The Esbelin's Hope ความหวังของชาวเอสเบลิน

2.7

เขียนโดย Pie_l2

วันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2556 เวลา 17.51 น.

  9 chapter
  3 วิจารณ์
  13.14K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 20.00 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) ไอ้หง่าวขี้ขโมย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     เซปต์ถอนหายใจเฮือกใหญ่หลังจากที่ใช้เวลาประมาณสิบนาทีเพื่อเดินขึ้นมาบนเขา โชคดีที่มีทางถนนซึ่งเป็นที่สำหรับรถขับผ่าน บัดนี้เด็กหนุ่มยืนอยู่หน้าหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยต้นไม้และดอกไม้นานาชนิด เซปต์ย่างกรายเข้ามาในหมู่บ้าน ภายในมีบ้านเพียงสิบกว่าหลัง แต่ละหลังมีขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ เหมาะสำหรับคนถึงสองคนอยู่ด้วยกัน ตัวบ้านที่ทำจากไม้ไผ่เรียงต่อกันถูกยกสูงขึ้นจากพื้นเล็กน้อย เขาหยุดฝีเท้าลงตรงหน้าบ้านหมายเลข 9

     “ก็ไม่เลว” เด็กหนุ่มพึมพำ ถึงพ่อของเขาจะเป็นคนจัดการเรื่องบ้านหลังนี้ให้ก็ตาม เขายอมรับว่าถูกใจไม่น้อย อย่างน้อยที่นี่ก็สงบและห่างไกลจากความวุ่นวาย เซปต์เดินผ่านสวนหน้าบ้านเข้ามาที่ประตูที่ทำจากไม้ และต้องแปลกใจเมื่อเห็นโน้ตหนึ่งแปะอยู่ที่ประตู

     ‘บ้านหลังนี้ไม่มีใครอยู่มานานแล้ว ได้ยินว่าจะมีคนย้ายเข้ามาเลยทำพาสต้ามาให้ทาน ถือเป็นการต้อนรับแล้วกัน ขอให้ทานให้อร่อย’

     เด็กหนุ่มก้มต่ำลงและเห็นจานพาสต้าวางอยู่บนพื้น กลิ่นเนยและซอสมะเขือเทศลอยขึ้นมาแตะจมูก เขาหยิบมันขึ้นมาก่อนจะตัดสินใจเดินไปที่บ้านข้างๆ

     ก๊อก ก๊อก

     ประตูบ้านเปิดออกพร้อมกับการปรากฏตัวของหญิงชราคนหนึ่งที่อยู่ในชุดเดรสลายลูกไม้ เธอเป็นคนที่ค่อนข้างผอม ผมหงอกที่ถูกซอยสั้นม้วนเป็นลอน ดวงตาสีฟ้ามองมาที่เซปต์ด้วยความแปลกใจ

     “โอ้ว เธอคงจะเป็นคนที่ย้ายมาอยู่บ้านหลังข้างๆ นี้สินะ” หญิงชรากล่าวด้วยเสียงแหลม เธอยิ้มกว้างให้เขา “มีอะไรให้ช่วยเหรอ พ่อหนุ่ม”

     “คุณเป็นคนวางพาสต้านี่ไว้หน้าบ้านผมหรือเปล่า” เซปต์เข้าเรื่องทันที

     “ไม่ใช่หรอก ดูเหมือนจะเป็นคนที่อยู่บ้านเลขที่ 10 นั่นมากกว่านะ” เพื่อนบ้านใหม่ของเขาชี้ไปยังบ้านที่มีชิงช้าสีชมพูวางอยู่ในสวนหน้าบ้าน “ว่าแต่เธอชื่ออะไรล่ะ ฉันชื่อแมร์รี่ ฮอบลิช เรียกฉันว่าป้าแมร์รี่ก็ได้ คนที่นี่ส่วนใหญ่ก็เรียกฉันแบบนี้แหละ”

     “เซปต์ คาสร่า ครับ” เด็กหนุ่มตอบ

     “เป็นชื่อที่ไม่เหมือนใครเลยล่ะ ว่าไหม” เธอว่าก่อนจะกลั้วหัวเราะอย่างคนอารมณ์ดี “แล้วเธอมาถามฉันทำไมล่ะ ว่าฉันเป็นคนทำพาสต้านั่นหรือเปล่าน่ะ”

     เซปต์ยืนเงียบ เขาจะบอกอย่างไรดีว่าเขาไม่ใช่คนที่จะเชื่อใจใครง่ายๆ โดยเฉพาะกับคนแปลกหน้า และจานพาสต้าที่อยู่ในมือตอนนี้ มีส่วนผสมของอะไรบ้าง เขาเองก็มิอาจรู้ได้

     “ถ้าเป็นคนที่อยู่บ้านหลังนั้นล่ะก็ เป็นคนที่เชื่อใจได้แน่นอนล่ะ” ป้าแมร์รี่กะพริบตาให้เสมือนจะอ่านใจเขาออก

     “ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวนะครับ” เซปต์ก้มหัวลงเล็กน้อย ก่อนจะเดินออกมาจากสวนของบ้านหลังนั้น

     “มีอะไรให้ช่วยก็มาเคาะประตูได้เสมอนะพ่อหนุ่ม” หญิงแก่อารมณ์ดีไม่วายตะโกนตามหลังมา เซปต์คิดในใจว่าถ้าเกิดคิดจะเรียกเขาว่า ‘พ่อหนุ่ม’ แล้วจะถามชื่อของเขาไปเพื่ออะไรกัน

     เด็กหนุ่มหยิบกุญแจบ้านที่ได้มาจากนายเจเรมี่ออกมาจากกระเป๋ากางเกง เขาสอดมันลงไปในรู เสียงกริ๊กดังขึ้นบอกให้รู้ว่าล๊อกที่ประตูได้ถูกปลดออกแล้ว เซปต์หมุนลูกบิดพร้อมกับดันประตูเข้าไป สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าแทบทำให้เขาตาค้าง ถึงข้างนอกจะดูเป็นธรรมชาติ แต่ความจริงแล้วมันเป็นบ้านปูนที่ถูกตกแต่งด้วยไม้ไผ่จากภายนอก เฟอร์นิเจอร์สีเบสและเนื้อวัสดุที่ใช้ทำให้บ้านหลังนี้ดูทันสมัย ถึงมันจะไม่กว้างนักแต่มันก็เพียงพอแล้วสำหรับคนที่อยู่ตัวคนเดียวอย่างเขา เซปต์เดินสำรวจรอบๆ บริเวณตัวบ้าน

     ห้องนั่งเล่นที่มีโซฟาสีเบสและโต๊ะกระจกตั้งอยู่ ทีวีพลาสม่าจอแบนรองรับระบบสามมิติตั้งติดผนัง เด็กหนุ่มเดินเข้าไปและวางจานพาสต้าลงกับโต๊ะ ถัดมาเป็นห้องครัวเล็กๆ ที่มีเครื่องครัวครบเซ็ตซึ่งเจ้าตัวคิดในใจว่าคงไม่มีโอกาสได้ใช้มันอย่างแน่นอน เขาเป็นคนไม่เอาไหนจริงๆ เรื่องการทำอาหาร ตรงข้ามกับห้องครัวคือห้องน้ำที่ตกแต่งด้วยกระเบื้องสีขาวแลดูสะอาดตา มุมหนึ่งเป็นห้องกระจกที่กั้นไว้สำหรับอาบน้ำ ข้างๆ กันคืออ่างน้ำจากุซซี่ขนาดย่อม เซปต์ไม่รอช้า เขาจัดการถอดเสื้อผ้าและกระโจนลงไปในอ่างเหมือนเด็กๆ เขาปล่อยให้น้ำสูงขึ้นจนถึงระดับคอก่อนจะปิดมัน และนี่คือสิ่งที่เขาโปรดปรานที่สุดก็ว่าได้ การแช่ตัวในอ่างที่มีน้ำอุ่นๆ และคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย

 

     ในห้องมืดที่มีเพียงแสงสว่างจากนอกหน้าต่างส่องมาเพียงพอที่จะเห็นว่าอะไรเป็นอะไร ชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ เขาเป็นชายที่มีผิวขาวซีดจนน่ากลัว ร่างสูงบางอยู่ในชุดสูทสีดำที่ตัดกับสีผิวของเขาโดยสิ้นเชิง แต่มันกลับดูเข้ากันได้ดีกับเขาอย่างน่าประหลาด ในมือของชายหนุ่มมีแก้วใสทรงสูงที่มีไวน์สีม่วงนอนแน่นิ่งอยู่ในนั้น

     “นานแล้วนะที่เราไม่มีแขกมาเยี่ยม”

     “เรียกว่าหลงไม่ดีกว่าหรือขอรับฝ่าบาท” ผู้เป็นบ่าวคนโปรดที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามว่า ก่อนจะรินไวน์เพิ่มให้กับคนเป็นนาย

     “ฮ่าๆๆ เธอนี่พูดใจถูกใจฉันจริงๆ นั่นสินะ นานแล้วที่ไม่มีใครหลงเข้ามา” ชายหนุ่มแสยะยิ้ม “แต่ฉันมีลางสังหรณ์ว่าแขกคนต่อไปกำลังจะมาในไม่ช้านี้แหละ แฟรงค์”

     “อะไรทำให้ท่านคิดแบบนั้นกัน”

     “เจ้านี่มันบอกฉันยังไงล่ะ” คนเป็นนายหันมาให้ความสนใจกับลูกแก้วลูกหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะ “มันไม่เคยโกหกฉันเลยสักครั้ง”

     “ท่านเห็นอะไรในนั้น” แฟรงค์มองเข้าไปในลูกแก้วเช่นกัน แต่เขากลับพบเพียงความว่างเปล่า

     “เด็ก”

     “เด็ก?”

     “เด็กหนุ่มที่อยู่ในวัยอยากรู้อยากเห็นกำลังเดินเข้ามาใกล้ขึ้น และใกล้ขึ้น แล้วก็...” ชายหนุ่มดีดนิ้วดังเปราะ “บิงโก”

     “อย่าบอกนะว่าฝ่าบาท...”

     “ใช่แล้ว ฉันจะใช้เด็กคนนี้เป็นเครื่องมือในการสั่งสอนน้องชายสุดที่รักของฉันให้รู้ซึ้งถึงคำว่าสูญเสีย” ชายหนุ่มแสยะยิ้มอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้มันแฝงไว้ด้วยความเยือกเย็น “แล้วเราจะได้เจอกัน น้องชาย”

 

     ด้านบนของบ้านคือห้องใต้หลังคาที่ถูกจัดเป็นห้องนอนที่มีเตียงนอนเดี่ยวสำหรับหนึ่งคน ข้างๆ คือตู้เสื้อผ้าและโต๊ะสำหรับเขียนหนังสือ บนโต๊ะมีโคมไฟเข้าชุดกับโต๊ะ มันอาจจะดูเป็นห้องเล็กๆ แต่ให้ความรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยอย่างบอกไม่ถูก

     เซปต์เปิดประตูตู้เสื้อผ้าออกและพบว่าเสื้อผ้าทั้งหมดได้ถูกแขวนไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว คงจะเป็นฝีมือใครไปไม่ได้นอกจากเจเรมี่ ฮัสท์เบิร์ก ที่ส่งคนมาจัดการเรื่องพวกนี้ เซปต์สะดุ้งสุดตัวเมื่อคิดได้ว่ามีของสิ่งหนึ่งที่ควรจะอยู่ในห้องนี้แต่มันกลับไม่มี

     กรอบรูปที่มีภาพของเด็กหนุ่มและแม่ของเขา!

     เซปต์ค้นหารอบห้อง เขาลงไปข้างล่างและรื้อตามลิ้นชัก หาแม้กระทั่งใต้โซฟาหรือตู้เย็น เซปต์กลับมาหาบนห้องนอนอีกครั้ง แต่เขาไม่พบสิ่งสำคัญสิ่งนั้นเลย บางทีเขาควรจะโทรไปถามพ่อ เซปต์ตัดสินใจหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา แต่ก่อนที่จะกดโทรออก แมวขนปุยตัวหนึ่งก็ห้อยหัวลงมาจากหลังคา มันยิ้มเจ้าเล่ห์ให้กับเซปต์ เด็กหนุ่มหลับตาสักพัก เขาหวังเพียงแต่ว่าเมื่อเปิดตาแล้วจะเห็นแมวตัวนั้นเป็นแค่แมวธรรมดาๆ ตัวหนึ่ง เปลือกตาของเซปต์ค่อยๆ ขยับขึ้น...

     หง่าวววว~

     เจ้าแมวขนปุยสีขาวขู่ฝ่อก่อนจะฉีกยิ้มจนเห็นเขี้ยวที่ทั้งแหลมและยาว มันกระโดดลงไปที่ต้นไม้หน้าบ้าน เซปต์สังเกตเห็นอะไรบางอย่างที่หางของมันรัดอยู่ ถ้ามองไม่ผิดมันก็คือสิ่งที่เขากำลังตามหาอยู่ กรอบรูปนั่นเอง!

     เมื่อคิดได้ดังนั้น เซปต์รีบเปิดหน้าต่างออก เด็กหนุ่มกระโดดขึ้นไปบนต้นไม้ต้นนั้นอย่างไม่ลังเลใจ ที่นี่ต่ำกว่าเยอะถ้าเทียบกับที่บ้านฮัทสเบิร์กแล้วล่ะก็

     เจ้าแมวอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม เซปต์พยายามแย่งกรอบรูปคืนมาแต่มันกลับสะบัดหางหลบอย่างรวดเร้ว เจ้าแมวจอมซนส่งสายตายียวนกวนประสาทมาให้เซปต์ ก่อนจะกระโดดลงไปที่พื้น

     เด็กหนุ่มรีบกระโดดตามลงไป สนามที่เต็มไปด้วยหญ้ารองรับเขาไว้ได้เป็นอย่างดี พอหันไปอีกทีเจ้าเมวก็วิ่งไปไกลแล้ว เซปต์วิ่งตามไปจนมาหยุดอยู่หน้าชิงช้าสีชมพูซึ่งก็คือหน้าบ้านของหญิงสาวเจ้าของพาสต้าที่ยังคงวางอยู่บนโต๊ะในบ้านของเขา

     เจ้าแมวยืนอยู่บนชิงช้า หางของมันยังคงรัดกรอบรูปเอาไว้ อยู่ๆ ชิงช้าก็ค่อยๆ แกว่งโดยที่เซปต์ไม่ได้แตะต้องมันเลยแม้แต่นิด

     แมวแกว่งชิงช้าเอง!

     นั่นคือความคิดเดียวที่ผุดขึ้นมาในหัว เขามองภาพตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อสายตา นี่ถ้ามันพูดได้ด้วยก็คงจะครบสูตรเลยทีเดียว

     แง้ววววว~

     เจ้าแมวแสนรู้กระโดดขึ้นมาบนหัวเซปต์โดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว มันใช้มือทั้งสองข้างปิดตาของเซปต์ไว้ เขาพยายามแกะมือน้อยๆ ออกจากเบ้าตา แต่มันกลับข่วนเขาด้วยเล็บยาวของมัน เซปต์เสียหลักล้มลงกับพื้นเป็นเวลาเดียวกับที่เขาหลุดพ้นจากพันธนาการของเจ้าแมวแสนเจ้าเล่ห์ แต่พอลืมตาขึ้นมาอีกที มันก็หายไปเสียแล้ว!

     ประตูบานน้อยที่เจาะเป็นรูไว้สำหรับสัตว์ตัวน้อยขยับไปมาเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเจ้าแมวตัวนั้นเข้าไปในบ้านหลังนี้อย่างไม่ต้องสงสัย และที่แน่ไปกว่านั้น เจ้าของบ้านหลังนี้ก็คงเป็นเจ้าของแมวตัวนี้อย่างแน่นอน เขาเอะใจขึ้นมาว่าเจ้าของบ้านจะนิสัยเจ้าเล่ห์เหมือนแมวตัวนี้หรือไม่

     เซปต์บิดลูกบิดหวังจะเปิดประตูออก หากแต่มันถูกล็อกเอาไว้ แน่นอนสินะ ใครที่ไหนจะเปิดบ้านทิ้งเอาไว้กัน แต่แล้วความหวังสุดท้ายของเขาก็อยู่ตรงหน้า แผ่นกระดาษขนาดเล็กมากกว่าสิบแผ่นถูกแปะซ้อนกันเอาไว้บนประตูบ้าน พร้อมกับปากกาที่โยงอยู่กับเชือกที่แปะเอาไว้บนประตู

     ‘แมวของคุณเอากรอบรูปผมไป ถ้ายังไงช่วยเอามาคืนผมด้วย ขอบคุณ’

     ปากกาหยุดลงตรงคำว่า ‘เพื่อนบ้านใหม่’ ที่เขียนเป็นอย่างสุดท้าย ก่อนที่เซปต์จะปล่อยให้มันห้อยต่องแต่งอย่างเคย

 

     เซปต์เดินวนไปวนมาอยู่ที่ชั้นล่างของตึกสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ เขาขึ้นไปชั้นห้าและพบกับความว่างเปล่า เช่นเดียวกับทุกๆ ชั้น และนั่นคือสาเหตุความสับสนงงงวยที่อัดแน่นอยู่เต็มหัว เพราะเหตุผลบางอย่าง ทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองโง่เง่าสิ้นดี มีเพียงเขาคนเดียวที่หลงทางตั้งแต่วันแรกที่เข้าเรียน เซปต์ก้มลงดูนาฬิกาข้อมือ อีกไม่กี่นาทีก็จะเก้าโมงอันเป็นเวลาเริ่มวิชาแรกของวันนี้แล้ว

     “อ่าว พ่อหนุ่ม มายืนทำอะไรตรงนี้ เดี๋ยวก็สายหรอก” เสียงแหบพร่าดังขึ้น เมื่อหันไปเซปต์ก็พบกับชายแก่คนเดิมกับที่เจอเมื่อวาน วันนี้เขายังคงอยู่ในชุดสีขาวชุดเดิม ในมือมีกระเป๋าหนังสีดำอยู่

     “เอ่อ...” เขาไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหนดี

     “เธอดูไม่ค่อยจะรู้เรื่องกับเขาเลยนะ พ่อหนุ่ม” ชายแก่พูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ก่อนจะเอื้อมมือไปกดลิฟต์ “เธอไม่ใช่เคสแรกหรอก”

     ลิฟต์เปิดตัวออกและชายชราก็เข้าไปข้างในอย่างไม่ลังเล

     “เธอจะไม่เข้ามารึ”

     เซปต์ไม่เข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้เลยสักนิด แต่ถึงกระนั้นเขาก็เดินเข้าไปในลิฟต์ด้วยความงุนงงปนสงสัย

     “คุณกำลังจะพาผมไปไหน”

     “เอสเบลิน” ภารโรงในชุดซอมซ่อตอบเขาแทบจะในทันที

     “ที่ไหนนะ...”

     แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้คำตอบเป็นครั้งที่สอง ลิฟต์ก็เคลื่อนตัวลงไปด้านล่างอย่างรวดเร็วจนเขาต้องจับราวเหล็กเอาไว้แน่น

     “นี่มันอะไรกัน” เซปต์หันไปมองหน้าชายแก่ที่กำลังสนใจอยู่กับอะไรบางอย่างในกระเป๋า เขาหยิบเสื้อและกางเกงสีดำออกมาจากในนั้น

     “เธอดูตกใจน้อยกว่ารายอื่นๆ นิดหน่อยน่ะนะ” ชายชราทำเพียงแค่แสยะยิ้ม และสวมใส่กางเกงทับกางเกงสีขาวของเขา

     “คุณกำลังทำอะไร” เซปต์มองการกระทำงี่เง่าของชายแก่ที่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าคงแก่จนเลอะเลือนเป็นแน่ แล้วเขาก็ผิดเองที่หลงเชื่อชายคนนี้ขึ้นมาในลิฟต์ ที่ตอนนี้กำลังตกลงไปใต้ดิน และแน่นอนว่าพวกเขากำลังอยู่ในอันตราย

     “ฉันกำลังเปลี่ยนเสื้อไง พ่อหนุ่ม” ภารโรงตอบอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวพร้อมกับใส่เสื้อหนังสีดำตัวยาวทับเสื้อสีขาวอีกที

     “คุณไม่เห็นเหรอว่าลิฟต์มัน...”

     ตึง!

     เสียงลิฟต์กระทบพื้นก่อนที่มันจะเปิดตัวเองออก สิ่งที่เซปต์เห็นทำให้เขาไม่แน่ใจว่ามันคือความจริงหรือความฝันกันแน่

     หมู่บ้านที่มีเรือนหลังคากว่าสิบหลัง ก้อนหิวสีขาวบริสุทธิ์ที่เกลื่อนกลาดอยู่เต็มถนน ถูกตัดด้วยทางเดินที่เป็นพื้นหินอ่อนเนื้อดี ต้นไม้ที่มีใบสีเขียวขจีเต็มต้นถูกปลูกไว้ที่สองข้างทางจนถึงบริเวณด้านหลังซึ่งเป็นแม่น้ำ ด้วยขนาดที่ใหญ่ของพวกมันทำให้บ้านทุกหลังได้รับร่มเงาเป็นอย่างดี

     “เธอจะไม่ออกมางั้นเหรอ” ชายชราว่าและหยิบหมวกทรงสูงขึ้นมาใส่ เซปต์เดินออกมาจากลิฟต์และมองไปรอบๆ เขาไม่เคยเห็นที่ไหนเหมือนที่นี่มาก่อน และไม่ยักกะรู้ว่ามีที่แบบนี้อยู่ในโลกเสียด้วย

     “ที่นี่ที่ไหน”

     “เอสเบลิน” ชายชราที่ตอนนี้ดูดีกว่าเดิมมากทีเดียวตอบ แต่นั่นไม่ได้ทำให้ความสงสัยของเขากระจ่างขึ้นเลยแม้แต่นิด

     “คุณกำลังเข้าใจอะไรผิดอยู่หรือเปล่า ผมไม่ได้ต้องการมาที่สถานที่แห่งนี้ ผมกำลังหาทางไปห้องเรียนของผม” เซปต์รู้สึกหัวเสียมากกับเรื่องนี้ อีกไม่ถึงห้านาทีชั้นเรียนก็จะเริ่มขึ้น โดยไม่มีเขา...

     “ฉันเข้าใจไม่ผิดหรอกพ่อหนุ่ม เพื่อนๆ ของเธออยู่ที่ไหนสักที่ในเอสเบลินนี่แหละ” ชายชราหันมายิ้มกว้างให้เขา

     เซปต์อ้าปากกำลังจะค้านกลับ ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเห็นนักศึกษาคนหนึ่งที่อยู่ในเครื่องแบบเดียวกับเขา

     “ฉันคิดว่าเธอคงจะหาห้องเรียนเองได้ ฉันต้องไปทำงานของฉันแล้วล่ะพ่อหนุ่ม” ชายชราในชุดดำว่า “อ่อ ฉันชื่อมาร์วิน เคิร์วส”

     “เซปต์ คาสร่า”

     “ยินดีที่ได้รู้จักเซปต์ แล้วถ้าเธอโชคดีพอ เธอก็จะได้เป็นลูกศิษย์ของฉัน” ภารโรงชราว่า หยิบไปป์ขึ้นมาคาบไว้ที่ปาก และเดินจากไป เมื่อมองจากตรงนี้ เซปต์กำลังคิดว่าเขาไม่ต่างอะไรนักกับเชอร์ล็อก โฮลมส์

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา