CurseSchool คำสาปโรงเรียนผี
เขียนโดย WinnerShadow
วันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2556 เวลา 13.48 น.
แก้ไขเมื่อ 16 เมษายน พ.ศ. 2556 14.05 น. โดย เจ้าของนิยาย
11) เริ่มวางแผน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
Chapter 11
Planning.
ผ่านมา 1 วันหลังจากทัศนศึกษา
ตอนนี้พวกผมนัดกันมาที่โรงเรียนกับโคโมะอีกคน เพื่อที่จะมาปรึกษากันเรื่องคำสาปที่ว่า โดยมีฮิซุยกับเคที่กำลังช่วยโคโมะทำพิธีกรรมบางอย่างซึ่งมันอาจจะเป็นวิธีจัดการคำสาปโรงเรียนไรเซ็นคุนั้นเอง
พวกเราใช้ห้องว่างที่ไม่มีใครใช้ซึ่งอยู่อาคารของนักเรียนชั้นมัธยมต้น ผ่านมาประมาณ1ชั่วโมงแล้วหลังจากที่โคโมะผู้เริ่มพิธีกับฮิซุยและเคที่ยืนลับตาอยู่ข้างนอกวงแหวนซึ่งกำลังตั้งสมาธิอยู่นั้นเอง พวกคลาวน์นั่งรออยู่นานจนออกไปคุยกันข้างนอก
“แล้วเอาไงล่ะ ช่วงนี้ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วนิ” ฮินาตะพูดเมื่อเดินออกมาหน้าห้องแล้ว
“จริงด้วย ไม่แน่สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดอาจจะไม่ใช่คำสาป แต่อาจจะเป็นเพราะวิญญาณนั้นแค่ไปแค้นนายหรือใครมารึเปล่าคลาวน์” ยูยะพูด จนทำให้คลาวน์คิดหนัก ก่อนจะพูดขึ้นอีกว่า
“แต่ถ้านั้นไม่ใช่คำสาปตามที่เราคิด มันก็แปลกนะ ที่วิญญาณเจาะจงมาคุยกับเราเมื่อตอนนั้นน่ะ ฉันคิดว่าไม่ใช่แค่ความแค้นหรอก”
“อ้าว ถ้าไม่ใช่ความแค้นงั้นก็...” ยูยะพูดด้วยสีหน้าที่เกือบจะซีด และคำที่จะพูดต่อนั้นมันติดอยู่ปลายลิ้นเพราะพูดไม่ออก
“เป็นคำสาป ที่มีคนสร้างขึ้นมาโดยเจาะจงมาที่คลาวน์สินะ” ฮินาตะตอบแทน
“ฉันคิดว่าน่าจะเป็นแบบนั้น เพราะการที่วิญญาณตนนั้นถึงกับเจาะจงมาที่ฉันแล้วฆ่าคนที่เข้ามาใกล้หรืออยู่ร่วมโรงเรียนนี่มันจะเกินไป ถ้าไม่ใช่แค่จะเรียกความสนใจหรือแค่จะทำให้ฉันจมอยู่ในคำเล่าลือของโรงเรียนที่เรียกว่าคำสาปล่ะก็มันก็แปลก”
“นั้นก็หมายความว่า มีคนอยู่เบื้องหลังแล้วให้วิญญาณตนนั้นมาทำร้ายคนที่อยู่รอบข้างนายสินะ” ยูยะพูดเมื่อคิดได้
“ก็ประมาณนั้นแหละ ถ้าทำแบบนั้นโดยที่พวกเราไม่ไปขวางล่ะก็ มันจะเกิดโศกนาฏกรรมเหมือนกับโรงเรียนไรเซ็นคุก็ได้น่ะสิ” คลาวน์พูดและมองหน้าเพื่อนทั้งสองอย่างเสียใจ คลาวน์กำลังคิดว่า ถ้าเขาไม่ย้ายมาเรียนที่นี้ล่ะก็ คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ แต่ถึงจะย้ายไปที่อื่น ไม่แน่สิ่งที่เรียกว่าคำสาปอาจจะตามเขามาก็ได้ เมื่อคิดแบบนั้นคลาวน์จึงพยายามนึกถึงดวงวิญญาณหมอกดำนั้น
และไม่นานพวกเขาก็ตกใจ เมื่อวิญญาณนั้นโผล่มายืนตรงหน้า เธอมาพร้อมกับใบหน้าที่เย็นชาเหมือนกำลังสะกดอะไรบางอย่าง เมื่อคลาวน์เห็นแบบนั้นจึงถามคำถามหนึ่งที่ทำให้วิญญาณสะดุ้งไป
“เธอถูกควบคุมอยู่ใช่รึเปล่า?”
“....!”
“ตกใจงั้นเหรอ? แปลว่าใช่สินะ แล้วเธอคือใคร คนที่ควบคุบเธอคือใคร ช่วยบอกหน่อยได้มั้ย? แต่ถึงจะถามแบบนี้เธอคงไม่ตอบสินะ” คลาวน์พูดออกและก้มหน้าลงด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“....”
“เธอเงียบไปเลยแห่ะ งั้นแปลว่าโดนควบคุมนั้นแหละ” ยูยะพูดและฮินาตะก็พยักหน้าให้ เพื่อเป็นเชิงว่าเธอโดนควบคุมอย่างที่คิด
“เธอจะไม่ตอบจริงๆ เหรอ? เธอไม่อยากถูกปลดปล่อยออกจากการใช้งานให้ไปฆ่าคนเหรอ?” คลาวน์พูดทั้งๆ ที่ยังคงก้มหน้า วิญญาณเด็กสาวเริ่มมีน้ำตาเมื่อได้ยินคำว่าปลดปล่อยจากการฆ่า ซึ่งทำให้พวกคลาวน์รู้ทันทีว่าวิญญาณตนนี้ไม่ได้อยากฆ่าใครเลยสักนิด แต่เพราะตัวเธอกำลังถูกควบคุมต่างหาก
“ระ..ร้องไห้เหรอ?” ฮินาตะทวนสิ่งที่เห็นด้วยความตกใจกับยูยะ
“เธออยากถูกปลดปล่อยสินะ” คลาวน์ถามอีกครั้งด้วยใบหน้าที่จริงจัง
“...ชะ..ช่วย ฮึก ด้วย ฉันไม่อยาก..ฆ่าใคร..อีก..ฮึก แล้ว”
เมื่อได้ยินแบบนั้นทำให้ฮินาตะกับยูยะมองหน้ากันอย่างสงสัยก่อนจะเข้าใจ แล้วหันไปถามดวงวิญญาณอีกครั้งว่า
“แล้วตัวเธอคือใคร แล้วใครเป็นคนทำเหรอ?”
“ฉันเอง...”
“เอ๋?” คลาวน์ตกใจเมื่อเสียงของเด็กสาวช่างฟังดูคุ้นหูในตอนนี้ และยังร่างของเด็กสาวที่เริ่มเห็นชัดขึ้น มันชัดจนมองเห็นเสื้อนักเรียนไรเซ็นคุที่ไม่มีแม้แต่เลือด ทรงผมสีดำขรับยาวถึงเอว และดวงตาโตสีฟ้าทะเล จนคลาวน์มองเด็กสาวด้วยความตกใจเพราะเธอคือเด็กสาวที่เขาไม่สามารถช่วยได้ในเหตุการณ์โศกนาฏกรรม เธอคือคนที่คุยกับคลาวน์ตลอดเวลา เป็นคนที่คลาวน์หลงรักมาโดยตลอด
“ยู..กิ...” เสียงของคลาวน์สั่นเครือเหมือนจะร้องไห้ ฮินาตะกับยูยะถึงกับตกใจเมื่อเขาเอ่ยชื่อของคนที่เขาไม่สามารถปกป้องได้ออกมา
“ฉันขอโทษ..ขอโทษนะ..เพราะฉัน..ถ้าฉันไม่ขออะไรแบบนั้นล่ะก็!”
“ขอ..? ขออะไรยูกิ เธอไปขออะไรไว้กับใคร? ทำไมเธอถึงโดนควบคุมล่ะ แล้วใครเป็นคนทำ!?” คลาวน์ถามอย่างรวดเร็ว เพราะถ้ายูกิสามารถเป็นอิสระได้ในตอนนี้ ไม่แน่คาถาของคำสาปอาจจะเสื่อม เลยทำให้เธอสามารถคุยกับเขาได้ แต่ถ้าฝ่ายนั้นรู้ตัวเมื่อไร ยูกิอาจจะกลายเป็นวิญญาณที่มีหมอกดำปกคลุมอีกครั้ง จนอาจจะไม่มีโอกาสแบบนี้อีกก็ได้
“ฉันเคยขอว่าอยากมีเพื่อน แล้วคนๆ นั้นก็สัญญากับฉัน ถ้าฉันไม่ขออะไรแบบนั้น ทุกคนที่ตายไปคงไม่ต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้..ฮึก ฮือ..ฮือ...”
“ตั้งสติไว้! ใครเป็นคนทำ บอกฉันหน่อยสิ ยูกิ!?”
“คะ..คุณ อึก!” ยูกิสะดุ้งพร้อมกับใบหน้าที่ตกใจ และหมอกดำก็เกิดขึ้นใต้เท้าของยูกิ ก่อนจะลามขึ้นมาเรื่อยอย่างช้า
“กรี๊ดดด!!”
“ยูกิ!!” คลาวน์เรียกชื่อของเด็กสาวที่ตอนนี้ดิ้นทุรนทุรายเพราะหมอกดำที่เข้าปาคลุม ก่อนจะสิ้นเสียงของเด็กสาวและแปรเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะที่น่าสยดสยอง ตอนนี้ใบหน้าของเธอแทบมองไม่เห็นอีกครั้ง ยูยะกับฮินาตะถึงกับตกใจผสมปนกับความผิดหวังที่เสียเบาะแสไปอีกครั้ง
“หึหึหึ อยากรู้เหรอ? งั้นให้ฉันฆ่าแกก่อนแล้วกัน!” วิญญาณเด็กสาวพุ่งเข้ามาทำร้ายคลาวน์อย่างรวดเร็วจนมองไม่ทัน ร่างของเด็กหนุ่มล้มลงไปกับแรงกระแทกเพราะโดนบีบคออย่างแรง เพื่อนทั้งสองเห็นแบบนั้นจึงรีบเข้าไปช่วย แต่กลับถูกอะไรบางอย่างสะท้อนกับไปจนกระเด็นไป
“ยู..กิ ทำไม..? อึก”
คลาวน์พยายามดิ้นให้หลุด แต่เพราะแรงบีบนั้นมันช่างมากเหลือเกิน ทำให้ไม่สามารถหนีได้เลย
วิญญาณของฮิซุยทะลุออกมาจากห้องก่อนจะรีบเข้าไปสิ่งร่างของฮินาตะที่ล้มอยู่อย่าวรวดเร็ว ก่อนจะใช้พลังบางอย่างทำให้เกิดแสงเล็กๆ เหมือนหิ่งห้อยขึ้นมากมายแล้วชี้ไปทางวิญญาณเด็กสาว จนแสงพวกนั้นพุ่งเข้าหาอย่างรวดเร็ว จนไม่สามารถหลบทัน
“กรี๊ดดด!!!” เด็กสาวร้องออกมาอย่างทรมาณเหมือนแสงพวกนั้นกำลังกัดกินไปทั้งตัว และก็สลายหายไป ยูยะที่ลุกขึ้นมาได้รีบวิ่งมาดูอากาศของคลาวน์ที่หายใจติดขัดกับการโดนบีบคอ
“คลาวน์ ไม่เป็นไรนะ”
“อ่า แฮก ต้องขอบคุณฮิซุยกับฮินาตะเลยล่ะ”
“หึ ถ้าฮินาตะไม่เรียกฉันล่ะก็ ฉันก็ไม่รู้นะเนี้ย” ฮิซุยเดินมาแล้วพูดอย่างวางมาด แต่ก็ยิ้มอย่างดีใจเช่นกันที่ได้รับคำชม
ครืดดด
เสียงประตูห้องเรียนที่ใช้ทำพิธีเปิดออกกับร่างของโคโมะที่ทำหน้าเหมือนกำลังโมโหอะไรบางอย่าง และเคที่หน้าซีดและเศร้าปนกันไป
“เพราะพวกนายแท้ๆ พิธีถึงได้ถูกยุติลง แล้วแบบนี้จะหาตัวการได้มั้ย?”
“ขะ..ขอโทษ” ทั้งสามคนรวมทั้งฮิซุยพูดออกมาอย่างสำนึกผิด
“เฮ้อ.. แต่แบบนี้ก็ทำให้พิธีล่มน่ะนะ ถ้ายังไงก็รู้แล้วล่ะว่าตัวการอยู่ที่โรงเรียนไรเซ็นคุไม่ผิดแน่ แต่ปัญหาคือไม่รู้ว่าตัวการมีกี่คนนี่สิ” โคโมะพูด ก่อนจะเปิดฮู้ดที่ส่วมอยู่ แล้วเอาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับใบหน้าที่มีเหงื่อ ตอนนี้ทำให้เห็นใบหน้าของเด็กสาวชัดจนทุกคนในที่นี้ตกใจกับความน่ารักและดูเท่ของเด็กสาว
“มองอะไร?”
“ปะ..เปล่า! ไม่มีอะไร” ทั้งหมดพูดพร้อมกันแต่ใบหน้ากลับเขินอย่างบอกไม่ถูก แต่เคกลับเดินมาหาคลาวน์แล้วกอดแน่นเหมือนกำลังเสียใจอะไรบางอย่าง ทั้งหมดหันมาทางสองคนนี้อย่างตกใจ
“เฮ้ย! เป็นอะไรเนี้ยเค!? อย่ากอดสิ มันขนลุก” คลาวน์พูดและตบบ่าเคอย่างแรงไปหนึ่งที แต่เคกลับกอดแน่นขึ้นและพูดประโยคหนึ่งออกมาอย่างเงียบๆ
“นายคิดว่าจะหนีพ้นจริงๆ เหรอ?”
“เอ๊ะ?”
“คำสาปน่ะ..จะหนีพ้นจริงๆ เหรอ? ถ้าฉันจะหักหลังนายล่ะ”
“....”
“ถ้าฉันจะไม่สนับสนุนนายล่ะ”
“นี่เคนายกำลังพูดอะไรน่ะ” ยูยะถามอย่างตกใจกับสิ่งที่เคพูด
“พอที!! นายมาคุยกับฉันเดี๋ยวนี้เลย!” คลาวน์ผลักเคออกไปก่อนจะเดินไปตามทางเดินด้วยท่าทีที่โกรธจัด เคก็หายตามไปอย่างไม่ขัดแย้ง พวกยูยะหันมองตามไปด้วยสายตาที่ห่วงๆ และสงสัยกับคำพูดของเคที่ทำให้คลาวน์โกรธจัด
“พวกเราก็ไปรอกันข้างล้างเถอะ เพราะยังไงก็อาจจะเป็นเรื่องของสองคนนั้นนิ”
“จะดีเหรอ?” ฮินาตะพูด
“อืม ปล่อยไปเถอะ ให้พวกนั้นได้อยู่กันสองคนเพื่อระบายความรู้สึกสักหน่อยก็คงดี” โคโมะพูดต่อ ก่อนจะเดินไปอีกทางที่ตรงข้ามกับพวกคลาวน์ ยูยะก็เดินตามไปกับฮินาตะอีกคน ฮิซุยก็ทำท่าเป็นห่วงเหมือนกัน แต่ก็ทำใจเดินตามโคโมะไป ตอนนี้ทุกคนไม่คิดว่า เคจะพูดคำนี้ออกมา
ทางด้านคลาวน์
คลาวน์กับเคเดินเข้ามาในห้องเรียนห้องหนึ่งซื่งเป็นห้องว่างเช่นกัน คลาวน์เดินมาที่ริมหน้าต่าง จนแสงที่สาดเข้ามากระทบกับตัวเขาอย่างจัง แต่นั้นไม่ใช่ประเด็น เพราะเขาควรจะคุยเรื่องสิ่งที่เคพูดเมื่อกี้
“แสดงละครเก่งนี่..หึหึ” เคพูดออกมาพลางยืนกอดอก
“หึ นายถึงกับเดินเข้ามากอดแล้วแอบกระซิบซะเบาขนาดนั้น มันก็คงเป็นเรื่องที่สำคัญมากสินะ แล้วบอกโคโมะไปรึยัง?”
คลาวน์หันมาถามเคด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม นั้นหมายความว่าสิ่งที่เคพูดเมื่อกี้เป็นแค่บอกว่าจะขอคุยส่วนตัวเพื่อจะบอกอะไรบางอย่าง แต่เพราะไม่อยากให้ใครมาได้ยิน คลาวน์จึงสมทบโดยการตวาดออกมาแบบโกรธๆ
จริงๆ ทั้งสองคนก็อยากจะหัวเราะออกมาดังๆ ว่าทำไปได้ไง
“ฉันยังไม่ได้บอกโคโมะจังหรอก แต่จะบอกนายว่า คนที่เป็นตัวการน่ะ เป็นคนที่นายและฉันรู้จักเป็นอย่างดีก็เท่านั้นแหละ” เคพูด จนคลาวน์ยิ้มออกมาเมื่อเข้าใจ
“งั้นเหรอ? ถ้าแบบนั้นก็ง่ายหน่อย แต่นายคงไม่ลงทุนขนาดต้องเข้ามากอดกันใช่มั้ย? มีอะไรอีกล่ะ บอกมาสิ”
“หึ รู้สึกว่าวิญญาณของยูกิจังที่นายรักนักหนาน่ะ จะถูกควบคุมโดยคนๆ นั้นและคนอื่นๆ ที่ตายในเหตุการณ์โศกนาฏกรรมก็ด้วย ทุกคนถูกขังเพื่ออะไรซักอย่าง จนไม่สามารถถูกปลดปล่อยได้เลยน่ะสิ”
“โฮ่..พูดมาขนาดนี้ นายไม่รู้สึกเสียใจบ้างเหรอ?” คลาวน์ถามพลางเดินเข้ามาใกล้ๆ
“หึหึหึ แล้วนายล่ะ ไม่กลัวฉันจะหักหลังบ้างเหรอ?”
“แหม..น่าสนใจนี่ จะลองดูมั้ยล่ะ”
พวกโคโมะที่เดินออกมาหน้าอาคารก่อน มารวมนั่งกันอยู่ที่ม้านั่งเพื่อรอคลาวน์ แต่นั้นก็เป็นช่วงเวลาที่สามารถพุดอะไรได้นิดหน่อย โคโมะจึงเริ่มพูด
“พรุ่งนี้เป็นวันหยุดสินะ”
“อืม พรุ่งนี้เป็นวันที่ต้องหยุดเพราะน้องไปเข้าค่ายนอกสถานที่น่ะ” ฮินาตะตอบ
“งั้น เราก็ต้องรีบไปหยุดคำสาปนั้นแล้วล่ะ เพราะมันอาจจะจบสิ้นกันในไม่ช้า”
“หา!!?”
ฮินาตะกับยูยะลุกขึ้นตกใจพร้อมกัน กับสิ่งที่โคโมะบอก ฮิซุยโผล่มาพร้อมกับสีหน้าไม่ค่อยดีนัก แปลว่าพวกเขาต้องไปเห็นอะไรมาในพิธีนั้นแน่ๆ ซึ่งนั้นก็ทำให้ยูยะสงสัยนิดหน่อย
“ทำไมถึงจะจบล่ะ บอกหน่อยได้มั้ย?”
“ก็เพราะฉันไปเห็นเข้าน่ะสิ ภาพของพวกดวงวิญญาณที่ดูเหมือนจะควบคุมตนเองไม่ได้เพราะคาถามคำสาปสายดำนั้นน่ะ”
“วิญญาณที่ควบคุมตัวเองไม่ได้?” ฮินาตะทวนคำ
“ใช่ ฉันที่เป็นวิญญาณน่ะยิ่งเห็นชัดเลยล่ะ ว่าพวกนั้นกำลังทรมาณและกำลังจะโดนกัดกินอย่างช้าๆ รวมไปถึงวิญญาณที่ใกล้จะถึงขีดจำกัดและกำลังแหลกสลาย พวกภูตผีที่อยู่แถวนั้นก็รู้สึกจะไม่ค่อยดีกันซะด้วย” ฮิซุยพูดก่อนจะถอนหายใจ
“ฉันถึงได้บอกว่า ต้องรับไปหยุดไงล่ะ ถ้าไม่อย่างงั้นวิญญาณพวกนั้นอาจจะถูกกลืนกินและโดนควบคุมเหมือนวิญญาณของผู้หญิงคนนั้นก็ได้ยังไงล่ะ” โคโมะพูดก่อนจะลุกขึ้น แต่นั้นก็ทำให้ยูยะดึงเธอไว้แล้วยิ้มออกมา ก่อนจะพูดประโยคที่ทำให้โคโมะตกใจกับการจับผิดของเขา
“เธอคิดว่าฉันไม่รู้งั้นเหรอ? ว่าเธอไปเห็นอะไรมา”
โคโมะนิ่งไปก่อนจะทำหน้าเหมือนจะตลกกับคำพูดของยูยะ และทำหน้าเปื้อนยิ้ม
“หึ ไหวพริบดีนี่ ยูยะ”
“งั้นช่วยบอกหน่อยได้มั้ยว่าเธอไปเห็นอะไรในพิธีนั้นน่ะ และช่วยบอกด้วยนะว่าพิธีของเธอน่ะ ทำให้เห็นอะไร”
“ก็แค่ทำให้ภาพของสถานที่ที่อยากจะเห็น และภาพในอดีตของสถานที่นั้นเท่านั้นแหละ ถ้าจะให้ฉันตอบคำถามที่ว่าตัวการคือใครน่ะ ฉันก็เห็นหรอกนะ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าพวกนายรู้จักรึเปล่า?”
“แล้วใครงั้นเหรอ?” ฮินาตะที่นั่งฟังอยู่ ถามออกมา
“ก็คนที่พวกเราเคยไปเจอที่ป้ายหลุมศพของเด็กผู้หญิงนั้นไง” ฮิซุยบอกแทนโคโมะที่นิ่งไปเพราะเธอไม่รู้จักคนๆ นั้น และฮินาตะกับยูยะก็ตกใจเพราะนึกถึงคนที่ชื่อโยชิโร่ขึ้นมาได้ และนั้นก็ทำให้โคโมะพยักหน้าขึ้นมาเพราะสิ่งที่ฮิซุยบอกนั้นเป็นเรื่องจริง
“นี่”
คลาวน์ที่เดินมาตอนไหนไม่รู้เรียกพวกเขา จนทุกคนตกใจ และหันไปทางคลาวน์ด้วยใบหน้าที่เศร้าจริงๆ แต่คลาวน์กลับทำสีหน้าที่ดูจะโมโหจริงๆ
“แล้วเคล่ะ” ฮิซุยถาม
“หึ หมอนั้นขอบายน่ะ เห็นบอกว่าไม่อยากถูกเจ้าพวกนั้นควบคุม” คลาวน์ตอบอย่างอารมณ์เสีย พอนึกถึงคำพูดของเคก็ทำให้โมโหขึ้นมา
“อะไรนะ!?” ทุกคนถึงกับอึ้ง เพราะไม่คิดว่าเคจะไม่เอาด้วยกับเรื่องแบบนี้
“ช่างเถอะ ถ้าหมอนั้นจะเป็นวิญญาณเร่ร่อนก็เชิญตามสบาย ถ้ายังไงฉันมีอะไรจะบอก ช่วยฟังแล้วไม่ต้องห้ามฉันหรือคิดมากนะ”
“...อะ..อืม” ยูยะที่มีสติพยักหน้าอย่างหวั่นๆ
“ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับฉัน ช่วยไปบอกพวกครอบครัวฉันทีว่า ผมขอโทษ...”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ