The Esbelin's Hope ความหวังของชาวเอสเบลิน

2.7

เขียนโดย Pie_l2

วันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2556 เวลา 17.51 น.

  9 chapter
  3 วิจารณ์
  13.14K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 20.00 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

7) ภารกิจแรกจากอาจารย์ขี้เมา

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     รถลีโมคันดำคุ้นตาจอดอยู่หน้าบ้าน เซปต์รู้ในทันทีว่าเป็นแขกของเขา แต่ถึงกระนั้น เด็กหนุ่มก็เดินตรงไปที่บ้านอย่างไม่แยแส เขาได้ยินเสียงประตูรถเปิดออก เป็นเวลาเดียวกับที่เขากำลังใช้กุญแจไขเพื่อปลดล็อกประตู

     “เรามีเรื่องต้องคุยกัน” เสียงนุ่มที่แฝงไว้ด้วยความห่วงใยกล่าว เซปต์หันหลังไปเผชิญหน้ากับคนเป็นพ่อ พยายามควบคุมอารมณ์โกรธที่พลุกพล่านอยู่ในร่าง

     “ผมก็คิดว่าอย่างนั้น”

     “เธอจะไม่เชิญฉันเข้าบ้านหน่อยเหรอ” เจเรมี่ยิ้มเล็กๆ ให้ลูกชายคนโตของเขา เซปต์เปิดประตูออกและผายมือให้เจเรมี่ “ระหว่างเราไม่ต้องรักษามารยาทมากนักก็ได้ เธอเข้าไปก่อนเถอะ”

     เซปต์เดินตรงเข้าไปในห้องนั่งเล่น โยนกระเป๋าลงบนโซฟาสีเบสและนั่งลง

     “เธอชอบบ้านนี้ไหม” เจเรมี่ถามก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ ลูกชาย

     “ผมอยู่ที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่บ้านของคุณ” เซปต์ตอบเสียงเรียบ มองหน้าพ่อของตนด้วยสายตาไร้อารมณ์เช่นเคย

     “ถ้าอย่างนั้น” ทนายความชื่อดังถอนหายใจเฮือกใหญ่ พยายามยิ้มสู้ “เธอมีอะไรจะถามฉันไหม”

     “แล้วคุณมีอะไรจะบอกผมหรือเปล่าล่ะ” แน่นอนว่าเซปต์หวังที่จะได้ยินทุกเรื่องที่เป็นความจริง

     “ฉันขอโทษที่ไม่ได้บอกเธอก่อนหน้านี้ แต่ว่าฉันมีเหตุผลบางอย่าง”

     “ผมรู้ คุณมีเหตุผลเสมอ” เซปต์พยักหน้าสองสามที “ทีนี้บอกผมได้หรือยังว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่”

     “ไวโอล่าขอไม่ให้ฉันบอกเธอเรื่องนี้ เธอบอกว่าความจริงจะทำให้ลูกชายของเธอต้องพบกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก” เจเรมี่พูด

     “แม่ของผม เป็นชาวเอสเบลินใช่ไหม” เสียงของเซปต์อ่อนลงเมื่อผู้เป็นแม่ถูกยกขึ้นมาอ้าง

     “ใช่แล้ว”

     “แล้วทำไม...” เซปต์ถาม มองหน้าของพ่อด้วยสายตาที่แฝงไว้ด้วยความโศกเศร้า “ทำไมอยู่ๆ คุณถึงบอกผม”

     “เธอควรจะรู้เอาไว้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม การวิ่งหนีไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ” เจเรมี่ว่า “เธอควรจะเผชิญหน้ากับมัน”

     “มีอะไรอีกไหม ที่ผมยังไม่รู้”

     “แหวนวงนั้น” เจเรมี่จับมือเซปต์ขึ้นมาแล้วลูบชาเบล แต่เขาไม่ได้สะบัดทิ้งเหมือนครั้งก่อน “เป็นแหวนบรรจุพลังที่แม่เธอบอกกับฉันว่าอย่าให้ถึงมือเธอเด็ดขาด เพราะมันอาจทำให้เธอแสดงพฤติกรรมแปลกๆ ฉันอยากจะเก็บมันไว้ใกล้ๆ ตัว และไม่อยากให้เธอได้มันไปครอง ดังนั้นฉันจึงใช้มันในงานอภิเษกของฉันกับอลิซ่า”

     “พลังของแม่ผมน่ะเหรอ” เซปต์จ้องมองแหวนวงนั้นนิ่ง

     “พลังของเธอนั่นแหละ พลังที่ไวโอล่าพยายามดูดมันออกมาจากตัวเธอ เพื่อที่เธอจะได้ใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไปและไม่ต้องรับรู้เรื่องราวพวกนี้” เจเรมี่อธิบาย เขาปล่อยมือของเซปต์ลง

     “แล้วทำไมผมถึงถอดแหวนวงนี้ไม่ได้” เซปต์ถาม

     “เธอจะถอดมันได้ก็ต่อเมื่อเธอกำลังจะสิ้นใจ”

     “ผมต้องการคำอธิบาย”

     “พลังน่ะถูกดูดจากแหวนส่งไปยังตัวเธออีกทีหนึ่ง แต่ถึงจะไม่มีพลังอะไรหลงเหลืออยู่ในแหวนแล้วก็ตาม เธอยังคงต้องใช้ประโยชน์จากมันทำอะไรสักอย่าง นั่นคือสิ่งที่ฉันคิด ฉันก็ไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร แต่เดี๋ยวเธอก็จะรู้เอง” นายเจเรมี่มองดูนาฬิกาข้อมือที่สวมอยู่ ก่อนจะลุกขึ้นยืน “ฉันคงต้องไปแล้วล่ะ”

     เซปต์ทำแค่เพียงพยักหน้าเล็กน้อย

     “ฉันหวังว่าเธอคงจะไม่เกลียดฉันที่บอกเธอช้าเกินไป” เจเรมี่ว่า “เธออาจจะพบว่ามันยากนิดหน่อยที่ต้องปรับตัว แต่ฉันดีใจที่รู้ว่าเธอไม่มีท่าทีต่อต้านอะไร ฉันอยากให้เธอเดินหน้าต่อไป จำเอาไว้เซปต์ อย่าวิ่งหนีไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม”

     “ขอบคุณครับ” เซปต์ตอบ “ที่บอกให้ผมรู้”

     “พ่อรักลูกนะ”

     ทนายชื่อดังของคิงมอนท์ เจเรมี่ ฮัทสเบิร์ก มองหน้าลูกชายของตน เซปต์เหมือนถูกตรึงด้วยโซ่เส้นใหญ่จนเขาไม่สามารถหลบหนีสายตาของพ่อได้ ทั้งคู่มองหน้ากันอยู่พักใหญ่ ก่อนที่เจเรมี่จะเดินออกจากบ้านไป ทิ้งให้เซปต์ได้ใช้เวลาทบทวนหลายๆ เรื่อง เขาไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงในตอนนี้ ยิ้มหรือร้องไห้ เขารู้แค่ว่าหน้าเริ่มร้อนผ่าวอย่างที่ไม่เคยเป็น นานมากแล้วที่เขาไม่ได้ฟังคำนี้จากคนเป็นพ่อ

 

     หลังจากเมื่อวานที่กอร์ดอนได้พาเขาออกมาทางประตูใหญ่จากชั้นห้า เซปต์จึงเลือกที่จะเข้าไปในเอสเบลินทางเดียวกัน เนื่องจากมันดูท่าจะสบายกว่าเยอะเมื่อเทียบกับทางที่มาร์วินพาเขาเข้าไปเมื่อวานนี้ วันนี้เป็นวันที่แดดค่อนข้างแรง เซปต์ถอดชุดสูทของเขาออก และเดินออกมาจากลิฟต์ บรรยากาศในชั้นห้าดูแปลกตาเมื่อไม่มีคนอยู่เลย แต่นั่นไม่ใช่เรื่องแปลก เนื่องจากวันนี้เป็นอีกวันที่เขาตื่นค่อนข้างสาย นักศึกษาที่เหลือคงจะอยู่ในเอสเบลินกันหมดแล้ว

     เซปต์เดินขึ้นบันไดอิฐไปหาประตูไม้บานใหญ่ทรงครึ่งวงกลมที่สามารถเปิดออกจากสองด้าน มือของเซปต์จับอยู่ที่ประตูทางด้านซ้าย แต่แล้วคำพูดของกอร์ดอนเมื่อวานนี้ก็ผุดขึ้นมาในหัว

     ‘นายอย่าเปิดเข้าจากทางด้านซ้ายเป็นอันขาด ฉันเตือนนายแล้วนะ’

     มือที่ค้างอยู่ที่ด้านซ้ายของประตูผละออกอัตโนมัติ เซปต์เปิดประตูจากด้านขวา ก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปในความสว่าง เขารู้้สึกเหมือนตัวเองกำลังลอยอยู่ท่ามกลางความขาวสะอาดตา ไม่มีผนัง เพดานหรือแม้แต่พื้น อยู่ ๆ ภาพของบ้านเรือนกว่าสิบหลังก็ปรากฏขึ้น มนูภาพเริ่มชัดขึ้น และชัดขึ้น จนเห็นก้อนหินสีขาวบริสุทธิ์ ทางเดินหินอ่อนเนื้อดี ต้นไม้สีเขียวน่ามอง เป็นหมู่บ้านที่น่าอยู่หมู่บ้านหนึ่ง หากแต่มันไม่ใช่หมู่บ้าน เซปต์รู้ดีว่าเขากำลังเหยียบอยู่บน ‘ฟราดิโอ’ ในโลกที่มีชื่อว่า ‘เอสเบลิน’

     “ฉันว่าแล้วว่านายต้องมา” เสียงคุ้นหูของสหายดังขึ้น พร้อมกับที่เจ้าตัวแตะไหล่เซปต์

     “ฉันไม่ได้บอกว่าจะไม่มา” เซปต์ตอบเสียงเรียบ เกาหางคิ้วแก้เก้อ พวกเขาเดินไปตามทางเพื่อไปยังห้องเรียน

     “แต่ฉันคิดว่านายจะไม่มาอีกแล้วน่ะสิ” กอร์ดอนว่า ฉีกยิ้มให้อย่างเคย

     “ฉันว่าจริงด้วยแหละ นั่นไงล่ะ ดูสิ”

     “ไม่อยากจะเชื่อเลย พวกเขาออกจะดูแมนซะขนาดนั้น”

     “ตัดใจซะเถอะ ฉันเห็นกอร์ดอนมายืนรอเซปต์ตั้งแต่เช้าเลยนะจะบอกให้”

     เสียงพูดคุยของเด็กสาวกลุ่มหนึ่งที่เดินผ่านพวกเขาไปทำเอาทั้งสองคนหันมามองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจ และเมื่อรู้ตัวอีกทีพวกเขาก็สังเกตเห็นนักศึกษากลุ่มอื่นๆ พากันมองมาที่พวกเขาและซุบซิบอะไรบางอย่างในทำนองเดียวกัน

     ทันทีที่เซปต์เปิดประตูเข้าไปในห้องเรียนซึ่งทุกคนอยู่ที่นั่นแล้วอย่างที่เขาคิดไว้ ทุกสายตาจับจ้องมาที่พวกเขาอีกครั้ง

     “พวกเขามาด้วยกันด้วยล่ะ!” นักศึกษาชายคนหนึ่งหันไปคุยกับเพื่อนอีกสามคนในโต๊ะ เขามีท่าทางตุ้งติ้งบ่งบอกถึงความผิดเพศ ถ้าจำไม่ผิด เด็กหนุ่มคนนี้คือ แม็กซ์ ออเดรีย

     “โธ่เว้ย! นี่มันเรื่องอะไรกัน ฉันไม่ใช่เกย์ ได้ยินไหม ฉันไม่ใช่เกย์!” กอร์ดอนตะโกนลั่นห้อง ในขณะที่เซปต์เดินไปนั่งที่โต๊ะอย่างไม่ใส่ใจ กอร์ดอนเดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงมานั่งข้างๆ

     “อย่าให้ฉันรู้นะว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวบ้าๆ นี่ ฉันจะจับมันมาสับเป็นชิ้นเล็กๆ และเอาไปให้เป็ดกิน คอยดู!” กอร์ดอนดูจะหัวเสียมาก หน้าสีแทนของเขาเป็นสีแดงขึ้นมาเพราะฤทธิ์โกรธ “นายไม่โกรธเลยหรือไง”

     “ไม่มีเหตุผลต้องโกรธถ้ามันไม่ใช่เรื่องจริง” เซปต์ว่า เขาหันไปมองฟินดอร์ร่าที่กำลังเหม่อลอย รู้สึกว่าวันนี้เธอจะสงบเสงี่ยมเป็นพิเศษ เลนเซียที่นั่งอยู่ข้างๆ ฟุบหลับลงกับโต๊ะ เมื่อรู้ตัวว่าเซปต์จ้องมองเธออยู่นาน เธอก็หันมามองเซปต์ แต่แค่แว่บเดียวฟินดอร์ร่าก็หลบสายตาอย่างที่ไม่ควรจะเป็น นัยน์ตาสีดำของเธอดูลุกลี้ลุกลนเหมือนคนที่เพิ่งทำความผิดมา

     ประตูเหวี่ยงเปิดออกพร้อมกับการปรากฏตัวของชายหนุ่มร่างผอมที่อยู่ในชุดเสื้อยืดคอกลมและกางเกงสามส่วน ใบหน้าซูบตอบ ผมกะเซอะกะเซิงดูไร้ระเบียบ ดวงตาที่เหลือกขึ้นอย่างคนมึนเมา กลิ่นเหล้าคลุ้งไปทั่วห้องจนเลนเซียที่เพิ่งตื่นขึ้นมาถึงกับปิดจมูก

     “มองอะไร” เขาถามด้วยน้ำเสียงชวนหาเรื่อง เมื่อศึกษาทั้งชั้นจับจ้องไปที่เขา “จับคู่กันได้แล้ว เร็ว!”

     เมื่อคำสั่งออกมาจากปากชายหนุ่มไร้มารยาทคนนั้น ทุกคนจึงประจักรแล้วว่าเขาคือครูที่จะสอนในวิชา ‘ผจญภัยวิทยา’

     อีกโต๊ะหนึ่งจับคู่กันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กอร์ดอนมองหน้าเซปต์อย่างขอความเห็น แน่นอนว่าถ้าเป็นปกติพวกเขาคงจะคู่กันไปแล้ว แต่เซปต์ส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่าไม่เห็นด้วย และดูเหมือนกอร์ดอนเองก็จะคิดแบบเดียวกัน พวกเขาไม่อยากทำให้คนอื่นๆ คิดว่าเป็นพวกรักร่วมเพศอย่างที่กำลังถูกกล่าวหาอยู่ ทั้งสองมองดูฟินดอร์ร่าและเลนเซีย เซปต์ตรงเข้าไปหาเลนเซียอย่างไม่ต้องคิด แต่ที่น่าแปลกใจคือฟินดอร์ร่าเป็นฝ่ายวิ่งเข้ามาหาเขาก่อน

     “ฟินดอร์ร่า เธอจะทิ้งให้ฉันอยู่กับไอ้หมอนี่น่ะเหรอ” เลนเซียโวยวายทันที กอร์ดอนเองก็ดูจะไม่พอใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้เปิดปากพูดอะไร

     “ดี จำหน้าคู่ของเธอไว้ให้ดีๆ เพราะหลังจากนี้เธอจะต้องทำงานร่วมกันไปจนเรียนจบ เข้าใจ๊” ครูหนุ่มตวาดใส่นักศึกษา “ไม่ได้ยินหรือไง ฉันถามว่าเข้าใจไหม”

     “เข้าใจครับ/ค่ะ!” ทั้งแปดชีวิตตะโกนตอบแทบจะพร้อมเพรียงกัน

     “ดีมาก ทีนี้ส่งตัวแทนมาคู่ละคน ให้ไวด้วย”

     นักศึกษาทั้งสี่คนรีบเดินออกไปหน้าชั้นโดยที่ไม่ได้ปรึกษาคู่ของตัวเองเลยด้วยซ้ำ เซปต์ กอร์ดอน นักศึกษาหญิงที่มีท่าทางค่อนข้างเขินอายที่ชื่อแคทเธอรีน เมอร์เรจ แล้วก็นักศึกษาชายที่ใส่เหล็กดัดฟัน แอนดรูว์ ดอร์ม

     “อ่าวเธอน่ะ เลือกไปหนึ่งแผ่น” คุณครูที่ดูเหมือนอันธพาลมากกว่ายื่นกระดาษเปล่าแผ่นเล็กๆ สี่แผ่นให้แคทเธอรีน เธอเลือกไปหนึ่งแผ่น “อย่าเพิ่งเปิดดูล่ะ”

     หลังจากที่แอนดรูว์และเซปต์เลือกอีกสองแผ่น กอร์ดอนซึ่งเป็นคนสุดท้ายจึงไม่มีสิทธิ์เลือก เขารับกระดาษแผ่นสุดท้ายมาจากครูหนุ่ม

     “สิ่งที่อยู่ในมือพวกเธอคือภารกิจของปีนี้ กฎง่ายๆ สองข้อ จำใส่หัวเอาไว้ ถ้าทำสำเร็จก็ผ่านวิชานี้ ถ้าไม่สำเร็จก็ซ้ำชั้น เข้าใจ๊”

     “เข้าใจครับ/ค่ะ!”

     นักศึกษาทั้งชั้นประสานเสียงดังฟังชัด

     “ดีมาก พวกเธอกลับไปนั่งที่ได้แล้ว” เซปต์เดินเข้าไปนั่งเก้าอี้ตัวเดิม ฟินดอร์ร่าพยายามจะขโมยกระดาษที่เขาเพิ่งได้มา แต่เซปต์ขยับมือหนีอย่างรวดเร็ว

     “ฉันเชื่อว่าพวกเธอคงไม่อยากเจอหน้าฉันอีก ฉันเองก็ไม่อยากเจอหน้าพวกเธอแล้ว ไม่ต้องห่วง ฉันจะไม่เข้ามาในห้องนี้อีกจนกว่าจะถึงวันสุดท้ายของการศึกษาเพื่อมารายงานผลการสอบของพวกเธอ ใครมีอะไรจะถามหรือถ้าเธอคิดว่าทำภารกิจสำเร็จแล้วก็ไปหาที่ห้องฉันได้ แต่ถ้าเป็นไปได้ก็อย่ามีเลยคำถามน่ะ ฉันขี้เกียจพูดมาก” ชายหนุ่มพูดเองเออเองอย่างคนที่สติสตางค์ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ก่อนจะเดินออกจากห้องเรียนไปด้วยท่าทางโซซัดโซเซ

     นักศึกษาทั้งแปดชีวิตเริ่มเปิดดูหัวข้อที่ตนได้รับ แคทเธอรีนและแอนดรูว์มีสีหน้าตกใจ แม็กซ์กับบรูกซ์ ลอว์รี่ เด็กหนุ่มตัวเตี้ยดูบอบบางทำตาโต ส่วนกอร์ดอนและเลนเซียอ้าปากหวอพร้อมกันอย่างสมานฉันท์

     “นี่ ฉันอยากรู้ว่าเราได้หัวข้ออะไร” ฟินดอร์ร่ากระโดดเหยงๆ เพื่อชิงแผ่นกระดาษในมือเซปต์ที่เขาชูขึ้นสูง

     “ฉันรู้ว่าเธอเป็นคนทำ” เซปต์ว่า

     “ฉัน...ฉันทำอะไร” เธอตวาดใส่เขา

     “ข่าวลือนั่น เธอเป็นคนปล่อย”

     “ฉันเปล่า” ฟินดอร์ร่าหลบสายตา เสียงอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด “ใช่ฉันทำ แต่...แต่ฉันไม่ได้ตั้งใจนะ ฉันก็แค่คุยกับคนอื่นๆ ว่าเห็นพวกนายอยู่ด้วยกันบ่อยเท่านั้นเอง โธ่ ก็ฉันไม่คิดว่าพวกเขาจะเอาไปพูดกันต่อนี่นา”

     “เธอมีอะไรจะพูดอีกไหม” เซปต์จ้องเธอตาเขม็ง

     “ฉันตั้งใจจะขอโทษนายอยู่แล้ว ฉันถึงเลือกนายเป็นคู่” เธอยื่นมือมาให้เขา “ฉันรู้ว่าฉันน่ารำคาญในสายตานาย แต่ว่าตอนนี้เราอยู่ทีมเดียวกันแล้ว ฝากตัวด้วย”

     เซปต์จับมือเธอและลากออกไปจากห้อง แน่นอน ท่ามกลางสายตาของคนทั้งห้อง เซปต์ยอมรับกับตัวเองเงียบๆ ว่าเขาเก่งจริงๆ ในเรื่องทำให้ตัวเองกลายเป็นจุดสนใจ ตลอดทางที่ฟินดอร์ร่าพยายามบอกให้เขาปล่อยมือจากเธอ แต่เซปต์ทำแค่เพียงลากเธอไปยังบ้านหลังหนึ่งที่ดูใหญ่กว่าหลังอื่นๆ มันคือห้องสมุดนั่นเอง

     “นายพาฉันออกมาทำไม บ้าหรือเปล่า ปล่อยฉันนะ!” เสียงแหลมของฟินดอร์ร่าทำให้เซปต์ต้องรีบปล่อยมือจากเธอ ผู้คนในระยะใกล้เริ่มหันมามอง

     “การที่ฉันพาใครสักคนออกมาข้างนอก” เซปต์เปรย “แปลว่าฉันต้องมีความสัมพันธ์แบบชู้สาวกับคนๆ นั้นด้วยงั้นเหรอ”

     “ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นสักหน่อย ฉันก็แค่พูดเรื่อยเปื่อยเท่านั้นแหละ ปากฉันมันไม่ดีเอง พอใจไหมยะ” ฟินดอร์ร่าพูดด้วยเสียงเคียดแค้นพลางนวดมือข้างที่เซปต์บีบป้อยๆ

     “วันหลังก่อนพูดอะไร ก็หัดคิดซะบ้าง” เซปต์ใช้นิ้วผลักหน้าผากของเด็กสาว ฟินดอร์ร่าทำเสียงจิ๊จ๊ะอย่างไม่พอใจ

     “อย่าบอกนะว่านายพาฉันมาที่นี่เพียงเพราะจะบอกเรื่องแค่นี้น่ะ นายไม่รู้เหรอว่าฉันน่ะเกลียดห้องสมุดที่สุด ฉันเกลียดเวลาเห็นหนังสือมากมายอยู่รอบๆ มันลายตา...”

     “ฉันไม่ได้เพิ่งบอกเธอไปเหรอ ว่าให้คิดก่อนพูด” เซปต์ขมวดคิ้วเข้าหากัน รู้สึกรำคาญจริงๆ ที่ต้องทำงานร่วมกันคนแบบนี้ เขาชูกระดาษแผ่นที่ได้รับมาจากคุณครูผู้สอนวิชาผจญภัยวิทยา “เราจำเป็นต้องหาข้อมูล”

     “โอ้ นั่นสินะ นายจะไม่เปิดดูก่อนเหรอ” ฟินดอร์ร่าดูจะลืมไปเสียสนิทว่าตัวเองเพิ่งถูกต่อว่า เธอรีบฉวยมันไปจากมือของเซปต์และเปิดดู สภาพของเธอไม่ต่างจากเพื่อนร่วมชั้นที่เหลือเลยสักนิด “ไอ้ตาขี้เมานั่นต้องล้อพวกเราเล่นอยู่แน่ๆ”

     เซปต์รีบดึงมันออกมาจากมือของเธอและอ่านตัวหนังสือบิดๆ งอๆ ที่ถูกเขียนด้วยปากกาหมึกสีดำ ‘จงนำสิ่งที่มีค่าที่สุดในเอสเบลินมาให้ฉัน’ เขาอ่านมันซ้ำอีกรอบสองรอบเพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองไม่ได้อ่านผิดไปในรอบแรก

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา