Calmesia นคราแห่งปีศาจ
8.3
เขียนโดย SunnyRain
วันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2556 เวลา 14.06 น.
3 บท
0 วิจารณ์
6,800 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 9 มีนาคม พ.ศ. 2556 14.11 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) คู่ศัตรูที่น่ากลัวที่สุด!
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความสองชั่วโมงแรกคาบบ่ายของวันพุธเป็นชั่วโมงพละรวมของม.ต้น ปี 3ที่นักเรียนทั้งระดับชั้นจะมาเล่นกีฬาร่วมกัน
“เล่นบาสฯ เป็นมั้ย”
เฟลอเซียลส่ายหัวรัวทันทีเมื่อเอรูดี้ถามจบ เท่าที่ฟังจากพวกผู้ชายในห้องเปลี่ยนชุดรู้สึกว่าเพื่อนใหม่ของเขาคนนี้มีความสามารถในด้านต่างๆ แบบไม่ธรรมดาเลยล่ะ ไม่ว่าจะการเรียนดนตรี กีฬา กิจกรรม พูดง่ายๆเป็นพวกเพอร์เฟกซ์มาตั้งแต่เกิดดีๆ นี่เอง
“ฉันขอนั่งอ่านนิยายอย่างสงบเงียบดีกว่านายไปเถอะ”
“ตามใจเฟลออี้นะ ฉันไปละ” ยิ้มให้จบก็วิ่งจากไป
เฮ้อ สุดท้ายก็อยู่คนเดียว
เมื่ออ่านนิยายที่อ่านค้างไว้ตั้งแต่เมื่อเช้าไปได้ซักพักเขาก็ต้องเงยหน้าขึ้นเมื่อมีเงาเคลื่อนที่มาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา
“อะไรเล่นเสร็จแล้วงั้นหรอรูดี้...เอิ่ม...คือ” ซวยทักคนผิด นี้ไม่ใช่เอรูดี้เพื่อนเขา
“อย่ามาเรียกชื่อไอ้หมอนั้นต่อหน้าฉันนะ เป็นคนอื่นฉันขู่ตายไปนานแล้ว” ร่างสูงตรงหน้าคำรามเบาๆ “ดังนั้นอย่ามาเรียกชื่อมันต่อหน้าฉันอีก เข้าใจมั้ย!”
“เข้าใจแล้วครับ อย่าทำอย่างนั้นกับผมเลยนะครับ” ผมยังไม่อยากโดนรองเท้าฟาดตายครับ
ชายที่อยู่ตรงหน้าเขาคือ เอบิลลีเต้ เด็กหนุ่มผู้ซึ่งมาพร้อมกับรองเท้า
“ฉันคงทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก นายมันกรณีพิเศษ”
เรามันเด็กเส้นว่าแต่ ”ทำไมผมถึงเป็น กรณีพิเศษล่ะครับ”
“เพราะนายเป็นลูกหลงในสงครามของฉันกับไอ้กวนประสาทนั้น” อ๋อ ผมเข้าใจเหตุผลที่เรียกเขาแบบนั้น อย่างถ่องแท้แล้วล่ะครับ ”ดังนั้นฉันจะมาขอโทษนาย แล้วก็จะพาไปซื้อแว่นตาให้นายใหม่”
“ให้ผมหรอครับ”
“เอ่อซิ เมื่อกี้ก็บอกไปแล้วนี้ เย็นนี้ฉันจะมารอนายหน้าโรงเรียนอย่าเบี้ยวล่ะ ไมงั้นฉันเอาตาย” คงจะไม่มีใครกล้าเบี้ยวนัดคุณหรอกครับ ยกเว้นนัดมีเรื่องน่ะนะ
แต่อย่างคนตรงหน้าถ้าจะมีเรื่องกับใครจริงๆ ไม่ต้องนัดเลยก็ได้มั้ง
“คือว่า คุณเอบิลลีเต้ครับ”
“เอบิล เฉยๆ ก็ได้ฉันไม่ว่าอะไร แต่ถ้าเรียกบิลลี่เหมือนไอ้หมอนั้น ไม่จบแค่ว่าหรอกนะ”
“ครับเอบิล จะสะดวกมั้ยถ้าจะมานั่งคุยกันกับผมในตอนนี้น่ะครับ” เฟลอเซียลปิดนิยายของเขาลงแล้วเขยิบให้ชายร่างกำยำนั่ง
เอบิลลีเต้นั่งลงตามตำแหน่งที่เฟลอเซียลเขยิบให้ “มีอะไรล่ะ”
“จะว่าเสียมารยาทไหมครับถ้าผมจะถามว่า ทำไมคุณถึงไม่ชอบเอ่อ คนที่คุณเอารองเท้าไล่ฟาดน่ะครับ”
“หมั่นไส้!”
สีหน้าแสดงออกอย่างชัดเจนครับ เอบิลลีเต้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันทำสีหน้าเคียดแค้นก่อนจะอธิบายขยายความต่อว่า
“เดิมทีฉันก็เกลียดอย่างหมอนั้นเป็นการส่วนตัวอยู่แล้วล่ะ ยิ่งมันมาเรียกฉันด้วยชื่อปัญญาอ่อนนั้นก็ยิ่งแล้วใหญ่ อดไม่ได้เลยต้องจัดการน่ะ”
“เอบิลเกลียดคนแบบไหนหรอครับ”
“ฉันเกลียดไอ้พวกที่มันเก่งไปซะทุกเรื่องตั้งแต่เกิดอยู่แล้ว จริงๆ มันก็อดทนไม่ก้าวร้าวได้สบายมากอยู่หรอกนะ แต่ไอ้เจ้าหัวทองนั้นมันยั่วประสาทเก่งเกินไปหน่อย” เอบิลลีเต้พูดพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน มือกำหมัดแน่น “แล้วเผอิญว่ามากเกินกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่ฉันจะอดทนได้ ก็เลยไม่คิดอดแล้วน่ะ”
“แต่คุณเองก็ทั้งเก่งทั้งฉลาด มีความสามารถรอบตัวเหมือนกันนี้ครับ อย่างเช่นกระโดดขึ้นดาดฟ้าได้ ฟาดรองเท้าจนพื้นเป็นรอยร้าวได้ แรงเยอะมากๆ ด้วย”
“ไม่ใช่ซักหน่อย ฉันไม่เหมือนไอ้หมอนั้นทุกอย่างที่เลิศเลอเพอร์เฟกซ์ของฉันไม่ได้มีมาแต่เกิด กว่าฉันจะมาเป็นฉันในวันนี้ ต้องผ่านหยาดเหงื่อแรงกาย น้ำตาและความอดทนมามาก เพราะฉะนั้นฉันเลยไม่ค่อยชอบไอ้พวกที่มีมาแต่เกิด แล้วเฉิดฉายอย่างไร้ความอุตสาหะเลยซักนิด”
“คือ ผมพอจะเข้าใจบ้างแล้วล่ะครับเหตุผลที่คุณไม่ชอบเขาน่ะ แต่การโยนรองเท้าใส่กันมันไม่สมควรนะครับ รองเท้าเป็นสิ่งที่อยู่ต่ำสุด ถ้าเผลอไปโดนหน้ามันเหมือนการหยามมากเกินไปนะครับ”
“ฉันรู้อยู่แล้วว่ายังไงก็ไม่มีวันโดนหมอนั้นเลยโยนไงเล่า ที่โยนน่ะแค่อยากระบายอารมณ์เท่านั้นแหละ แล้วก็ไอ้นั้นน่ะถ้ามันใช่รองเท้าจริงๆ ล่ะก็นะ...”
“อะไรนะครับ”
เฟลอเซียลถามซ้ำ เนื่องจากคำพูดสุดท้ายเสียงนั้นแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน
เอบิลลีเต้รีบส่ายศีรษะทันที ”เปล่าๆ ไม่มีอะไร ว่าแต่นายเถอะ โดนลากเข้ามาเกี่ยวเรื่องของฉันกับเจ้านั้น แถมโดนกวนประสาทเป็นประจำไม่รู้สึกอยากอัดหน้ามันบ้างหรือไง”
แทบจะทุกนาทีที่เขาเปิดปากเลยล่ะ
“อืม ก็มีบ้างล่ะครับ แต่ว่าผมคงทำอะไรเขาไม่ได้เลยต้องอดทนไว้”
“ดีแล้วล่ะ นายนี้มันเข้มแข็งจริงๆ นะ”
“ผมน่ะหรอครับ”
เด็กหนุ่มอดหน้าแดงไม่ได้ ก็มีซักกี่ครั้งกันล่ะที่มีคนชมเขาแบบนี้
“สำหรับฉันน่ะนะ ฉันว่าคนที่แข็งแกร่งน่ะไม่ใช่คนที่ต่อยตีทั่วสารทิศหรอก แต่เป็นคนที่เอาชนะใจตัวเองและข่มความโกรธอารมณ์ได้อย่างสง่างามมากกว่า เมื่อเขาสามารถชนะได้กระทั่งหัวใจของตัวเอง”
สีหน้าหมองหม่นลงเมื่อเขาพูดข้อคิดเห็นของตัวเอง ทำให้เฟลอเซียลไม่กล้าที่จะตอบอะไรต่อ
จนเขาพูดขึ้นว่า ”แต่ฉันไม่ได้เข้มแข็งอย่างนายนี่นา เพราะงั้นไอ้หมอนั้นมันเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของฉันตลอดกาล!”
เฟลอเซียลได้แต่หัวเราะแหะๆ ไปให้
“ถ้าฉันเข้มแข็งได้อย่างนายก็ดีซิ...” ดวงตาสีเขียวใสฉายแววสลดชั่วขณะก่อนที่ เขาจะบิดขี้เกียจพร้อมโบกมือลาเฟลอเซียล “เอาล่ะ ฉันไปรวมกับห้องฉันแล้ว เย็นนี้เจอกัน”
“ครับ”
เด็กหนุ่มได้แต่มองแผ่นหลังที่จากไป พลางคิดว่า ถึงเขาจะเป็นคนอารมณ์แรง แต่ก็เป็นคนดีเหมือนกันนะ
ในจังหวะที่เอบิลลีเต้จากไปรูดี้ก็เดินเข้ามา ”ไง เฟลออี้ เย็นนี้ไปกินสุกี้บุพเฟ่ต์กัน พอดีได้ตั๊วฟรีหนึ่งชั่วโมงมาตั้งสามใบแน่ะ จะหมดอายุวันนี้แล้วด้วยไปกินด้วยกันนะ เกิดปล่อยให้เวลานาทีทองอย่างนี้เสียไปเปล่า ฉันคงจะเสียใจไปจนวันตายแน่ ไม่ซิแม้ตายก็จะตายตาไม่หลับแหงๆ “
“นายไม่จำเป็นต้องพูดโอเวอร์ขนาดนั้นก็ได้นะรูดี้ ชวนฉันแบบคนธรรมดาทั่วไปฉันก็ไม่หัวแข็งขนาดต้องกล่อมหรอกนะ”
“ไม่ๆ ต้องพูดอย่างนั้นแหละถูกแล้ว ฉันเป็นเช็คสเปียร์แห่งคาเมเซียเชียวนะ ต้องใช้ถ้อยคำที่งดงามเข้าไว้ซิ”
“ฉันว่านั้นมันดูไร้สาระแถมแป๊กมากกว่านะ แล้วใครเขายกย่องให้นายเป็นเช็คสเปียร์กัน เช็คสเปียร์น่ะต้องอัจฉริยะด้านงานเขียนไม่ใช่การพูดซักหน่อย”
“โธ่ เฟลอจะรับมุขกันหน่อยก็ไม่ได้”
“ขอโทษนะ ฉันทำใจให้ตัวเองปัญญาอ่อนไม่ได้น่ะ”
“เอ้าๆ จบกันเถอะเรื่องนี้น่ะ ถือว่าเป็นการไถ่โทษที่ใช้นายเป็นโล่กำบังเมื่อตอนกลางวันก็แล้วกัน แล้วที่ฉันต้องลากนายวิ่งด้วยน่ะ ก็เพราะอยากจะขอโทษนายด้วยแหละ ไปเปลี่ยนชุดกันเถอะแล้วรีบไปชมรมอะไรนั้นกัน”
แสดงว่าเขาไม่คิดจะเป็นเพื่อนกับเรางั้นซิ เฟลอเซียลรีบสลัดความคิดแล้วเนียนไปว่า
“หา หมดชั่วโมงแล้วหรอ” เด็กหนุ่มรู้สึกว่าตัวเวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน แต่คงเพราะว่าเขาอ่านนิยายจนลืมเวลาอย่างที่เป็นอยู่บ่อยๆ รวมถึงเวลาที่คุยกับเอบิลลีเต้ด้วย
ให้ตายเถอะ รุ่นพี่เซรายย์นี่จะคลั่งไคล้อะไรกับสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดอย่างUMAด้วยนะ แถมบ้าอำนาจสั่งให้พรุ่งนี้มาแต่เช้าเพื่อสืบข้อมูลที่ประทับของ 3 มหาอำนาจอีก ใครโดดได้เจอดีแน่
เอรูดี้หันซ้ายหันขวาเมื่อเดินผ่านสนามกีฬาหน้าโรงเรียน จนในที่สุดก็บอกสาเหตุที่หันซ้ายแลขวาว่า “เอ...วันนี้บิลลี่ไมมาดักฟาดแหะ มันยังไงกันเนี้ย” เขายกกระทะขึ้นมาเกาหัวอย่างงงๆ
อ๋อ นี้คงเป็นเรื่องแปลกสำหรับเขาซินะ หมายความว่าเขาไล่กันทุกวันทุกเย็นซินะ
เอ่อ ใช่ เฟลอเซียลคิดขึ้นได้ เอบิลลีเต้นัดเรามาเจอกันหน้าโรงเรียนนี่นา มิน่าถึงสงบศึกหนึ่งวัน แต่ไม่แน่หรอกถ้าเอรูดี้อยู่ที่นี้ด้วย
เมื่อเดินมาถึงหน้าโรงเรียนหนุ่มผมสีแดงเพลิงก็มารออย่างที่นัดไว้จริงๆ และทันทีที่เขาสังเกตเห็นทั้งสองคน
“เฮ้ย นายไม่เบี้ยวก็จริง แต่ทำไมต้องพาไอ้หมอนี้มาด้วยเล่า” ไอ้หมอนี้ของเอบิลลีเต้ก็คงไม่พ้น เอรูดี้หรอกมั้ง
‘ไอ้หมอนี้’ หันหน้ามามองเฟลอเซียลแทนคำถาม
“คือเอบิลเขาจะพาฉันไปตัดแว่นใหม่แทนอันที่เขาทำแตกไปน่ะ”
เอรูดี้ทำหน้าสงบนิ่งเหมือนกำลังครุ่นคิดอยู่ครู่ แล้วก็ยกมุมปากยิ้มสดใสเช่นเดิม “งั้นหรอ ดีเลย บิลลี่ก็มากินสุกี้บุพเฟ่ต์ด้วยกันซิมีตั๋วฟรีสามใบพอดีเลย กินกันคนเยอะๆ จะได้สนุกไง”
“นี้นายจะหาเรื่องฉันอีกแล้วใช่มั้ย บอกกี่ครั้งว่าอย่ามาเรียกชื่อปัญญาอ่อนอย่างนั้นน่ะ”
เอบิลลีเต้เตรียมท่าจะพุ่งเข้าใส่ เอรูดี้ยกกระทะในมือเหมือนพร้อมจะตั้งรับและตอบโต้เต็มกำลัง
เอาแล้วสองคนนี้มาเจอหน้ากัน คงจะเกิดเรื่องกันซินะ ไม่ได้ๆ ต้องห้ามไว้ การใช้ความรุนแรงไม่ใช่คำตอบของปัญหา
“เดี๋ยวๆ ทั้งคู่นั้นแหละ” เฟลอ วิ่งมาแทรกตรงกลางระหว่างทั้งสองคน “คือว่า การใช้กำลังน่ะไม่ดีหรอกนะ อย่าใช้กำลังกันเลย แล้วก็เอบิลครับผมว่าไปกินสุกี้ด้วยกันเถอะครับ ผมอยากไปกับคุณด้วยนะ”
เอบิลลีเต้ผ่อนตัวมายืนในท่าที่สบาย พลางเกาหัวอย่างหัวเสีย “ล้อเล่นหรือเปล่าให้ฉันไปกับหมอนี้เนี่ยนะ ได้กัดกันตายกลางร้านน่ะซิ”
“เอบิลครับอย่าใช้คำว่ากัดเลยดีกว่านะครับ เรามาตัดสินปัญหาด้วยเหตุผลดีกว่านะ ยังไงเราก็อยู่โรงเรียนเดียวกันอยู่แล้วนี้ครับ”
“ขอโทษที่กวนประสาทนายนะ แต่ฉันคงทำใจเรียกนายเป็นอย่างอื่นนอกจากบิลลี่ไม่ได้จริงๆ “
เส้นเลือดปูดขึ้นมาบนใบหน้าหล่อเหลาของเอบิลลีเต้ “เห็นแก่ไอ้แดงนี้ฉันจะยอมให้เป็นกรณีพิเศษกับแกแล้วกัน เอ่อ จะว่าไปนายชื่ออะไร”
นี้เขานัดมาโดยไม่รู้จักกระทั่งชื่อหรอเนี้ย แล้วทำไมต้องเรียกว่าไอ้แดงด้วยล่ะ หรือว่าหมายถึงสีตา...
“เฟลอเซียล ซีเยอเล่ครับ เฟลอเฉยๆ ก็ได้ แล้วก็นัยน์ตาผมสีน้ำตาลออกแดงนะครับไม่ได้แดง”
“ถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริง ฉันก็ต้องขอโทษนายด้วย อ๋อ ยังไม่ได้แนะนำตัวอย่างเป็นทางการซินะ ฉันมีชื่อว่าเอบิลลีเต้ เซเลนีเต้ ยินดีที่ได้รู้จัก” ฮะๆ เขาเป็นคนดีจริงๆ ด้วย
ก็แค่อย่าไปกวนประสาทเขามากๆ ก็พอ
“เอาล่ะ เราไปตัดแว่นให้เฟลออี้กันก่อนแล้วกันนะ”
“นี้นายเรียกเฟลอ ว่าเฟลออี้งั้นหรอ”
“อื้มสิ เรียกนายว่าบิลลี่ เรียกเฟลอว่าเฟลออี้ไง น่ารักดีใช่มั้ยล่ะ”
“ปัญญาอ่อนซะมากกว่าถ้าฉันเรียกนายว่า เมรุ(เม - รุ) ล่ะนายจะคิดว่ามันน่ารักอยู่อีกมั้ย!”
“ไม่ๆ ถ้าจะเรียกเมรุ เรียกว่า เมรูดี้ ดีกว่านะ จะได้คล้ายๆ กับมายเมโลดี้จังยังไงล่ะ เรียกว่า”
“เมรุเนี้ยแหละ เมรูดี้มันยาวเกินไป ขี้เกียจ แถมเมรุยังพ้องรูปกับเมรุ (ที่เผาศพ) อีกด้วย ชื่อนี้หละดีแล้ว”
สองคนนี้เปิดสงครามน้ำลายกันก็ได้นี้นา แถมสนุกดีด้วย เฟลอเซียลคิดพลางอมยิ้มที่ไม่ได้มีมานานนอกจากเวลาที่อ่านนิยาย
แล้วเขาก็ขัดขวางซะก่อนที่สงครามน้ำลายจะกลายเป็นสงครามรองเท้า ดังนั้นจะต้องตัดไฟซะตั้งแต่ต้นลมเสียก่อน
“เอ...รูดี้ เอบิล ผมว่าถ้าไม่รีบ ร้านแว่นตาจะปิดเอาซะก่อนนะ”
จากที่พยายามจะห้ามกลายเป็นว่าเขาเรียกความสนใจจากทั้งสองคนซะงั้น ดังนั้นสงครามน้ำลายครั้งนี้เฟลอเซียลก็กลายเป็นตัวกลางไปซะแล้ว
“เฟลอเรียกไอ้หมอนี้ว่าเมรุนะ”
“ไม่เอาอย่าไปเชื่อบิลลี่นะเฟลออี้ ถ้าจะเรียกต้องเรียกว่าเมรูดี้ซิ แล้วก็เรียกบิลลี่ว่าบิลลี่ด้วย”
“ฉันว่าเมรุดูโอตาคุกว่าเยอะนายเอาชื่อนั้นไปแล้วกัน”
“พอเถอะครับขอร้อง จะเรียกกันยังไงก็แล้วแต่เถอะ แต่ว่าเรารีบไปจากตรงนี้ดีกว่านะครับ รู้สึกว่าพวกนักเรียนจะมองกันใหญ่แล้ว”
ตัวกลางก็ทำหน้าที่ห้ามควบไปด้วย
ใช่ ตอนนี้นักเรียนทั้งโรงเรียนต่างมองพวกเขาสามคนอยู่ ที่มองคงจะไม่พ้นเหตุผลที่ว่า
ทำไมคู่อริประจำโรงเรียนถึงยืนคุยกันอยู่ได้ แล้วเด็กที่อยู่ตรงกลางระหว่างสองคนนั้นเป็นใครทำไมถึงอยู่ท่ามกลางข้าศึกศัตรูทั้งสองได้อย่างสนิทสนม
แต่ดูเหมือนเด็กหนุ่มเจ้าของหัวข้อนินทราจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว
“หืม นายสนใจสายตาแบบนั้นหรือไง ไม่ได้ชินหรอกหรอ” เอบิลลีเต้ถาม
“จะไปชินได้ยังไงล่ะครับผมไม่ใช่คนดังซักหน่อย หรือว่าที่พวกคุณชินเพราะพวกคุณเป็นคนดังกัน? ”
“อะ...อ้าว เฟลออี้ไม่รู้หรอกหรอพวกเราก็ดังนะ แต่ดังในด้านไม่ดีซักเทาไรน่ะ ใช่มั้ยบิลลี่”
“หรือว่านายไม่รู้ว่าพวกเราดังมาตั้งแต่ม.ต้นปี 1 น่ะ”
“หะ...หา ผมไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย รูดี้กับเอบิลดังกันในด้านไหนหรอครับ”
ทั้งสองคนสบตากันอย่างเอือมระอา ไม่ใช่ว่าพวกเขาหยิ่งทะนงอะไรหรอกนะ แต่คนที่ไม่รู้จักพวกเขาน่ะนอกจากพวกที่ขาดเรียนกับโดดเรียนทุกวันแล้วไม่น่าจะมีใครไม่รู้จักนี้นา
ก็ในเมื่อพวกเขาทะเลาะกันเป็นกิจวัตรประจำวันและทุกวันอยู่แล้ว จนไม่มีใครกล้าไปกินข้าวกลางวันบนดาดฟ้าแม้แต่เด็กปีหนึ่ง ซึ่งที่แห่งนั้นเป็นส่วนหนึ่งในสนามรบของพวกเขา
แต่ถ้าเฟลอเซียลรู้เขาจะเมาไปเดินอยู่ดาดฟ้าตอนกลางวันหรอ
“พวกเราน่ะขึ้นชื่อว่าเป็นคู่ศัตรูที่นากลัวที่สุดในโรงเรียนน่ะแหละ” เอบิลลีเต้ตอบในที่สุด
“ก็เหมือนแวมไพร์กับมนุษย์หมาป่าน่ะแหละ ฉันเป็นแวมไพร์ บิลลี่เป็นมนุษย์หมาป่า”
“เฮ้ย ไหงฉันต้องเป็นมนุษย์หมาป่าล่ะ นายมันสงบเยือกเย็นเหมือนแวมไพร์ตรงไหน อ๋อ ถ้าเจ้าเลห์ล่ะก็เหมือนอยู่”
“เห็นมั้ย บิลลี่เป็นมนุษย์หมาป่าดีแล้ว ใจร้อน จอมโวยวาย”
“ด่าฉันหรือไง”
“ฟังเป็นสรรเสริญหรอ”
ห้ามแล้วก็เริ่ม ห้ามแล้วก็เริ่ม ต้องหาวิธีหยุดที่เด็ดขาดซะแล้ว อะไรดีล่ะ ในนิยายเขาทำยังไงนะ
“เอบิล รูดี้ฉันหิวแล้วนะรีบไปเถอะอย่ามามัวเถียงกันเลย” ว่าจบเฟลอเซียลก็เดินออกจากโรงเรียนอย่างเด็ดเดี่ยว
ทั้งสองยักไหล่แล้วเดินตามเขาไป
เอรูดี้เดินไปอยู่ข้างเพื่อนผมดำของเขา “นี้เฟลออี้ถามจริงเถอะนี่นายไม่รู้อะไร อย่างพวกข่าวลือหรือคนดัง ข่าวสารบ้านเมืองอะไรทำนองนี้เลยหรอ”
“ถามว่าเพื่อนในห้องเรียนฉันจำชื่อได้กี่คนกันจะดีกว่ามั้ย ขนาดนายฉันยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอยู่ห้องเดียวกัน”
“ฉันขอบูชาการติดนิยายของนายจริงๆ เลยนะ นี้ขนาดคนป๊อปปูล่าร์อย่างฉันอยู่ใกล้ตัวนายแค่ปลายนิ้วเอื้อม ยังไม่กระเทือนต่อมรับรู้ข่าวสารของนายเลย ฉันว่าคนหูหนวกตาบอดยังจะรู้เลย”
“ตกลงด่าหรือชม แล้วก็หลงตัวเองมากเกินไปหรือเปล่า”
“ชมนะชม ดูมีความสามารถดี เป็นความสามารถแปลกประหลาดที่ยากจะหาใครให้ทำได้เลยล่ะ ถ้าอย่างนั้นเฟลออี้ก็ไม่รู้เรื่องของเธอคนนั้นซินะ”
ไม่ต้องถามว่าเธอคนนั้นคือใคร เพราะไม่ว่าเธอคนนั้นจะคือใคร นอกจากเพื่อนในห้องที่เคยร่วมงานด้วยแค่ไม่กี่คน เขาบอกได้คำเดียวว่า “ไม่รู้จัก”
“นี้ๆ บิลลี่เฟลอไม่รู้จะเธอคนนั้นล่ะ” หันไปหาเจ้าของชื่อที่เดินอยู่รั้งท้าย
“ก็บอกว่าอย่าเรียกยังงั้นไงไอ้เมรุ”
กัดกันอีกแล้ว ไม่รู้จะห้ามยังไงแล้ว
จนกระทั่งพวกเขาเดินกันไปถึงร้านตัดแว่น เฟลอได้แว่นกรอบดำทรงวัยรุ่นสุดจ๊าบอันใหม่ ราคาเกือบหมื่นแต่เอบิลลีเต้ก็จ่ายเงินไปสีหน้าไม่สะทกสะท้านกับราคาแว่นที่ไม่ได้ซื้อให้ตัวเอง
สงสัยคงจะรวย...
ถึงเขาจะค่อนข้างอารมณ์ร้อนแรงควาย แต่สุดท้ายเขาก็เป็นคนที่ดีเหมือนกัน หรือว่าเบื้องหลังเขาทำอย่างนี้เพื่อกลบเกลื่อนด้านไม่ดีกัน
...ให้ตายซิเฟลอเซียลนายนี้มันแย่จริงๆ เลยที่ไปสงสัยคนอื่นน่ะ ยังไงซะตอนนี้ก็พอจะยืนยันได้บ้างแล้ว
ว่าเรากับเขาเป็นเพื่อนกัน...
“เล่นบาสฯ เป็นมั้ย”
เฟลอเซียลส่ายหัวรัวทันทีเมื่อเอรูดี้ถามจบ เท่าที่ฟังจากพวกผู้ชายในห้องเปลี่ยนชุดรู้สึกว่าเพื่อนใหม่ของเขาคนนี้มีความสามารถในด้านต่างๆ แบบไม่ธรรมดาเลยล่ะ ไม่ว่าจะการเรียนดนตรี กีฬา กิจกรรม พูดง่ายๆเป็นพวกเพอร์เฟกซ์มาตั้งแต่เกิดดีๆ นี่เอง
“ฉันขอนั่งอ่านนิยายอย่างสงบเงียบดีกว่านายไปเถอะ”
“ตามใจเฟลออี้นะ ฉันไปละ” ยิ้มให้จบก็วิ่งจากไป
เฮ้อ สุดท้ายก็อยู่คนเดียว
เมื่ออ่านนิยายที่อ่านค้างไว้ตั้งแต่เมื่อเช้าไปได้ซักพักเขาก็ต้องเงยหน้าขึ้นเมื่อมีเงาเคลื่อนที่มาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา
“อะไรเล่นเสร็จแล้วงั้นหรอรูดี้...เอิ่ม...คือ” ซวยทักคนผิด นี้ไม่ใช่เอรูดี้เพื่อนเขา
“อย่ามาเรียกชื่อไอ้หมอนั้นต่อหน้าฉันนะ เป็นคนอื่นฉันขู่ตายไปนานแล้ว” ร่างสูงตรงหน้าคำรามเบาๆ “ดังนั้นอย่ามาเรียกชื่อมันต่อหน้าฉันอีก เข้าใจมั้ย!”
“เข้าใจแล้วครับ อย่าทำอย่างนั้นกับผมเลยนะครับ” ผมยังไม่อยากโดนรองเท้าฟาดตายครับ
ชายที่อยู่ตรงหน้าเขาคือ เอบิลลีเต้ เด็กหนุ่มผู้ซึ่งมาพร้อมกับรองเท้า
“ฉันคงทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก นายมันกรณีพิเศษ”
เรามันเด็กเส้นว่าแต่ ”ทำไมผมถึงเป็น กรณีพิเศษล่ะครับ”
“เพราะนายเป็นลูกหลงในสงครามของฉันกับไอ้กวนประสาทนั้น” อ๋อ ผมเข้าใจเหตุผลที่เรียกเขาแบบนั้น อย่างถ่องแท้แล้วล่ะครับ ”ดังนั้นฉันจะมาขอโทษนาย แล้วก็จะพาไปซื้อแว่นตาให้นายใหม่”
“ให้ผมหรอครับ”
“เอ่อซิ เมื่อกี้ก็บอกไปแล้วนี้ เย็นนี้ฉันจะมารอนายหน้าโรงเรียนอย่าเบี้ยวล่ะ ไมงั้นฉันเอาตาย” คงจะไม่มีใครกล้าเบี้ยวนัดคุณหรอกครับ ยกเว้นนัดมีเรื่องน่ะนะ
แต่อย่างคนตรงหน้าถ้าจะมีเรื่องกับใครจริงๆ ไม่ต้องนัดเลยก็ได้มั้ง
“คือว่า คุณเอบิลลีเต้ครับ”
“เอบิล เฉยๆ ก็ได้ฉันไม่ว่าอะไร แต่ถ้าเรียกบิลลี่เหมือนไอ้หมอนั้น ไม่จบแค่ว่าหรอกนะ”
“ครับเอบิล จะสะดวกมั้ยถ้าจะมานั่งคุยกันกับผมในตอนนี้น่ะครับ” เฟลอเซียลปิดนิยายของเขาลงแล้วเขยิบให้ชายร่างกำยำนั่ง
เอบิลลีเต้นั่งลงตามตำแหน่งที่เฟลอเซียลเขยิบให้ “มีอะไรล่ะ”
“จะว่าเสียมารยาทไหมครับถ้าผมจะถามว่า ทำไมคุณถึงไม่ชอบเอ่อ คนที่คุณเอารองเท้าไล่ฟาดน่ะครับ”
“หมั่นไส้!”
สีหน้าแสดงออกอย่างชัดเจนครับ เอบิลลีเต้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันทำสีหน้าเคียดแค้นก่อนจะอธิบายขยายความต่อว่า
“เดิมทีฉันก็เกลียดอย่างหมอนั้นเป็นการส่วนตัวอยู่แล้วล่ะ ยิ่งมันมาเรียกฉันด้วยชื่อปัญญาอ่อนนั้นก็ยิ่งแล้วใหญ่ อดไม่ได้เลยต้องจัดการน่ะ”
“เอบิลเกลียดคนแบบไหนหรอครับ”
“ฉันเกลียดไอ้พวกที่มันเก่งไปซะทุกเรื่องตั้งแต่เกิดอยู่แล้ว จริงๆ มันก็อดทนไม่ก้าวร้าวได้สบายมากอยู่หรอกนะ แต่ไอ้เจ้าหัวทองนั้นมันยั่วประสาทเก่งเกินไปหน่อย” เอบิลลีเต้พูดพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน มือกำหมัดแน่น “แล้วเผอิญว่ามากเกินกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่ฉันจะอดทนได้ ก็เลยไม่คิดอดแล้วน่ะ”
“แต่คุณเองก็ทั้งเก่งทั้งฉลาด มีความสามารถรอบตัวเหมือนกันนี้ครับ อย่างเช่นกระโดดขึ้นดาดฟ้าได้ ฟาดรองเท้าจนพื้นเป็นรอยร้าวได้ แรงเยอะมากๆ ด้วย”
“ไม่ใช่ซักหน่อย ฉันไม่เหมือนไอ้หมอนั้นทุกอย่างที่เลิศเลอเพอร์เฟกซ์ของฉันไม่ได้มีมาแต่เกิด กว่าฉันจะมาเป็นฉันในวันนี้ ต้องผ่านหยาดเหงื่อแรงกาย น้ำตาและความอดทนมามาก เพราะฉะนั้นฉันเลยไม่ค่อยชอบไอ้พวกที่มีมาแต่เกิด แล้วเฉิดฉายอย่างไร้ความอุตสาหะเลยซักนิด”
“คือ ผมพอจะเข้าใจบ้างแล้วล่ะครับเหตุผลที่คุณไม่ชอบเขาน่ะ แต่การโยนรองเท้าใส่กันมันไม่สมควรนะครับ รองเท้าเป็นสิ่งที่อยู่ต่ำสุด ถ้าเผลอไปโดนหน้ามันเหมือนการหยามมากเกินไปนะครับ”
“ฉันรู้อยู่แล้วว่ายังไงก็ไม่มีวันโดนหมอนั้นเลยโยนไงเล่า ที่โยนน่ะแค่อยากระบายอารมณ์เท่านั้นแหละ แล้วก็ไอ้นั้นน่ะถ้ามันใช่รองเท้าจริงๆ ล่ะก็นะ...”
“อะไรนะครับ”
เฟลอเซียลถามซ้ำ เนื่องจากคำพูดสุดท้ายเสียงนั้นแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน
เอบิลลีเต้รีบส่ายศีรษะทันที ”เปล่าๆ ไม่มีอะไร ว่าแต่นายเถอะ โดนลากเข้ามาเกี่ยวเรื่องของฉันกับเจ้านั้น แถมโดนกวนประสาทเป็นประจำไม่รู้สึกอยากอัดหน้ามันบ้างหรือไง”
แทบจะทุกนาทีที่เขาเปิดปากเลยล่ะ
“อืม ก็มีบ้างล่ะครับ แต่ว่าผมคงทำอะไรเขาไม่ได้เลยต้องอดทนไว้”
“ดีแล้วล่ะ นายนี้มันเข้มแข็งจริงๆ นะ”
“ผมน่ะหรอครับ”
เด็กหนุ่มอดหน้าแดงไม่ได้ ก็มีซักกี่ครั้งกันล่ะที่มีคนชมเขาแบบนี้
“สำหรับฉันน่ะนะ ฉันว่าคนที่แข็งแกร่งน่ะไม่ใช่คนที่ต่อยตีทั่วสารทิศหรอก แต่เป็นคนที่เอาชนะใจตัวเองและข่มความโกรธอารมณ์ได้อย่างสง่างามมากกว่า เมื่อเขาสามารถชนะได้กระทั่งหัวใจของตัวเอง”
สีหน้าหมองหม่นลงเมื่อเขาพูดข้อคิดเห็นของตัวเอง ทำให้เฟลอเซียลไม่กล้าที่จะตอบอะไรต่อ
จนเขาพูดขึ้นว่า ”แต่ฉันไม่ได้เข้มแข็งอย่างนายนี่นา เพราะงั้นไอ้หมอนั้นมันเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของฉันตลอดกาล!”
เฟลอเซียลได้แต่หัวเราะแหะๆ ไปให้
“ถ้าฉันเข้มแข็งได้อย่างนายก็ดีซิ...” ดวงตาสีเขียวใสฉายแววสลดชั่วขณะก่อนที่ เขาจะบิดขี้เกียจพร้อมโบกมือลาเฟลอเซียล “เอาล่ะ ฉันไปรวมกับห้องฉันแล้ว เย็นนี้เจอกัน”
“ครับ”
เด็กหนุ่มได้แต่มองแผ่นหลังที่จากไป พลางคิดว่า ถึงเขาจะเป็นคนอารมณ์แรง แต่ก็เป็นคนดีเหมือนกันนะ
ในจังหวะที่เอบิลลีเต้จากไปรูดี้ก็เดินเข้ามา ”ไง เฟลออี้ เย็นนี้ไปกินสุกี้บุพเฟ่ต์กัน พอดีได้ตั๊วฟรีหนึ่งชั่วโมงมาตั้งสามใบแน่ะ จะหมดอายุวันนี้แล้วด้วยไปกินด้วยกันนะ เกิดปล่อยให้เวลานาทีทองอย่างนี้เสียไปเปล่า ฉันคงจะเสียใจไปจนวันตายแน่ ไม่ซิแม้ตายก็จะตายตาไม่หลับแหงๆ “
“นายไม่จำเป็นต้องพูดโอเวอร์ขนาดนั้นก็ได้นะรูดี้ ชวนฉันแบบคนธรรมดาทั่วไปฉันก็ไม่หัวแข็งขนาดต้องกล่อมหรอกนะ”
“ไม่ๆ ต้องพูดอย่างนั้นแหละถูกแล้ว ฉันเป็นเช็คสเปียร์แห่งคาเมเซียเชียวนะ ต้องใช้ถ้อยคำที่งดงามเข้าไว้ซิ”
“ฉันว่านั้นมันดูไร้สาระแถมแป๊กมากกว่านะ แล้วใครเขายกย่องให้นายเป็นเช็คสเปียร์กัน เช็คสเปียร์น่ะต้องอัจฉริยะด้านงานเขียนไม่ใช่การพูดซักหน่อย”
“โธ่ เฟลอจะรับมุขกันหน่อยก็ไม่ได้”
“ขอโทษนะ ฉันทำใจให้ตัวเองปัญญาอ่อนไม่ได้น่ะ”
“เอ้าๆ จบกันเถอะเรื่องนี้น่ะ ถือว่าเป็นการไถ่โทษที่ใช้นายเป็นโล่กำบังเมื่อตอนกลางวันก็แล้วกัน แล้วที่ฉันต้องลากนายวิ่งด้วยน่ะ ก็เพราะอยากจะขอโทษนายด้วยแหละ ไปเปลี่ยนชุดกันเถอะแล้วรีบไปชมรมอะไรนั้นกัน”
แสดงว่าเขาไม่คิดจะเป็นเพื่อนกับเรางั้นซิ เฟลอเซียลรีบสลัดความคิดแล้วเนียนไปว่า
“หา หมดชั่วโมงแล้วหรอ” เด็กหนุ่มรู้สึกว่าตัวเวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน แต่คงเพราะว่าเขาอ่านนิยายจนลืมเวลาอย่างที่เป็นอยู่บ่อยๆ รวมถึงเวลาที่คุยกับเอบิลลีเต้ด้วย
ให้ตายเถอะ รุ่นพี่เซรายย์นี่จะคลั่งไคล้อะไรกับสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดอย่างUMAด้วยนะ แถมบ้าอำนาจสั่งให้พรุ่งนี้มาแต่เช้าเพื่อสืบข้อมูลที่ประทับของ 3 มหาอำนาจอีก ใครโดดได้เจอดีแน่
เอรูดี้หันซ้ายหันขวาเมื่อเดินผ่านสนามกีฬาหน้าโรงเรียน จนในที่สุดก็บอกสาเหตุที่หันซ้ายแลขวาว่า “เอ...วันนี้บิลลี่ไมมาดักฟาดแหะ มันยังไงกันเนี้ย” เขายกกระทะขึ้นมาเกาหัวอย่างงงๆ
อ๋อ นี้คงเป็นเรื่องแปลกสำหรับเขาซินะ หมายความว่าเขาไล่กันทุกวันทุกเย็นซินะ
เอ่อ ใช่ เฟลอเซียลคิดขึ้นได้ เอบิลลีเต้นัดเรามาเจอกันหน้าโรงเรียนนี่นา มิน่าถึงสงบศึกหนึ่งวัน แต่ไม่แน่หรอกถ้าเอรูดี้อยู่ที่นี้ด้วย
เมื่อเดินมาถึงหน้าโรงเรียนหนุ่มผมสีแดงเพลิงก็มารออย่างที่นัดไว้จริงๆ และทันทีที่เขาสังเกตเห็นทั้งสองคน
“เฮ้ย นายไม่เบี้ยวก็จริง แต่ทำไมต้องพาไอ้หมอนี้มาด้วยเล่า” ไอ้หมอนี้ของเอบิลลีเต้ก็คงไม่พ้น เอรูดี้หรอกมั้ง
‘ไอ้หมอนี้’ หันหน้ามามองเฟลอเซียลแทนคำถาม
“คือเอบิลเขาจะพาฉันไปตัดแว่นใหม่แทนอันที่เขาทำแตกไปน่ะ”
เอรูดี้ทำหน้าสงบนิ่งเหมือนกำลังครุ่นคิดอยู่ครู่ แล้วก็ยกมุมปากยิ้มสดใสเช่นเดิม “งั้นหรอ ดีเลย บิลลี่ก็มากินสุกี้บุพเฟ่ต์ด้วยกันซิมีตั๋วฟรีสามใบพอดีเลย กินกันคนเยอะๆ จะได้สนุกไง”
“นี้นายจะหาเรื่องฉันอีกแล้วใช่มั้ย บอกกี่ครั้งว่าอย่ามาเรียกชื่อปัญญาอ่อนอย่างนั้นน่ะ”
เอบิลลีเต้เตรียมท่าจะพุ่งเข้าใส่ เอรูดี้ยกกระทะในมือเหมือนพร้อมจะตั้งรับและตอบโต้เต็มกำลัง
เอาแล้วสองคนนี้มาเจอหน้ากัน คงจะเกิดเรื่องกันซินะ ไม่ได้ๆ ต้องห้ามไว้ การใช้ความรุนแรงไม่ใช่คำตอบของปัญหา
“เดี๋ยวๆ ทั้งคู่นั้นแหละ” เฟลอ วิ่งมาแทรกตรงกลางระหว่างทั้งสองคน “คือว่า การใช้กำลังน่ะไม่ดีหรอกนะ อย่าใช้กำลังกันเลย แล้วก็เอบิลครับผมว่าไปกินสุกี้ด้วยกันเถอะครับ ผมอยากไปกับคุณด้วยนะ”
เอบิลลีเต้ผ่อนตัวมายืนในท่าที่สบาย พลางเกาหัวอย่างหัวเสีย “ล้อเล่นหรือเปล่าให้ฉันไปกับหมอนี้เนี่ยนะ ได้กัดกันตายกลางร้านน่ะซิ”
“เอบิลครับอย่าใช้คำว่ากัดเลยดีกว่านะครับ เรามาตัดสินปัญหาด้วยเหตุผลดีกว่านะ ยังไงเราก็อยู่โรงเรียนเดียวกันอยู่แล้วนี้ครับ”
“ขอโทษที่กวนประสาทนายนะ แต่ฉันคงทำใจเรียกนายเป็นอย่างอื่นนอกจากบิลลี่ไม่ได้จริงๆ “
เส้นเลือดปูดขึ้นมาบนใบหน้าหล่อเหลาของเอบิลลีเต้ “เห็นแก่ไอ้แดงนี้ฉันจะยอมให้เป็นกรณีพิเศษกับแกแล้วกัน เอ่อ จะว่าไปนายชื่ออะไร”
นี้เขานัดมาโดยไม่รู้จักกระทั่งชื่อหรอเนี้ย แล้วทำไมต้องเรียกว่าไอ้แดงด้วยล่ะ หรือว่าหมายถึงสีตา...
“เฟลอเซียล ซีเยอเล่ครับ เฟลอเฉยๆ ก็ได้ แล้วก็นัยน์ตาผมสีน้ำตาลออกแดงนะครับไม่ได้แดง”
“ถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริง ฉันก็ต้องขอโทษนายด้วย อ๋อ ยังไม่ได้แนะนำตัวอย่างเป็นทางการซินะ ฉันมีชื่อว่าเอบิลลีเต้ เซเลนีเต้ ยินดีที่ได้รู้จัก” ฮะๆ เขาเป็นคนดีจริงๆ ด้วย
ก็แค่อย่าไปกวนประสาทเขามากๆ ก็พอ
“เอาล่ะ เราไปตัดแว่นให้เฟลออี้กันก่อนแล้วกันนะ”
“นี้นายเรียกเฟลอ ว่าเฟลออี้งั้นหรอ”
“อื้มสิ เรียกนายว่าบิลลี่ เรียกเฟลอว่าเฟลออี้ไง น่ารักดีใช่มั้ยล่ะ”
“ปัญญาอ่อนซะมากกว่าถ้าฉันเรียกนายว่า เมรุ(เม - รุ) ล่ะนายจะคิดว่ามันน่ารักอยู่อีกมั้ย!”
“ไม่ๆ ถ้าจะเรียกเมรุ เรียกว่า เมรูดี้ ดีกว่านะ จะได้คล้ายๆ กับมายเมโลดี้จังยังไงล่ะ เรียกว่า”
“เมรุเนี้ยแหละ เมรูดี้มันยาวเกินไป ขี้เกียจ แถมเมรุยังพ้องรูปกับเมรุ (ที่เผาศพ) อีกด้วย ชื่อนี้หละดีแล้ว”
สองคนนี้เปิดสงครามน้ำลายกันก็ได้นี้นา แถมสนุกดีด้วย เฟลอเซียลคิดพลางอมยิ้มที่ไม่ได้มีมานานนอกจากเวลาที่อ่านนิยาย
แล้วเขาก็ขัดขวางซะก่อนที่สงครามน้ำลายจะกลายเป็นสงครามรองเท้า ดังนั้นจะต้องตัดไฟซะตั้งแต่ต้นลมเสียก่อน
“เอ...รูดี้ เอบิล ผมว่าถ้าไม่รีบ ร้านแว่นตาจะปิดเอาซะก่อนนะ”
จากที่พยายามจะห้ามกลายเป็นว่าเขาเรียกความสนใจจากทั้งสองคนซะงั้น ดังนั้นสงครามน้ำลายครั้งนี้เฟลอเซียลก็กลายเป็นตัวกลางไปซะแล้ว
“เฟลอเรียกไอ้หมอนี้ว่าเมรุนะ”
“ไม่เอาอย่าไปเชื่อบิลลี่นะเฟลออี้ ถ้าจะเรียกต้องเรียกว่าเมรูดี้ซิ แล้วก็เรียกบิลลี่ว่าบิลลี่ด้วย”
“ฉันว่าเมรุดูโอตาคุกว่าเยอะนายเอาชื่อนั้นไปแล้วกัน”
“พอเถอะครับขอร้อง จะเรียกกันยังไงก็แล้วแต่เถอะ แต่ว่าเรารีบไปจากตรงนี้ดีกว่านะครับ รู้สึกว่าพวกนักเรียนจะมองกันใหญ่แล้ว”
ตัวกลางก็ทำหน้าที่ห้ามควบไปด้วย
ใช่ ตอนนี้นักเรียนทั้งโรงเรียนต่างมองพวกเขาสามคนอยู่ ที่มองคงจะไม่พ้นเหตุผลที่ว่า
ทำไมคู่อริประจำโรงเรียนถึงยืนคุยกันอยู่ได้ แล้วเด็กที่อยู่ตรงกลางระหว่างสองคนนั้นเป็นใครทำไมถึงอยู่ท่ามกลางข้าศึกศัตรูทั้งสองได้อย่างสนิทสนม
แต่ดูเหมือนเด็กหนุ่มเจ้าของหัวข้อนินทราจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว
“หืม นายสนใจสายตาแบบนั้นหรือไง ไม่ได้ชินหรอกหรอ” เอบิลลีเต้ถาม
“จะไปชินได้ยังไงล่ะครับผมไม่ใช่คนดังซักหน่อย หรือว่าที่พวกคุณชินเพราะพวกคุณเป็นคนดังกัน? ”
“อะ...อ้าว เฟลออี้ไม่รู้หรอกหรอพวกเราก็ดังนะ แต่ดังในด้านไม่ดีซักเทาไรน่ะ ใช่มั้ยบิลลี่”
“หรือว่านายไม่รู้ว่าพวกเราดังมาตั้งแต่ม.ต้นปี 1 น่ะ”
“หะ...หา ผมไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย รูดี้กับเอบิลดังกันในด้านไหนหรอครับ”
ทั้งสองคนสบตากันอย่างเอือมระอา ไม่ใช่ว่าพวกเขาหยิ่งทะนงอะไรหรอกนะ แต่คนที่ไม่รู้จักพวกเขาน่ะนอกจากพวกที่ขาดเรียนกับโดดเรียนทุกวันแล้วไม่น่าจะมีใครไม่รู้จักนี้นา
ก็ในเมื่อพวกเขาทะเลาะกันเป็นกิจวัตรประจำวันและทุกวันอยู่แล้ว จนไม่มีใครกล้าไปกินข้าวกลางวันบนดาดฟ้าแม้แต่เด็กปีหนึ่ง ซึ่งที่แห่งนั้นเป็นส่วนหนึ่งในสนามรบของพวกเขา
แต่ถ้าเฟลอเซียลรู้เขาจะเมาไปเดินอยู่ดาดฟ้าตอนกลางวันหรอ
“พวกเราน่ะขึ้นชื่อว่าเป็นคู่ศัตรูที่นากลัวที่สุดในโรงเรียนน่ะแหละ” เอบิลลีเต้ตอบในที่สุด
“ก็เหมือนแวมไพร์กับมนุษย์หมาป่าน่ะแหละ ฉันเป็นแวมไพร์ บิลลี่เป็นมนุษย์หมาป่า”
“เฮ้ย ไหงฉันต้องเป็นมนุษย์หมาป่าล่ะ นายมันสงบเยือกเย็นเหมือนแวมไพร์ตรงไหน อ๋อ ถ้าเจ้าเลห์ล่ะก็เหมือนอยู่”
“เห็นมั้ย บิลลี่เป็นมนุษย์หมาป่าดีแล้ว ใจร้อน จอมโวยวาย”
“ด่าฉันหรือไง”
“ฟังเป็นสรรเสริญหรอ”
ห้ามแล้วก็เริ่ม ห้ามแล้วก็เริ่ม ต้องหาวิธีหยุดที่เด็ดขาดซะแล้ว อะไรดีล่ะ ในนิยายเขาทำยังไงนะ
“เอบิล รูดี้ฉันหิวแล้วนะรีบไปเถอะอย่ามามัวเถียงกันเลย” ว่าจบเฟลอเซียลก็เดินออกจากโรงเรียนอย่างเด็ดเดี่ยว
ทั้งสองยักไหล่แล้วเดินตามเขาไป
เอรูดี้เดินไปอยู่ข้างเพื่อนผมดำของเขา “นี้เฟลออี้ถามจริงเถอะนี่นายไม่รู้อะไร อย่างพวกข่าวลือหรือคนดัง ข่าวสารบ้านเมืองอะไรทำนองนี้เลยหรอ”
“ถามว่าเพื่อนในห้องเรียนฉันจำชื่อได้กี่คนกันจะดีกว่ามั้ย ขนาดนายฉันยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอยู่ห้องเดียวกัน”
“ฉันขอบูชาการติดนิยายของนายจริงๆ เลยนะ นี้ขนาดคนป๊อปปูล่าร์อย่างฉันอยู่ใกล้ตัวนายแค่ปลายนิ้วเอื้อม ยังไม่กระเทือนต่อมรับรู้ข่าวสารของนายเลย ฉันว่าคนหูหนวกตาบอดยังจะรู้เลย”
“ตกลงด่าหรือชม แล้วก็หลงตัวเองมากเกินไปหรือเปล่า”
“ชมนะชม ดูมีความสามารถดี เป็นความสามารถแปลกประหลาดที่ยากจะหาใครให้ทำได้เลยล่ะ ถ้าอย่างนั้นเฟลออี้ก็ไม่รู้เรื่องของเธอคนนั้นซินะ”
ไม่ต้องถามว่าเธอคนนั้นคือใคร เพราะไม่ว่าเธอคนนั้นจะคือใคร นอกจากเพื่อนในห้องที่เคยร่วมงานด้วยแค่ไม่กี่คน เขาบอกได้คำเดียวว่า “ไม่รู้จัก”
“นี้ๆ บิลลี่เฟลอไม่รู้จะเธอคนนั้นล่ะ” หันไปหาเจ้าของชื่อที่เดินอยู่รั้งท้าย
“ก็บอกว่าอย่าเรียกยังงั้นไงไอ้เมรุ”
กัดกันอีกแล้ว ไม่รู้จะห้ามยังไงแล้ว
จนกระทั่งพวกเขาเดินกันไปถึงร้านตัดแว่น เฟลอได้แว่นกรอบดำทรงวัยรุ่นสุดจ๊าบอันใหม่ ราคาเกือบหมื่นแต่เอบิลลีเต้ก็จ่ายเงินไปสีหน้าไม่สะทกสะท้านกับราคาแว่นที่ไม่ได้ซื้อให้ตัวเอง
สงสัยคงจะรวย...
ถึงเขาจะค่อนข้างอารมณ์ร้อนแรงควาย แต่สุดท้ายเขาก็เป็นคนที่ดีเหมือนกัน หรือว่าเบื้องหลังเขาทำอย่างนี้เพื่อกลบเกลื่อนด้านไม่ดีกัน
...ให้ตายซิเฟลอเซียลนายนี้มันแย่จริงๆ เลยที่ไปสงสัยคนอื่นน่ะ ยังไงซะตอนนี้ก็พอจะยืนยันได้บ้างแล้ว
ว่าเรากับเขาเป็นเพื่อนกัน...
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ