L.M. lost me รักนี้ไม่มีนิยาม
-
เขียนโดย chizuru
วันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2556 เวลา 23.05 น.
3 ตอน
0 วิจารณ์
6,152 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 เมษายน พ.ศ. 2556 00.09 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) หลีกหนี//ย้ำเตือน//จุมพิษ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความชีโน่Part…
ผมแหงนหน้ามองนาฬิกาบนหัวเตียง..เที่ยงคืนแล้วสินะ อ้า—นี่ผมโดดไลฟ์มากี่วันแล้ว 1...2...3 หรือ4 ไม่รู้หละผมจำไม่ได้ป่านนี้พวกในวงจะเป็นไงบ้างนะคงโกรธผมแย่เลย แต่ไปเจอ ‘มัน’ ตอนนี้ผมคงไม่พร้อม บอกว่าผมเห็นแก่ตัวก็ได้ผมไม่ถือหรอกเชิญด่าตามอัธญาศัย
‘ปั่ง-ปั่ง-ปั่ง’
ใครกันที่มาเคาะประตูเอาดึกดื่นป่านนี้ ให้ผมเดานะคงเป็นพวกในวง ก็ผมเล่นโดดไลฟ์มาหลายวันติดวันนี้ท่าจะมาด่าหรือไม่ก็มารับให้ปฎิเสธไม่ได้สินะ...ผมเดินไปส่องดูที่หน้าประตูห้องและ ใช่จริงด้วย ถ้าซื้อหวยคงถูกไปนานแล้วแต่ถือว่าโชคดีเป็นของผมเพราะคนที่เคาะประตูมีแค่ไอ้ซินหัวหน้าวงและเป็นเพียงคนเดียวที่รู้เห็นอาการที่เรียกว่า.อกหัก. ของผม
“หาว-ดึกป่านนี้มาทำไม?”
ผมเปิดประตูแล้วแกล้งหาววอดใหญ่ทำหน้าสะลืมสะลือเมาขี้ตาแต่ซินกลับไม่สนใจมันผลักผมให้ถอยหลังแล้วถือวิสาสะเดินเข้ามาในห้องนอนทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงของผม
“นึกว่าตายแล้วซะอีก”
มันพูดกับผมเสียงเย็นๆแล้วใช้ปากคาบบุหรี่ขึ้นจากซอง
“มีไฟแช็คมั้ย?ของฉันหมด”
ผมเดินไปที่หัวเตียงหยิบไฟแช็คทรงลูกโลกของวิเวียนโยนให้ซินอย่างปลงตก
จะสูบบุหรี่แต่ไม่ซื้อไฟแช็คใหม่เชื่อมันเลย
“อย่าทำผ้าปูที่นอนไห้มนะ”
ผมพูดกึ่งสั่งแล้วเดินไปนั่งข้างๆมัน ไม่มีใครพูดอะไร ความเงียบขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้นผมไม่รู้ว่าจะชวนมันคุยอะไรหรือเริ่มพูดจากไหนใจจริงโคตรอยากถามว่า เขา คนนั้นเป็นยังไงแต่พอคิดดูอีกทีผมจะถามหาไปทำไมหรือในฐานะไหน เพื่อนงั้นเหรอตลกเถอะผมคงทำใจยอมรับไม่ได้
“มันสบายดี”
เหมือนซินจะรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่เลยตอบในสิ่งที่ผมไม่ได้ถาม แน่สิจะไม่สบายได้ไงก็ในเมื่อมีไอ้ชงคอยกอดอยู่ข้างตัวขนาดนั้น ยิ่งคิดผมก็รู้สึกเหมือนมีบาดแผลถูกฉีกขาดจากช่องอก ทรมาณชะมัดไม่ชอบเลยความรู้สึกแบบนี้..อยากหนีไปให้พ้นๆ
“แกจะหนีความจริงไปถึงเมื่อไหร่”
ผมเงยหน้าไปมองซินหลังจากมันพูดประโยคนั้นจบ...หนีงั้นเหรอ?? ใช่สิก็ความจริงมันโหดร้ายซะจนผมไม่อยากอยู่ดูต่อไป ทำไมหละ??...ทำไมพระเจ้าไม่ประทานความเข้มแข็งให้ผม ถ้าผมเข้มแข็งกว่านี้ไม่แน่‘เยน’อาจเลือกผมแทนที่จะเป็นชงก็ได้
“แกบอกอยากเข้มแข็งจะได้ปกป้องคนที่รักได้ไม่ใช่รึไง แล้วไอ้ที่มาหมกตัวอยู่ในห้องไม่กล้าเผชิญหน้ากับความจริงมันเรียกว่าเข้มแข็งตรงไหน”
คำพูดของซินเหมือนเอาก้อนน้ำแข็งสาดกระทบหน้าผมให้เจ็บจนชา เมื่อเก็บคำพูดที่เจ็บแสบของมันมาคิดก็จะเห็นว่าเรื่องทั้งหมดเป็นผมเองที่อ่อนแอ...อยากได้เยนมาแต่พอทุกอย่างไม่ได้ดั่งใจกลับมานั่งโอดครวญระบายแค้นให้ซินฟังพอรู้ว่าสู้ไม่ไหวต้องปล่อยไปกลับไม่กล้าสู้หน้ากับความจริง ผมรู้สึกเหมือนมีใครเอามีดมากระซวกอกซ้ายผมจนต้องใช้แขนโอบกอดตัวเอง แต่มันกลับไม่ได้ช่วยให้ความรู้สึกดีขึ้นเลยตรงกันข้ามมันยิ่งทำให้ผมรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้าง...ผมหันไปมองซินด้วยสายตาเว้าวอนแล้วโน้มตัวเข้ากอดมันสองมือเกาะเกี่ยวช่วงไห่ลร่างสูงให้แนบชิด...ผมรู้สึกราวกับซินเป็นยากล่อมประสาทชั้นดีหากแต่มันกลับไม่เพียงพอสำหรับบาดแผลกลางอกของผม ถึงจะทำให้ไม่เดียวดายอย่างที่คิดแต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถเติมเต็มบางอย่างได้อยู่ดี
“ช่วยอะไรอย่างสิ”
ผมร้องขอทั้งที่ไม่ได้เงยหน้ามองมัน ผมไม่สนว่าซินจะเป้นผุ้ชายเต็มตัวหรือประเภทเดียวกับผมเพราะเวลานี้ตอนนี้ผมรู้แค่ว่าผมต้องการที่พึ่งหรือไม่ก็ยากล่อมประสาทดีๆ
“ถ้าฉันทำได้นะ”
ประโยคนั้นผมถือเป้นคำอณุญาติ ผมใช้แขนเกี่ยวรั้งต้นคอของคนตรงหน้าลงมาแล้วยื่นหน้าไปใก้ลจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของกันและกันตามด้วยใช้ริมฝีปากสัมผัสแผ่วเบาไล่เล็มไปตามกลีบปากบางอย่างเชื้องช้า ผมสังเกตุเห็นอาการสะดุ้งเล็กน้อยเพราะความตกใจของมันแต่ในนาทีถัดมาซินใช้แขนแกร่งกระหวัดเอวผมริมฝีปากเฉียบบางนั้นเริ่มเปลี่ยนมารุกไล่ผมแทนทำให้ผมสูญเสียการเป็นฝ่ายรุกไปในชั่วพริบตา
แผ่นอกเปลือยเปล่าประดับด้วยรอยสักบนอกซ้ายกำลังปรากฎตรงหน้าในขณะที่ผมจะขาดอากาศหายใจเพราะรสจูบของซิน ผมพยายามเบนหน้าหนีเพื่อสูดอากาศเข้าปอด แต่ซินกลับดักผมไว้ทุกทางไม่ให้หลบพ้นจากสัมผัสที่มันมอบให้ ขบเม้มริมฝีปากผมอย่างเร้าร้อนทำเอาสติผมหลุดลอยแล้วโดยแท้รู้ตัวอีกทีก็ถูกจับกดลงกับเตียงและใก้ลขาดอากาศหายใจตาย
“อื้อ-“
ผมส่งเสียงอู้อี้ในลำคอพลางใช้แรงผลักซินออกแต่ก็ไม่เป้นผลร่างที่คร่อมทับอยู่บนตัวผมเหมือนเป็นเสาหลักปักฐาน มือใหญ่สาละวนกับการปลดกระดุมผมทีละเม็ด ริมฝีปากบางนั้นผละออกให้ผมได้รับอากาศหายใจแต่ก็เพียงแค่ชั่วขณะก่อนจะกลับมาคลอเครียบดเบียดริมฝีปากผม แต่แล้วก่อนที่อะไรจะเลยเถิดไปมากกว่านี้ซินก็ยันตัวถอยห่างออกไปทำให้ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศจะเข้าแทนที่
ผมมองดูซินค้าวเอาเสื้อที่ไปตกอยู่ใต้เตียงได้ยังไงไม่รู้ขึ้นสวม ผมตั้งใจแค่จูบแท้ๆแต่ทำไมถึงได้ไปนอนราบกับเตียงได้ยิ่งกับซินที่เป็นชายแท้หรืออะไรก็ไม่ทราบทำให้ผมทำอะไรไม่ถูกแต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่ามันเป็นยากล่อมประสาทที่ได้ผลเกินคาด
“ครั้งหน้าอย่าโดดไลฟ์อีกหละ”
พูดจบก็หันหลังเดินออกไป แต่ก่อนไปไม่วายค้าวเหล้าสาเกที่ผมวางทิ้งไว้ติดมือไปด้วย
“เหล้านี้ฉันขอ ถือเป็นค่าล้างปาก”
ว่าแล้วมันก็เดินออกไป ความเงียบกลับมาเยือนห้องผมอีกครั้ง ความอ้างว้างกำลังพากันถ้าโถมเข้ามาผมหลับตาลงช้าๆและกลับไปนอนราบกับเตียง ผ้าห่มถูกดึงขึ้นมาคลุมตัวเพิ่มความอบอุ่น พอได้มาลองคิดทบทวนคำพูดต่างๆของซินถึงมันจะกรีดลึกลงไปในใจแต่ก็พบว่ามันคือความจริง ผมคงหนีความจริงต่อไปไม่ได้แล้วสินะ.
ผมแหงนหน้ามองนาฬิกาบนหัวเตียง..เที่ยงคืนแล้วสินะ อ้า—นี่ผมโดดไลฟ์มากี่วันแล้ว 1...2...3 หรือ4 ไม่รู้หละผมจำไม่ได้ป่านนี้พวกในวงจะเป็นไงบ้างนะคงโกรธผมแย่เลย แต่ไปเจอ ‘มัน’ ตอนนี้ผมคงไม่พร้อม บอกว่าผมเห็นแก่ตัวก็ได้ผมไม่ถือหรอกเชิญด่าตามอัธญาศัย
‘ปั่ง-ปั่ง-ปั่ง’
ใครกันที่มาเคาะประตูเอาดึกดื่นป่านนี้ ให้ผมเดานะคงเป็นพวกในวง ก็ผมเล่นโดดไลฟ์มาหลายวันติดวันนี้ท่าจะมาด่าหรือไม่ก็มารับให้ปฎิเสธไม่ได้สินะ...ผมเดินไปส่องดูที่หน้าประตูห้องและ ใช่จริงด้วย ถ้าซื้อหวยคงถูกไปนานแล้วแต่ถือว่าโชคดีเป็นของผมเพราะคนที่เคาะประตูมีแค่ไอ้ซินหัวหน้าวงและเป็นเพียงคนเดียวที่รู้เห็นอาการที่เรียกว่า.อกหัก. ของผม
“หาว-ดึกป่านนี้มาทำไม?”
ผมเปิดประตูแล้วแกล้งหาววอดใหญ่ทำหน้าสะลืมสะลือเมาขี้ตาแต่ซินกลับไม่สนใจมันผลักผมให้ถอยหลังแล้วถือวิสาสะเดินเข้ามาในห้องนอนทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงของผม
“นึกว่าตายแล้วซะอีก”
มันพูดกับผมเสียงเย็นๆแล้วใช้ปากคาบบุหรี่ขึ้นจากซอง
“มีไฟแช็คมั้ย?ของฉันหมด”
ผมเดินไปที่หัวเตียงหยิบไฟแช็คทรงลูกโลกของวิเวียนโยนให้ซินอย่างปลงตก
จะสูบบุหรี่แต่ไม่ซื้อไฟแช็คใหม่เชื่อมันเลย
“อย่าทำผ้าปูที่นอนไห้มนะ”
ผมพูดกึ่งสั่งแล้วเดินไปนั่งข้างๆมัน ไม่มีใครพูดอะไร ความเงียบขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้นผมไม่รู้ว่าจะชวนมันคุยอะไรหรือเริ่มพูดจากไหนใจจริงโคตรอยากถามว่า เขา คนนั้นเป็นยังไงแต่พอคิดดูอีกทีผมจะถามหาไปทำไมหรือในฐานะไหน เพื่อนงั้นเหรอตลกเถอะผมคงทำใจยอมรับไม่ได้
“มันสบายดี”
เหมือนซินจะรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่เลยตอบในสิ่งที่ผมไม่ได้ถาม แน่สิจะไม่สบายได้ไงก็ในเมื่อมีไอ้ชงคอยกอดอยู่ข้างตัวขนาดนั้น ยิ่งคิดผมก็รู้สึกเหมือนมีบาดแผลถูกฉีกขาดจากช่องอก ทรมาณชะมัดไม่ชอบเลยความรู้สึกแบบนี้..อยากหนีไปให้พ้นๆ
“แกจะหนีความจริงไปถึงเมื่อไหร่”
ผมเงยหน้าไปมองซินหลังจากมันพูดประโยคนั้นจบ...หนีงั้นเหรอ?? ใช่สิก็ความจริงมันโหดร้ายซะจนผมไม่อยากอยู่ดูต่อไป ทำไมหละ??...ทำไมพระเจ้าไม่ประทานความเข้มแข็งให้ผม ถ้าผมเข้มแข็งกว่านี้ไม่แน่‘เยน’อาจเลือกผมแทนที่จะเป็นชงก็ได้
“แกบอกอยากเข้มแข็งจะได้ปกป้องคนที่รักได้ไม่ใช่รึไง แล้วไอ้ที่มาหมกตัวอยู่ในห้องไม่กล้าเผชิญหน้ากับความจริงมันเรียกว่าเข้มแข็งตรงไหน”
คำพูดของซินเหมือนเอาก้อนน้ำแข็งสาดกระทบหน้าผมให้เจ็บจนชา เมื่อเก็บคำพูดที่เจ็บแสบของมันมาคิดก็จะเห็นว่าเรื่องทั้งหมดเป็นผมเองที่อ่อนแอ...อยากได้เยนมาแต่พอทุกอย่างไม่ได้ดั่งใจกลับมานั่งโอดครวญระบายแค้นให้ซินฟังพอรู้ว่าสู้ไม่ไหวต้องปล่อยไปกลับไม่กล้าสู้หน้ากับความจริง ผมรู้สึกเหมือนมีใครเอามีดมากระซวกอกซ้ายผมจนต้องใช้แขนโอบกอดตัวเอง แต่มันกลับไม่ได้ช่วยให้ความรู้สึกดีขึ้นเลยตรงกันข้ามมันยิ่งทำให้ผมรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้าง...ผมหันไปมองซินด้วยสายตาเว้าวอนแล้วโน้มตัวเข้ากอดมันสองมือเกาะเกี่ยวช่วงไห่ลร่างสูงให้แนบชิด...ผมรู้สึกราวกับซินเป็นยากล่อมประสาทชั้นดีหากแต่มันกลับไม่เพียงพอสำหรับบาดแผลกลางอกของผม ถึงจะทำให้ไม่เดียวดายอย่างที่คิดแต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถเติมเต็มบางอย่างได้อยู่ดี
“ช่วยอะไรอย่างสิ”
ผมร้องขอทั้งที่ไม่ได้เงยหน้ามองมัน ผมไม่สนว่าซินจะเป้นผุ้ชายเต็มตัวหรือประเภทเดียวกับผมเพราะเวลานี้ตอนนี้ผมรู้แค่ว่าผมต้องการที่พึ่งหรือไม่ก็ยากล่อมประสาทดีๆ
“ถ้าฉันทำได้นะ”
ประโยคนั้นผมถือเป้นคำอณุญาติ ผมใช้แขนเกี่ยวรั้งต้นคอของคนตรงหน้าลงมาแล้วยื่นหน้าไปใก้ลจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของกันและกันตามด้วยใช้ริมฝีปากสัมผัสแผ่วเบาไล่เล็มไปตามกลีบปากบางอย่างเชื้องช้า ผมสังเกตุเห็นอาการสะดุ้งเล็กน้อยเพราะความตกใจของมันแต่ในนาทีถัดมาซินใช้แขนแกร่งกระหวัดเอวผมริมฝีปากเฉียบบางนั้นเริ่มเปลี่ยนมารุกไล่ผมแทนทำให้ผมสูญเสียการเป็นฝ่ายรุกไปในชั่วพริบตา
แผ่นอกเปลือยเปล่าประดับด้วยรอยสักบนอกซ้ายกำลังปรากฎตรงหน้าในขณะที่ผมจะขาดอากาศหายใจเพราะรสจูบของซิน ผมพยายามเบนหน้าหนีเพื่อสูดอากาศเข้าปอด แต่ซินกลับดักผมไว้ทุกทางไม่ให้หลบพ้นจากสัมผัสที่มันมอบให้ ขบเม้มริมฝีปากผมอย่างเร้าร้อนทำเอาสติผมหลุดลอยแล้วโดยแท้รู้ตัวอีกทีก็ถูกจับกดลงกับเตียงและใก้ลขาดอากาศหายใจตาย
“อื้อ-“
ผมส่งเสียงอู้อี้ในลำคอพลางใช้แรงผลักซินออกแต่ก็ไม่เป้นผลร่างที่คร่อมทับอยู่บนตัวผมเหมือนเป็นเสาหลักปักฐาน มือใหญ่สาละวนกับการปลดกระดุมผมทีละเม็ด ริมฝีปากบางนั้นผละออกให้ผมได้รับอากาศหายใจแต่ก็เพียงแค่ชั่วขณะก่อนจะกลับมาคลอเครียบดเบียดริมฝีปากผม แต่แล้วก่อนที่อะไรจะเลยเถิดไปมากกว่านี้ซินก็ยันตัวถอยห่างออกไปทำให้ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศจะเข้าแทนที่
ผมมองดูซินค้าวเอาเสื้อที่ไปตกอยู่ใต้เตียงได้ยังไงไม่รู้ขึ้นสวม ผมตั้งใจแค่จูบแท้ๆแต่ทำไมถึงได้ไปนอนราบกับเตียงได้ยิ่งกับซินที่เป็นชายแท้หรืออะไรก็ไม่ทราบทำให้ผมทำอะไรไม่ถูกแต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่ามันเป็นยากล่อมประสาทที่ได้ผลเกินคาด
“ครั้งหน้าอย่าโดดไลฟ์อีกหละ”
พูดจบก็หันหลังเดินออกไป แต่ก่อนไปไม่วายค้าวเหล้าสาเกที่ผมวางทิ้งไว้ติดมือไปด้วย
“เหล้านี้ฉันขอ ถือเป็นค่าล้างปาก”
ว่าแล้วมันก็เดินออกไป ความเงียบกลับมาเยือนห้องผมอีกครั้ง ความอ้างว้างกำลังพากันถ้าโถมเข้ามาผมหลับตาลงช้าๆและกลับไปนอนราบกับเตียง ผ้าห่มถูกดึงขึ้นมาคลุมตัวเพิ่มความอบอุ่น พอได้มาลองคิดทบทวนคำพูดต่างๆของซินถึงมันจะกรีดลึกลงไปในใจแต่ก็พบว่ามันคือความจริง ผมคงหนีความจริงต่อไปไม่ได้แล้วสินะ.
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ