The Esbelin's Hope ความหวังของชาวเอสเบลิน

2.7

เขียนโดย Pie_l2

วันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2556 เวลา 17.51 น.

  9 chapter
  3 วิจารณ์
  13.14K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 20.00 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) เอสเบลิน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     เซปต์หันไปมองเบื้องหลัง แต่ลิฟต์ที่เขาเพิ่งออกมาเมื่อสักครู่ก็หายไปเสียแล้ว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เขาไม่มีเวลามากพอที่จะมาคิดเรื่องนี้ เซปต์รีบวิ่งไปที่ที่เขาเห็นนักศึกษาคนนั้นเดินผ่าน

     “เธออยู่ปีหนึ่งใช่ไหม” เซปต์ถามขึ้นทันทีที่ตีเสมอเด็กสาว เธอหันมามองหน้าเขาด้วยสายตาเฉยเมย ขอบตาดำเหมือนไม่ได้นอนมาสามคืนติดต่อกัน ผมสีน้ำตาลอ่อนซอยสั้น เธอสูงน้อยกว่าเซปต์นิดหน่อยเท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นผู้หญิงทีสูงมากทีเดียว เธอแทบจะไม่มีความอ่อนช้อยอยู่ในตัว ดูจากบุคลิกที่ดูลุกลี้ลุกลนอยู่ตลอดเวลา เธอเดินห้าวหาญกว่าหญิงสาวทั่วไป ถ้าไม่ติดตรงที่เธอใส่กระโปรงอยู่ล่ะก็ เซปต์คงคิดว่าเธอเป็นผู้ชายไปแล้ว

     “อือ พอดีว่าฉันตื่นสายน่ะ” เด็กสาวเดินไปขยี้ตาไป ดูไม่ค่อยจะสนใจเซปต์สักเท่าไหร่

     “ถ้างั้นเธอคงรู้ว่าต้องไปที่ไหน” เซปต์ถามต่อ ยังคงรักษามาดนิ่ง เขาไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองโง่เง่าขนาดนี้มาก่อนในชีวิต เขาไม่เคยต้องพึ่งใครมากมายขนาดนี้ ไม่เคยต้องคอยถามคนนั้นหรือคนนี้ว่าต้องทำอะไร

     “หาววว” เด็กสาวอ้าปากหาวอย่างไม่รู้สึกอาย “เรามาถึงแล้วนี่ไง”

     เซปต์มองบ้านหลังไม่เล็กไม่ใหญ่ที่มีเพียงชั้นเดียว มันถูกสร้างด้วยปูนดูแข็งแรงทนทาน มีหน้าต่างรอบบ้านหากแต่มันถูกปิดเอาไว้ทุกบาน ผ้าม่านสีฟ้าที่รูดเอาไว้จากข้างในทำให้ไม่สามารถมองเห็นบรรยากาศภายในบ้านจากตรงนี้ได้

     “ฉันคิดว่านายคงต้องใช้ไอ้นี่ล่ะนะ” เด็กสาวว่าพร้อมกับยัดกระดาษอะไรบางอย่างลงมาในมือเซปต์ เธอตบไหล่เขาสองสามที “เชื่อฉันเถอะ นายต้องใช้มันแน่ๆ เวลาอยู่ในห้องเรียน”

     ว่าแล้วเธอก็หายเข้าไปในบ้านพร้อมกับประตูที่เปิดทิ้งไว้ให้ เซปต์ก้มลงดูลูกอมเม็ดสีแดงที่เด็กสาวยัดใส่มือมา

     เซปต์ย่างกรายเข้าไปข้างใน สายตากวาดไปทั่วทุกมุมบ้าน ภายในบ้านดูเรียบอย่างน่าประหลาด มันดูไม่เหมือนการจัดแต่งของบ้านเลยสักนิด ไม่มีห้องครัว ไม่มีห้องนอน ไม่มีแม้กระทั่งห้องน้ำ ในบ้านมีเพียงเครื่องปรับอากาศที่กำลังทำงานอยู่ ไฟนีออนหกหลอดที่ถูกใช้งานอยู่เช่นกัน โต๊ะตัวใหญ่ห้าตัวและเก้าอี้มากมายที่คาดว่าคงจัดเตรียมไว้สำหรับพวกนักศึกษา กระดานใสๆ ที่ตั้งอยู่หน้าห้อง และกระดาษผลงานนักศึกษารุ่นก่อนๆ ที่แปะตามฝาหนัง นี่ไม่ใช่บ้าน หากแต่เป็นห้องเรียน

     นักศึกษาไม่น้อยกว่าสี่สิบคนอยู่ภายใน บ้างจับกลุ่มคุย บ้างหยิบโทรศัพท์มือถือของตนขึ้นมาเล่น บ้างนั่งอ่านหนังสือ และก็มีบางคนที่พยายามขายขนมจีบให้กับนักศึกษาสาวตั้งแต่วันแรกของการเปิดเทอม และหนึ่งในนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเด็กหนุ่มมากเล่ห์นามกอร์ดอน เวย์มส์

     “นายยิงปืนเป็นด้วยเหรอ” เด็กสาวร่างอ้อนแอ้นที่กำลังพูดคุยอยู่กับกอร์ดอนถามอย่างตื่นเต้น

     “อยากให้ฉันสอนไหมล่ะ” เด็กหนุ่มผมสีทองเอียงคอถาม ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะเข้าทางเจ้านี่ให้ซะแล้ว

     “เก็บกระสุนไว้ยิงตัวตายดีกว่านะฉันว่า” ถึงจะเป็นเพียงคำพูดเบาๆ ที่เหมือนจะสบถกับตัวเองมากกว่า แต่ทั้งเซปต์และกอร์ดอนก็ได้ยินด้วยกันทั้งคู่ พวกเขาหันไปมองเด็กสาวที่มากับเซปต์เมื่อสักครู่ที่กำลังหยิบเก้าอี้มานั่งร่วมโต๊ะอย่างไม่ใส่ใจ

     “เมื่อกี้เธอว่ายังไงนะ” กอร์ดอนหมดความสนใจในเด็กสาวร่างอ้อนแอ้นคนนั้นชั่วคราว เขาหันไปมองเด็กสาวที่มาใหม่แทน สีหน้าพร้อมที่จะหาเรื่องทุกเมื่อ

     “ฉันแค่พูดกับตัวเองน่ะ อย่าสนใจเลย” เธอโบกมือหยอยๆ เป็นเชิงให้เลิกสนใจเธอ

     “ฉันถาม...” กอร์ดอนเดินเข้าไปประชิดตัวเธอ “ว่าเธอพูดว่าอะไร”

     “นี่นายกำลังหาเรื่องฉันใช่ไหม” เธอลุกขึ้นยืนพร้อมกับผลักตัวกอร์ดอนจนเจ้าตัวเซถอยหลัง และกระชากคอเสื้อคนตัวใหญ่กว่าด้วยมือเดียว เด็กสาวเมื่อครู่ที่นั่งคุยอยู่กับกอร์ดอนรีบวิ่งออกไปทันที ทุกสายตาในห้องจับจ้องมาที่พวกเขาในเวลาต่อมา

     “เธอหาเรื่องฉันก่อนนะยัยบ้า!” กอร์ดอนปัดมือของเธอออก ทั้งสองจ้องตากันอยู่นาน บรรยากาศดูจะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ แต่เซปต์เลือกที่จะนั่งอยู่เฉยๆ

     “ฉันเกลียดผู้ชายแบบนายที่สุด” หญิงแกร่งปล่อยหมัดของเธอ หากแต่มันถูกป้องกันไว้ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

     “ถ้าอย่างนั้นเป็นผู้ชายแบบไหนถึงจะดีล่ะ” กอร์ดอนว่าอย่างประชดประชัน เขายิ้มเยาะเล็กน้อย “แบบเธอน่ะเหรอ”

     “ไปตายซะ!” เด็กสาวกัดฟันด่าอย่างเคียดแค้น เธอพยายามใช้กำปั้นของเธอจู่โจ่มอีกครั้ง แต่บางอย่างหยุดเธอเอาไว้

     “อย่าหาเรื่องสิเลนเซีย อย่างน้อยก็ไม่ใช่วันนี้ ฉันขอล่ะ” เด็กสาวเจ้าของผมหยักศกสีดำว่า เธอกำกำปั้นของเพื่อนสาวเอาไว้แน่น เลนเซียมองกอร์ดอนสักพักก่อนจะยอมเดินไปนั่งที่อื่นแทน

     “ฉันรู้ว่าเพื่อนฉันปากเสีย ฉันขอโท...” ฟินดอร์ร่าชะงักกึกเมื่อหันมาเห็นเซปต์ที่กำลังจ้องเธออยู่เช่นกัน ตอนนี้เซปต์ไม่แปลกใจที่เลนเซียเป็นเพื่อนกับเธอคนนี้ นิสัยหาเรื่องลอกกันมาชัดๆ

     “เฮ้ นายมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย” กอร์ดอนดูเหมือนเพิ่งจะสังเกตว่าเซปต์นั่งอยู่ตรงนั้น

     “ว่าต่อสิ” เซปต์ไม่สนใจคำถามของเพื่อนชาย เขาหันไปซักเด็กสาวที่กำลังก้มหน้าเหมือนไม่อยากสบตาเขา

     “ฉันขอโทษ” เธอว่าเสียงเบา ยังคงก้มหน้านิ่ง “แทนเพื่อนของฉันก็แล้วกัน!”

     ฟินดอร์ร่าจงใจกระแทกเสียง ก่อนจะเดินกลับไปนั่งโต๊ะเดียวกับเลนเซีย ตอนนี้ทุกคนดูเหมือนจะกลับไปสนใจเรื่องของตัวเองกันหมดแล้ว กอร์ดอนรีบหันมาถาม

     “นายรู้จักเธอด้วยเหรอ”

     “ถ้านายกำลังคิดจะจีบยัยนั่น” เซปต์เปรย เขามองกอร์ดอนด้วยสายตาที่บอกให้รู้ว่าจริงจัง “นายกับฉันไม่ต้องคุยกันอีก”

     “โอ้ว ฉันขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจจะไปสนใจเด็กนายหรอกนะ แค่...”

     “ฉันเกลียดยัยนั่น” เซปต์ตอบเสียงเรียบ เขาเปลี่ยนเรื่องทันที “ฉันมีคำถาม”

     “อ๋อ ได้ซี่ ว่ามาเลย” กอร์ดอนฉีกยิ้มให้เขา ดูแตกต่างจากคนเมื่อกี้ที่อารมณ์เสียโดยสิ้นเชิง

     “ที่นี่ที่ไหน”

     “ฮ่าๆ นี่นายล้อฉันเล่นใช่ไหม นายนี่นะ” กอร์ดอนใช้ศอกกระทุ้งเอวเซปต์อย่างหยอกเย้า “เอ๊า ก็ได้ ที่นี่เอสเบลินไง”

     “ฉันรู้ แต่มันอยู่ส่วนไหนของมหาลัยฯ”

     กอร์ดอนเริ่มหัวเราะหนักกว่าเดิม แต่เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของเขาแล้ว เจ้าตัวก็รีบหยุดหัวเราะแทบจะในทันที

     “นายไม่รู้เรื่องพวกนี้จริงๆ น่ะเหรอ” เพื่อนชายมองเซปต์ด้วยแววตาที่แปลกไป “นายมาสอบเข้าคณะนี้ทำไมกัน”

     “นายจะตอบหรือไม่ตอบ” เซปต์เริ่มรู้สึกรำคาญกับท่าทางที่เล่นทีจริงของคนตรงหน้า

     “ถ้าเผื่อนายไม่รู้ คณะนี้น่ะมีไว้สำหรับ...”

     ตึก ตึก ตึก

     เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบกับพื้นทำเอาทุกสายตาจับจ้องไปที่หน้าห้อง ที่ซึ่งคุณครูสาวคนหนึ่งยืนอยู่ เซปต์จำเธอได้ทันที เธอคือหนึ่งในกรรมการตัดสินการสอบรอบแรก ซึ่งเขาผ่านมาได้แบบงงๆ วันนี้เธออยู่ในชุดเดรสรัดรูปสีแดงสด ชื่อของเธอก็คือ...

     “มากาเร็ต นอเรล” เธอว่า พร้อมกันนั้นเอง ตัวหนังสือก็ปรากฏขึ้นบนกระดานสีใสด้านหลังเธอ ‘Margaret Norel’ เซปต์อดที่จะจ้องมองความมหัศจรรย์ของมันไม่ได้ ในขณะที่คนอื่นๆ ดูจะไม่แปลกใจสักเท่าไหร่ เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าตัวเองเป็นคนไม่ทันยุคขนาดนี้

     “ฉันจะเป็นครูโฮมรูมของพวกเธอ...” มากาเร็ตพาส้นสูงสีเดียวกับชุดของเธอเดินไปยังหน้าต่างบานหนึ่ง เธอหย่อนตัวนั่งลงตรงขอบหน้าต่างบานนั้น เผยให้เห็นขาอ่อนที่ทำเอานักศึกษาชายจ้องกันตาเป็นมัน แน่นอน...รวมถึง กอร์ดอน เวย์มส์ ด้วย “ส่วนหนึ่ง”

     “ฉันว่าฉันเปลี่ยนใจแล้วล่ะ” กอร์ดอนมองไปยังคุณครูสุดเปรี้ยวอย่างมีจุดหมาย ก่อนจะหันมามองเขาเป็นเชิงขอความเห็น เซปต์ทำแค่เพียงมองหน้ากอร์ดอนด้วยใบหน้านิ่งเฉยอย่างเคย “โอเค ฉันผิดเองที่คุยเรื่องนี้กับนาย”

     “หมายความว่ายังไงคะแค่ส่วนเดียว” นักศึกษาหญิงคนหนึ่งถามขึ้น

     “ก็หมายความว่าจะมีนักศึกษาอีกส่วนหนึ่งที่ต้องย้ายไปอยู่อีกห้องหนึ่งยังไงล่ะ” มากาเร็ตตอบด้วยเสียงที่สามารถดึงดูดนักศึกษาทั้งชั้นให้สนใจเธอได้ “เนื่องจากปีนี้มีคนสอบเข้าได้มากกว่าที่ทางเราคาดการณ์นะ เราเลยต้องแบ่งออกเป็นสองห้อง”

     “แล้ว...แล้วเราจะแบ่งกันยังไงล่ะคะ” นักศึกษาหญิงคนเดิมถามต่อ

     “ความสามารถไงล่ะ” คุณครูสาวส่งยิ้มอันมีเสน่ห์ให้นักศึกษาทั้งชั้น

     “หมายความว่าเราต้องทดสอบบางอย่างอีกครั้งงั้นเหรอครับ” กอร์ดอนเอ่ยถาม แต่เซปต์รู้ดีว่าเจ้าตัวแค่อยากจะพยายามอยู่ในสายตาของมากาเร็ตเท่านั้น

     “โน่ว” มากาเร็ตชายสายตามองมาที่กอร์ดอนอย่างรู้ทัน “เราได้แบ่งไว้แล้วตามการสอบของเมื่อวาน ใบรายชื่ออยู่ในมือของฉันแล้ว ฉันจะเอาขึ้นกระดาน คนที่มีรายชื่ออยู่ห้องสองขอให้ย้ายก้นของพวกเธอออกไปจากที่นี่ด้วย”

     ว่าแล้วเธอก็นาบกระดาษแผ่นที่อยู่ในมือเธอลงบนกระดาน ทันใดนั้นเองที่กระดาษหายไปจากมือของเธอ บนกระดานปรากฏทุกอย่างที่เหมือนกับในกระดาษในภาพที่ใหญ่และชัดกว่า ราวกับมันถูกดูดเข้าไปในนั้น อีกครั้งที่เซปต์รู้สึกแปลกใจแต่นักศึกษาทั้งชั้นไม่แสดงอาการใดๆ ทั้งสิ้น พวกเขาเริ่มหารายชื่อของตัวเองอย่างเร่งรีบ

     ทางฝั่งซ้ายคือห้องหนึ่ง และฝั่งขวาคือห้องสอง ที่น่าแปลกคือห้องแรกมีนักศึกษาอยู่ถึงสามสิบหกคน ในขณะที่อีกห้องมีเพียงแปดคนเท่านั้น

     “เฮ้ ดูเหมือนว่าเราสองคนจะต้องย้ายไปอยู่อีกห้องล่ะ” กอร์ดอนพูดอย่างตกใจพร้อมกับชี้นิ้วให้ดูรายชื่อของห้องที่มีสมาชิกเพียงแค่แปดคน เซปต์ไล่มองตั้งแต่ชื่อแรกซึ่งเป็นชื่อของเขาเองจนถึงชื่อสุดท้าย เขาไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนอะไรกับเรื่องนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะ...

     “ดะ...เดี๋ยวนะ” กอร์ดอนดูจะรู้สึกไม่ต่างจากเซปต์มากนัก “ให้ตายสิ ยัยถึกนั่น”

     ไม่ใช่แค่เพียง เลนเซีย บิซโคว เท่านั้น แต่ชื่อที่ทำเอาเซปต์รู้สึกปั่นป่วนก็อยู่ในนั้นด้วย ฟินดอร์ร่า ชาร์เวีย เซปต์มองไปที่เจ้าของชื่อที่ดูจะหัวเสียพอกัน เธอมองมาที่เขาพร้อมกับยิงฟันเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อก็ไม่ปาน

     “เอาล่ะ” หลังจากที่ผ่านไปเกือบสิบนาที ในที่สุดมากาเร็ตก็กลับมาทำหน้าที่คุณครูทรงเสน่ห์ของเธออีกครั้ง หลังจากแน่ใจแล้วว่าทุกคนรู้สถานะของตัวเอง เธอก็ใช้มือขยำกระดานที่อยู่ๆ ก็ออกมาเป็นกระดาษแผ่นเล็กๆ ในมือเธออีกครั้ง กระดานในตอนนี้กลับมาใสเหมือนอย่างเคย “พวกที่อยู่ห้องสองกรุณาตามฉันออกมาด้วย”

     “แล้วกลับมาไวๆ นะครับสุดสวย” นักศึกษาชายคนหนึ่งได้ที่ก็ถือโอกาสส่งคำหวานตบท้าย

     “ฉันคงไม่กลับมาแล้วล่ะ” มากาเร็ตส่งยิ้มกลับไปที่นักศึกษาชายคนนั้น แต่กลับทำให้นักศึกษาทั้งห้องสงสัยในสิ่งที่เธอพูด “ฉันไม่เคยบอกนะ ว่าฉันประจำอยู่ห้องนี้ เอาล่ะ ไปกันได้แล้ว”

     เธอว่าก่อนจะเดินออกไปนอกห้องโดยไม่สนใจพวกนักศึกษาชายที่โห่ร้องด้วยความเสียดายเลยสักนิด แต่ดูเหมือนว่ากอร์ดอนจะยินดีเป็นพิเศษกับเรื่องนี้ ความจริงที่ว่าอริของเจ้าตัวอยู่ห้องเดียวกันดูจะหายไปจากความคิดเสียแล้ว ในขณะที่เซปต์กำลังสงสัยถึงจำนวนนักศึกษาที่แตกต่างกันมากเกินไปอยู่

     ไม่นานนักมากาเร็ตก็พาพวกเขามายืนอยู่หน้าบ้านอีกหลังหนึ่งซึ่งถูกตกแต่งไม่เหมือนกับบ้านหลังเก่า มันเป็นบ้านที่เล็กกว่าหลังเดิมเล็กน้อย หน้าต่างที่ทำจากกระจกเปิดเอาไว้หมดทุกบาน หน้าบ้านมีรูปปั้นแมวแยกเขี้ยวอยู่ ชั่วแว่บหนึ่งที่แมวตัวนี้ทำให้เขานึกถึงเจ้าแมวตัวเมื่อคืนที่ขโมยรูปของเขาไป

     ภายในบ้านหลังนี้ถูกจัดแต่งแบบห้องเรียนอย่างที่เขาได้คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ กระดานสีใส เครื่องปรับอากาศ โต๊ะแค่สองตัวกับเก้าอี้อีกแปดตัวถูกวางไว้อย่างเป็นระเบียบเหมือนรู้ถึงการมาของพวกเขา สิ่งที่ทำให้ห้องนี้ดูอบอุ่นคือวอลล์เปเปอร์ลายเรียบหรูสีครีม และหลอดไฟระย้าทรงกลมที่ถูกติดไว้บนเพดานกลางห้อง นาฬิกาเรือนสี่เหลี่ยมที่มีเลขโรมันเป็นตัวบอกเวลาติดอยู่บนผนังด้านหลังของห้อง

     เซปต์เลือกที่จะนั่งโต๊ะที่อยู่ใกล้กับประตูทางเข้าเนื่องจากแสงส่องไปทางอีกฝั่งมากกว่า กอร์ดอนนั่งลงข้างๆ ตามระเบียบ โต๊ะข้างๆ มีนักศึกษาชายสามคนกับนักศึกษาหญิงอีกหนึ่งคนที่ดูจะคุยกันถูกคอ ฟินดอร์ร่ากับเลนเซียที่เข้ามาทีหลังจำต้องนั่งร่วมโต๊ะกับพวกเขาแต่โดยดี และนั่นทำให้กอร์ดอนรีบเบือนหน้าหนี

     “ทำไมไม่มีสักสามโต๊ะนะ” เพื่อนตัวดีป้องปากกระซิบกระซาบกับเซปต์ แต่เขาเลือกที่จะเงียบแม้ว่าตอนนี้คำถามเดียวกันจะผุดขึ้นมาในสมองก็ตาม

     “ยินดีต้อนรับสู่ห้องเรียนของฉัน” มากาเร็ตยืนกอดอกอย่างวางมาด “ห้องนี้อาจจะดูไม่ใหญ่เหมือนห้องอื่นๆ เดิมทีแล้วฉันไม่เคยอนุญาตให้นักศึกษามาเรียนในห้องของฉันหรอก เพราะงั้นภูมิใจซะ พวกเธอเป็นกลุ่มแรก ฉันจะเริ่มจากการแจกตารางสอนก็แล้วกันนะ”

     อาจารย์สาวหยิบกระดาษปึกหนึ่งออกมาจากกระดานใสๆ ในทีเดียว ก่อนจะแจกจ่ายให้กับทุกคนในห้อง เซปต์จ้องมองตารางสองในมือด้วยความรู้สึกงุนงง

     วันจันทร์ 9.00-12.00 น. วิชาพลังจิตขึ้นพื้นฐาน

     วันอังคาร 9.00-12.00 น. วิชาจิตวิทยา

     วันพุทธ 9.00-12.00 น. วิชาผจญภัยวิทยา

     วันพฤหัสฯ 9.00-12.00 น. วิชาการต่อสู้ด้วยมือเปล่า

     วันศุกร์ 9.00-12.00 น. วิชาประวัติศาสตร์เอสเบลิน

     “ฉันมีเรื่องจะพูดกับพวกเธอแค่นี้แหละ วันนี้พวกเธอไม่มีเรียน แต่เธอจะต้องอยู่ที่นี่จนถึงเที่ยงตรงถึงจะกลับบ้านได้ เข้าใจไหม” มากาเร็ตมองนักศึกษาทุกคนของเธอ พวกเขาทำแค่เพียงผงกหัวเป็นเชิงตอบรับ “พรุ่งนี้อย่ามาสายล่ะ”

     นั่นคือคำพูดส่งท้าย ก่อนที่เธอจะเดินออกไปจากห้อง

     “ฉันว่าแล้วว่านายต้องตกใจ” กอร์ดอนมองเซปต์ด้วยสายตาจับผิด แต่ในขณะเดียวกันเซปต์คิดว่ากอร์ดอนเป็นคนเดียวที่เข้าใจเขาในตอนนี้

     “นาย...มากับฉัน” เซปต์รีบลุกขึ้น เขาสะพายกระเป๋าและเดินออกไปนอกห้องท่ามกลางสายตาของคนทั้งห้องที่จับจ้อง เขาทันเห็นฟินดอร์ร่าซุบซิบอะไรบางอย่างกับเลนเซียซึ่งดูออกชัดเจนว่ามันเกี่ยวกับเขา แต่เซปต์ไม่สนใจ เขารีบเดินไปรอบๆ เพื่อหาที่ที่คิดว่าเป็นส่วนตัวที่สุด และแล้วเขาก็หยุดอยู่ตรงลานกว้างที่ซึ่งไม่มีใครอยู่ตรงนั้น ศาลาเรือนหนึ่งที่อยู่กลางแม่น้ำสามารถมองเห็นได้จากตรงนี้ เซปต์รู้สึกปวดหัวอย่างบอกไม่ถูก

     “บอกทุกอย่างที่นายรู้เกี่ยวกับที่นี่” เซปต์พูดเป็นเชิงออกคำสั่ง

     “นายไม่คิดว่าฉันจะบอกนายง่ายๆ หรอกใช่ไหม” กอร์ดอนมีแววตาระยิบระยับด้วยความอยากรู้ “บอกฉันมาสิ นายมีความสัมพันธ์แบบไหนกับ เจเรมี่ ฮัทสเบิร์ก”

     ความเจ็บร้าวบริเวณศีรษะทวีคูณด้วยบันดาลโทสะ เซปต์ไม่แม้แต่จะมองกอร์ดอน เขาหันหน้าหนีและเดินกลับไปยังที่ที่เพิ่งเดินมา

     “นายจะไปโดยไม่บอกอะไรฉันเลยน่ะเหรอ” กอร์ดอนตะโกนตามหลัง แต่นั่นไม่สามารถหยุดเซปต์ไว้ได้ รู้ตัวอีกทีเขาก็ถูกขวางทางโดยเพื่อนชายเสียแล้ว

     “เฮ้ ฉันล้อเล่นน่ะ หยุดได้แล้ว”

     “ถ้างั้นก็ว่ามา” เซปต์เริ่มรู้สึกรำคาญกับท่าทางที่เล่นทีจริงของเพื่อนชายมากเล่ห์คนนี้

     “ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่านายรู้มามากน้อยแค่ไหน เอาเป็นว่าฉันจะเล่าให้ฟังทุกอย่างเลยก็แล้วกัน” กอร์ดอนถูมือไปมา ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งบนพื้นอิฐ “นายจะยืนอยู่แบบนั้นใช่ไหม”

     เซปต์นั่งลงข้างๆ กอร์ดอนอย่างพยายามเก็บอารมณ์

     “เอสเบลินน่ะเป็นดาวดวงหนึ่งในระบบสุริยะ เป็นดวงที่ไม่ถูกจารึกอยู่ในหนังสือเนื่องจากไม่มีใครสามารถมองเห็นดวงดาวล่องหนนี้ได้ แต่แล้ววันหนึ่งก็มีคนจากเอสเบลินค้นพบทางเชื่อมเพื่อไปยังดาวโลกซึ่งเป็นดาวที่ใกล้ที่สุด และเป็นดาวที่มีความคล้ายคลึงกันจนอาจจะเรียกได้ว่าเกือบเหมือนเลยล่ะ แต่โลกน่ะใหญ่และผู้คนอาศัยเยอะกว่า เป็นเวลาเดียวกับที่เอสเบลินประสบปัญหาในเรื่องการมีประชากรที่น้อยเกินไป ทางเบื้องบนเลยใช้ประโยชน์จากทางเชื่อมนี้สั่งให้ประชาชนออกไปยังดาวโลกเพื่อนำคนที่เขารักมาอย่างน้อยหนึ่งคน เพื่อผลิตประชากรในรุ่นต่อๆ ไป หากแต่พวกเขาค้นพบข้อเท็จจริงที่ว่ามนุษย์ในดาวโลกนั้นแตกต่างจากชาวเอสเบลิน”

     เซปต์ไม่อยากเชื่อว่าตัวเองกำลังให้ความสนใจกับเรื่องเล่าปรัมปรานี้ เขาไม่ได้พูดอะไร แต่กำลังรอฟังเรื่องเล่าต่อจากนั้นอยู่ กอร์ดอนถอนหายใจเฮือกหนึ่ง

     “นายไม่อยากรู้เหรอว่ามนุษย์ดาวโลกกับชาวเอสเบลินแตกต่างกันยังไง”

     “ถ้านายจะเล่าก็เล่ามาให้หมด ถ้าฉันมีคำถามฉันจะเก็บไว้ถามหลังจากที่นายเล่าจบแล้ว” เซปต์ว่าอย่างคนวางฟอร์ม

     “ชาวเอสเบลินน่ะมีบางอย่างที่ชาวโลกไม่มี” กอร์ดอนพริ้มตาลงเหมือนกำลังเพ่งสมาธิกับอะไรบางอย่าง ไม่กี่อึดใจหลังจากนั้นน้ำในแม่น้ำที่นอนแน่นิ่งก็เริ่มขยับไปในทิศทางเดียวกัน ก่อนจะสร้างตัวเป็นคลื่นเล็กๆ เซปต์มองภาพที่เห็นเบื้องหน้าอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง

     “นายพอจะเข้าใจแล้วใช่ไหมว่าเรามีอะไรที่ชาวโลกไม่มี”

     “พลังเหนือธรรมชาติงั้นเหรอ” เซปต์พูดอย่างประชด แต่ในใจของเขากำลังคิดต่อต้าน มันก็เป็นแค่กลเท่านั้นแหละ

     “เรียกง่ายๆ ว่าพลังจิตน่ะนะ” กอร์ดอนที่ลืมตาขึ้นมาแล้วตอบ “เพราะงั้นการอพยพคนจากดาวโลกมาที่นี่จึงถูกคัดค้าน เพราะพวกเขาเชื่อว่าชาวโลกคงไม่ยอมรับกับเรื่องนี้ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่สูญเปล่าเสียหมดหรอกนะ เพราะพวกเขาค้นพบในตอนหลังว่าบุตรที่เกิดมาจากพ่อหรือแม่ที่เป็นชาวเอสเบลินก็ยังคงมีพลังแบบเดียวกันหลงเหลืออยู่ เพราะงั้นจึงมีการส่งตัวเด็กมาที่นี่ แต่ก็อย่างว่าล่ะนะ ทุกอย่างมันไม่เรียบง่ายเสมอไปหรอก เมื่อชาวโลกเริ่มสงสัยว่าลูกของตนหายไปไหน และไม่ใช่แค่รายสองราย บวกกับการที่ชาวเอสเบลินส่วนมากเริ่มทำการต่อต้านเพราะพวกเขาไม่ได้อยู่กับครอบครัวอย่างที่ควรจะเป็น ทางเบื้องบนจึงอนุญาตให้พวกเขาอาศัยอยู่ในดาวโลก แต่เมื่อถึงเวลาพวกที่มีเชื้อเอสเบลินทุกคนต้องเข้าเรียนตามหลักสูตรที่จัดเตรียมไว้เพื่อความปลอดภัยของพวกเขาเอง”

     “แต่เท่าที่ดูจากเมื่อวาน...”

     “ใช่ ชาวเอสเบลินบางคนถูกคัดออกในรอบสอง เพราะพวกเขาไม่มีความสามารถพอที่จะเข้าเรียนในมหาลัยฯนี้ แต่ฉันเชื่อว่าที่อื่นอ้าแขนรับพวกเขาโดยไม่ต้องผ่านการทดสอบใดๆ ทั้งสิ้น”

     “นายกำลังจะบอกว่าไม่ใช่แค่ที่นี่ที่มีระบบแบบนี้” เซปต์เลิกคิ้วถาม

     “นายเชื่อไหม กว่าพันมหาวิทยาลัยในโลกที่มีคณะวิทยาศาสตร์ไว้บังหน้าเท่านั้น” กอร์ดอนว่า “ผู้คนแห่กันมาสอบที่นี่เพราะเป็นมหาวิทยาลัยดังก็เท่านั้น แต่ฉันก็แอบสงสารชาวโลกที่สอบไม่ผ่านเหมือนกัน พวกเขาไม่รู้และไม่มีสิทธิ์รู้ ทำได้แค่ก้มหน้ายอมรับสภาพเท่านั้น”

     “ฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี” เซปต์ส่ายหัวระริก “ไม่มีใครในครอบครัวฉันที่เป็นชาวเอสเบลิน”

     “กรณีนี้ไม่เคยถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์นะเซปต์” กอร์ดอนหันมามองหน้าเขาอย่างเข้าใจ “ฉันรู้ว่ามันยากสำหรับนายที่จะยอมรับเรื่องนี้ แต่ไม่พ่อ ก็แม่นายนั่นล่ะ”

     เซปต์พยายามคิดทบทวนหลายๆ เรื่องที่ได้ยินมา และเขาได้ตัดสินใจแล้วว่ามันเป็นเรื่องราวเหลวไหลทั้งเพ หรืออย่างน้อยเขาก็อยากคิดว่ามันเป็นแค่เรื่องเหลวไหล เพราะเขายังไม่สามารถยอมรับความจริงบางอย่างได้ เซปต์นึกถึงคำพูดของพ่อก่อนจะจากกัน

     ‘แอชลี่ย์กับเธอต่างกัน’

     ถ้าเชื่อมโยงเรื่องนี้กับเรื่องที่ว่าทำไมเขาถึงสอบผ่านเข้ามาในคณะนี้ รวมถึงเรื่องพลังแปลกๆ ที่เขาสามารถเอาตัวรอดจากการสอบในรอบแรกได้ แล้วก็เรื่องที่ว่าทำไมเจเรมี่ถึงส่งเขามาเรียนที่ฟราดิโอในคณะนี้แล้วล่ะก็ ทุกอย่างก็จะลงตัวพอดี ทำให้เหล็กงอโดยไม่แตะต้องอย่างนั้นเหรอ นั่นสินะ คงไม่มีมนุษย์คนไหนทำได้อย่างแน่นอน เขาเคยนึกสงสัยว่าทำไมอยู่ๆ ถึงผ่านเข้ามาในรอบแรก แต่ตอนนี้เซปต์เข้าใจทุกอย่างแล้ว ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่าเขาสามารถทำไห้เหล็กงอได้หรือเปล่า แต่เป็นเรื่องที่เขาได้แสดงบางอย่างที่ทำให้คณะกรรมการทั้งสองรู้แล้วว่าเขามีคุณสมบัติพอที่จะผ่านเข้าไปในรอบที่สอง เจเรมี่รู้เรื่องทุกอย่าง แต่ไม่เคยบอกเขาเลย ความรู้สึกโกรธที่ควรจะลดลงกลับมากขึ้นจนเนื้อตัวสั่น เซปต์ลุกขึ้นยืน

     “ฉันจะกลับบ้าน”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา