The Esbelin's Hope ความหวังของชาวเอสเบลิน
เขียนโดย Pie_l2
วันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2556 เวลา 17.51 น.
แก้ไขเมื่อ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 20.00 น. โดย เจ้าของนิยาย
9) เจ้าของที่แท้จริง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“พวกเธอรู้จักกันงั้นเหรอ” กอร์ดอนดูงุนงงนักกับสถานการณ์ในตอนนี้ เซปต์พยักหน้าก่อนพูด
“ปล่อยเธอได้แล้ว” กอร์ดอนและเลนเซียรีบผละออกจากแอนจี้ “ช่วยพาพวกเราไปร้านของพ่อเธอหน่อยได้ไหม”
และถึงแม้ว่าแอนเจลิก้าจะยังดูตกใจอยู่บ้าง แต่เธอก็ยอมพาพวกเขาเดินมาจนถึงตึกสองชั้นที่เป็นร้านขายบะหมี่ ภายในร้านถูกจัดแต่งด้วยวอลล์เปเปอร์สีแดงที่ทำหน้าที่ดึงดูดลูกค้าได้ดีทีเดียว โต๊ะและภาชนะอื่นๆ เป็นของจีนทั้งหมด หน้าร้านมีป้ายสีแดงเขียนด้วยตัวหนังสือจีนที่แอนจี้บอกว่ามันอ่านว่า ‘เซ่าหลิ่น’ ชายวัยกลางคนผู้มีผมสั้น ผิวขาวอมเหลือง ตัวเล็ก ตาทั้งสองข้างเป็นเหมือนเพียงขีดเล็กๆ บนใบหน้า เขายิ้มให้เมื่อเห็นลูกสาวพาเพื่อนๆ เข้ามาในร้าน
“คุณลุงคะ ขอบะหมี่สี่ที่ค่ะ” ฟินดอร์ร่าสั่งอาหารให้เสร็จสรรพ
“ห้าที่ครับ” เซปต์บอกพ่อของแอนจี้ที่กำลังง่วนอยู่กับการนวดเส้นด้วยการฟาดมันลงบนโต๊ะอย่างมีลีลา พวกเขาเดินเข้ามาข้างในร้านและเซปต์เลือกนั่งโต๊ะที่คิดว่าลับตาคนที่สุด
“นายจะกินคนเดียวสองที่เลยเรอะ” เลนเซียว่าพร้อมกับสำรวจตะเกียบที่วางอยู่ข้างๆ
“ฉันสั่งเผื่อแอนจี้”
“เธอเป็นแฟนนายเหรอ” กอร์ดอนรีบถาม
“ไม่ใช่” และเขาก็รีบตอบในทันที
“ไม่ใช่อะไรกัน นายไม่เห็นสายตาที่ยัยนั่นมองคาสร่าหรือไง ฉันล่ะขนลุก” ฟินดอร์ร่าหันไปมองแอนจี้ที่กำลังจ้องมองเซปต์จากโต๊ะข้างๆ ที่ซึ่งเธอเก็บชามเพื่อนำไปล้าง
“สาวงามๆ เป็นของนายหมดเลยนะ” กอร์ดอนดูเซ็งอย่างเห็นได้ชัด
“เธอเป็นเพื่อนที่รู้จักกันมานาน” เซปต์อธิบายก่อนจะหันไปหาฟินดอร์ร่า “นี่น่ะเหรอแหล่งข้อมูลที่ดีที่สุดที่เธอว่า”
“นายจะรีบร้อนไปไหนล่ะ กินก่อนก็ได้นี่” ฟินดอร์ร่าเอนหลังพิงเก้าอี้ด้วยท่าทางผ่อนคลาย เป็นเวลาเดียวกับที่แอนจี้นำถาดที่มีบะหมี่ห้าชามมาเสิร์ฟพวกเขา เธอจงใจกระแทกชามลงตรงหน้าฟินดอร์ร่า และเซปต์รู้ว่าเขาถูกเธอแอบมองหลังจากที่วางชามลงตรงหน้าเขา
“เอ่อ ชามนี้ของใคร” แอนจี้ที่ถือชามใบที่ห้าในมือถาม เซปต์ลากเก้าอี้จากโต๊ะข้างๆ มาวางไว้ข้างตัว
“นั่งสิ”
“แต่ว่าฉัน...”
“ถ้าเธอไม่กินมัน ฉันจะถือว่าเธอไม่ยกโทษให้ฉัน” เซปต์พูดเป็นเชิงขู่ แอนจี้รีบนั่งลงพร้อมกับวางชามบะหมี่ลงบนโต๊ะ เธอดูเงียบมากหลังจากที่เจอเขาเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว หรือบางทีอาจจะเงียบแค่เฉพาะกับเขาก็เป็นได้
“ไอ้นี่มันใช้ยังไงเนี่ย” เลนเซียที่ถือตะเกียบเอาไว้ด้วยมือทั้งสองข้างบ่นกับตัวเอง เธอพยายามใช้ตะเกียบคีบเส้นขึ้นอย่างทุลักทุเล แต่มันกลับลื่นเข้าไปในชามเหมือนเดิม
“เดี๋ยวฉันจะไปเอาส้อมมาให้” แอนจี้รีบอาสา
“ไม่ต้องๆ” เลนเซียยกมือห้าม ก่อนจะยกตะเกียบขึ้นและเพ่งสมาธิไปที่มัน ความหนาของมันเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว หลังจากนั้นมันก็สั้นลง และมีส่วนท้ายยื่นออกมาเป็นสามแฉก ท้ายที่สุดเธอใช้มือลูบคลำส้อมไม้ และมันก็แปรเปลี่ยนสภาพเป็นส้อมเหล็กอันพอดีมือ
“ว้าว” แอนจี้ปรบมืออย่างชอบใจ ฟินดอร์ร่ายกนิ้วโป้งให้ เซปต์เองก็อดที่จะมองเธออย่างชื่นชมไม่ได้ คนเดียวในโต๊ะที่ดูเหมือนจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นคือกอร์ดอนที่เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตากินบะหมี่ในชามจนหมดไปกว่าครึ่งภายในเวลาอันรวดเร็ว
“เฮ้ นายจะไม่แนะนำเพื่อนของนายให้พวกเรารู้จักหน่อยเหรอ” เขาพูดทั้งที่ยังคงเคี้ยวบะหมี่อยู่เต็มปาก
“ฉันชื่อแอนเจลิก้า สควีนนี่” แอนจี้ยิ้มเกร็งๆ ให้กอร์ดอนและเลนเซีย “เรียกฉันว่าแอนจี้ก็ได้”
“ฉันกอร์ดอน เวย์มส์ เป็นเพื่อนสนิทกับคาสร่า มีปัญหาอะไรก็ปรึกษาได้ทุกเรื่อง”
“ยกเว้นเรื่องที่มีสาระ ฉันเลนเซีย บิซโคว” เลนเซียขัด กอร์ดอนหันไปมองเธอเหมือนจะงับหัวเสียให้ได้
“ฉันฟิน...”
“นายอยากให้ฉันยกโทษเรื่องอะไร” แอนจี้แทรก เธอทำเสมือนว่าฟินดอร์ร่าไม่ได้นั่งร่วมโต๊ะอยู่กับพวกเขา แอนจี้มองเขาอย่างประหม่า อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ที่ฉันพูดไม่ดีกับเธอเมื่อครั้งก่อน” เซปต์ว่า เขาคีบบะหมี่ในชามเข้าปาก บะหมี่เหนียวนุ่มพันกันรอบปาก น้ำซุปสามรสที่ให้รสชาดไม่จำเจทำให้เขาไม่แปลกใจว่าทำไมมันถึงเป็นบะหมี่ที่ขายดีที่สุดในละแวกนี้
“โว้ว นายไม่ไหวเลยนะคาสร่า พูดจาไม่ดีกับผู้หญิงเนี่ย” กอร์ดอนพูดติดตลกพร้อมกับส่ายหัวไปมา เซปต์หันไปมองหน้าเจ้าตัวด้วยแววตาเยือกเย็นเช่นเดิม กอร์ดอนรีบแก้คำพูดและตบไหล่เขาเบาๆ “แต่นายก็แมนมากที่เลี้ยงบะหมี่ลูกสาวร้านขายบะหมี่ ฉันหมายถึง นายทำดีแล้วน่ะ”
“ฟินดอร์ร่า...”
“ฉันไม่ได้เก็บมาใส่ใจหรอก” อีกครั้งที่ฟินดอร์ร่าถูกแทรก เธอทำหน้าไม่พอใจนิดหน่อยแต่ก็ก้มหน้ากินบะหมี่ในชามของตัวเองต่อ “ว่าแต่พ่อของนายน่ะ เป็นชาวเอสเบลินเหรอ”
“แม่ของฉันน่ะ” เซปต์รู้ดีว่าถ้าบอกว่าคุณหัวหน้าพ่อบ้านคนนั้นเป็นชาวเอสเบลินคงไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก เขาไม่อยากลากคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้น่าสงสัยน้อยที่สุด ยังไงความจริงที่น่าปวดใจก็ยังคงตามหลอนเขาวันยันค่ำ ความจริงที่ว่าเขาไม่สามารถเปิดเผย ว่าเขาเป็นลูกของทนายความ เจเรมี่ ฮัทสเบิร์ก ความจริงที่เขาไม่มีวันได้ใช้นามสกุลของพ่อ “เธออยู่ที่นี่มานานแล้วเหรอ”
“ตั้งแต่จำความได้ พ่อและแม่ของฉันเป็นชาวเอสเบลินด้วยกันทั้งคู่ แต่ฉันถูกส่งให้ไปเรียนในคิงมอนท์น่ะ” แอนจี้พูดเสียงใส เธอยิ้มให้เขาเหมือนอย่างที่เคยทำประจำ “ฉันกินล่ะนะ อ้อ ฉันดีใจที่เจอนายที่นี่”
เซปต์ไม่ได้ตอบอะไร เขาเลือกที่จะนั่งทานบะหมี่อย่างเงียบๆ เขารู้ดีว่าทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม แววตาที่เธอจ้องมองเขา รวมถึงความรู้สึกที่เธอมีให้เขาด้วยเช่นกัน ถ้าเป็นไปได้เขาไม่อยากเจอเธอที่นี่ เพราะนั่นอาจทำให้เธอมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง
“ฟินดอร์ร่า ชาร์...”
“แล้วนายรู้ตอนไหนว่านายเป็นชาวเอสเบลิน” แอนจี้พูดแทรกอีกครั้งอย่างจงใจ ครั้งนี้กอร์ดอนและเลนเซียเริ่มสังเกตถึงความผิดปกตินี้ด้วยเช่นกัน ทั้งคู่จึงหันไปหาฟินดอร์ร่าและส่งสัญญาณเป็นเชิงว่าให้เย็นเข้าไว้ เนื่องจากฟินดอร์ร่าในตอนนี้พร้อมที่จะระเบิดทุกเมื่อ
“เมื่อวาน” เซปต์ตอบ บะหมี่ในชามของเขาลดลงไปน้อยกว่าของคนอื่นๆ นั่นก็เพราะว่าเขาถูกแอนจี้ที่พยายามแกล้งฟินดอร์ร่ากวนอยู่ตลอดเวลา และเป็นเพราะเขาเองก็ไม่ได้รู้สึกหิวมากนักหลังจากที่กินขนมปังไปบ้างแล้ว
“ฮะ นายพูดจริงๆ เหรอ” เลนเซียที่เพิ่งกินบะหมี่หมดเป็นคนที่สองรองจากกอร์ดอนถาม ฟินดอร์ร่าเองก็หันมามองด้วยสายตาแปลกใจด้วยเช่นกัน
“เฮ้ ถึงจะเป็นแบบนั้น นายก็ทำได้ไม่เลวเลยล่ะในการสอบเข้าน่ะ” กอร์ดอนปลอบพร้อมกับยิ้มร่าให้เซปต์
“ใช่แล้ว ถ้านายฝึกดีๆ...”
“บะหมี่รสชาดเป็นยังไงบ้างล่ะ” แอนจี้ได้ไปกระตุกหนวดเสืออย่างไม่รู้ตัวเข้าให้แล้ว เพราะในที่สุดฟินดอร์ร่าก็วางตะเกียบลงเต็มแรงอย่างหมดความอดทน
“ชื่อของฉันคือฟินดอร์ร่า ชาร์เวีย ฉันไม่ได้อยากรู้จักเธอ แต่ฉันคิดว่ามันเป็นมารยาทที่ต้องแนะนำตัวเอง และถ้าเธอได้เรียนมารยาทมาบ้าง เธอก็ควรจะรู้ว่าไม่ควรพูดแทรกในขณะที่มีคนพูดอยู่ ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ชอบคนๆ นั้นก็ตาม!” ฟินดอร์ร่าพูดเสียงดังจนคนที่อยู่ในร้านหันมามองกันเป็นตาเดียว หน้าของเธอแดงจัด เธอหันมาหาเซปต์ด้วยแววตาโกรธจัด “เราไปกันได้แล้ว อ่อ พวกนายรออยู่ที่นี่ก่อนก็ได้”
เลนเซียและกอร์ดอนพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ ทั้งคู่ดูตกใจเล็กน้อยที่เห็นฟินดอร์ร่าในอารมณ์นี้ ในขณะที่แอนจี้หน้าเสียเหมือนกับคราวที่เซปต์พูดกับเธอเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เซปต์รู้สึกสงสารเธออยู่บ้าง แต่กลับรู้สึกดีมากกว่าที่เธอเองก็ถูกสั่งสอนเสียที
“ทำไมเพื่อนนายถึงต้องกวนประสาทฉันด้วยนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจที่จะว่าพ่อของเธอสักหน่อย ให้ตายสิ!” ฟินดอร์ร่าบ่นอุบทันทีที่เดินออกมาจากบริเวณโต๊ะที่พวกเขานั่งอยู่ เซปต์เองก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง สาเหตุที่แอนจี้เป็นแบบนี้อาจจะไม่ใช่เพราะฟินดอร์ร่าไปว่าร้ายพ่อของเธอ แต่อาจเป็นเพราะฟินดอร์ร่าเป็นผู้หญิงที่จัดว่าหน้าตาดีคนหนึ่งซึ่งดูสนิทสนมกับเซปต์เสียมากกว่า
“มันก็เหมือนกับที่เพื่อนของเธอกวนประสาทเพื่อนของฉันนั่นแหละ” เซปต์ตอบเสียงนิ่งขณะที่เดินตามฟินดอร์ร่าขึ้นบันไดไปชั้นสอง “เรากำลังจะไปไหน”
“พ่อของเลนเซียทิ้งครอบครัวไปหาหญิงอื่นเมื่อนานมาแล้ว แม่ของเธอก็ไม่ค่อยมีเวลาให้ เลนเซียเลยไม่ค่อยถูกชะตากับพวกเจ้าชู้หัวงูน่ะ ฉันรู้จักกับเลนเซียมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว พ่อแม่ของฉันทำงานที่เดียวกับแม่ของเธอ เราเลยสนิทกัน” ฟินดอร์ร่าเริ่มร่ายยาวเมื่อน้ำโหหายไปจนหมด “ส่วนเรากำลังจะไปไหน เดี๋ยวนายก็รู้เอง”
บันไดที่เห็นยาวกว่าที่คิด เมื่อเดินมาถึงสุดทางมันก็ปรากฏบันไดขั้นต่อไปเรื่อยๆ ทางเดินทั้งสองข้างมืดสนิท เขาไม่รู้แม้กระทั่งว่าตัวเองกำลังจะเดินไปไหน ไม่เห็นแม้แต่ทางด้านหน้า อาการกลัวความมืดของเขาเริ่มออกฤทธิ์ เหงื่อออกตามลำตัวจนรู้สึกได้ถึงความเปียกบริเวณหลัง ทั้งที่อากาศรอบกายไม่ได้ร้อนเลยสักนิด เซปต์เริ่มหายใจติดขัด
“นายเป็นอะไรหรือเปล่า” ฟินดอร์ร่ารับรู้ได้ถึงความผิดปกติ
“ไม่” เซปต์ตอบในทันที รู้สึกเสียหน้าที่เธอต้องมาเห็นเขาในสภาพนี้ เซปต์หลับตา พยายามจินตนาการถึงห้องที่เต็มไปด้วยแสงไฟ
แต่อยู่ๆ ภาพของผู้หญิงคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นในความคิด ผมของเธอที่ยาวเหยียดดูกระเซอะกระเซิงไร้ซึ่งการดูแล ดวงตาที่เศร้าหมองจ้องมองบางอย่าง เธอดูเหม่อลอยไปไกล รอบตัวของเธอมีเพียงความมืด และแสงสลัวๆ จากดวงจันทร์ด้านนอกหน้าต่าง
“เอ๊ะ อะไรน่ะ” เสียงของฟินดอร์ร่าดึงเซปต์ออกมาจากห้วงภวังค์ ในความมืดมิดที่ดูน่ากลัวสำหรับเซปต์ บัดนี้วัตถุเพียงอย่างเดียวที่กำลังเรืองแสง วัตถุที่ฟินดอร์ร่าจ้องมองอย่างสงสัย วัตถุที่เซปต์สวมใส่อยู่ที่นิ้วมือ ชาเบลเรืองแสงเรืองรองจนเห็นทางข้างหน้าได้ชัดเจน ถึงเซปต์จะไม่เข้าใจบางอย่าง แต่รู้สึกดีขึ้นมากเมื่อรู้ว่าอย่างน้อยในความมืดมิดก็มีความสว่างอยู่ ถึงจะไม่มากนักก็ตามที
“นายกลัวความมืด!” ฟินดอร์ร่าดีดนิ้วดังเปราะเหมือนคิดอะไรออก “และนายก็ต้องพกไอ้นี่ไว้เผื่อว่าอยู่ในที่มืดจะได้ใช้มันใช่ไหมล่ะ มันคือไฟฉายดีๆ นี่เองสินะ”
เซปต์ไม่ได้ตอบ ฟินดอร์ร่าช่างเป็นผู้หญิงที่ไม่รู้อะไรเอาเสียเลย เธอมักคิดอะไรตื้นๆ เสมอ แต่เซปต์นึกขอบคุณ เพราะอย่างน้อยความพูดมากของเธอ ทำให้เขาไม่รู้สึกเหมือนอยู่คนเดียวในตอนนี้
“ชั้นสองที่นายเห็นจากด้านนอกน่ะมันเป็นแค่ภาพลวงตาเท่านั้น ความจริงแล้วมันเป็นพื้นที่ส่วนบุคคลที่ต้องขออนุญาตจากเจ้าของถึงจะเข้ามาได้” ฟินดอร์ร่าชูบัตรสีทองที่มีตัวหนังสือสีดำเขียนเอาไว้ว่า ‘VIP’ “เมื่อกี้ที่เราผ่านมาได้เพราะฉันมีไอ้นี่ ถ้าไม่มีบัตรนี่ เราก็จะพบกับทางตัน”
ทั้งเซปต์และฟินดอร์ร่าเดินมาไกลแค่ไหนไม่รู้ และถึงแม้เซปต์อยากจะรู้ว่าเธอกำลังจะพาเขาไปไหน เขาก็เลือกที่จะสงบปากสงบคำเอาไว้ สิ่งเดียวที่ทำให้เขานึกแปลกใจคือบันไดเพียงไม่กี่สิบชั้นที่เห็นจากร้านบะหมี่เซ่าหลิน ตอนนี้เขามั่นใจว่าเดินข้ามขั้นบันไดมามากกว่าร้อย ตอนแรกเขาคิดว่าด้านบนคือส่วนหนึ่งของร้านบะหมี่ แต่ดูเหมือนเขาจะคิดผิดถนัด เวลาผ่านไปกว่าห้านาที และแล้วแสงสว่างจากชาเบลก็ทำให้พวกเขาเห็นประตูบานหนึ่งที่ตั้งอยู่ด้านหน้า แน่นอน ท่ามกลางความมืด!
“เราจะถึงแล้ว เร็วเข้า” ฟินดอร์ร่าร้องด้วยความดีใจ ก่อนจะเร่งฝีเท้าเพื่อวิ่งไปให้ถึงประตู
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เธอเคาะประตูสามครั้ง
“ใครน่ะ” เสียงแหบพร่าของชายคนหนึ่งดังออกมาจากในห้อง
“ฉันเองค่ะ” ฟินดอร์ร่าตอบกลับไป แต่เมื่อไม่มีเสียงตอบรับเธอจึงพูดขึ้นอีกครั้ง “ที่นัดเอาไว้จำได้ไหมคะ”
ประตูเหวี่ยงเปิดออกในทันที เซปต์เดินตามฟินดอร์ร่าเข้าไปในห้องที่ดูสว่างกว่าด้านนอกเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น โคมไฟระย้าเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ให้ความสว่างท่ามกลางห้องกว้างนี้ ถ้าไม่นับชาเบลที่ตอนนี้ค่อยๆ ลดความสว่างของมันจนหายไปแล้วเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม แสงสีส้มจากโคมไฟนั้นก็ทำให้เห็นตัวห้องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่นี้ได้คร่าวๆ พรมสีแดงสดถูกปูทั่วพื้นห้อง ทางด้านซ้ายเป็นเตียงนอนที่ดูจะผ่านการใช้งานมาแล้วไม่ต่ำกว่าสิบปี ถัดมาเป็นชั้นหนังสือที่มีหนังสือมากมายอยู่บนนั้น มันสูงเทียมเพดานและทำหน้าที่เป็นที่ขั้นระหว่างเตียงนอนและโต๊ะทำงานที่ตั้งอยู่ตรงกลางห้อง ส่วนทางขวามือเป็นโซนที่เซปต์ไม่อาจบอกได้ว่ามันคืออะไร ชั้นเก็บของที่ทำจากแก้ววางเรียงรายเต็มไปหมด วัตถุประหลาดมากหน้าหลายตานอนแน่นิ่งอยู่ข้างในมากมายเสียจนเซปต์สงสัยว่าเจ้าตัวจำได้อย่างไรว่าชิ้นไหนอยู่ตรงไหน ครั้งหรือสองครั้งที่เซปต์เห็นมันส่องประกายระยิบระยับ
“คุณมอกโก คุณอยู่ไหนคะ” ฟินดอร์ร่าตะโกนเรียกเจ้าของบ้านเมื่อไม่พบร่างใดๆ ในห้องนั้น “คุณโรเบิร์ต มอกโก”
“ฉันอยู่นี่” ชายร่างท้วม ผมขาวทั้งหัว ใบหน้าเหี่ยวย่นเพราะความชรา แต่งกายด้วยชุดนอนสบายๆ ที่เป็นลายเส้นตรง โผล่ออกมาจากด้านหลังของชั้นหนังสือ ในมือของเขามีหนังสือเล่มหนาเล่มหนึ่ง ข้างตัวมีโต๊ะไม้ตัวเล็กทรงกลมที่ลอยอยู่เหนือพื้น ถ้วยกาแฟถ้วยหนึ่งวางอยู่บนนั้น โรเบิร์ตมองมาที่พวกเขาอย่างพินิจพิจารณา
“สวัสดีค่ะ ขอบคุณมากนะคะที่ยอมให้พวกเราเข้ามาในบ้านของคุณ เรามีเรื่องต้องถามคุณนิดหน่อยน่ะค่ะ” ฟินดอร์ร่าอธิบาย เขาถูกเธอลากไปยังที่ๆ คุณโรเบิร์ตยืนถือหนังสืออยู่
“ถ้าเธอจะถามคำถามอย่างเดียว เธอไม่จำเป็นต้องเข้ามาในบ้านของฉันก็ได้ เธอมีโทรศัพท์ไว้ทำไมกัน แม่หนู บอกตามตรงนะ ตอนที่เธอโทรมาบอกฉันว่าเธอจะมาหาฉันน่ะ ฉันไม่เชื่อหรอกว่าเธอจะมาจริงๆ คิดว่าเป็นพวกเล่นไรแผลงๆ” โรเบิร์ตดูจะไม่ค่อยพอใจนักกับการเยี่ยมเยียนของพวกเขา บางทีอาจเป็นเพราะมันทำลายสุนทรียะของการอ่านหนังสือก็เป็นได้ “แต่ไหนๆ พวกเธอก็มาแล้ว เก่งมากที่หาที่นี่เจอ อ้อ เธอไปเอาบัตรนั่นมาจากไหนน่ะ ฉันจำได้ว่าไม่เคยให้เธอนะ”
“พ่อของฉันให้มาค่ะ เขาเล่าเรื่องของคุณให้ฟังบ่อยๆ ตอนที่ฉันยังเป็นเด็กน่ะค่ะ” ฟินดอร์ร่ายิ้มหวานให้กับโรเบิร์ต เห็นได้ชัดว่าเธอพยายามไม่ถือสาคนแก่ที่อารมณ์แปรปรวนตรงหน้า
“เธอมีอะไรจะถามฉันล่ะ” โรเบิร์ตพับที่มุมหน้าที่อ่านค้างไว้ของหนังสือเล่มที่อยู่ในมือ ก่อนจะวางมันลงบนชั้นหนังสือ
“มันเกี่ยวกับสมบัติของเอสเบ...”
“แหวนนั่น” แต่โรเบิร์ตดูจะไม่ได้ยินที่เธอพูดเลยสักนิด ดวงตาคู่เล็กของเขาจับจ้องอยู่ที่ชาเบล แน่นิ่ง ดูเหมือนจมไปในกองความคิด “เธอ เธอเป็นใครกัน”
“เซปต์ คาสร่า” เซปต์ตอบเสียงแข็ง
“อืมมม คาสร่า นามสกุลนี้ไม่อยู่ในประวัติศาสตร์” โรเบิร์ตดูจะให้ความสนใจกับแหวนวงนี้มากเหลือเกิน เขาลูบคลำคางตัวเองอย่างใช้ความคิด “ใครเป็นคนให้ชาเบลกับเธอ”
“ผมได้มันมาจากแม่” เซปต์ตอบ รู้สึกตกใจเล็กน้อยที่นอกจากเขาและครอบครัวแล้ว ยังมีคนอื่นที่รู้จักชาเบล
“ชื่อแม่ของเธอล่ะ”
“ผมไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องตอบคำถามของคุณ” เซปต์รู้สึกรำคาญที่เป็นฝ่ายถูกยิงคำถามใส่ ทั้งที่เขามาที่นี่เพื่อเป็นฝ่ายถามคำถามไม่ใช่หรอกหรือ
“ชื่อแม่ของเธอ” แววตาของโรเบิร์ตดูมุ่งมั่นและแข็งกร้าวในคราวเดียวกัน เซปต์ตั้งท่าจะเถียงแต่ฟินดอร์ร่าถองเขาเป็นเชิงให้หยุด
“ไวโอล่า” เซปต์ตอบด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองเล็กน้อย เขาเสียเวลามามากแล้ว
“ถ้าอย่างนั้น” โรเบิร์ตย้ายสายตาจากชาเบลมาจ้องมองหน้าของเขาแทน “แหวนวงนี้ก็เป็นของจริงอย่างไม่ต้องพิสูจน์”
“คุณรู้จักแม่ของผมเหรอครับ” เซปต์พลั้งถามออกไปอย่างไม่ได้ตั้งใจ ความอยากรู้อยากเห็นดูจะมีชัยมากกว่าความรำคาญ
“รู้จักงั้นเหรอ แม่ของเธอกับฉันเคยสนิทกันมากเลยล่ะ” เป็นครั้งแรกที่เซปต์เห็นโรเบิร์ตกระตุกยิ้มบนใบหน้าของเขา “แหวนวงนี้ฉันเป็นคนให้มันกับไวโอล่า”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ