฝ้ารอนกตัวอื่นอยู่พักใหญ่ แต่ก็ไม่มีตัวไหนผ่านมาทางนี้อีกเลย มันเหลียวซ้ายแลขวาเห็นสระน้ำ
อยู่ไม่ไกลนัก จึงค่อยๆคืบคลานไปอย่างระมัดระวัง
น้ำในสระใสกระจ่างจนมันสามารถเห็นใบหน้าตัวเองอย่างชัดเจน ใบหน้าที่ดูดุดันนี่หรือน่าเกลียด
น่ากลัวขนาดที่สรรพสัตว์ในป่าแห่งนี้ยังทนไม่ได้
กลิ่นหอมอ่อนๆของบัวขาวช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นบ้าง มันเริ่มเห็นปลาว่ายขึ้นใกล้ผิวน้ำ ทีละตัว
สองตัว สะบัดหางว่ายคลอเคลียกัน ปลาสีทอง แดง เขียว เงินยวง ส้ม น้ำเงินและดำว่ายวนต่อกัน
เป็นวงกลม ไม่มีแตกแถว แต่ละตัวมีเกล็ดแวววาวสุกปลั่งงดงาม
กบสีทองโผล่หน้าออกมาจากหลังกอบัว โดดไปมาระหว่างใบบัวสีหยก เจ้ามังกรขยับลูกตาตาม
กบมาทางมัน
อ่อบ!
มันหยุดเกือบทันทีแล้วร่วงตุ๋มลงไปในน้ำ อีกฝ่ายรีบมองลงไป ลูกตาวาวเล็กๆจ้องตอบแล้วหายวืด
ไปใต้ก้อนหิน เจ้ามังกรมองหาอย่างไรก็ไม่เจอเลยละสายตาไปดูพวกปลาแทน มันยื่นหน้าเข้าใกล้ผิวน้ำ
ทุกที กระทั่งปากจุ่มน้ำมิดเกือบถึงตา พอดีปลาตัวหนึ่งกลอกตาขึ้นเบื้องบน เห็นเขี้ยวแหลมๆเข้าก็ตกใจ
สะบัดหางว่ายไปทิศตรงข้าม ตัวอื่นที่ว่ายตามหลังมาถูกชนชุลมุน ทั้งวงแตกกระจาย พวกมันว่ายสวนกัน
วุ่นวายแล้วหายไปทั้งหมดในเวลาไม่นาน ท้องน้ำกลับสู่ความสงบอีกครั้ง มันโงหัวขึ้นจากน้ำ
มันทำคอตก จะมีใครบ้างที่ไม่หนีมัน จะมีใครบ้างที่ไม่กลัวมัน จะมีใครบ้างที่ยอมเป็นเพื่อนกับมัน
มันมองไปรอบๆ ไม่มีใครเลย ทั่วอุทยานเงียบสนิท โดยเฉพาะรอบตัวมัน!
เสียงย่ำหญ้าถี่ขึ้น แม้จะแผ่วเบา แต่เจ้ามังกรก็สัมผัสได้ว่ามีใครกำลังมาทางนี้ มันขยับตัวอย่าง
เบาที่สุดขณะเพ่งไปทางนั้น
ทั้งที่มันหลบมาอยู่ในป่าลึกขนาดนี้แล้ว ทำไมพวกเขายังตามมารังควาน
ชายผู้หนึ่งเลี้ยวออกมาจากเงาไม้ครึ้ม เขาสวมชุดไหมทองระยับ
ทันใดนั้นเจ้ามังกรก็รู้สึกหวงอุทยานที่มันยึดเป็นที่อาศัยมาหลายวัน และโกรธด้วยคิดว่าอีกฝ่ายจะมา
ไล่ที่อีก มันคำรามขู่
แต่ผู้มาใหม่ยิ้มตอบ ไม่สะทกสะท้าน
มันจึงพุ่งเข้าหา ต้นไม้หลายสิบต้นถล่มระเนระนาด ชายผู้นั้นยังยืนสงบกระทั่งมังกรไปถึง เขายกมือ
ยันหน้าผากมัน มันไปข้างหน้าไม่ได้จึงม้วนตัวกลับ สะบัดหางฟาดกิ่งไม้ใหญ่เหนือศีรษะเขาหักร่วง
จักรพรรดิเงยพระพักตร์ พริบตาพระองค์ก็ปรากฏอีกฟาก
เจ้ามังกรพยายามหมุนตัวกลับ แต่ติดสิ่งกีดขวางเต็มไปหมด
“ เจ้าตัวใหญ่และมีกำลังมหาศาลก็จริง แต่ก็น่ากลัวสำหรับที่โล่งเท่านั้น เมื่ออยู่ใน
ที่แคบ ร่างกายที่ใหญ่โตจะเป็นอุปสรรคต่อตัวเจ้าเอง ”
พระองค์ทรงพุ่งเข้าหา มันตกใจดีดตัวหนี ต้นไม้ใหญ่น้อยล้มครืน ทรงทะยานข้ามลำตัวมหึมา
แล้วหมุนองค์ฟาดหัตถ์ไปที่ลำตัวมัน เจ้ามังกรสะเทือนตามแรง ใบหน้าฉายความเจ็บปวด ก่อนทั้งร่าง
จะหล่นวูบ
“ เรากำเนิดมาในอาณาเขตของสวรรค์เช่นกัน ไม่ควรจะมาสู้กัน ”
ทรงตรัสกับมันที่หมอบบนพื้น มันคำรามขู่ พยายามจะขยับตัวให้ได้ แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล
“ เพราะร่างกายที่ใหญ่โตเกินไป อาจสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น ” ทรงแตะ
หน้าผากมัน แสงสีขาวเรืองไหลผ่านพระหัตถ์เข้าสู่ศีรษะเจ้ามังกร “มาอยู่กับข้าเถิด แล้วเจ้าจะได้รับ
การยอมรับจากทุกคน ”
แววตาที่ประกายกล้าด้วยเพลิงโกรธกลับอ่อนลง ดูท้อแท้และเศร้าใจเมื่อนึกถึงสีหน้าท่าทางของคน
ที่โห่ไล่มันเมื่อหลายวันก่อน ไม่รู้ว่าเกลียดชังอะไรกันนักหนา ทั้งที่มันไม่เคยทำอะไรให้เลย แล้วคนผู้นี้
เป็นใครกัน คิดว่าจะทำให้คนใจร้ายพวกนั้นยอมรับมันได้หรือ
“ ข้าคือจักรพรรดิผู้ปกครองโลกสวรรค์ เป็นใหญ่สูงสุดกว่าเทพทั้งมวล มีนามว่าเป่าซิน
ทุกคนล้วนยำเกรงข้า เจ้าไม่ต้องกลัวสิ่งใดทั้งนั้น ข้าจะปกป้องเจ้าเอง ”
มันมององค์จักรพรรดิ ทรงแย้มพระโอษฐ์เชื่อมั่น
มันกลอกตาลง
ถ้ายังอยู่อย่างนี้ก็ต้องใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว ไม่มีครอบครัว ไม่มีเพื่อน ไม่มีใครสนใจเหลียวแล
มันลองหยั่งความรู้สึกตัวเองว่าจะทนต่อไปได้ไหม แม้ที่ผ่านมาจะเริ่มชินชากับสภาวะแบบนี้แล้วก็ตาม แต่มัน
อยากอยู่แบบนี้ตลอดไปไหม
ไม่...
มันรู้ว่าตัวเองยังต้องการ
มิตรภาพ ความรัก ความเอาใจใส่และได้รับการยอมรับจากทุกคน
ถ้าเช่นนั้นก็สู้ยอมเชื่อชายผู้นี้สักครั้ง แม้จะไม่มั่นใจเท่าไรนักว่าจะได้รับสิ่งนั้นจริงๆ แต่ถ้ามีโอกาส
ที่จะเสี่ยง มันควรปฏิเสธหรือ
เจ้ามังกรค่อยๆหมอบกายลงโดยยังชูศีรษะไว้ มองจักรพรรดิครู่หนึ่งแล้วค้อมศีรษะ พระองค์
ดีพระทัยยิ่งนัก ทรงลูบศีรษะมันอย่างอ่อนโยน
“ ข้าขอตั้งชื่อเจ้าว่าชาบูหลั่นตา ต่อจากนี้เจ้าคือพาหนะของข้า จงติดตามข้าไป
ทุกที่ มาเถิด จะไม่มีผู้ใดรังเกียจหรือผลักไสเจ้าได้อีก ”
รอยยิ้มสดใสปรากฏทั้งบนใบหน้าและดวงตาที่เป็นประกายด้วยความหวังของชาบูหลั่นตา
ฝ่ายผู้ตามเสด็จยืนรออย่างกระวนกระวายที่นอกเขตอุทยาน เพราะเสียงต่อสู้อย่างหนักหน่วงเมื่อครู่
จู่ๆก็เงียบไปกะทันหัน และเป็นความเงียบที่ยาวนาน เซิ่งตู่เดินกลับไปมาด้วยความร้อนใจ แล้วทำท่า
จะเข้าไปในอุทยาน
“ ช้าก่อน ” เอ่อจี้ร้องห้าม “ องค์จักรพรรดิทรงมีพระบัญชาห้ามมิให้พวกเรา
ตามเสด็จเข้าไป ท่านลืมไปแล้วหรืออย่างไร ”
“ แต่ข้าเป็นห่วงพระองค์ จู่ๆเสียงก็เงียบไปอย่างนี้แล้วจะมัวนิ่งนอนใจได้อย่างไรกัน ”
“ องค์จักรพรรดิเสด็จออกมาแล้ว! ”
พวกเขาหันขวับไปทางนั้น ฉับพลันพื้นดินก็สั่นสะเทือนจนร่างโอนเอนไปตามกัน จักรพรรดิสวรรค์
ทรงดำเนินออกมาอย่างสง่างามโดยมีเจ้ามังกรตามมาเบื้องหลัง
พวกเขาตื่นตะลึงไม่คิดว่าจะได้เห็นมันใกล้ขนาดนี้ พอได้สติเซิ่งตู่ก็มองพระองค์ ทรงพยักหน้า
“ นี่คือชาบูหลั่นตา ” พระองค์ตรัส “ ต่อไปนี้เขาจะมาเป็นพาหนะของข้า เราคุยกัน
รู้เรื่องแล้ว เขาไม่มีเจตนาร้าย ดังนั้นพวกท่านไม่จำเป็นต้องกลัวเขา ฝากตัวพวกเขาหน่อยสิ ”
ชาบูหลั่นตาก้มหัวอย่างนอบน้อมที่สุด อีกฝ่ายทำหน้าเลิกลักแต่ก็โค้งตอบ
“ รีบไปกันเถอะ ตอนนี้ทุกคนคงรอข้าอยู่ ”
พาหนะทรงตัวใหม่รู้หน้าที่ดีจึงยอบกายลงให้พระองค์เสด็จขึ้นไป พอพระองค์ทรงประทับมั่นแล้ว
มันก็มุ่งทะยานไปทางเมือง
พวกในเมืองจะมีสีหน้าแบบไหนนะ ชาบูหลั่นตาถามทั้งที่รู้คำตอบดี แต่นึกไม่ออกว่าพวกเขาจะมี
ท่าทีอย่างไรต่อมัน
หลังคาทองคำส่องประกายวิบวับอยู่ไกลๆ มันมองลงไปเบื้องล่าง เห็นชาวเมืองออกมายืนออ
เต็มไปหมด ทั้งบนถนนและหน้าประตูเมือง พวกเขาเฝ้าดูด้วยท่าทีหวาดหวั่น พอเห็นจักรพรรดิทรงประทับ
เหนือเจ้ามังกรก็โห่ร้องออกมาอย่างยินดีในชัยชนะ หนึ่งในนั้นตะโกนทรงพระเจริญแล้วอีกหลายเสียงก็ขานรับ
ต่อกันเป็นทอดๆ จนในที่สุดก็กลายเป็นเสียงกระหึ่มกึกก้อง พระองค์ทรงแย้มโอษฐ์รับอย่างเบิกบาน
แต่เจ้ามังกรกลับนึกหดหู่และน้อยใจที่ใครๆก็เห็นมันเป็นเจ้าตัวร้าย
เซิ่งตู่ทูลถามว่าจะให้ชาบูหลั่นตาอยู่ที่ไหน เพราะมันใหญ่โตเกินกว่าจะให้อยู่ในเมือง
“ ข้าจะให้เขาอยู่ที่เดิม เพียงแต่เวลาข้าเรียกหาให้เข้ามาทางช่องข้างท้องพระโรงที่มี
ขนาดใหญ่พอให้เขาผ่านเข้ามาได้ ”
ไม่เคยมีช่องแบบนั้นหรอก เอ่อจี้ฟังแล้วก็รู้ว่ามีงานเข้า
จากนั้นจักรพรรดิเป่าซินทรงประกาศชื่อและฐานะต่อไปของชาบูหลั่นตาให้ชาวสวรรค์ทราบโดยทั่วกัน
เจ้ามังกรมองไปรอบๆ ไม่มีผู้ใดหนีมันอีกแล้ว และพวกเขาก้มศีรษะทำความเคารพมัน
“ ท่านชาบูหลั่นตา ”
มันรู้สึกมีความสุขและโล่งใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ราวกับอากาศรอบตัวแผ่ขยายไปไพศาล
ราวกับเห็นทุ่งดอกไม้อันงดงามและมีนกสีเงินมาเต้นระบำอยู่รอบๆ ล่องลอยอยู่ในความสุขและเบิกบานใจ
ด้วยอารมณ์นั้นจึงชูคอขึ้นแล้วคำรามก้อง
เสียงกรีดร้องแผดมาจากไหนไม่รู้ ชาวสวรรค์ต่างถอยกรูดไปทันที มันทำหน้างง งุนงงและหวั่นใจ
“ พวกเขายังไม่ชินกับเจ้า ” จักรพรรดิทรงลูบหัวปลอบมัน แล้วตรัสกับประชาชน
“ ไม่ต้องกลัวเขาหรอก ”
พวกเขาจึงคลายการรวมตัวออกมายืนที่เดิม
นับจากนั้น ครั้งใดที่จักรพรรดิเป่าซินทรงประสงค์จะเสด็จไปที่ไหน ก็จะรับสั่งให้ลั่นกลอง ครั้น
เสียงกลองก้องไปถึงอุทยานนอกเมือง ชาบูหลั่นตาได้ยินก็จะรีบมา แล้วชาวสวรรค์ก็จะเห็นมังกรตัวใหญ่เหาะ
เข้ามาทางช่องข้างท้องพระโรงอย่างเริงร่า
วันหนึ่ง เสียงกลองในท้องพระโรงก็ลั่นขึ้น
ชาบูหลั่นตาที่นอนสงบอยู่ลืมตาผึง นกสีเงินตกใจเสียงถลาร่อนขึ้นเบื้องบน ก่อนเจ้ามังกรจะทะยาน
ขึ้นมุ่งไปทางตำหนักใหญ่ ชาวสวรรค์รีบหลบหลังสิ่งก่อสร้าง ใครอยู่ใกล้ตำหนักตน หลบเข้าตำหนัก ใครอยู่
บนถนนก็รีบซ่อนตัวตามที่ต่างๆ ลำตัวสีหยกแล่นฉิวเหนือพวกเขา วนรอบตำหนักสองรอบแล้วมุดหายเข้าไปใน
ช่องว่างขนาดใหญ่
ภายในท้องพระโรงสว่างไสวด้วยแสงเรืองรองจากอัญมณีประดับผนัง พื้นหยกวาววับสะท้อนเงา
เพดานทองอร่ามและเสาแดงต้นตระหง่าน ระหว่างเสาเหล่านั้นเคยเป็นที่ยืนของบรรดาขุนนางยามจักรพรรดิ
เสด็จออกว่าราชการ แต่บัดนี้ไร้ผู้ใด เหลือเพียงจักรพรรดิทรงประทับบัลลังก์หยกขาวอ่านรายงานต่อ
ด้วยพระพักตร์สงบนิ่ง ชาบูหลั่นตาเข้ามาถึงก็ยอบกายลงต่ำกว่าผู้เป็นนาย
“ มาแล้วหรือ ” จักรพรรดิเป่าซินทรงละพระเนตรจากรายงาน “ ทุกทีเรียกเจ้ามา
แล้วต้องไปเลย แต่วันนี้ข้าอยากอ่านรายงานให้จบก่อน อีกนิดเดียว รอได้ไหม ”
เจ้ามังกรหรี่ตาลง พยักหัวหงึกทำนองว่าจะอย่างไรก็แล้วแต่นาย พระองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์บางๆ
แล้วทรงอ่านรายงานต่อ
ชาบูหลั่นตามองไปรอบๆห้อง ดูเพดานทองคำ ผนังแพรวพราว และเสาต้นใหญ่สูงสง่า
องค์จักรพรรดิทรงสงบนักจนมันนึกว่ากำลังอยู่ตัวเดียวในห้องนี้ มองช่องแสงที่มันผ่านเข้ามาก็เห็นแต่ฟ้าสีทอง
อ้างว้าง มันกดหัวลงด้วยรู้สึกหดหู่หม่นหมอง
การขยับตัวของมังกรเกิดเสียงไม่ใช่น้อย จักรพรรดิเป่าซินจึงทรงเงยพระพักตร์ดู ทอดพระเนตรเห็น
สีหน้าของมันไม่สู้ดี เข้าพระทัยว่าทรงให้รอนานเกินไป
“ อีกนิดเดียวเท่านั้น ”
ชาบูหลั่นตามองพระองค์แวบเดียวก็กดหัวลงไปอีก พระองค์ทรงเริ่มแปลกพระทัย
“ เป็นอะไรหรือเปล่าชาบูหลั่นตา ”
มันเอาปากทิ่มพื้นแล้วค้างไว้อย่างนั้น แต่ไม่ยอมตอบพระองค์
“ ชาบูหลั่นตา ”
“ ข้าแต่องค์จักรพรรดิเป่าซินผู้เมตตาและเกรียงไกร ”
เดิมชาบูหลั่นตาพูดเป็นแต่ภาษามังกร จักรพรรดิเป่าซินทรงมีพระประสงค์ให้มันสื่อสารกับพระองค์
รู้เรื่อง จึงทรงประทานพรให้มันพูดภาษาเทพได้
“ ว่ามาเลย ”
เจ้ามังกรทำอึกอัก บิดตัวไปซ้ายทีขวาที ไม่ยอมคายคำพูดออกมาเสียที
“ ทรงอ่านรายงานต่อเถอะพะย่ะค่ะ เสร็จแล้วจะได้เสด็จไปธุระต่อ ธุระของฝ่าบาท
ย่อมสำคัญกว่าเรื่องของข้าพระองค์ ”
“ แต่ธุระของข้าก็คือดูแลทุกข์สุขของประชาชน ” ทรงเร่งเร้า
มันตอบพระองค์ด้วยความเงียบเพียงอึดใจ ก่อนจะรวบรวมคำพูดออกมา
“ ข้าพระองค์เป็นมังกรอยู่ที่นี่ช่างเดียวดายนัก ”
“ เดียวดาย ” พระองค์ไม่เข้าพระทัยความทั้งหมด “ เจ้าหมายความว่าอย่างไร ”
“ ข้าพระองค์อยู่ที่นี่ไม่มีเพื่อนเลยพะย่ะค่ะ ”
“ ชาวสวรรค์ตั้งมากมายไม่มีผู้ใดจะเป็นเพื่อนกับเจ้าเชียวหรือ ”
ชาบูหลั่นตาสั่นหัว
“ พวกเขากลัวร่างกายที่ใหญ่โตและพลังของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ย่างกรายไปที่ใด
ก็ต้องพากันหลบหลีกไปไกลทุกครั้ง มุดเข้าตำหนักบ้างและทุกๆที่ที่พวกเขาจะเข้าไปหลบได้ ราวกับ
ข้าพระองค์เป็นปีศาจร้ายที่จะรังควานเอาชีวิตพวกเขาอย่างนั้น ”
“ ทั้งที่ข้าประกาศฐานะเจ้าอย่างชัดเจน และบอกไม่ให้กลัวเจ้าแล้วเชียว ”
จักรพรรดิเป่าซินทรงตรัสอย่างขุ่นเคือง
“ โปรดอย่าทรงพิโรธพวกเขาเลยพะย่ะค่ะ เป็นเพราะข้าพระองค์อาภัพเองที่เกิดมามี
รูปร่างหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวอย่างนี้ ” พูดจบก็กลับไปเป็นมังกรหน้าเหี่ยวตามเดิม
แววพระเนตรจักรพรรดิสวรรค์แปรเป็นหดหู่พระทัยเมื่อนึกถึงวันแรกที่รับ เจ้ามังกรเข้ามา ทรงจำ
สีหน้าท่าทางที่เบิกบานด้วยความหวังว่าจะได้รับการยอมรับและมิตรภาพจากชาวสวรรค์ได้ แต่วันนี้กลายเป็น
มังกรหน้าเหี่ยวเพราะทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่หวังไว้ ทรงตำหนิองค์เองว่าทำให้มันผิดหวัง
“ ฝ่าบาท ” ชาบูหลั่นตามองพระพักตร์ที่เคร่งเครียดของพระองค์ “ อย่าทรง
คิดมาก... ”
“ ชาบูหลั่นตา ” พระองค์ทรงนึกขึ้นได้ “ เอาอย่างนี้สิ ในเมื่อพวกเขากลัวเจ้าเพราะ
ร่างกายที่ใหญ่โต เช่นนั้นก็แค่ให้เจ้ามีรูปร่างหน้าตาแบบเดียวกับพวกเขา ดูซิว่าจะยังไม่กล้าเข้าใกล้เจ้า
อีกไหม ”
ชาบูหลั่นตาเบิกตากว้างอย่างงุนงง มันเป็นมังกร จู่ๆจะให้มีรูปร่างหน้าตาแบบเทพ จะเป็นไปได้
อย่างไร
“ ไม่ยากหรอก ” ทรงแย้มโอษฐ์อย่างมีความนัย
จักรพรรดิเป่าซินหลับพระเนตร ทรงรวบรวมสมาธิร่ายมนตรา ภาพเทพบุตรหนุ่มปรากฏชัดขึ้น
ชัดขึ้น
“ ข้ารู้แล้วว่าจะให้เจ้าเป็นแบบไหน ”
พระองค์วาดหัตถ์ไปข้างหน้า แสงสีแดงเลื่อมระยับปานเกล็ดทับทิมไหลเลื้อยออกมาเหมือนงู
ตรงเข้าล้อมร่างชาบูหลั่นตาแล้วพันรอบเป็นเกลียวตั้งแต่หัวจรดปลายหาง แสงสีทับทิมเรืองรองกลืนร่าง
เจ้ามังกรจนมิด อึดใจเดียวก็คลายออก
เทพบุตรหนุ่มองค์ใหม่ปรากฏกายหลังม่านแสง เขาสวมชุดไหมสีแดงวาววับ ปักลายต้นสนและ
กิ่งไผ่เล็กๆสีทอง ใส่รองเท้าหนังสีดำมัน
จักรพรรดิเป่าซินแย้มโอษฐ์แจ่มใสอย่างพอพระทัยในผลงาน
เรือนผมดำขลับดุจน้ำรักที่บรรจงแต่งแต้มถ้วยจานเสวยอันล้ำค่าของจักรพรรดิถูกมุ่นเป็นมวยเหนือ
กระหม่อม ใบหน้าเรียวเสลา คิ้วเข้ม ดวงตาเรียวยาวคมกริบดั่งพญาเหยี่ยว กอปรกับผิวพรรณขาวผุดผ่อง
และรูปร่างสูงเพรียวงามสง่า ทำให้เขาจัดเป็นเทพบุตรรูปงามองค์หนึ่ง
“ ดูเจ้าสิ ชาบูหลั่นตา ” พระองค์ทรงชื่นชม
ชาบูหลั่นตามองตัวเองอย่างตื่นๆ “ ข้าพระองค์เป็นอะไรไปแล้ว ”
“ ร่างใหม่ของเจ้า ชาบูหลั่นตา ข้าให้เจ้ามีร่างกายเหมือนเทพบุตรทั่วไป จะได้ไม่มี
ผู้ใดผลักไสเจ้าได้อีก ยามปกติเจ้าก็อยู่ในร่างนี้แล้วกัน แต่เมื่อข้าเรียกรับใช้หรือเมื่อเจ้าต้องการจะกลับไปเป็น
มังกรอย่างเดิม ”
ชาบูหลั่นตาจะก้มรับ พลันเซถลาไปข้างหน้า เขาตกใจเอนกลับทันเลยไม่ล้ม
“ ทรงตัวบนสองขานี่ยากจัง ” เขาลองก้าวขาข้างหนึ่ง ทันใดนั้นก็เสียหลัก ทั้งร่าง
ถลาไปกองกับพื้น
จักรพรรดิเป่าซินทรงสรวลเล็กน้อย “ เจ้ายังไม่ชินน่ะซี ลองฝึกเดินไป เดี๋ยวก็คล่องเอง ”
พระองค์เอี้ยวองค์หยิบไม้เท้าซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ยื่นให้ชาบูหลั่นตา
“ ไม้เท้าที่เทพอารักษ์ภูเขาเทวะมอบให้ข้าเป็นที่ระลึก รับไปเถิด มันจะช่วยค้ำกายเจ้า
เวลาหัดเดิน ”
“ แต่ว่าข้าพระองค์ ”
“ รับไปเถิด ”
ชาบูหลั่นตาค้อมรับ จักรพรรดิทรงดำเนินลงมาประทานให้ถึงที่และยังทรงช่วยพยุงเขาขึ้นมาพร้อมกับ
ทรงสอนวิธีใช้ไม้เท้า
ชาบูหลั่นตาค่อยๆก้าวแล้วเกือบล้ม พระองค์ประคองทันแล้วให้เดินต่อ ไม่นานเขาก็เดินได้ด้วย
ตัวเองแต่ยังต้องมีไม้เท้าพยุงกาย จักรพรรดิเป่าซินจึงดำเนินกลับไปประทับนั่งอ่านรายงานต่อ และทรง
เงยพักตร์ดูเป็นระยะ เห็นเทพบุตรองค์ใหม่ฝึกก้าวช้าๆอย่างมุ่งมั่นตั้งใจก็แย้มโอษฐ์เอ็นดู แล้วก้มพักตร์
อ่านรายงานต่อไป
นับจากนั้น ชาวสวรรค์ก็ร่ำลือกันถึงเทพบุตรแปลกหน้าที่มักทักทายพูดคุยกับพวกเขา ไม่มีใครรู้ว่า
เขามาจากไหน อยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไร แต่ด้วยใบหน้าหล่อเหลาและท่าทางยิ้มแย้มมีมิตรไมตรี รวมถึงคอย
สอบถามเรื่องราวต่างๆ ทำให้ชาบูหลั่นตาสนิทสนมกับพวกเขาอย่างรวดเร็ว แทบทุกครั้งอีกฝ่ายจะสอบถาม
ที่มาของเขา เขาจะตอบว่าไม่ทราบซึ่งก็เป็นความจริง ครั้นถามสาเหตุที่ต้องถือไม้เท้าก็ตอบเพียงว่าขาไม่ดี
เท่านั้น
เสียงกลั้วหัวเราะของเทพชราดังขึ้นกลางวงสนทนาที่มีกว่าสิบคน
“ คุยกันมาตั้งนาน เรายังไม่รู้ชื่อเจ้าเลย พ่อหนุ่ม ”
“ ข้าชื่อชาบูหลั่นตาขอรับ ” เขาตอบอย่างกระตือรือร้น
ความเงียบงันพลันแล่นปกคลุมทั่ววงสนทนา เทพมังกรหุบยิ้มด้วยประหลาดใจกับบรรยากาศรอบตัว
“ ชื่อนี้ข้าคุ้นๆเหมือนเคยได้ยินที่ไหน ”
“ ชื่อมังกรยักษ์ที่เป็นพาหนะทรงขององค์จักรพรรดิอย่างไรล่ะ ” หนึ่งในนั้นแทรกขึ้น
แล้วทั้งหมดก็หันมาจ้องเทพบุตรแปลกหน้าเป็นตาเดียว เขาทำอะไรไม่ถูก ทุกสายตาที่จ้องมาล้วนระแวง
แกมหวาดกลัว
“ เขาเป็นอะไรกับมังกรนั่น ” พวกเขาถามกัน
ชาบูหลั่นตาคาดไม่ถึงกับสายตาเช่นนั้น แต่ก็ไม่เสียทีเดียว
“ ชื่อเหมือนมาก ”
“ ชื่อเหมือนหรือ ” ชาบูหลั่นตากลืนเสียง นึกไม่ออกว่าจะทำอย่างไรต่อ
“ ใช่แล้วแค่ชื่อเหมือน ” หนึ่งในนั้นตบมือแล้วโพล่งขึ้น “ มังกรจะกลายเป็นเทพบุตร
ได้อย่างไร จริงไหม ”
ผู้ฟังพยักหน้าอย่างคล้อยตาม ชาบูหลั่นตาเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกโล่งใจ
“ อาวุโส ข้าสงสัยอย่างหนึ่ง ” เขาพูด
“ ว่ามาสิ ”
“ ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว ข้าเห็นสายตาของพวกท่าน ทำไมไม่ตื่นเต้นดีใจตอนที่เข้าใจว่า
ข้าเป็นมังกร ทั้งที่เป็นพาหนะของจักรพรรดิน่าจะมีฐานะสูงส่งแท้ๆ เหตุใดพวกท่านจึงแสดงท่าทาง
หวาดกลัวอย่างกับว่าเคยถูกเขาระรานมาก่อน ”
อาวุโสทำท่าลำบากใจ
“ บอกจริงๆนะพ่อหนุ่ม เรากลัวเขา ”
“ เหตุใด ”
“ เขาเคยมารุกรานจนเดือดร้อนกันไปทั่ว จนองค์จักรพรรดิต้องรับเขามาอยู่ด้วย
สวรรค์จึงกลับสู่ความสงบสุขอีกครั้ง แต่เรายังหวาดกลัวทุกครั้งที่เห็นเขา ”
“ ไม่รู้ว่าเหตุใดองค์จักรพรรดิไม่ทรงประหารมันเสีย กลับรับเข้ามาเป็นบริวารให้พวกเรา
ต้องหวาดหวั่นอยู่นั่น ” เสียงหนึ่งว่า
“ พระองค์คงทรงมีเหตุผลน่ะ จึงยังทรงเก็บมันไว้ ” อีกเสียงว่า
“ แต่พูดก็พูดเถอะ พวกข้ายอมรับเขาเพราะองค์จักรพรรดิเท่านั้น ”
สีหน้าชาบูหลั่นตาหม่นหมองลงอย่างมาก และกำลังกลายเป็นเครียดจัดเมื่อได้รับรู้ความจริงเหล่านี้
“ แล้วถ้าเมื่อครู่ข้าตอบว่าข้าคือชาบูหลั่นตาที่เป็นมังกรล่ะ ” ดวงตาเขาเรื่อสีแดง
“ พวกข้าคงรีบหนีไปให้ไกลสักสิบลี้ ร้อยลี้ได้ยิ่งดี ”
ชาบูหลั่นตาตะลึงงัน
จบ...จบแล้ว จบแล้วทุกอย่าง
คิดว่าเป็นมังกรรูปร่างใหญ่โตทำให้พวกเขากลัวเลยแปลงเป็นเทพบุตร ยอมลำบากเดินขาเป๋
ผูกมิตรกับพวกเขาด้วยความอดทนและใส่ใจ แต่แค่รู้ว่าอาจเป็นมังกรก็ทำท่าจะหนีเขาไปอีก แล้วทั้งหมดนี้
ทุ่มเทเพื่ออะไร
“ ไหนท่านว่ากลัว แล้วเหตุใดต้องหนีไปเสียไกลขนาดนั้น ”
“ ก็กลัวถึงต้องหนี ”
“ แต่สำหรับข้า มันคือความเกลียดชัง ”
ชาบูหลั่นตากล่าวเสียงเครือ มันมาพร้อมกับความชื้นรอบดวงตาคม
“ ข้าขอตัวก่อน ”
เขาเดินลิ่วออกไปจากกลุ่ม พ้นพวกเขา หยาดน้ำใสกระจ่างก็ร่วงอาบแก้มทั้งสอง คำพูดสุดท้าย
ยังก้องไปมาในหัว
สำหรับข้า มันคือความเกลียดชัง
หญิงสาวร่างบอบบางก้มดมดอกไม้สีสดบนพุ่มไม้ข้างรั้ว ชาบูหลั่นตาเดินซึมมาจากทางหนึ่ง หยุด
ดูนางโดยไม่ได้ตั้งใจ ดวงตาคมเหม่อลอยไม่สนใจสิ่งรอบตัวแม้แต่น้อย ไม่สนกระทั่งหยดน้ำตาที่ไหล
อาบแก้มไม่รู้ครั้งที่เท่าไร เจ้าของใบหน้างามรู้ตัวหันมาดู เห็นใบหน้าเศร้าสร้อยผิดปกติของเทพบุตร
แปลกหน้าก็จ้องตอบด้วยความสงสัย ดวงตาอีกฝ่ายกระตุกนิดหนึ่งอย่างเพิ่งรู้สึกตัว นางยืดตัวขึ้น หมุนร่าง
มาทางเขา ส่งไมตรีผ่านดวงตาที่เป็นประกายและรอยยิ้มสดใส ชาบูหลั่นตายิ้มนิดๆด้วยความยินดีแฝง
ความขมขื่นที่ยังคงค้างอยูในใจ
“ ท่านเพิ่งมาใหม่หรือ ”
เขาเดินมาใกล้นาง “ ใช่ ”
“ สีหน้าท่านไม่สู้ดีนัก รอยยิ้มก็ไม่สดใสเท่าที่ควร มีเรื่องทุกข์ใจหรือเปล่า ”
“ เจ้ามังกรทำให้ข้าเป็นแบบนี้ ”
“ ทำไมหรือ หรือมันมาระรานท่าน ”
“ ทำไมข้าต้องเกิดมาเป็นมังกรด้วย! ” เขาระบายความอัดอั้นออกมา
“ อะไรนะ ”
ชาบูหลั่นตารีบสงบอารมณ์ด้วยกลัวว่านางจะกลัวเขาไปด้วย แต่ปิดสีหน้ากลัดกลุ้มไม่มิด
“ สวรรค์เป็นที่อยู่ของคนดี ทุกคนที่นี่ย่อมพบกับความสุขสำราญไม่จบสิ้น แต่
ท่านกลับมีความทุกข์เช่นนี้ ท่านจะเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่ว่าอะไรที่เป็นความทุกข์ของท่าน เผื่อข้าจะช่วยได้
ไม่มากก็น้อย ”
เทพมังกรมองนางอย่างตื่นเต้นระคนดีใจ เป็นครั้งแรกที่ชาวสวรรค์อารีต่อเขาถึงเพียงนี้ ไม่ทัน
บอกกล่าวใดๆกับนาง ท่อนแขนกำยำจากไหนไม่รู้พุ่งมากระชากร่างนางถลาลอยไปทั้งร่าง
“ เจ้าทำอะไร ” ชาบูหลั่นตาไม่พอใจ
“ เจ้าต่างหากที่จะทำอะไร ”
เทพบุตรผู้มาใหม่ทำสีหน้าถมึงทึง นางอัปสรรีบรั้งบ่าเขาแล้วปรามให้ใจเย็น
“ ข้าไม่เข้าใจ ข้ากำลังพูดคุยกับนาง แล้วจู่ๆเจ้ามาทำการอันหยาบคายอย่างนี้ได้
อย่างไร ” ชาบูหลั่นตาว่า
“ อะไรนะ ” อีกฝ่ายถลึงตา นางอัปสรรีบก้าวมายืนข้างหน้าเขา
“ ขออภัยท่านด้วย เขาเป็นคนรักของข้า ”
“ แล้วก็รู้ไว้ด้วย! ” เขาผลักนางออกไปแล้วออกมายืนด้านหน้า
“ พอเถิด ”
“ เจ้าก็เหมือนกัน ” เขาชี้หน้าคนรัก “ เจ้ามีข้าอยู่แล้วก็ยังมาสนิทสนมกับชายอื่น
อีก ”
“ ข้าแค่คุยกับเขาแล้วมันเป็นการนอกใจท่านที่ไหนกัน ”
เสียงโต้เถียงของสองคู่รักเซ็งแซ่ขึ้นทุกทีจนชาวสวรรค์ที่ผ่านไปมาพากันหยุดดูด้วยความสงสัย
เทพบุตรขี้หึงโต้คำพูดที่มีเหตุผลไม่ได้ยิ่งเดือดจัด หันมาพุ่งหมัดใส่ชาบูหลั่นตาแต่เขาเบี่ยงตัวหลบทัน
จ้องนัยน์ตาอีกฝ่าย ไฟแห่งความโกรธเกรี้ยวลุกโชนในดวงตาคู่นั้นยากที่ผู้ใดจะยับยั้งได้อีก เขาผลักคนรัก
ออกไป
ชาบูหลั่นตาถอยไปหนึ่งก้าวซึ่งทำให้รู้สึกมั่นคงมากขึ้น เขาไม่อยากพบกับเหตุการณ์เช่นนี้เลย แต่
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีทางเลือก
เทพบุตรขี้หึงรุกเข้ามาอย่างหนักหน่วง ชาบูหลั่นตาปัดป้องทุกทางแล้วถอยออกไปเพราะไม่อยาก
ทำร้ายเขา แต่เขาตามเข้ามาอีก ชาวสวรรค์ที่มุ่งอยู่ต่างเอะอะชุลมุนเมื่อชาบูหลั่นตาถูกแรงผลักอีกฝ่าย
กระเด็น แต่เขาทรงตัวทันและตั้งหลักเตรียมรับ
เทพบุตรขี้หึงตามตะลุยต่อ ทันใดนั้นคนรักเขาก็ถลามาขวางไว้ ชาบูหลั่นตาดูออกว่าอีกฝ่ายยั้งมือ
ไม่ทันแน่จึงดึงนางมาหลบข้างหลัง ถูกหมัดเข้าที่แก้มเต็มเปา
เขาทำหน้าเบ้ แผลที่โหนกแก้มเจ็บแปลบ
“ ไปตามทหารมาเร็ว ” เทพบุตรองค์หนึ่งบอกองค์ข้างๆ
อีกฝ่ายยังตามราวีไม่ลดละ ชาบูหลั่นตาที่เริ่มโกรธจากการถูกทำร้ายก็เริ่มตอบโต้บ้าง แต่ไม่ถนัดนัก
เพราะนางอัปสรคอยขวางพวกเขาอยู่ สองหนุ่มสู้ หนึ่งนางห้าม พัวพันอยู่อย่างนั้น
เทพบุตรขี้หึงจับแขนนางได้ เหวี่ยงออกให้พ้นทาง นางเซถลาเกือบล้ม ดีที่ผู้สังเกตการณ์
ประคองทัน
“ เจ้าทำกับนางได้อย่างไร ” ชาบูหลั่นตานึกไม่ถึง
“ อย่ายุ่ง ” อีกฝ่ายคำรามตอบแล้วกรากเข้ามาตะครุบไหล่ เขาสลัดหลุดแล้วหมุนร่าง
หลบหมัดที่พุ่งตามมาไม่หยุดยั้ง
จู่ๆชาบูหลั่นตาก็รู้สึกว่าร่างเบาขึ้น เบาและคล่องตัวเหมือนตอนที่ยังมีร่างเป็นมังกร เสียงลม
หวีดหวิวอยู่ข้างหู ภาพชาวสวรรค์ที่รายล้อมรอบด้านดูพร่าเลือน แม้แต่ใบหน้าคู่ต่อสู้ รู้สึกถึงพลังความร้อน
ที่แล่นไปมาในร่างกายกำลังมุ่งไปที่ปลายแขน แสงส้มเรืองสว่างวาบ ดวงตาคู่ต่อสู้เบิกกว้างก่อนจะถูก
พลังลึกลับผลักกระเด็นไปไกล เช่นเดียวกับชาวสวรรค์รอบด้าน วิมานน้อยใหญ่ถล่มครืนโครม เศษอิฐ
ชิ้นส่วนหลังคากระเด็นขึ้นฟ้า ก่อนตกลงมาเพิ่มเสียงสนั่น
ดวงตาเทพมังกรแดงฉานเบิกโพลง แผ่นดินเบื้องหน้าแยกกว้างเป็นทางยาว ชาวสวรรค์ตกตะลึง
กับพลังมหาศาลที่น่าสะพรึงกลัว
“ พลังช่างร้ายกาจนัก ” เทพบุตรขี้หึงอุทาน เขาค่อยๆถอยออกไปรวมกับคนอื่น
“ เจ้าปีศาจ! ”
“ ใช่แล้ว เจ้าต้องเป็นปีศาจแน่ ” เทพบุตรขี้หึงกล่าวหา
คำพูดต่างๆหลั่งไหลออกมาจากปากพวกเขา ดังระงมไปหมด
“ ข้าไม่เคยเห็นหน้าเขามาก่อน ”
“ ซ้ำยังมาถามเรื่องต่างๆจากพวกเรา ”
“ พลังที่น่ากลัวขนาดนั้นไม่เคยเห็นมาก่อน ”
“ เขาต้องเป็นปีศาจแปลงกายมาแน่ ”
เทพมังกรตกใจกับข้อกล่าวหานั้น ยิ่งไปกว่านั้นนางอัปสรที่เคยแสดงความเห็นใจเขายังมีท่าที
หวาดระแวงไม่ต่างจากคนอื่น
“ ไม่ใช่นะ ”
“ เขาเป็นปีศาจลอบเข้ามาในเมืองเราเพื่อสืบข่าว ”
คำกล่าวหาต่างๆยังพรั่งพรูออกมา
“ ปีศาจลอบเข้ามาแล้ว รีบไปแจ้งทหารเร็วๆเข้า ”
“ ข้าไม่ใช่! ” ชาบูหลั่นตาตวาดเสียงกึกก้อง
แต่นั่นยิ่งทำให้ชาวสวรรค์เข้าใจว่าเขามุ่งร้ายจริงๆ
“ ปีศาจอยู่ที่ไหน ”
น้ำเสียงห้าวหาญที่คุ้นเคยดังขึ้น ชาบูหลั่นตาแหงนหน้า นักรบเกราะทองปรากฏกลางอากาศ
อย่างงามสง่า เบื้องหลังเค้ามีนักรบกลุ่มใหญ่อาวุธครบครัน
“ ท่านแม่ทัพ ” เทพบุตรองค์หนึ่งชี้มา “ อยู่นั่นขอรับ ”
“ ท่านเซิ่งตู่ ” ชาบูหลั่นตาจำเขาได้
แต่แม่ทัพสวรรค์ไม่รู้จักร่างใหม่ของเจ้ามังกร ดวงตากร้าวแกร่งถลึงจ้องเขาอย่างดุดัน
“ เจ้ารู้จักข้าแล้วยังลอบเข้ามา! ”
“ ท่านเซิ่งตู่ ” ชาบูหลั่นตาตกใจ “ ฟังข้าก่อน ”
แม่ทัพสวรรค์ชักดาบออกมา คมโลหะมันปลาบน่ากลัว
“ อย่าขัดขืนเรา ” เขาเตือน “ เราจะจับเจ้าไปสอบสวน อยู่ตรงนั้น! อย่าขยับ ”
“ ท่าน! ” ชาบูหลั่นตาชะงัก เหล่านักรบเข้าจับกุมแต่เขาไม่ยอม “ ข้าไม่ใช่ปีศาจ ”
ดวงตาเทพมังกรแดงวาบ พลังความร้อนวิ่งวนทั่วร่างกาย พริบตาแสงสีส้มลุกวาบแล้วบรรดานักรบ
ก็กระเด็นไปไกล
แม่ทัพสวรรค์เคืองจัด ปลายแหลมสีเงินพุ่งตรงมา ชาบูหลั่นตาหลบอย่างรวดเร็ว เซิ่งตู่หมุนร่างกลับ
พลางตวัดดาบเล่นงานอีก เทพมังกรก้มศีรษะแล้วลอดใต้แขนเขาอ้อมไปด้านหลัง สลัดแขนฟาดหลังแม่ทัพ
ซวดเซไป
เซิ่งตู่ตั้งหลักได้ก็รุกใหม่ ขณะที่ชาบูหลั่นตาเอาแต่หลบ ประกายดาบวูบวาบฟาดฟันเร็วยิ่งกว่า
สายฟ้า เทพมังกรหลบพัลวัน ปลายดาบเกี่ยวเอามวยผมหลุดสยาย เขาเหวี่ยงศีรษะ ปลายผมยกลอย
ตามแรง เสียงดาบฟาดฟันแหวกอากาศไม่หยุดหย่อน กลุ่มไหมสีดำร่วงกระจายเต็มพื้น
เซิ่งตู่หยุดพักในท่าเตรียม ชาบูหลั่นตาชะงักงันอย่างระวังตัว เส้นผมที่เงางามดุจรักที่เคลือบ
เครื่องใช้ชั้นสูงของจักรพรรดิ บัดนี้เว้าแหว่งไม่เป็นทรง เทพมังกรมองเศษผมบนพื้นแล้วคลำหัวตน
อย่างตระหนก เส้นผมดำเงางามที่เขาได้รับพระราชทานมาถูกแม่ทัพผู้นี้ทำลายสิ้น
“ เจ้า ” เขาคำรามด้วยความโกรธ
เทพมังกรแยกเขี้ยวยาวแหลมเหมือนใบมีด ดวงตาแดงจัดดังเปลวไฟที่กระพือโหมด้วยความ
โกรธเกรี้ยวในใจเขา
“ องค์จักรพรรดิ องค์จักรพรรดิ ”
ขุนนางผู้หนึ่งวิ่งโร่มาทางท้องพระโรง วิ่งเลยประตูไปแล้วถอยกลับมา พอผ่านทหารรักษาการณ์ก็
สะดุดธรณีประตูล้มคะมำ ทำเอาจักรพรรดิเป่าซินที่กำลังทรงงานตามลำพังสะดุ้ง
“ เกิดอะไรขึ้น ”
เขารีบลุกแล้ววิ่งมาเบื้องหน้าพระองค์
“ ทูลฝ่าบาท ”
“ เกิดอะไรขึ้น ” พระองค์ทอดพระเนตรสีหน้าตื่นๆของเขา
“ มีปีศาจลอบเข้าเมืองมาพะย่ะค่ะ ”
“ ว่าอย่างไรนะ ” พระองค์ตกพระทัย “ เป็นไปไม่ได้ เรามีการคุ้มกันที่แน่นหนา
มันจะเข้ามาได้อย่างไร ”
“ จริงๆพะย่ะค่ะ ชาวสวรรค์ต่างเห็นกันถ้วนหน้า มันมาแค่ตนเดียว ตอนนี้แม่ทัพสวรรค์
กำลังจะจับตัวมันให้ได้ แต่มันขัดขืนเลยวุ่นวายกันใหญ่ ”
“ แค่หนึ่งเดียวก็ทำให้แม่ทัพสวรรค์เสียเวลาขนาดนี้ ต่านชิง เตือนเซิ่งตู่ว่าอย่า
ประมาท ”
“ พะย่ะค่ะ ” ต่านชิงน้อมรับ “ แต่ที่น่าแปลกก็คือ... ”
“ อะไร ”
“ รูปร่างหน้าตามันเหมือนพวกเรามากพะย่ะค่ะ ดูไม่ออกเลยว่าเป็นปีศาจ ”
“ เหมือนเรา ” พระองค์ฉงนพระทัย
“ พะย่ะค่ะ คิ้วเข้ม ตาคมเหมือนเหยี่ยว รูปร่างสูงเพรียวงามสง่า ผิวพรรณก็
ผุดผ่อง ไม่อยากเชื่อเลยว่าเป็นปีศาจ ”
จักรพรรดิเป่าซินทรงดำริตามครู่หนึ่งแล้วตกพระทัย
“ ต่านชิง นั่นปีศาจที่ไหนกัน ชาบูหลั่นตาต่างหาก ”
“ หา ”
“ ข้าให้เขาแปลงร่างเป็นเราได้ แต่ยังไม่ได้บอกให้ผู้ใดรู้ แย่ล่ะ เซิ่งตู่คงทำร้าย
เขาแน่ แม่ทัพใหญ่ไม่เคยปล่อยให้ผู้รุกรานจากไปโดยง่าย ยิ่งถ้าขัดขืน...ต่านชิง รีบไปห้ามเซิ่งตู่เสีย
ถ้าไปไม่ทันข้าจะลงโทษเจ้า ”
ต่านชิงตาเหลือก “ พะย่ะค่ะ ”
เขาวิ่งอ้าวออกไป
กว่าต่านชิงจะไปถึงก็ถึงจังหวะที่เซิ่งตู่คิดฆ่าชาบูหลั่นตาเสีย ท่วงท่าต่อสู้ของทั้งสองหนักหน่วง
รุนแรง เสียงสนั่นหวั่นไหวไปถึงในท้องพระโรง จักรพรรดิเป่าซินร้อนพระทัยมากขึ้น แล้วทนไม่ไหวลุกขึ้น
ยืน ทรงดำเนินกลับไปมาอยู่หลายรอบอย่างระทึกแกมหวาดหวั่น
ไม่มีผู้ใดได้ยินเสียงต่านชิงเลยเพราะถูกเสียงต่อสู้กลบหมด เขาแผดเสียงครั้งแล้วครั้งเล่าจน
แหบหาย คำตรัสคาดโทษหากห้ามไม่ทันเร่งเร้าขึ้นมาอีก ต่านชิงรวบรวมเสียงสุดท้าย
“ หยุดเดี๋ยวนี้!!! ”
ชาวสวรรค์หลบคู่ต่อสู้มาชนเขาจนเซถลา พอดีชาบูหลั่นตาไปทางนั้น เซิ่งตู่แทงดาบตามมา
จ่อที่คอต่านชิง
“ ว้ากกกกก ” เขาร้องเสียงหลง “ ท่านนี่จะฆ่าข้ารึ!! ”
แม่ทัพสวรรค์ยั้งมือทัน ตกใจ “ แล้วท่านมาขวางไว้ทำไม?! ”
“ เป็นรับสั่งขององค์จักรพรรดิ เขาไม่ใช่ปีศาจ แต่เป็นชาบูหลั่นตา ”
เซิ่งตู่ตกตะลึงหันไปมองชาบูหลั่นตา
“ ขออภัยด้วย ”
เซิ่งตู่ค้อมหัวเป็นเชิงขอโทษ ดวงตาคมกริบตวัดจ้องเขาอย่างขุ่นเคือง
“ ข้าบอกแล้วว่าให้ฟังข้าก่อน ฟังข้าก่อน ”
“ แล้วท่านจะขัดขืนข้าทำไม ”
“ เพราะข้าไม่ใช่ปีศาจ! ”
“ พอเถิด ” จักรพรรดิเป่าซินทรงปรามก่อนจะเลยเถิดไปไกล ชาบูหลั่นตาทำท่า
ฮึดฮัดแต่ก็ยอมสงบปากสงบคำ
“ เรื่องวุ่นวายในวันนี้กระหม่อมผิดเองที่ไม่ดูให้ดี ”
“ จะเป็นความผิดของท่านได้อย่างไร ข้าต่างหากที่ไม่ประกาศให้ทุกคนรู้ ”
สีหน้าแม่ทัพใหญ่ดูผ่อนคลายขึ้นทันที
“ เจ้าล่ะ ชาบูหลั่นตา เหตุใดจึงมีเรื่องวิวาทกับคนอื่นเขา ”
“ เจ้านั่นเข้าใจผิดคิดว่าข้าพระองค์ไปยุ่งกับคนรักเขา ”
“ ก็ท่านชาบูหลั่นตารูปงามไม่เบานี่ ” เซิ่งตู่ล้อด้วยรอยยิ้มสุภาพ คาดไม่ถึงว่า
อีกฝ่ายจะหันขวับจ้องเขาอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน จึงหันกลับแล้วปรับสีหน้าสงบเคร่งขรึมตามเดิม
จักรพรรดิเป่าซินทอดพระเนตรผมแหว่งเป็นกระจุกของเทพมังกรแล้วอนาถพระทัย
“ ดูสิ ผมเจ้าเว้าแหว่งไม่เป็นทรงอย่างนี้ หากออกไปข้างนอก ทุกคนต้องจ้องเจ้า
เป็นตาเดียวแน่ แต่เอาเถิด ไม่เป็นไร ข้าจะเสกให้เจ้ากลับไปเป็นอย่างเดิมแล้วกัน ”
“ ไม่เป็นไรพะย่ะค่ะ ” ชาบูหลั่นตาปฏิเสธสวนขึ้นมา “ ข้าพระองค์ขอเป็นเช่นนี้ต่อไป
ดีกว่า ”
“ เพราะอะไร ” พระองค์ประหลาดพระทัย
“ เทพมังกรถูกแม่ทัพใหญ่ตัดผมเป็นเรื่องที่ทุกคนรู้ทั่วกัน ปล่อยไว้อย่างนี้พวกเขาจะ
ได้จำข้าพระองค์ได้ จะได้ไม่ต้องถูกกล่าวหาว่าเป็นปีศาจอีก ”
“ แต่ตอนนี้ทุกคนก็รู้จักเจ้าแล้วนี่ ”
“ ทรงผมประหลาดผิดแผกจากผู้ใดย่อมได้รับการจดจำ แค่เห็นแต่ไกลก็รู้ว่าเป็น
ข้าพระองค์ แม่ทัพใหญ่จะได้ไม่เข้าใจผิด คราวนี้ถูกตัดผม คราวหน้าคงถูกตัดหัว! ” ชาบูหลั่นตา
ประชดประชัน
ความกังวลแสดงออกมาทั้งสีหน้าและแววตาของเซิ่งตู่ เขารับรู้ได้ว่าเทพมังกรยังโกรธเคืองอยู่
ไม่น้อย
“ ข้าพระองค์ขอทูลลา ” ชาบูหลั่นตาค้อมศีรษะ
บานประตูใหญ่เปิดผาง ทหารเฝ้าประตูดึงหอกกลับไปแนบแขน ชาบูหลั่นตาก้าวออกมา
ชาวสวรรค์ด้านนอกเห็นเข้าสะกิดเรียกพวกตน ไม่นานทุกสายตก็จ้องมาที่เขา ดวงตาทุกคู่ฉายความ
หวั่นเกรง หวาดระแวง แม้แต่สายตาทหารยามก็ดูแปลกไป เทพมังกรมองทุกคน รู้สึกกดดันและเสียใจ
“ เข้ามาใกล้ข้าสิ ” เขาซ่อนน้ำตา “ จะถอยไปทำไม ข้าไม่ทำอะไรพวกท่าน
หรอก ”
ชาวสวรรค์กลับยิ่งถอยไปรวมกัน
“ ข้ามันน่ารังเกียจ น่าเกลียดน่ากลัวนักใช่ไหม ”
ทว่าทุกสายตาที่ตอบมาบอกความหวาดระแวงและมีท่าทีระวังตัว
“ มังกรนิรนามไร้ผู้กำเนิด ไร้ที่พึ่งโดดเดี่ยวไร้ผู้ใดข้างกาย ” น้ำเสียงที่เคยเปี่ยม
อำนาจกลับแหบพร่าด้วยความเศร้าระทมและสิ้นหวัง “ ด้วยหน้าตาอัปลักษณ์น่ากลัว รูปร่างทลายขุนเขา
จึงสยบยอมต่อจักรพรรดิเป่าซินผู้กล้า หวังเพียงความเมตตาและมิตรภาพที่จริงใจ ความหวังเบิกฟ้าสดใส...
พลันทลายลง ธนูแหลมคมเท่าไรมิอาจทะลุหินใหญ่ เช่นเดียวกับข้ามิอาจชนะใจประชาชน! ”
เสียงนั้นก้องสะท้านไปทั่ว นำพาความเศร้าโศก คับแค้นสู่ทุกอณูจิตใจซึ่งเต็มไปด้วยความ
หวาดหวั่นของทุกคน หยดน้ำใสปริ่มล้นขอบตาแล้วไหลอาบแก้มของผู้เอ่ยวจี แล้วเขาก็หันหลังวิ่งออกไป
แต่ละก้าวที่เหยียบย่ำพร้อมจะหมดแรงได้ทุกขณะ จนมาหยุดที่อุทยานนอกเมือง เขาทุบกำปั้นกับต้นไม้ใหญ่
ยิ่งเจ็บยิ่งออกแรง น้ำตาอุ่นไหลอาบแก้ม เจ็บปวด เจ็บปวดเหลือเกิน โดยเฉพาะที่หัวใจ
จักรพรรดิเป่าซินและเซิ่งตู่นิ่งสงบท่ามกลางความเงียบวังเวงของท้องพระโรง ราวรูปปั้นศิลา
อัญมณีพริ้งพรายทอแสงดังเพลิงคบใหญ่ขับความงามอย่างเปล่าเปลี่ยวให้แก่ห้องโอฬารที่เงียบเหงาแห่งนี้
ทหารเฝ้าประตูวิ่งเข้ามาทูลคำพูดชาบูหลั่นตาทุกคำแล้วกลับออกไป ทั่วท้องพระโรงกลับสู่
ความเงียบอีกครั้ง
พลันพระวรกายจักรพรรดิเป่าซินก็เอนอ่อนทรุดลง ประหนึ่งสัตว์ยักษ์ฉุดรั้งองค์ดำดิ่งสู่ห้วงมหรรณพ
อันลึกล้ำและมืดมิด เต็มไปด้วยความกังวลและหวาดหวั่น
“ ข้าทำทุกอย่างเพื่อปกป้องเขา ” พระองค์ตรัสเสียงพร่า “ มอบตำแหน่งสำคัญ
ให้ แต่ก็ไม่อาจทำให้เขาเป็นที่ยอมรับ แล้วอย่างนี้เทพมังกรที่โกรธเคืองและน้อยใจจะทำอย่างไร ”
ทรงกังวลยิ่งขึ้นเมื่อนึกถึงนิมิตร้าย แม่ทัพสวรรค์ดูพระองค์นิ่งๆครู่หนึ่ง
“ จะทรงบอกกระหม่อมได้หรือไม่ว่านิมิตที่ทรงทอดพระเนตรได้คืออะไร ”
พระองค์ทอดพระเนตรเขา ใบหน้าเซิ่งตู่สงบเยือกเย็นเหมือนทุกครั้ง นิ่งเสียจนทรงรู้สึกว่าพระองค์
กระโตกกระตากเกินไป
ครั้นได้ฟังเรื่องทั้งหมด ใบหน้าสงบนั้นก็พยักหน้าช้าๆ
“ กระหม่อมเข้าใจความกังวลพระทัยของฝ่าบาท แต่ก็ใช่ว่าจะอับจนทางแก้เสียทีเดียว ”
พระเนตรองค์จักรพรรดิเบิกขึ้นนิดหนึ่งอย่างประหลาดพระทัยและมีความหวัง
“ จะให้ข้าทำอย่างไร ”
“ กระหม่อมจะจัดการเอง ท่านชาบูหลั่นตามีสิ่งที่ควรทำ กระหม่อมจะบอกเขา ”
เซิ่งตู่ทูลตอบ “ ขอเพียงทรงมีพระบัญชาให้เขาย้ายมาประจำอยู่ในทัพของกระหม่อม แล้วกระหม่อมจะสอน
ให้เขาได้รับการยอมรับได้ด้วยตัวเอง ”
“ แล้วท่านจะทำอย่างไร ”
แม่ทัพใหญ่ยิ้มเยือกเย็น แล้วทูลตอบด้วยคำถาม
“ ทรงไว้วางพระทัยกระหม่อมหรือไม่ ”
คำถามนั้นกระตุกพระทัยแล้วยึดรั้งไว้ ทรงอยากถามต่อแต่ไม่รู้จะตรัสอย่างไร เพราะถ้าซักไซ้
แม่ทัพใหญ่อีกก็เท่ากับทรงแสดงว่าไม่ไว้พระทัยเขา แล้วพระองค์ก็นึกขึ้นว่าแม่ทัพใหญ่ผู้นี้อยู่กับพระองค์มา
ช้านานแล้ว ปฏิบัติหน้าที่ไม่เคยบกพร่อง ทั้งความภักดีก็เป็นที่ปรากฏ แม้จะทรงสงสัยว่าเหตุใดเขาจึง
ไม่ยอมบอกวิธี แต่ก็ทรงเชื่อว่าเขามีเหตุผล
“ ก็ได้ ข้าจะให้ชาบูหลั่นตาไปอยู่กับท่าน แต่ว่า...แน่ใจหรือว่าเขาจะได้รับการยอมรับ
อย่างแท้จริง ”
“ พะย่ะค่ะ ” แววตาแม่ทัพใหญ่มั่นคงจริงจังเหมือนน้ำเสียง “ ขอบพระทัยที่ทรง
ไว้วางพระทัยกระหม่อม ”
หยกสีเข้มรูปหยดน้ำห้อยย้อยจากกิ่งสีน้ำตาลเข้มขรุขระซึ่งยิ่งขับสีเขียวชอุ่มให้ยิ่งงามโดดเด่น ดุจ
งานศิลป์อันวิจิตรบรรจงของช่างศิลป์อันเลื่องลือ ละลานตาไปทั่วทั้งป่ากว้าง นกสีเงินเยื้องกายแผ่วเบา
ขยับแพหางสีรุ้งพลางครวญเพลงหวาน แว่วเสียงสวบสาบมาแต่ไกลกำลังมีผู้ย่ำเท้าเข้ามา ฝีเท้านั้นกระทืบ
หนักๆบนงานศิลป์ที่ช่างบรรจงสร้างอย่างไม่เกรงใจ บ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังโมโหขุ่นเคือง
เสียงเพลงหวานแผ่วลง แผ่วลง ทว่าเสียงย่ำเท้ากลับยิ่งดังขึ้น นกสีเงินกระโจนผลุบเข้าหลังม่าน
ใบหยก ชายหนุ่มเลี้ยวโผล่เข้ามา
“ ถ้ารังเกียจข้านักก็ออกไปกันให้หมดเลย ” เขาพูดอย่างหงุดหงิด
ก้อนแข็งสีเทาขว้างโดนลำต้นตุบใหญ่ นกสีเงินที่ซ่อนหลังพุ่มไม้ผวาหนีตาลีตาลาน
เสียงย่ำเท้าของผู้มาใหม่อีกกลุ่มใกล้เข้ามาทุกที ชาบูหลั่นตานึกสงสัยว่าใครกันกล้าเข้ามาหาเขา
ยามหงุดหงิดเช่นนี้
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ