The Tale Of Lilian.
เขียนโดย ปรัสรา
วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2556 เวลา 22.52 น.
แก้ไขเมื่อ 8 เมษายน พ.ศ. 2556 14.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) SS.3
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“เจ้าว่าพวกนั้นจะค้นหาพวกเราเจอไหม” เจ้าหญิงมองหน้าพะวงหลังในชุดชาวบ้านธรรมดาสีน้ำตาลมอๆ แน่นอนว่านางไม่ได้มาด้วยการจ่ายเงินแน่ๆ นักรบหญิงสั่งให้นางซุ่มในกองฟางตรงเกวียนเก่าคันหนึ่ง เสียงร้องเอ็ดตะโรของชาวบ้านไล่หลังมาไม่ทันไร ชุดกระโปรงผู้หญิงที่ดูจากกลิ่นสีและสภาพแล้วคงไม่ใช่มือหนึ่งก็ถูกโยนลงมาตรงหน้า เสื้อผ้าข้าวของถูกเก็บไว้ขายได้ราคาที่เมืองดีๆ อาณาจักรนี้อันตรายเกินสำหรับทำอะไรแบบนี้
เมอไนเลี่ยนไม่รู้ว่านางกำลังหมายถึง ‘ทหารพวกนั้น’ หรือ ‘อัศวินพวกนั้น’ แต่ถ้าเป็นอย่างแรกจริงๆคงดีไม่น้อย เพราะนางเบื่อการวิ่งไล่จับกึ่งซ่อนแอบเต็มที หากไม่ติดว่าเจ้าหญิงแดนมนตราป้องกันตัวได้ดีกว่านี้คงบุกฝ่าประตูเมืองไปเสียตั้งนานแล้ว! ส่วนถ้าเป็นอย่างหลัง นางคิดว่าเจอไม่เจอก็เหมือนกัน จำได้ไหม? ใครเป็นคนช่วยนางออกมาจากคุกคุมขังทาสเผ่านักรบ? ก็ตัวนางเองไงล่ะ!
คนห้าวหาญแอบหัวเราะขึ้นจมูกอย่างเย็นชา “จากเวทตรวจตราครั้งล่าสุด ดูเหมือนอัศวินผู้แข็งแกร่งของเราจะกำลัง ‘ขอไปเที่ยวค้างพักแรมกับผู้ปกครอง’ อยู่ไม่ใช่เรอะ?”
“พวก...พวกเขามีสิทธิสับสน” นางลูบกระโปรงระหว่างเดินออกจากประตูเมือง พร้อมกันนั้นยังกระชับผ้าคลุมศีรษะให้เรียบร้อย น้ำเสียงเห็นอกเห็นใจกึ่งกิ่งเกรงนี้ทำให้คู่สนทนาเบื่อเต็มที
อย่าหวังว่าข้าจะแลกชีวิตกับคนอย่างเจ้าเลย! นางคำรามในใจ
ทหารกลุ่มหนึ่งเฉียดกรายเข้ามาใกล้เจ้าหญิงลิเดเรียจนได้กลิ่นหอมที่ผ้าเหม็นเก่าปิดไม่มิด ส่วนนางก็พยายามเบียดเสียดจนแทบจะหลอมกายเป็นหนึ่งกับนักรบหญิงข้างกายได้อยู่แล้ว แม้ในมือจะมีดาบแอบไว้ในชุดคลุมที่ฝ่ายนั้นบอกว่ายกขึ้นมาฟันได้ทุกเมื่อ เจ้าหญิงยังคงตั้งปณิธานว่าจนกว่าจะถึงเวลาจวนตัวเท่านั้น ทว่า...ดาบยิ่งถูกบีบแน่นขึ้นทุกๆที... ทุกที... โอ้...อย่าให้นางยกขึ้นมาเลย ได้โปรด
เมอไนเลี่ยนกัดริมฝีปากแน่นระหว่างกระชับผ้าคลุมศีรษะแบบเดียวให้แน่นขึ้น นางเบี่ยงตัวไปทางพวกทหารอย่างไม่สมอารมณ์ “ขออภัย แต่พวกท่านช่วยถอยไปหน่อยได้หรือไม่ น้องสาวข้าเป็นโรคแพ้เหงื่อคนแปลกหน้า”
พวกทหารอ้าปากค้างพลางหันมามองหน้ากัน แพ้เหงื่อคนแปลกหน้า!?
สีหน้าน่าสงสารของลิเดเรียทำให้พวกทหารเข้าใจว่านางอึดอัดใจกับตนอยู่ จึงพากันโค้งขออภัยอย่างรวดเร็วแล้วถอยฉากออกไป คนริมสุดอดพึมพำไม่ได้ว่าน่าเสียดาย หากนางไม่แพ้เหงื่อคนแปลกหน้าเสียก่อน ไม่แน่ว่า...พวกเขาอาจได้สาวน้อยคู่ใจมามองตามองดาวกันก็ได้
เจ้าหญิงแห่งโชคชะตาไม่ทราบเลยว่า...คำพูดตัดรอนเหล่านั้น ทำให้ทหารทั้งกองร้อยถอนหายใจปลงตกกับโลกนี้ได้อย่างพร้อมเพรียง
“ข้าไม่อยากเชื่อเลยว่านางจะหนีไป” พระราชากล่าวแผ่วเบากับตัวเอง โดยมีผู้ที่เป็นราชเลขานุการตัวอ้วนกลม ซึ่งสวมผมลอนสีขาวอยู่ตลอดเวลา “ทางแดนมนตราว่าอย่างไรบ้าง?”
ชายร่างกลมก้มหน้านบน้อม เนื้อหาโดยมากกล่าวถึงความกระอักกระอ่วนใจของแดนมนตราไม่น้อย หากแต่พวกเขายินดีจะส่งหญิงงามร้อยคนมาแทน ทั้งที่หญิงสาวร้อยคนไม่อาจเทียบค่ากับเจ้าหญิงซึ่งเป็นว่าที่พระสนมได้เลย สีหน้าของพระราชาแลดูเหนื่อยหน่ายกับสิ่งที่เกิดขึ้น ครั้นจะปฏิเสธสาวงามเหล่านั้นก็ใช่ที่ พระองค์กล่าวปรารภว่าพวกเขาคงส่งหญิงงามชั้นสูงมาให้บ้างในขบวน
ส่วนม้วนเอกสารที่กองสุมไว้ในกระบอกทรงกลมคือหนึ่งในรายงานการยกเลิกพิธีแต่งตั้งพระสนม แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องใจร้อนไป แต่ถ้าพวกทหารยังจับไม่ได้ งานนี้การ์ดเชิญคงมีน้อยกว่าการ์ดยกเลิกแน่นอน
ชายอีกผู้หนึ่งก้าวเข้ามาตามรับสั่ง โดยเขาผู้นั้นสวมชุดคลุมสีขาวปักด้วยดิ้นทองเป็นรูปตราศาสนาเต็มพื้นที่ด้านหลัง ส่วนด้านหน้าขลิบด้วยสีสันกลางๆไม่ฉูดฉาด ท้ายสุดคือเคราสีดำรอบริมฝีปากที่ได้รับการดูแลอย่างดี กับศีรษะล้านเลี่ยนแบบนักบวช “องค์เทพจงอวยพระพรแด่ท่าน ฝ่าบาท ชีวิตนี้จะได้รับการเรียกขานจากท่านอีกครั้ง นับเป็นความเมตตาขององค์เทพโดยแท้”
คำพูดของนักบวชแห่งลัทธิเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง หลังจากอดีตเคยยิ่งใหญ่เพียงผู้เดียวในราชอาณาจักร จนกระทั่งราชินีแสนสวยได้ก้าวเข้ามาพร้อมศาสนาที่นางนับถือ ศาสนานั้นได้รับอนุญาตให้เผยแพร่ได้ด้วยคำขอร้องของนาง แม้จะมีจำนวนน้อย นักบวชแห่งคาลุมยังไม่สบอารมณ์อยู่ดี
ทว่า...การพึ่งพาถ้อยทีถ้อยอาศัยทำให้วาจาหยุดลงเท่านั้น พระราชาซึ่งเข้าใจในความคิดของเขาก็เช่นกัน พระองค์มุ่งเข้าสู่ประเด็นที่ต้องการจากเขาในวันนี้ ทิศไหนคือสถานที่ที่พระสนมของพระองค์มุ่งหน้าไป ทิศไหนจึงไม่ควรย่างกราย ทิศไหนจึงสามารถกระทำการได้สมดั่งใจ แต่ไหนแต่ไร...การศึกการสงครามล้วนผ่านการทำนายของนักบวชแห่งคาลุมด้วยกันทั้งนั้น
นักบวชในชุดคลุมสีครีมถึงกับชะงักงัน นัยน์ตาเหมือนมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่ ก่อนจะโค้งสู้องค์ราชาของตนด้วยน้ำเสียงนอบน้อมยิ่ง “ขออภัย ข้าพระองค์เคยวิงวอนแลใช้อำนาจแห่งองค์เทพในการค้นหาเช่นกัน แต่เกรงว่า...ว่าอำนาจแห่งองค์เทพคงต้องใช้เวลาสะท้อนสู่สถานที่นั้นบ้าง”
“...ข้าได้ยินว่าสานุศิษย์จำนวนหนึ่งของคาลุมกำลังค้นหานางอยู่เช่นกันนี่?” เสียงของเด็กหนุ่มร่างเล็กผู้หนึ่งก้าวเข้ามา เขามีผิวสีคล้ำและเส้นผมสีน้ำตาลไหม้ สวมชุดคลุมสีครีมแบบเดียวกันแต่ต่างตรงสัญลักษณ์ประจำลัทธิ เมื่อเขาเห็นฝ่ายคาลุมอ้าปากจะโต้ตอบ จึงชิงลงมือก่อนโดยไว “...ทางข้าเองก็เช่นกัน...เพื่อฝ่าบาท”
องค์ราชาคล้ายจะไม่สนใจในประโยคหลังของนักบวชลัทธิอัลโก้ เพราะจ้องมองไปยังนักบวชคาลุมอย่างพินิจพิเคราะห์ชัดเจน ไฉน...นักบวชแห่งลัทธิหลักในราชอาณาจักรของพระองค์จึงค้นหาตัวพระสนมโดยปิดเป็นความลับกัน? หลายครั้งที่พระองค์อดคิดถึงสิ่งที่อยู่ภายในดั่งวงกตแห่งใจของคนตรงหน้าไม่ได้ ความแค้นเคืองในเรื่องอำนาจมีมากมายฉันใด ความโหดร้ายและต้องการล้มล้างอาจจะมีมากเท่านั้น แม้จะกล่าวอ้างได้ว่าเป็นฝีมือองค์ราชินี พระองค์คงไม่ยินยอมโดยง่าย หากไม่ต้องทอนอำนาจของคาลุมลงบ้าง
“ข้าพระองค์ไม่กล้าอวดอ้าง หากว่ากระทำการไม่สำเร็จ” เขาโต้ตอบกับประโยคนั้นที่คล้ายจะเป็นภัยกับตน “เหนืออื่นใด หากมีความคืบหน้ามากน้อยเพียงใด ข้าพระองค์จะนำความมากราบทูลแน่นอน”
คล้อยหลังจากการเข้าเฝ้า ฝีเท้าของนักบวชแห่งคาลุมเดินย่ำว่องไวและหนักหน่วงสู่ห้องของผู้นำโดยพลัน แม้ตนจะเป็นผู้ใกล้ชิดองค์ราชาที่สุด ก็ใช่ว่าจะมีอำนาจสูงสุดหรือเก่งกาจที่สุด ควอนเต้ในอดีตเคยถือเป็นมิตรสำคัญระหว่างลัทธิและราชวงศ์ จนกระทั่ง...ฝ่ายอัลโก้ได้กำเนิดขึ้น
เขาโค้งแก่หญิงชราซึ่งนั่งคอยท่าอยู่ก่อนแล้ว “ข่าวลับรั่วไหลแล้วขอรับ!”
“รั่วไหลรึ? ถ้าเช่นนั้นก็ดี จะได้เผยแพร่อำนาจแห่งลัทธิเรา” นางยิ้มกว้างอย่างผู้มีอำนาจจนใบหน้าที่มีแต่รอยยับย่นเพิ่มมากขึ้น “ถ้ามีสานุศิษย์มากมายก็สามารถตามหา ‘เจ้าหญิงแห่งการเยียวยา’ ได้ว่องไว ทั้งยังขยายอำนาจเราสู่ดินแดนอื่นเพิ่มขึ้น” นางกล่าวคล้ายจะพอใจ แต่กลับจะเจือความโมโหเข้าร่วมด้วยเมื่อกล่าวต่อ “เจ้ารู้ไหม! ที่เป็นอยู่นี้นับว่ายังไม่พอหรอก ถ้าเพียงพอคงสามารถค้นหาตัวพวกนางได้ตั้งนานแล้ว!”
“ข้าจะส่งคนไปเพิ่มขอรับ”
ยิ่งมากเท่าไรยิ่งดี ยิ่งไวเท่าไรยิ่งดี...
“ไม่อยากเชื่อเลยว่าเราจะอยู่ในป่า ไม่สิ...’ข้า’ อยู่ในป่าต่างหาก หันไปทางไหนก็เจอแต่สีเขียวกับกลิ่นเหม็นสาบ ต้นไม้! ออกลูกเป็นผู้หญิงสักคนให้ข้าที!
เซอนาร์ร่ำร้องทั้งที่เพิ่งออกเดินทางไม่นานนัก ตัวเขาสะพายแล่งธนูที่บรรจุลูกศรเต็มแน่น ดาบเหน็บเอวถูกขัดสีอย่างดีจนคมกริบมันวาว เสื้อเกราะที่สวมมาดูก็รู้ว่ามีราคา ต่างจากนักรบข้างกายที่สวมเกราะพอให้ป้องกันภัยได้เท่านั้น ดาบที่ใช้ก็เป็นดาบประจำตัว แม้จะได้รับการสนับสนุนจากท่านเสนาบดีบ้าง การเลื่อนขั้นขึ้นมาก็ใช่ว่าจะสูงส่งอะไรนัก
นักรบหนุ่มไม่แม้แต่จะเหลือบมองคนขี้บ่น ในสมองพยายามคำนวณดูว่าพวกนางจะไปทางไหนได้บ้าง ที่นี่เป็นป่าที่เข้ามาได้ใกล้ที่สุดจากอาณาจักร ตามความคิดของเขา พวกนางต้องลัดเลาะที่นี่เพื่อเข้าสู่สถานที่ใดสักแห่งแน่ ขึ้นชื่อว่าป่าย่อมมีต้นไม้สูงบังไว้เยอะ ไม่มีพวกชาวบ้านมาจับผิดหรือเป็นสายบอกแก่ทหารที่ติดตามอีกต่างหาก วูบหนึ่งที่เขาอดคิดไม่ได้ว่ามันถูกต้องแล้วหรือ ในการยื่นเรื่องขอพักด่วน ทั้งที่เพิ่งได้รับภารกิจมาแท้ๆ
แต่ว่า...
“นี่! เห็นผู้หญิงสวยๆสองคนเดินทางมาแถวนี้ๆไหม คนหนึ่งผมดำ ตาสีม่วง อีกคนผมทอง ตาสีฟ้า หนึ่งในอาจสวมชุดหรูหราหรือว่าถือดาบท่าทางทะมัดทะแมงน่ะ อ๊ะ...ไม่เหรอ? ขอบใจนะท่านพ่อค้า” เซอนาร์โยนของตอบแทนให้อีกฝ่ายไปสามเหรียญเพราะอยู่ห่างกันพอสมควร แน่นอนว่ายังไม่ลืมขยิบตาให้สาวน้อยที่น่าจะเป็นลูกสาวอีก เล่นเอานางขวบเขินไปพักหนึ่งทีเดียว
ถูกต้อง แม้จะกล่าวได้ว่าสถานที่แห่งนี้เป็นผืนป่าอันกว้างขวาง แต่ก็เป็นผืนป่าที่พวกพ่อค้าหรือคณะเร่ใช้สัญจรบ่อยเช่นกัน จึงมีทางที่ถางไว้เป็นพิเศษสำพหรับการนี้ ร่องรอยเกวียนกับรอยเท้าเต็มไปหมด ทั้งผู้ชายผู้หญิงและเด็ก แบบนี้จะแยกได้อย่างไรว่าใครเป็นใคร อย่างหนึ่งที่เฮอลิออสทราบแก่ใจ นั่นคือเขาไม่มีวันก้มลงไปสังเกตขนาดรอยเท้าสตรีหรอก มันดูโรคจิตพิลึกด้วยซ้ำ
“ถ้าวัดตามขนาดเท้าของเจ้าหญิงลิเดเรียตามมาตรฐานของอาณาจักรเราล่ะก็ น่าจะประมาณขนาดที่สี่ แต่ถ้าเป็นเมอไนเลี่ยนจะใหญ่กว่าหน่อย ประมาณขนาดที่ห้าน่ะ” บุตรชายขุนนางแอบกระซิบกระซาบคล้ายจะได้ยินความในใจของสหายร่วมชะตา อนึ่ง...เขาอาจจะไม่รู้ก็ได้ จึงกล้ากระซิบกึ่งนินทา “ดูเท้าของสาวน้อยเมื่อครู่นี่สิ ขนาดสี่จุดห้าแน่ะ ตัวใหญ่กว่าเจ้าหญิงนิดเดียวเอง เอาเถอะ...เจ้าก็หารอยคนที่เท้าเล็กกว่านั้นหน่อยนะ”
เขาไม่ได้สังเกตว่านางสวมรองเท้าอะไรด้วยซ้ำ...
เฮอลิออสแอบสะดุ้งพลางเหลือบมองเท้าตัวเองกับอีกฝ่ายแล้วนำมาวัดกับขนาดตัว แน่ล่ะ...ต้องเป็นตอนที่ยังไม่สวมชุดเกราะด้วย เพราะความหนาของเกราะทำให้ร่างนั้นดูบึกขึ้นมาเล็กน้อย คงไม่มีปัญหรอกนะ? ในเมื่อคนพิลึกนี่ก็ตัวเล็กกว่าเขาพอสมควร เท้าที่เล็กกว่าคงไม่ได้แปลว่าเท้าเขาใหญ่เทอะทะเหมือนพวกโทรลหรอกนะ ถึงจะไม่เคยเจอโทรลตัวจริง แต่คาดว่าเท้าของมันคงใหญ่น่าดู
เซอนาร์ยังคงพูดไปเรื่อยๆสลับกับนินทารูปร่างของต้นไม้ นินทาจริง! ทั้งยังเป็นนินทาต่อหน้าต่อตาในระยะเผาขนด้วย เช่นว่าต้นไม้ด้านขวาควรจะยืดกิ่งออกไปอีกนิด หรือต้นไม้ด้านซ้ายควรออกดอกเพิ่มอีกหน่อย ต้นเยื้องขวาสีเขียวแก่ไปนิด ผิดกับเยื้องซ้ายที่เขียวน้อยไปหน่อย นักรบหนุ่มเริ่มไม่แน่ใจว่ามันถูกแล้วหรือ? ในการวิจารณ์สิ่งที่ธรรมชาติรังสรรค์ การชื่นชอบในความไม่สมบูรณ์แบบนั่นต่างหาก จึงจะเรียกว่าชมความงามแท้จริง!
กระนั้น...เขาควรจะเผลอตัวโต้ตอบอีกฝ่ายไปหรือ? ในเมื่อตอนนี้เขาถือว่าตนเป็นผู้บังคัญชาของทีม แน่นอนว่าไม่มีทางที่เซอนาร์จะได้รับเกียรติเป็นหัวหน้าแน่ๆ ลำพังเขาต้องโค้งศีรษะเป็นการทักทายเมื่ออยู่ต่อหน้ามวลประชาหมู่มากก็เกินพอแล้ว ใจคอยังต้องให้คนนินทาต้นไม้เป็นหัวหน้าอีกหรือ โอ๊ะ!...อย่าวิจารณ์ต้นนั้นสิ ดอกไม้สีชมพูอ่อนนั่นออกจะสวยแท้ๆ...
ณ เวลานี้...เฮอลิออสรู้สึกโมโหตัวเองอย่างที่สุด
“เนื้อสัตว์ทะเลที่นี่หวานดีนะคะ” เจ้าหญิงหยิบก้ามปูยักษ์ขึ้นมาอันหนึ่ง แล้วบรรจงใช้เทคนิคในการกินดันเนื้อออกมามากที่สุด ผิดกับเมอไนเลี่ยนที่ไม่เสียเวลาทุบให้แหลกเพื่อกินเอาๆ ในห้องพักเตียงคู่หรูหราซึ่งมีไว้ต้อนรับนักเดินทางร่ำรวยทั้งหลายคลุ้งไปด้วยกลิ่นอาหารเต็มไปหมด
เครื่องประดับที่เจ้าหญิงลิเดเรียหยิบมาอย่างรอบคอบถูกขายให้กับขบวนพ่อค้าเร่ที่พวกนางขออาศัยมาด้วย แน่ล่ะ ถ้าขายไปทั้งเส้นหรืออันคงถูกตามรอยในเวลาอันรวดเร็ว แม้สิ่งนี้นจะสร้างขึ้นมาและประกอบกันอย่างงดงามเพียงใด นักรบหญิงก็สามารถกระชากให้ขาดภายในคราวเดียว แงะเอาอัญมณีออกมาและขายแยกชิ้นต่างหาก อันไหนทีเละจนจำสภาพไม่ได้ก็ราคาต่ำหน่อย แต่พวกอัญมณีมีราคางามทั้งนั้น สมกับที่ทำเพื่อราชวงศ์และว่าที่พระสนม
เสื้อผ้ามือสองเหม็นอู้ถูกขายไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งสีหน้าคนรับซื้อดูจะไม่ยินดีเท่าไหร่ ทั้งที่ของด้านในก็เหม็นอู้เหมือนกันแท้ๆ แม้จะอยู่เป็นทาสหญิงเผ่านักรบในป่า เมอไนเลี่ยนรู้ดีว่าราคาโดนกดไปตั้งครึ่ง เอาเถอะ...ดึงราคาอีกนิดหน่อยก็ดีแล้ว เพราะที่นางได้มามันไม่มีต้นทุน
เงินที่ได้จากการขายเสื้อผ้าถูกนำไปเปลี่ยนเป็นชุดใหม่ ซึ่งต้องจ่ายเพิ่มอีกนิดหน่อย ส่วนหนึ่งกลายเป็นเสบียงของแห้ง อีกส่วนได้จากการหาซื้อพวกเม็ดระเบิดจิ๋ว อย่างหลังก็เป็นของต้นทุนต่ำที่ขู่กรรโชกพ่อค้าอาวุธในตลาดมืดเคลื่อนที่ ซึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นพวกเร่ร่อนที่เรียกตัวเองให้โก้เก๋เท่านั้น นักรบหญิงส่งเสียงหึไล่หลังด้วยซ้ำ เพราะราคาสมควรโดนกดมากกว่านี้ นางเคยทำอาวุธในเผ่า นางรู้ดี!
จากสิบเม็ด เมอไนเลี่ยนให้เจ้าหญิงแห่งชะตากรรมอีกคนไปเจ็ดเม็ด นัยว่าฝ่ายนั้นต้องการความปลอดภัยที่สูงกว่า ซึ่งนางไม่สนใจการใช้ของเด็กเล่นพวกนี้อยู่แล้ว ที่ซื้อก็เพราะเผื่อกรณีโดยรุมเยอะๆหรอกน่า ถ้าศัตรูมีแค่หยิบมือ ใช้ดาบกระซวกเอาคุ้มกว่ากันเยอะ
หลังทานเสร็จและเรียกให้พวกแม่บ้านประจำห้องมาจัดการเรื่องกลิ่นแล้ว นักรบหญิงพบว่าตัวเองต้องมาฟังคำบ่นพร่ำของสหายร่วมการเดินทางอีกครั้ง ใจความหลักๆคงจะเป็น...พวกอัศวินจะตามมาทันหรือไม่ พวกเขารู้หรือเปล่าว่านางอยู่ที่ไหน สิ่งที่เรียกว่าเวทตรวจตราต้องใช้น้ำที่มีความบริสุทธิ์สูงเป็นตัวช่วย คราวที่แล้วมีน้ำค้างเป็นสื่อได้บ้าง ตอนนี้เล่า? น้ำสะอาดใช้กินดื่มยังพอว่า แต่นางว่า...มันยังไม่บริสุทธิ์พอ ต้องเป็นน้ำที่อยู่ในแหล่งธรรมชาติด้วย
“ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้าต้องการอะไรจากพวกนั้น!” นักรบหญิงเริ่มสติแตกขึ้นมาอีกรอบ “ไม่มีพวกนั้น ภารกิจเราก็ใช่ว่าจะล้มเหลวสักหน่อย นี่มันตำนานการเดินทางของเจ้าหญิงผู้เยียวยาโลกนะ! ไม่ใช่ตำนานรักอัศวินผู้กล้าที่ต้องค้นหาเจ้าหญิง! หรือเจ้าจะกลัวขึ้นคานและอดรักกับอัศวิน? เจ้าจะกลัวมันไปทำไม ในเมื่อเจ้าต้องขึ้นคานเพื่อความปลอดภัยของโลกเชียวนะ หัดรู้จักมองในแง่ดีของคานตัวเองเสียบ้างเถอะ”
“เราไม่ได้กลัวเรื่องนั้นเลย แต่เฮอลิออสควรมาปกป้องเราสิ มันเป็นหน้าที่และชะตากรรมของเขา” นางประสานมือเข้าหากันอย่างสาวน้อยแสนฝัน “เราทุกคนจะปลอดภัยจากการเดินทางเพราะอัศวิน เหมือนในนิทานที่แม่นมเคยสอนไว้”
“โอ๊ะ...พอดีตาลุงขี้เมาหัวหน้าฝึกทาสไม่ได้สอนข้าแบบนั้น” เมอไนเลี่ยนถูจมูกไปมาอย่างหมั่นเขี้ยว “เขาบอกว่าถ้าเจออัศวินเมื่อไหร่ บี้มันเสีย...แล้วเอาดาบกับเงินมาถลุงเล่นให้หนำใจ!”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ