The Esbelin's Hope ความหวังของชาวเอสเบลิน
เขียนโดย Pie_l2
วันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2556 เวลา 17.51 น.
แก้ไขเมื่อ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 20.00 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) เรามาพนันกัน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“ผิดแล้ว” ชายผู้มีนัยนต์ตาสีมรกตกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูน่าขนลุกพิกล ทุกสายตาหันไปหาเขา
“เธอ...เธอมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่” ท่าทางของอีธานดูเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง น้ำเสียงสั่นด้วยความประหม่า ดูเหมือนว่าชายหนุ่มคนนี้จะมีอิทธิพลอยู่มากทีเดียว
“รัสฟาน!!” มากาเร็ตดูตกใจเล็กน้อย แต่ในความตกใจนั้นแฝงไปด้วยความปลื้มปิติที่ได้เจอเพื่อนเก่าอีกครั้ง เธอโผเข้าไปกอดเพื่อนชายที่ไม่ได้เจอกันนาน “นายหายไปไหนมาตั้งหลายปี”
“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะ” รัสฟานหันมามองเซปต์ด้วยสายตาที่ทำให้เขาเสียวสันหลังวาบ “มากาเร็ต เธอกำลังอารมณ์เสียเพราะปกติเธอดูคนไม่ผิดสินะ”
“ใช่แล้วล่ะ แต่คนเรามันก็ผิดพลาดกันได้บ้าง” มากาเร็ตถอนหายใจเฮือกใหญ่ เธอมองเซปต์ด้วยสายตาผิดหวังเล็กน้อย “ดูเหมือนครั้งนี้ฉันจะผิดเต็มเปาเลยล่ะ”
รัสฟานไม่พูดอะไร เขาเดินขึ้นบันไดเพื่อขึ้นมายังเวทีและหยุดลงตรงหน้าเซปต์
“เธอชื่ออะไร”
“เซปต์” เซปต์ตอบเสียงเรียบ “เซปต์ คาสร่า”
ดวงตาเรียวยาวของรัสฟานเบิกโพลงขึ้น เห็นได้ชัดว่าเขาตกใจกับอะไรบางอย่าง แต่ไม่ทันไรมันก็แปรเปลี่ยนเป็นดวงตาที่ดูเยือกเย็นและน่ากลัวคู่เก่า
“คุณมีปัญหาอะไรกับชื่อผมงั้นเหรอ”
“ไม่มี” ชายหนุ่มว่า ก่อนจะวางมือลงบนไหล่ของเขา “แต่ฉันมีปัญหากับเธอ”
เซปต์รู้สึกได้ถึงแรงบีบบริเวณคอซึ่งจะมาจากใครไม่ได้นอกจากรัสฟาน แรงบีบค่อยๆ ทวีคูณความแรงจนเซปต์หายใจไม่ออก เขาพยายามใช้มือทั้งสองข้างแงะมือที่เหนียวแน่นของรัสฟานออกจากคอตัวเอง หากแต่ไม่เป็นผล ไม่นานนักรัสฟานก็สามารถยกเขาให้ลอยเหนือพื้นด้วยมือแค่ข้างเดียว เซปต์พยายามสุดชีวิตที่จะสลัดตัวเองให้หลุดพ้นจากเงื้อมือของคนตรงหน้า มือไม้จับโน่นนี่อย่างกระเสือกกระสน
“หยุดนะ จะทำอะไรน่ะ” อีธานที่ยืนดูอยู่พยายามเข้ามาห้าม แต่มากาเร็ตหยุดเขาเอาไว้
“เขาต้องมีเหตุผลในการทำแบบนั้นแน่”
แสงจากวัตถุบางอย่างสว่างขึ้น ทุกสายตาจับจ้องไปที่ชาเบลที่กำลังเรืองแสง สารสีขาววิ่งวนอยู่ในลูกแก้วเล็กๆ นั้นอย่างบ้าคลั่ง เซปต์รู้สึกได้ถึงบางอย่างที่วิ่งวนอยู่ในร่างกาย ความรู้สึกในตอนนี้ทั้งหายใจไม่ออกและอึดอัดในคราเดียวกัน ถ้าเด็กหนุ่มขาดอากาศหายใจนานกว่านี้ ผู้ชายคนนี้ก็จะกลายเป็นฆาตกรในทันที แต่เขาจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นแน่นอน เซปต์ใช้แรงอันน้อยนิดที่เหลืออยู่ยกมือทั้งสองขึ้นก่อนจะออกแรงผลักรัสฟานออก
ร่างสูงของชายหนุ่มลอยไปชนอีกฝั่งของเวทีอย่างแรงจนสร้างเป็นรอยบุ๋มที่กำแพง เซปต์หันไปมองผลงานของตัวเองด้วยความแปลกใจ รัสฟานพาร่างของตัวเองออกมาจากกำแพงและเดินเข้ามาหาเซปต์อีกครั้ง แต่ลมแรงที่ไม่มีต้นตอพัดเข้าหารัสฟานจนชายหนุ่มต้องหยีตาเพื่อไม่ให้ลมตีเข้า
“ไม่เบานี่” รัสฟานกระตุกยิ้มที่มุมปากอย่างถูกใจ ก่อนจะหันไปหามากาเร็ตที่ยืนลุ้นตัวโก่ง “ทีนี้ก็ชัดเจนแล้วสินะ”
“แน่นอน ฉันไม่เคยดูคนผิดอยู่แล้วล่ะน่า” สาวเจ้าฉีกยิ้มอย่างมั่นใจ
“ยินดีด้วย เธอผ่านเข้ารอบสอง” อีธานชี้ไปที่ประตูอีกครั้ง “ตอนนี้เธอออกไปได้แล้ว การทดสอบควรจะอยู่ที่ห้านาที แต่นี่มันปาเข้าไปสิบห้านาทีแล้ว”
ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์นั้นเท่าไหร่ แต่เซปต์เลือกที่จะเงียบและเดินลงมาจากเวที เขาไม่ลืมที่จะส่งสายตาเกลียดชังไปให้รัสฟานก่อนที่จะเปิดประตูออกไปเผชิญกับผู้คนอีกครั้ง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ ทุกๆ การกระทำ ทุกๆ วินาทีที่เข็มนาฬิกาเดินไป ไม่มีใครล่วงรู้ว่าแท้จริงแล้วภายในห้อง ยังมีอีกหนึ่งชีวิตที่เห็นทุกอย่างผ่านสายตาทั้งสองข้างของเขา
เด็กหนุ่มใช้เวลาพักครึ่งชั่วโมงกับการยืนเกาะรั้วเหล็กพลางคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ชายแปลกที่ชื่อรัสฟาน แรงผลักที่ส่งให้ชายคนนั้นลอยไปติดกับแพง เซปต์มองชาเบลที่ตอนนี้ไม่มีปฏิกริยาอะไรทั้งสิ้น ผิดกับเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง เขาไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง นี่เขามาสอบเข้าคณะวิทยาศาสตร์จริงๆ น่ะเหรอ ทำไมเขาถึงรู้สึกว่ามันช่างห่างไกลจากคำว่าวิทยาศาสตร์โดยสิ้นเชิงก็ไม่รู้
“ฉันรู้อยู่แล้วว่านายต้องผ่านเข้ารอบสองแน่ๆ” เสียงหนึ่งดังขึ้นก่อนที่เด็กหนุ่มผมทองผู้มีนัยนต์ตาสีน้ำเงินเข้มจะปรากฏตัวขึ้นข้างๆ “ดูแว่บเดียวก็รู้แล้วว่านายน่ะไม่ธรรมดา”
“ฉันไม่รู้ว่านายกำลังพูดเรื่องอะไร” เซปต์ทำเป็นไม่สนใจ
“เฮ้ อย่ามาทำไก๋น่า” กอร์ดอนใช้แขนสะกิดเขาเป็นเชิงเย้าแหย่
“นายมีอะไรก็รีบๆ พูดมา” เขารู้ดีว่ากอร์ดอนต้องมีอะไรบางอย่างที่อยากพูดแน่ เพราะหมอนี่ดันไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรจะเห็นเข้าให้แล้ว เป็นเรื่องปกติที่จะอยากรู้อยากเห็นให้มากขึ้น
“ขณะนี้เหลือเวลาพักอีกสิบนาที ขอให้นักศึกษาทุกท่านเตรียมตัวให้พร้อม การทดสอบต่อไปจะถูกทดสอบเป็นคู่ เพราะฉะนั้นกรุณาเลือกคู่ต่อสู้ที่เหมาะสมกับตัวเองด้วย เพราะหนึ่งในพวกคุณอาจจะมีแค่คนเดียวที่ผ่านเข้าคณะนี้ไป”
เสียงนุ่มลึกแบบนี้จะเป็นของใครไปไม่ได้นอกจากอลัน รุ่นพี่ผู้สงบเสงี่ยมที่ยืนคุมการทดสอบครั้งแรกนั่นเอง เซปต์มองกอร์ดอนและพอจะอ่านแผนออกแล้วว่าคนตรงหน้าต้องการอะไร
“นายได้ยินประกาศแล้วใช่ไหมล่ะ” เด็กหนุ่มผู้มากเล่ห์เลี่ยมว่าขึ้น “นายมาคู่กับฉัน และเรามาพนันกัน”
“พนัน?” เซปต์ทวนคำพลางคิดในใจว่าจะมาไม้ไหนอีก
“ใช่ ถ้าฉันชนะ” กอร์ดอนชี้นิ้วโป้งที่ตัวเองพร้อมยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “นายต้องบอกฉันเรื่องความสัมพันธ์ของนายกับเจเรมี่”
“แล้วถ้าฉันชนะ?”
“ถ้านายชนะ” กอร์ดอนใช้นิ้วชี้มาที่เซปต์ นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มสบกับนัยนต์ตาสีเทาของเซปต์อย่างท้าทาย “ฉันจะเลิกตอแยนายเรื่องเจเรมี่ และจะยอมทำตามที่นายบอกอย่างหนึ่ง”
“ฉันไม่มีเวลามาเล่นเกมส์กับนาย เป้าหมายอย่างเดียวของฉันคือการสอบเข้าคณะนี้” เซปต์เลือกที่จะเดินออกมาจากเด็กหนุ่มเจ้าเล่ห์คนนั้น
“ทำไมล่า นายกลัวว่าจะแพ้แล้วไม่ได้เข้าคณะนี้งั้นเหรอ” คำสบประมาทที่ดังมาจากด้านหลังทำให้ฝีเท้าของเซปต์หยุดลง
“แล้วนายจะเสียใจที่มาท้าฉัน”
นักศึกษาทุกคนถูกเรียกให้มารวมตัวกันที่ชั้นห้าเหมือนเดิม ประตูบานสีแดงหายไปแล้ว ของตกแต่งทุกอย่างกลับมาอยู่ที่ๆ มันควรจะอยู่ นักศึกษาที่ผ่านการทดสอบจากรอบแรกมีเพียงประมาณเจ็ดสิบคนจากผู้เข้าร่วมทั้งหมดสองร้อยกว่าคน พวกเขาถูกสั่งให้ยืนกับคู่ต่อสู้ของตัวเองภายในวงกลมซึ่งเป็นลายของพื้น
พรึ่บ
ไฟในห้องถูกดับลงเหมือนกับครั้งก่อน เซปต์พยายามควบคุมไม่ให้ตัวเองมีอาการเหมือนอย่างเคย เขาหลับตาแล้วนึกถึงห้องที่เต็มไปด้วยแสงไฟ เซปต์รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเคลื่อนไหวก่อนจะหยุดลง พอลืมตาขึ้นมาอีกทีก็พบกับแสงไฟสลัวที่สว่างมาจากโคมไฟ แต่เขาก็ต้องแปลกใจเมื่อรู้ว่ากำลังยืนอยู่บนพื้นห้องทรงกลมเล็กๆ ที่ทำมาจากหินอ่อนถูกยกขึ้นสูง เซปต์สังเกตว่ามีวงกลมไม่ต่ำกว่าสามสิบที่ถูกยกสูงขึ้นเช่นกัน
“ฉัน...ฉันกลัวความสูง” เด็กสาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่บนวงกลมใกล้ๆ เซปต์พูดขึ้นด้วยเสียงสั่น
“เธอพูดเล่นใช่ไหม” เด็กหนุ่มที่เป็นคู่แข่งของเธอหัวเราะเสียงดัง “ฮ่าๆๆ น่าขำเป็นบ้าเลย”
“นายคงไม่ได้กลัวความสูงใช่ไหม” กอร์ดอนถามอย่างลองเชิง
“แล้วนายล่ะ” เซปต์ถามกลับ ทั้งคู่สบตากันพักหนึ่ง ก่อนที่เสียงประกาศของอลันจะดังขึ้นอีกครั้ง
“กติกามีอยู่ว่า นี่จะเป็นการสู้กันด้วยมือเปล่า เรามีเวลาให้ยี่สิบนาที พวกคุณจะต้องพยายามทำให้คู่ต่อสู้ตกลงไปจากสนามรบหรือพื้นที่วงกลม เมื่อเวลาหยุดลงที่ 00.00.00 เมื่อไหร่ ผู้ที่ยืนอยู่บนสนามรบเท่านั้นคือผู้ที่ผ่านการทดสอบ”
เซปต์ไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ว่าการสอบเข้าคณะวิทยาศาสตร์จำเป็นต้องมีร่างกายที่แข็งแรงพอที่จะล้มคู่ต่อสู้ด้วยหรือ และที่น่าแปลกคือทุกคนในที่นี้ดูจะไม่แปลกใจเลยกับเรื่องนี้ แต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลาไปสนใจเรื่องอื่น ยกเว้นศึกเล็กๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น ที่สำคัญคือศึกครั้งนี้เดิมพันด้วยความลับที่ไม่สามารถเปิดเผยได้อีกด้วย
“เตรียมพร้อม”
เซปต์และกอร์ดอนตั้งการ์ดขึ้นพร้อมกัน เซปต์พอมีพื้นฐานการต่อสู้มาบ้างแล้ว เขาเองก็ดูออกว่าคนตรงหน้ามีฝีมือที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าตนเลย
“เริ่มได้!”
ทันทีที่เสียงประกาศสุดท้ายสิ้นสุดลง ทั้งคู่วิ่งเข้าไปปะทะกันตรงกลางสนามรบที่เป็นพื้นที่วงกลมเล็กๆ ในสถานการณ์แบบนี้ใครครองพื้นที่เยอะกว่าย่อมได้เปรียบ ต่างก็ประหม่าและพยายามไล่ต้อนให้อีกฝ่ายเหลือพื้นที่ในการยืนน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
เซปต์หลบหมัดจากกอร์ดอนก่อนจะปล่อยหมัดลุ่นๆ ใส่อีกฝ่ายบ้าง แต่กอร์ดอนเองก็รับหมัดของเขาไว้ได้อย่างทันท่วงที ทั้งคู่ผลัดกันรุกผลัดกันรับอยู่นานพอที่จะทำให้เหงื่อชุ่มไปทั้งตัว เซปต์เริ่มประจักรแล้วว่าเด็กหนุ่มมากเล่ห์เหลี่ยมคนนี้ค่อนข้างชำนาญเรื่องการต่อสู้
“ดูเหมือนนายจะเก่งกว่าที่ฉันคาดเดาไว้อีกนะ เซปต์” กอร์ดอนยิ้มพรายอย่างเคยชิน แม้ว่าตอนนี้เขากำลังยืนอยู่บนสนามรบแห่งศักดิ์ศรีที่จะแพ้ไม่ได้โดยเด็ดขาด
“ฉันรู้ว่านายออมมืออยู่” เซปต์ไขว้แขนทั้งสองข้างเพื่อเป็นเกราะกันลูกเตะจากกอร์ดอนและเตะสวน
“กรี๊ดดดดดดด!” เสียงกรี๊ดดังขึ้น เซปต์หันไปมองข้างๆ และพบว่าเด็กสาวคนที่กลัวความสูงได้ตกลงไปจากสนามรบแล้ว
“งั้นก็มาทำให้มันจบๆ ไปเลยก็แล้วกันนะ” กอร์ดอนว่าก่อนจะอาศัยช่วงที่เซปต์สนใจกับเด็กสาวที่เพิ่งตกลงไป เด็กหนุ่มผู้ชำนาญการวาดเท้าเพื่อสะกัดขาคู่ต่อสู้
ปั่ก!
เซปต์พลาดท่าล้มลงกับพื้น เขาพยายามลุกขึ้นด้วยท่าทางโซซัดโซเซเนื่องจากข้อเท้าแพลง ตอนนี้เวลาเหลืออยู่อีกสามสิบวินาทีเท่านั้น
“ขอโทษนะคาสร่า” คำพูดสุดท้ายของกอร์ดอนก่อนที่เจ้าตัวจะส่งร่างของเซปต์ลงไปจากสนามรบด้วยแรงผลักเบาๆ
ศีรษะค่อยๆ เอนลงดังร่างที่ไร้น้ำหนัก ภาพทุกอย่างในตอนนี้กลับหัวไปหมด นอกจากจะสอบไม่ผ่านแล้ว เขายังไม่สามารถกุมความลับที่สำคัญที่สุดไว้ได้อีกด้วย คิดแล้วก็รู้สึกแค้นใจยิ่งนัก วันนี้คือวันที่แย่ลองลงมา จากวันเกิดเมื่อเก้าปีก่อน
แต่เขาจะยอมแพ้แค่นี้จริงๆ น่ะเหรอ?
สัญชาติญาณบางอย่างบอกให้เซปต์ใช้ปลายเท้าจิกบริเวณกำแพงของเสาสนามรบก่อนจะถีบตัวเองขึ้นไป เขาม้วนตัวกลางอากาศหนึ่งครั้งก่อนจะกลับขึ้นมายืนบนสนามรบอีกครั้ง กอร์ดอนรวมถึงนักศึกษาคนอื่นๆ ที่กำลังสู้กันอยู่ในอีกสนามรบหนึ่งต่างพากันมองมาที่เซปต์เป็นตาเดียว
“อึดจริงๆ นะนายเนี่ย” แววตาเจ้าเล่ห์ที่เคยเห็นจากกอร์ดอนถูกแทนที่ด้วยแววตาที่ดูจริงจังและมุ่งมั่น
“ฉันบอกแล้วว่านายจะต้องเสียใจ” เซปต์หันไปมองเวลาซึ่งตอนนี้แสดงเลข 00.00.10
กอร์ดอนโผเข้ามาหาด้วยความเร็วหวังจะทำให้ร่างของเซปต์กระเด็นออกไปจากสนามรบอีกครั้ง แต่ดูเหมือนจะคิดผิดเมื่อเซปต์ทำแค่เพียงเบี่ยงตัวเล็กน้อยก็สามารถหลบได้ กลายเป็นว่ากอร์ดอนเองที่ลอยออกไปจากสนามรบ ร่างกำยำที่ไม่สามารถถ่วงแรงโน้มถ่วงของโลกได้ค่อยๆ ร่วงลงไป
หมับ
เซปต์คว้ามือของกอร์ดอนไว้ได้ทัน
“นายจะทำอะไร” กอร์ดอนถามอย่างไม่เข้าใจ “ปล่อยฉันไป ฉันแพ้นายแล้ว”
“หุบปากแล้วก็รีบๆ ขึ้นมา” เซปต์พยายามดึงร่างอันหนักอึ้งขึ้นมา
“หยุดน่า ปล่อยฉันลงไป!”
“นายลืมไปแล้วเหรอว่านายมาที่นี่ทำไม” เซปต์ถามพร้อมกับมองกอร์ดอนนิ่ง “ถ้านายยังอยากเป็นนักศึกษาของคณะนี้ก็รีบขึ้นมา แต่ถ้าคำว่าศักดิ์ศรีมันค้ำคออยู่ก็ปล่อยมือฉันได้เลย”
เซปต์ผ่อนมือตัวเองเพื่อให้กอร์ดอนเป็นคนตัดสินใจเอง เวลาตอนนี้เหลืออยู่อีกแค่สามวินาทีเท่านั้น กอร์ดอนจับมือเขาไว้แน่นกว่าเดิม
“งั้นช่วยหน่อยแล้วกัน”
เซปต์รีบดึงมือหนาเต็มกำลัง ร่างใหญ่ของกอร์ดอนขึ้นมายืนหยัดบนสนามรบในเวลาเดียวกับที่เสียงนาฬิกาดังเพื่อบ่งบอกว่าหมดเวลาแล้ว
“เวลาได้หมดลงแล้ว ทุกท่านที่ยืนอยู่บนสนามรบถือว่าเป็นผู้ที่ผ่านการทดสอบทั้งหมด ขอบคุณทุกท่านที่ให้ความร่วมมือในวันนี้ และยินดีด้วย”
สนามรบซึ่งก็คือพื้นที่วงกลมค่อยๆ เคลื่อนตัวลงช้าๆ จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของพื้นในที่สุด ผู้คนที่ตกลงมาจากสนามรบเองก็ยืนอยู่บริเวณนั้นด้วย ทุกคนต่างแสดงความยินดีและเสียใจให้กันและกัน
“คราวหน้าคราวหลังนายควรจะอ้าแขนรับเวลามีคนบอกว่าจะช่วย เพราะโอกาสมันไม่ได้มาบ่อยๆ นักหรอกนะ” เซปต์เตือนตามประสาคนหวังดี
“นี่ นายเป็นฝ่ายชนะนะ นายอยากให้ฉันทำอะไรว่ามาเลย” สีหน้าจริงจังของเจ้าคนเจ้าเล่ห์กลับมาสดใสอีกครั้ง
“ฉันไม่ได้ชนะ แล้วนายเองก็ไม่ได้แพ้ ฉันจะกลับบ้านแล้ว” ว่าแล้วเซปต์ก็ออกเดิน แต่กอร์ดอนก็ไม่วายเดินตามเขามา
“แต่ว่าเราเสมอกันเพราะนายช่วยฉันเอาไว้ต่างหากล่ะ”
“เอางั้นก็ได้” เซปต์ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย “ฉันขอกล้องนั่นก็แล้วกัน”
“นี่น่ะเหรอ” กอร์ดอนชูกล้องที่เพิ่งหยิบมันออกมาจากกระเป๋าที่หยิบขึ้นมาจากพื้นเมื่อครู่ขึ้น “นายจะเอามันไปทำอะไรกัน”
“นั่นมันเรื่องของฉัน” เซปต์พูดคำนี้จนติดปากเสียแล้ว เขาฉกกล้องดิจิตอลมาจากกอร์ดอน “นายกลับไปได้แล้ว”
“เฮ้ บางทีเราน่าจะ” กอร์ดอนเกาหัวแก้เก้อ “เป็นเพื่อนกันได้นะ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ