The Esbelin's Hope ความหวังของชาวเอสเบลิน

2.7

เขียนโดย Pie_l2

วันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2556 เวลา 17.51 น.

  9 chapter
  3 วิจารณ์
  13.15K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 20.00 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

8) อีกหนึ่งชีวิต

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     “เธอมีความคิดอะไรบ้างไหม” เซปต์ถามฟินดอร์ร่าที่เหมือนว่ากำลังคิดอะไรบางอย่าง

     “สิ่งที่มีค่าที่สุดในเอสเบลิน ฉันว่าฉันรู้นะ” เธอว่า หันซ้ายหันขวาเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ใกล้พอที่จะได้ยินบทสนทนาระหว่างเขาสองคน “กษัตริย์ของเอสเบลินยังไงล่ะ”

     “ถ้าเธอคิดได้แค่นั้น” เซปต์มองเธอตาขวาง “กลับไปนอนบนเตียงนุ่มๆ ที่บ้านเธอซะ”

     เซปต์เริ่มต้นไล่นิ้วหาหนังสือตามชั้นต่างๆ ที่คิดว่าเป็นประโยชน์ต่อพวกเขาในการทำภารกิจนี้ ก่อนจะวางหนังสือห้าเล่มที่หามาได้ลงบนโต๊ะตัวหนึ่งในห้องสมุด เขาหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านแบบคร่าวๆ ทีละเล่ม แต่นอกเหนือจากข้อมูลที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ เขาก็ยังไม่พบข้อมูลที่คิดว่าน่าจะเป็นคำตอบของปริศนาข้อนั้นเลย ไม่นานนักฟินดอร์ร่าก็นั่งลงตรงข้ามพร้อมกับหนังสือเล่มหนึ่งในมือ

     “นายเจออะไรบ้างไหม” เธอถามอย่างมีความหวัง

     “เจอ”

     “อะไรล่ะ” ฟินดอร์ร่ามีท่าทางกระตือรือร้นขึ้นมาทันที เธอยื่นหน้าเข้ามาใกล้เพื่อฟังคำตอบ

     “ขยะ”

     “โธ่ นายมันใช้ไม่ได้เลยจริงๆ” ฟินดอร์ร่าส่ายหัว เซปต์ถือโอกาสฉกหนังสือในมือเธอมาพิจารณา

     “ความแค้น ความริษยา ความอาฆาต” เซปต์อ่านชื่อหนังสือ ก่อนจะหย่อนมันลงบนโต๊ะ “กลับไปคุยกับหมาที่บ้านเธอ...”

     “อย่าเพิ่งโกรธสิ ฉันรู้อะไรดีๆ มาบ้างแล้วน่ะ” เธอแทรกพร้อมกับตีเขาที่บริเวณไหล่ “เมื่อกี้ฉันไปคุยกับบรรณารักษ์มา ฉันถามเขาว่าสมบัติชิ้นไหนในเอสเบลินที่มีค่ามากที่สุด”

     “ได้เรื่องไหม”

     “เขาบอกว่าเขาก็ไม่รู้เหมือนกัน” ฟินดอร์ร่าว่า เซปต์ปิดหนังสือเล่มที่สี่หลังจากที่แน่ใจแล้วว่าไม่มีอะไรน่าสนใจ เขามองเธออย่างเบื่อหน่าย “แต่ฉันรู้แล้วว่าจะหาข้อมูลได้จากที่ไหน”

     และเพราะคำพูดประโยคนั้นของฟินดอร์ร่า ทำให้เซปต์ กอร์ดอน ฟินดอร์ร่า และเลนเซีย ยืนอยู่บริเวณด้านหลังมหาวิทยาลัยเพื่อรอให้ถึงเวลาเลิกเรียน เซปต์ไม่ได้ตั้งใจจะดึงกอร์ดอนกับเลนเซียมาเกี่ยวด้วย แต่ทั้งสองยืนยันที่จะเข้ามาช่วย ซึ่งเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด

     “สัตว์ที่อันตรายที่สุดในเอสเบลิน นายหมายถึง...” ฟินดอร์ร่าหยุดพูด และกระพือแขนสองข้างเลียนแบบสัตว์มีปีกชนิดหนึ่ง

     “ถูกต้อง เจ้าค้างคาวลาวานั่นแหละ” กอร์ดอนต่อให้

     “อย่างน้อยภารกิจของนายก็ง่ายต่อการคาดเดา” เซปต์ว่า

     “ใช่ แต่มันยากต่อการได้มา” เลนเซียท้วง “มันเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่บนภูเขาไฟบาโลนี่”

     “แล้วภูเขาไฟที่ว่ามันอยู่ที่ไหนล่ะ” ฟินดอร์ร่าถาม กลืนน้ำลายดังเอื๊อก

     “อยู่ทางใต้ของเมืองบาโลนี่ ห่างจากที่นี่ไม่มากนัก แต่ไปยากหน่อยล่ะ” กอร์ดอนตอบ เขามองนาฬิกาข้อมืออย่างใจจดใจจ่อ เซปต์พอจะนึกภาพออกบ้าง จากแผนที่ที่ได้ศึกษามา เมืองบาโลนี่อยู่ไม่ไกลจากเมืองโทลลี่ ซึ่งก็คือเมืองที่พวกเขาอยู่ “แต่ก็จริงอย่างที่นายว่า มันง่ายที่จะรู้ว่าเป็นอะไร ใครๆ ก็รู้กันทั้งนั้นว่ามันเป็นสัตว์ที่อันตรายที่สุด ส่วนสิ่งที่มีค่าที่สุดในเอสเบลิน ฉันคิดไม่ออกจริงๆ เซปต์”

     “นายควรจะเรียกฉันว่าคาสร่า” เซปต์เอ็ด “เรายังไม่สนิทกันขนาดนั้น”

     “เฮ้ แต่เราเป็นเพื่อนกันนี่นา” กอร์ดอนทำเสียงขึ้นจมูก “นายมันแปลกคนจริงๆ”

     “นั่นมันเรื่องของฉัน เวย์มส์”

     ทั้งกอร์ดอน ฟินดอร์ร่า และ เลนเซีย ต่างพากันถอนหายใจ

     “หัวข้อมันกว้างไป” เซปต์บ่นอุบ “มันอาจจะเป็นอะไรก็ได้”

     “มันอาจจะเป็นสมบัติ เป็นของในประวัติศาสตร์ เป็นของในราชวัง หรือบางที...” เลนเซียเว้นวรรค “อาจจะเป็นแค่กระดาษแผ่นเดียวก็ได้ ใครจะไปรู้ล่ะ”

     “สาม สอง หนึ่ง เที่ยงแล้ว” กอร์ดอนประกาศ “ฉันคิดว่าเราออกจากฟราดิโอได้แล้วล่ะ”

     ทั้งสี่เดินตรงไปยังแม่น้ำสีใสที่มีปลาตัวเล็กตัวน้อยว่ายวนอยู่ในนั้น ฟินดอร์ร่าใช้เท้าเหยียบไปบนผิวน้ำ ก่อนที่หินทรงแบนจะลอยขึ้นมาบนผิวน้ำเพื่อรองรับเท้าของเธอ ฟินดอร์ร่าก้าวเท้าอีกข้างหนึ่งไปข้างหน้า แล้วหินแบบเดียวกันก็โผล่พ้นน้ำขึ้นมารองรับเท้าอีกข้างของเธอไว้ เธอหันหลังมาหาพวกเขา

     “มัวทำอะไรอยู่เล่า เดินตามมาได้แล้ว”

     เลนเซียและกอร์ดอนเดินตามไปอย่างช้าๆ เซปต์รอให้ทั้งสามเดินไปได้ระยะหนึ่งแล้วจึงจะตามไป เขาไม่แน่ใจว่าหินพวกนั้นจะตกลงไปทันทีที่เท้าของเขาสัมผัสมันหรือเปล่า แต่แล้วหลังจากที่ยืนทำใจอยู่พักหนึ่ง เซปต์ก็ก้าวเท้าออกไปเหยียบบริเวณหินทรงแบนนั่น และมันก็ยังคงมั่นคง ไม่มีวี่แววว่าจะขยับเขยื้อน เขาก้าวเท้าต่อไปเรื่อยๆ จนตามกอร์ดอนที่อยู่ข้างหน้าทัน

     “ทางนี้น่ะ ถ้าเกิดว่ายังไม่ถึงเวลาเลิกเรียนมันก็ใช้ไม่ได้หรอก” กอร์ดอนสาธยายให้ฟัง “ทางที่นายใช้เมื่อเช้าก็เหมือนกัน นายสามารถเข้ามาในเอสเบลินเมื่อไหร่ก็ได้ แต่นายจะออกไปไม่ได้จนกว่าจะเที่ยง เฉพาะทางที่เชื่อมโยงกับฟราดิโอแล้วก็มหาลัยฯ อื่นๆ น่ะ มันเป็นมาตรการเพื่อกันไม่ให้เด็กหนีเรียนยังไงล่ะ”

     “นายเข้ามาในเอสเบลินครั้งแรกเมื่อไหร่” อยู่ๆ เซปต์ก็อยากรู้ขึ้นมา

     “อืมม ตอนที่ฉันอายุสี่ขวบ” กอร์ดอนชูนิ้วขึ้นมาสี่นิ้ว “พ่อเป็นคนพาฉันเข้ามา ตอนนั้นแม่ตกใจมากที่รู้ความจริงว่าพ่อเป็นชาวเอสเบลิน แน่นอนว่าใช้เวลาอยู่นานกว่าเธอจะเชื่อว่าโลกนี้มีอยู่จริง แต่...”

     กอร์ดอนถอนหายใจ เซปต์เริ่มรู้สึกว่าตัวเองเพิ่งถามในสิ่งที่ไม่ควรถามอย่างยิ่ง

     “แม่ตัดสินใจหย่ากับพ่อเพราะไม่อาจยอมรับได้ เธอคงตกใจ เธอบอกว่ารู้สึกเหมือนให้ความเชื่อใจกับคนที่หลอกตัวเองมาตลอดห้าปีที่อยู่ด้วยกัน ตั้งแต่นั้นมาฉันก็เปลี่ยนมาใช้นามสกุลแม่ พ่อฉันเลยย้ายออกมาอยู่เอสเบลินเหมือนเดิม ถ้าเจอหน้ากันอีกครั้ง ฉันก็คงจำไม่ได้แล้วล่ะว่าเขาหน้ายังไง แต่ฉัน...” กอร์ดอนเว้นวรรค ดูเหม่อลอยเล็กน้อย “ฉันดีใจที่ได้อยู่กับแม่ แต่นายรู้ไหมกว่าเธอจะยอมให้ฉันมาเรียนที่นี่น่ะ บ้านแทบแตกเลยล่ะ”

     ว่าแล้วกอร์ดอนก็หัวเราะร่วนอย่างคนอารมณ์ดี เซปต์แปลกใจเล็กน้อยที่ในที่สุดเขาก็เดินมาถึงก้าวสุดท้าย เท้าทั้งสองข้างหยุดลงบนพื้นไม้ เซปต์หันกลับไปมองแม่น้ำที่ตอนนี้หินที่เคยลอยอยู่ได้หายไปแล้ว เหลือไว้เพียงพื้นน้ำที่เคลื่อนตัวช้าๆ ด้วยแรงลม

     พวกเขากำลังยืนอยู่ในศาลาเดียวกับที่เซปต์เห็นเมื่อวาน ที่นั่งทั้งสองด้านสามารถรองรับคนได้ข้างละสามคน ด้านตรงข้ามกับทางเข้าที่ควรจะเป็นทางออกไปสู่ผืนน้ำ แต่กลับเป็นผนังที่ฉาบด้วยปูนดูแข็งแรงและทนทาน ตรงกลางของผนังมีแผนที่อิเล็กทรอนิคขนาดใหญ่กำลังดีฝังอยู่ ในแผนที่มีจุดแดงๆ แทนสถานที่ในเอสเบลิน เส้นสีเขียวมีเอาไว้แบ่งเขตเมืองทั้งหก

     “ฟังนะ เราต้องไปสถานีบัน-บัน และเราก็ไปกันได้ครั้งละไม่เกินสองคน” ฟินดอร์ร่าอธิบาย “เพราะฉะนั้น...”

     “ฉันจะไปกับคาสร่า” กอร์ดอนรีบเอ่ยปากบอก

     “หึ” เลนเซียหัวเราะเยาะ “ดี งั้นฉันจะไปกับฟินดอร์ร่า อย่าสติแตกระหว่างเดินทางก็แล้วกันนะ”

     “ฉันสติแตกเฉพาะกับเธอเท่านั้นแหละ รู้เอาไว้ซะด้วย” กอร์ดอนสวนกลับอย่างหาเรื่อง

     “หยุดสักทีได้ไหม” เซปต์ส่งสายตาเย็นชาให้ทั้งสอง รู้สึกปวดหัวทุกครั้งที่ได้ยินเสียงดังๆ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นผล ทั้งสองเงียบเสียงลงทันที

     “ไปกันเถอะเลนเซีย” ฟินดอร์ร่าว่า เธอจับมือเพื่อนสาวและจิ้มลงไปบนจุดหนึ่งบนแผนที่ ร่างของเธอและเลนเซียค่อยๆ เลือนรางลง ก่อนจะหายไปในที่สุด

     “อ้อ มันคือระบบแวคยูม เป็นระบบเดินทางของที่นี่น่ะ ทุกๆ ยี่สิบกิโลเมตรหรือสถานที่ที่คนไปกันเยอะๆ ก็จะมีแวคยูมติดตั้งเอาไว้ บางครั้งเขาก็ใช้เป็นเครื่องส่งสินค้าออกนอกเมือง” กอร์ดอนอธิบายเมื่อเห็นสีหน้าเซปต์หลังจากที่เห็นเพื่อนสาวทั้งสองหายไปต่อหน้าต่อตา “รู้สึกเหมือนอยู่ในเกมส์เลยใช่ไหมล่ะ ฮ่า”

     กอร์ดอนหัวเราะอย่างชอบใจ เซปต์เดินเข้าไปใกล้แผนที่เพื่อสำรวจและพบว่ามีแวคยูมอยู่เยอะจริงๆ ถ้าเกิดว่าในโลกมีระบบแบบนี้บ้างคงจะดี ไม่มีถนนที่รถติดตลอดวัน มลพิษที่มาจากควันรถยนต์ก็จะหายไป และเมืองคงจะน่าอยู่กว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้

     “เราต้องไปที่ไหนนะ” เซปต์ถามกอร์ดอนที่ยืนอยู่ข้างๆ

     “สถานีบัน-บัน” กอร์ดอนว่าพลางลากนิ้วหาสถานีดังกล่าว

     เซปต์กวาดสายตามองไปทั่ว เขาแอบนึกขำในใจกับชื่อสถานีแปลกๆ ที่ไม่คิดว่าจะมีอยู่ และแล้วเขาก็เจอจุดแดงๆ ที่มีตัวหนังสือข้างๆ เขียนไว้ว่า ‘บัน-บัน’ เซปต์จิ้มลงไปบนนั้น เขาสังเกตเห็นกอร์ดอนที่ตัวค่อยๆ รางหายไป วินาทีต่อมาเซปต์รู้สึกเหมือนถูกกระชากอย่างแรง ไม่กี่อึดใจหลังจากนั้นฉากใหม่ก็เข้ามาแทนที่

     สิ่งแรกที่เห็นคือแผนที่อิเล็กทรอนิคซึ่งก็คือแวคยูมที่ตั้งอยู่หน้าร้านขนมปังเล็กๆ ร้านหนึ่ง กลิ่นหอมของขนมปังลอยคลุ้งไปทั่ว ด้านหน้าร้านมีกระดานดำที่ถูกเขียนด้วยชอล์กหลากสีว่า ‘ยินดีต้อนรับสู่บัน-บัน’ เขารู้ในทันทีว่าสถานีถูกตั้งชื่อจากชื่อร้านขนมปังแห่งนี้

     นอกจากร้านบัน-บันแล้ว ก็ยังอีกหลากหลายร้านที่ขายของต่างกันออกไป ทั้งร้านขายเสื้อผ้า ร้านขายกาแฟ ร้านอาหารนานาชนิด และร้านสะดวกซื้อ ผู้คนพลุกพล่านมากกว่าในฟราดิโอเยอะทีเดียว แต่ไร้ร่องรอยของฟินดอร์ร่าและเลนเซีย

     “ยัยสองแสบนั่นอยู่ไหนเนี่ย” กอร์ดอนมองหาเพื่อนสาวทั้งสองเช่นเดียวกันกับเซปต์

     “ฉันคิดว่าแถวๆ นี้แหละ” และแล้วเซปต์ก็เห็นสองร่างที่กำลังเดินออกมาจากร้านบัน-บัน และตรงมายังพวกเขา

     “นี่ของนาย” เลนเซียยื่นขนมปังก้อนหนึ่งให้เซปต์

     “อ่อ ขอบคุณ” เขารับมันเอาไว้ อุณหภูมิของขนมปังที่ยังคงอุ่นบ่งบอกถึงความสดใหม่ ฟินดอร์ร่ากำลังกัดกินขนมปังในมือของเธออย่างกับคนที่อดอยากมานาน ไม่ต่างกันนักจากเลนเซีย

     “แล้วของฉันล่ะ” กอร์ดอนท้วงเมื่อเขาเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่มีขนมปังอยู่ในมือ “ฉันก็หิวเหมือนกันนะ”

     “หิวก็ไปซื้อเองเซ่” เลนเซียถลึงตาใส่กอร์ดอน เซปต์รู้ในทันทีว่าศึกเล็กๆ ระหว่างหนุ่มบึกกับสาวถึกกำลังจะเริ่มขึ้นในไม่ช้า

     “เธอนี่มัน...”

     แต่แล้วกอร์ดอนก็ต้องกลืนคำที่เหลือเข้าคอไป เมื่อเซปต์ยัดก้อนขนมปังในมือเข้าไปในปากของเจ้าตัว

     “ฉันจะเข้าไปซื้อมาใหม่”

     “อ่ะ ฉันอิ่มล่ะ” ฟินดอร์ร่ายื่นขนมปังก้อนยาวของเธอที่เหลือครึ่งหนึ่งมาให้เซปต์ “ฉันแบ่งมันไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ถ้านายไม่รังเกียจก็กินมันเข้าไปซะ”

     “เธอกินไปเถอะ” เซปต์ปฏิเสธที่จะรับมันเอาไว้

     “อะไรกัน นายรังเกียจฉันหรือไง” ฟินดอร์ร่ามองหน้าเขาอย่างโกรธเคือง “ปกติฉันไม่แบ่งของกินให้ใครหรอกนะ นายมันใจร้ายจริงๆ”

     เซปต์ลังเลอยู่สักพัก ก่อนจะรับขนมปังก้อนยาวในมือเธอมากัด ความหวานแผ่ซ่านไปทั่วปาก ความนุ่มของขนมปังทำให้อดไม่ได้ที่จะลิ้มรสคำต่อไป

     “เธอจะบอกฉันได้หรือยังว่าเรามาทำอะไรกันที่นี่” เซปต์เริ่มเข้าประเด็น ทั้งกอร์ดอนและเลนเซียหันมาให้ความสนใจด้วยเช่นกัน

     “ฉันบอกแล้วไงว่าฉันรู้จักแหล่งข้อมูลที่ดีมากแห่งหนึ่ง” ฟินดอร์ร่ากอดอกและยิ้มร่าอย่างวางมาด “ตามฉันมา”

     พวกเขาเดินผ่านร้านต่างๆ มากมาย เซปต์รู้สึกเหมือนเดินอยู่บนพื้นโลก ที่นี่ไม่ได้ต่างจากที่ที่เขาเคยอยู่มากนัก ทุกอย่างดูจะเหมือนกันไปซะหมด ทั้งเรื่องการแต่งตัวของผู้คน วัฒนธรรมการกิน แต่ดูเหมือนคนที่นี่จะมีระเบียบกว่ามาก นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เซปต์เริ่มชอบเอสเบลินเข้าให้แล้ว แต่ถึงกระนั้น เขาก็รู้สึกเกร็งๆ ทุกครั้งที่ผู้คนพากันมองมาที่พวกเขาเสมือนเป็นบุคคลดัง

     “นายน่าจะไปเป็นดารานะ” กอร์ดอนแซวพร้อมกับถองมาที่เซปต์

     “ฉันว่าไม่เหมาะกับคนหน้าไร้อารมณ์อย่างอีตานี่หรอก” ฟินดอร์ร่ารีบสวนกลับ เธอเอามือปิดปากเมื่อรู้ว่าเพิ่งพูดอะไรออกมา

     “พวกเขามองนาย ไม่ใช่ฉัน” เซปต์ทำเป็นไม่สนใจและหันไปคุยกับกอร์ดอนแทน

     “ไม่หรอก พวกเขามองนายอยู่จริงๆ คาสร่า” เลนเซียเดินเข้ามาตบไหล่เซปต์ “ดูยังไงนายก็น่าสนใจกว่าไอ้หมอนั่น”

     “เธอจะหาเรื่องฉันไปถึงเมื่อไหร่กัน” กอร์ดอนมองเลนเซียอย่างเบื่อหน่าย เขาไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะหาเรื่อง

     “เอ๊ะ เรามาถูกทางหรือเปล่านะ” ฟินดอร์ร่ามองไปรอบๆ เธอเกาหัวตัวเองอย่างคนที่กำลังสับสน ทุกคนหยุดเดินทันที

     “ชื่อร้านล่ะ” เซปต์ถาม

     “ฉันจำชื่อร้านไม่ได้ มันเป็นร้านขายบะหมี่สองชั้น ร้านเป็นสีแดงๆ เจ้าของร้านหน้าตาเหมือนหลุดออกมาจากหนังจีนกำลังภายใน อุ๊ย! ขอโทษค่ะ” ฟินดอร์ร่ารีบขอโทษขอโพยเมื่อมือของเธอที่วาดไปวาดมาระหว่างการอธิบายไปโดนใครคนหนึ่งเข้า

     “คนที่เธอกำลังพูดถึงน่ะคือพ่อของฉันเอง ยัยเบ๊อะ” เด็กสาวต่อว่าฟินดอร์ร่าเสียงแจ้ว เซปต์ที่ยืนอยู่ด้านหลังสังเกตว่าตัวเธอสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ “พ่อของฉันเป็นคนทำบะหมี่ที่ฝีมือดีที่สุดในเอสเบลิน เธออย่ามาว่าพ่อของฉันแบบนั้นนะ นี่! ปล่อยฉันนะ”

     เธอพยายามสะบัดแขนของเธอให้พ้นจากพันธนาการที่กอร์ดอนและเลนเซียคว้าเอาไว้คนละข้าง

     ฟินดอร์ร่ายืนงงอยู่สักพัก ก่อนที่เธอจะตั้งสติได้และรู้ว่าตัวเองกำลังถูกลูกสาวเจ้าของร้านบะหมี่ที่เธอกำลังจะพาพวกเขาไปหาเรื่องอยู่ ฟินดอร์ร่ายืนเท้าสะเอว

     “ใครๆ ก็เรียกตาลุงนั่นแบบนั้นกันทั้งนั้นแหละย่ะ!” เธอแหวพร้อมกับสะบัดผมสีดำเงางามไปด้านหลัง ในขณะที่เซปต์กำลังคิดว่าเพราะความซุ่มซ่ามแบบนี้สินะ ทำให้เขาต้องกลายเป็นเหยื่ออยู่บ่อยครั้ง ทั้งเรื่องที่เธอเหยียบเท้าเขาเมื่อวันสอบเข้า และเรื่องข่าวลือที่เธอปล่อยออกไป แต่ถึงอย่างไรเขาก็รู้ว่าฟินดอร์ร่าไม่ได้ตั้งใจที่จะหาเรื่องใคร เพียงแต่เธอเป็นคนที่ไม่ยอมใครก็เท่านั้น “ถ้าเธอจะด่าฉัน ก็ไปด่าคนอื่นด้วยสิยะ!”

     “พอเถอะ” เซปต์เป็นฝ่ายเดินเข้าไปห้ามฟินดอร์ร่า เขาชายตามองเด็กสาวคู่กรณีที่กำลังจ้องมองเขาด้วยสายตาตกใจ เซปต์เองก็มองเธออย่างแปลกใจด้วยเช่นกัน เด็กสาวที่ก้าวแกละเอาไว้สองข้าง ตาที่โตอยู่แล้วเบิ่งกว้างขึ้นอีกเมื่อเห็นเซปต์ยืนอยู่ตรงหน้า

     “เซปต์” แอนเจลิก้า สควีนนี่ เรียกชื่อของเขาด้วยเสียงอันแผ่วเบา “นายมาทำอะไรที่นี่”

     “ฉันต้องถามเธอมากกว่า แอนเจลิก้า” เซปต์ถามกลับ สายตาของอีกสามชีวิตที่เหลือจับจ้องมาที่เขาทั้งสองคน

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา