The Esbelin's Hope ความหวังของชาวเอสเบลิน

2.7

เขียนโดย Pie_l2

วันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2556 เวลา 17.51 น.

  9 chapter
  3 วิจารณ์
  12.93K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 20.00 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) Time's up!

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     “นาย...มีความสัมพันธ์แบบไหนกับเจเรมี่ ฮัทสเบิร์กกันแน่”

     เซปต์รู้สึกได้ถึงเม็ดเหงื่อที่เริ่มไหลลงมาตามลำตัว เขายืนนิ่งไม่ไหวติง สถานการณ์แบบนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่ได้หาวิธีเตรียมรับมือกับมันไว้ก่อน เพราะเขาไม่เคยคิดว่ามันจะเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้

     “ไม่ใช่เรื่องของนาย” เซปต์ตอบเสียงเรียบพร้อมกับส่งสายตาเย็นชาไปให้กอร์ดอน เขาแย่งกล้องมาจากเด็กหนุ่มผมทองก่อนจะดีลีทภาพพวกนั้นออกจนหมด “นายก็ควรจะลบภาพของนายออกไปด้วย”

     เซปต์ยัดกล้องคืนกอร์ดอนและเดินออกไปจากสถานการณ์ที่น่าอึดอัดนั้น เด็กหนุ่มกำลังคิดว่าพระเจ้าจะกลั่นแกล้งเขาไปถึงไหนกัน เขาหันหลังกลับไปมองพักหนึ่งและเห็นเจ้าของกล้องที่เพิ่งได้สติพยายามแย่งกล้องคืนจากกอร์ดอน

     พรึ่บ!

     อยู่ๆ ไฟก็ดับลง มีเพียงความมืดเข้าครอบคลุม นักศึกษาเริ่มพากันพูดคุยกันด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม เสียงกรี๊ดดังมาประปราย ส่วนเซปต์ในตอนนี้เนื้อตัวอ่อนปวกเปียก เหงื่อออกหนักกว่าเดิม ลมหายใจเริ่มติดขัด เด็กหนุ่มพยายามจะก้าวขาออก แต่ขาทั้งสองข้างกลับพับลง ร่างสันทัดที่ไร้เรี่ยวแรงร่วงลงบนพื้นในท่าชันเข่า มือทั้งสองข้างกุมหัวเอาไว้อย่างคนที่กำลังหัวเสีย ใช่แล้ว...เขากลัวความมืด

     ตึง

     เสียงเหมือนบางอย่างกระทบกับพื้นดังก้องหู ก่อนที่แสงไฟสลัวที่ถูกจุดจากโคมไฟซึ่งติดอยู่ตามผนังจะสว่างขึ้น เซปต์สูดหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนจะสังเกตเห็นว่าบรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนไป ทั้งประตู รั้วเหล็ก ลิฟต์ และของตกแต่งทุกอย่างหายไปจนหมด ถูกแทนที่ด้วยประตูสีแดงบานเดียวที่วางไว้สุดปลายห้อง

     “นักศึกษาทุกท่านโปรดอยู่ในความสงบ” ชายคนหนึ่งที่แต่งกายด้วยยูนิฟอร์มแบบเดียวกับพวกเขาว่าขึ้น ผู้คนที่พูดคุยเริ่มเงียบลง “ชื่อของฉันคือ อลัน โบริเนอร์ ฉันเป็นรุ่นพี่ปีสี่ นี่คือการทดสอบแรกจากทั้งหมดสองการทดสอบ ถ้าฉันเรียกชื่อใคร ช่วยมาทางนี้ด้วย”

     เสียงที่ไม่จำเป็นต้องใช้ไมโครโฟนก็ดังกังวานบวกกับภาพลักษณ์ที่ดึงดูดสายตา ทำให้เขาสามารถควบคุมทุกคนให้อยู่ในความเงียบได้อย่างง่ายดาย

     “ฟินดอร์ร่า ชาร์เวีย”

     “คนเยอะแยะ ทำไมต้องเป็นฉันคนแรกด้วยล่ะเนี่ย” เด็กสาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างๆ ซึ่งเซปต์คิดว่าน่าจะเป็นเจ้าของชื่อสบถกับตัวเอง เธอเป็นสาวตัวเล็กที่สูงแค่หน้าอกของเซปต์ เรือนผมหยักศกสีดำยาวถึงกลางหลัง นัยน์ตากลมโตสีเดียวกันที่ส่องประกายความซุกซนเอาไว้ ปากหนาอวบอิ่มที่กำลังส่งยิ้มให้กับผู้คนที่มองดูเธออยู่ เด็กสาวก้าวเดินออกจากที่ๆ เธอยืนอยู่ เซปต์รู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ทับลงมาบนเท้าของเขาอย่างจัง เขาหันไปหาตัวการที่เดินผ่านเขาไปอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว

     “นี่!” เด็กหนุ่มเดินตามเธอไป แต่เธอคนนั้นดูเหมือนจะยังไม่รู้ว่าเขากำลังเรียกเธออยู่ “นี่เธอ!”

     เซปต์ตัดสินใจคว้าแขนของเธอเอาไว้

     “ปล่อยฉันนะ ฉันกำลังรีบ”

     “ฉันไม่สนว่าเธอกำลังรีบ เธอต้องขอโทษฉัน” เซปต์มองเธอด้วยสายตาแน่นิ่ง

     “ว่าไงนะ”

     “ขอโทษฉันเดี๋ยวนี้” เซปต์ออกแรงบีบที่มือ

     “โอ๊ย! ฉันเจ็บนะ ปล่อยฉันสิ” ฟินดอร์ร่าพยายามแกะมือของเขาออก หากแต่มันไม่เป็นผล

     “ฉันจะปล่อยเธอ หลังจากที่เธอขอโทษฉัน”

     “แล้วทำไมฉันต้องขอโทษนายด้วย ฮะ” เด็กสาวเริ่มพูดด้วยเสียงที่ดังขึ้น นักศึกษาหลายคนที่อยู่ในบริเวณนั้นหันมามองก่อนจะหันไปซุบซิบกัน

     “ที่บ้านเธอไม่ได้สอนให้กล่าวขอโทษเวลาทำผิดหรือไง” เซปต์มองเธอด้วยสายตาที่ดุดันขึ้น

     “นี่มันจะมากเกินไปแล้วนะ ฉันไปทำอะไรให้นายไม่ทราบ”

     “เธอเหยียบเท้าฉัน”

     “ฉันไปทำแบบนั้นตอนไหน”

     “เธอกำลังจะบอกว่าเธอไม่ได้ทำงั้นเหรอ”

     ฟินดอร์ร่าไม่ตอบ เธอใช้รองเท้าส้นสูงเหยียบลงมาบนรองเท้าหนังของเขา เซปต์จำต้องปล่อยแขนของเธอเนื่องจากเสียหลัก

     “ฉันทำเอง ขอโทษ พอใจไหมยะ” ฟินดอร์ร่าแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เขาอย่างกวนประสาท ก่อนจะวิ่งออกไปด้วยความรวดเร็ว เซปต์ได้แต่กำมือแน่นพยายามควบคุมอารมณ์

 

     เคร้ง~

     แก้วที่อยู่ในมือคุณนายอลิซ่าร่วงลงมาบนพื้นอย่างไร้การควบคุม สีหน้าของเธอในตอนนี้ดูเหม่อลอยบวกกับโกรธแค้น มือทั้งสองข้างกำแน่น เจเรมี่มองภรรยาด้วยความเป็นห่วง ส่วนแอชลี่ย์นั่งก้มหน้าก้มตาอย่างเช่นทุกครั้ง

     “ว่าไงนะ เธอให้แหวนวงนั้นกับเจ้าเด็กนั่นเหรอ” คุณนายอลิซ่าตะโกน หน้าของเธอแดงด้วยฤทธิ์โกรธ “ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าให้ดูแลมันดีๆ แต่เธอกลับเอาไปให้ไอ้เด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้านั่น!”

     “ผม...”

     “ไม่ต้องมาขอโทษ ฉันไม่อยากฟัง”

     “ผมกำลังจะบอกว่า ผมจะไม่ขอโทษ เซปต์สมควรได้รับสิ่งนั้นนะครับแม่” แอชลี่ย์สบตาผู้เป็นแม่

     “แหวนนั่นมันเป็นของฉันมานานแล้ว ไม่ใช่ของไวโอล่าตั้งแต่ยัยนั่นตายไป” ความโกรธแปรเปลี่ยนเป็นความโศกเศร้า เธอหันไปหาสามีของเธอ “คุณจะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ ที่รัก”

     “เธอทำดีแล้วแอชลี่ย์” เจเรมี่ปลอบใจลูกชายที่นั่งอยู่ข้างๆ ด้วยการดึงเขามากอด

     “คุณว่ายังไงนะ! แหวนวงนั้นสำคัญกับฉันมากคุณก็รู้” อลิซ่าปล่อยให้น้ำตาไหลลงมา

     “ผมขอโทษอลิซ่า”

     “ถ้าเกิดคุณคิดว่าแหวนวงนั้นสมควรเป็นของไอ้เด็กนั่น แล้วคุณจะเอาชาเบลมาให้ฉันทำไม”

     “เพราะว่าผมกลัว” กลับเป็นฝ่ายเจเรมี่ที่ขึ้นเสียงบ้าง เขามองภรรยาด้วยสายตาอ่อนไหวและหวังว่าผู้หญิงคนนี้จะเข้าใจเขาบ้าง “ผมกลัวว่าเซปต์จะรู้ความจริงบางอย่าง”

     “ความจริงอะไรครับพ่อ” แอชลี่ย์ที่นั่งเงียบมานานถามขึ้น

     “ความจริงที่ว่าเซปต์ แตกต่างจากพวกเราทุกคน”

 

     “เซปต์ คาสร่า”

     ในที่สุดชื่อของเซปต์ก็ถูกขานหลังจากที่รอมาเป็นเวลานาน จากห้องที่เต็มไปด้วยนักศึกษาตอนนี้เหลืออยู่เพียงไม่กี่สิบคน เซปต์เดินไปหารุ่นพี่ที่ดูสงบเสงี่ยมเจ้าของเสียงดังกังวาน ด้านหน้าของเซปต์คือประตูสีแดงบานนั้น

     “พร้อมแล้วก็เปิดเข้าไปได้เลย” อลัน โบริเนอร์ว่า เซปต์เปิดประตูออกก่อนจะเดินเข้าไป เขาได้ยินเสียงหายใจของตัวเองดังขึ้นในทุกฝีก้าวที่เท้าสัมผัสกับพื้น ไม่นานนักเด็กหนุ่มก็รู้ตัวว่าเขายืนอยู่บนกลางเวทีขนาดใหญ่ ตรงหน้าคือผู้ชมสองคนที่ดูเหมือนจะเป็นคนตัดสิน

     “เซปต์ คาสร่า” หญิงสาวที่ใส่กระโปรงสั้นสีดำเอ่ยพร้อมกับมองเซปต์ตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างพิจารณา “ดูดีมากซะด้วย”

     “ที่เราต้องทำคือทดสอบพวกเขา ไม่ใช่มองว่าพวกเขาหน้าตาดีหรือเปล่า มากาเร็ต” ชายหนุ่มที่ดูสำอาง ผมสีดอกเลาของเขาถูกหวีและจัดทรงจนเรียบแปล้ท้วงขึ้น

     “โอ้ว นั่นสินะ ฉันก็แค่เบื่อที่จะมองลุคคุณชายของคุณซะเต็มประดาน่ะ อีธาน” พวกเขามองหน้ากันสักพัก เซปต์คิดว่าพวกเขาคงกำลังเล่นสงครามอารมณ์กันอยู่แหงม

     “เซปต์ คาสร่า เธอเห็นเหล็กที่อยู่ข้างๆ เธอไหม ภายในห้านาทีเธอต้องทำให้มันงอ” ชายหนุ่มหันหน้ากลับมาหาเซปต์อย่างไม่ใส่ใจคำพูดยียวนของเพื่อนร่วมงาน “แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เธอห้ามสัมผัสกับเหล็กนั่น ถ้าเธอทำได้ เธอก็จะผ่านเข้ารอบสอง เริ่มได้”

     นาฬิกาดิจิตอลสีทองที่ถูกยึดด้วยเหล็กซึ่งห้อยลงมาจากด้านบนแสดงตัวเลข 00.05.00 และเริ่มนับถอยหลังทันที เซปต์ยืนมองท่อนเหล็กที่ยาวประมาณต้นแขน เขายืนนิ่งพยายามใช้ความคิดว่าจะทำอย่างไรดี เวลาล่วงเลยไปจนกระทั่งนาฬิกาดิจิตอลหยุดลงที่ 00.01.00 นั่นหมายถึงเขามีเวลาเหลือเพียงนาทีเดียวเท่านั้น

     อยู่ๆ ประตูทางอีกฝั่งหนึ่งของห้องก็ถูกเปิดออกโดยชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่ง เขาอยู่ในชุดกางเกงยีนส์สีซีดที่ขาดเป็นวิ่นและปกปิดศีรษะตัวเองด้วยฮู้ดสีดำ ดูเหมือนอีธานกับมากาเร็ตจะไม่รู้ถึงการมาของเขา ทั้งสองยังคงจับจ้องอยู่ที่เซปต์ บรรยากาศภายในห้องเปลี่ยนไปทันตาเห็น เซปต์รู้สึกเย็นเข้าไปถึงกระดูก ชายคนนี้เป็นคนที่ดูทั้งเยือกเย็นและน่าเกรงขามในเวลาเดียวกัน

     “ห้า” อีธานยกนิ้วห้านิ้วขึ้นมาเพื่อย้ำให้รู้ว่าเขาเหลือเวลาอีกเพียงห้าวินาทีเท่านั้น

     “นี่ มีไม้ไหนก็งัดออกมาเลยเซ่” มากาเร็ตว่าพร้อมกับยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม แต่เซปต์ไม่เข้าใจที่เธอบอกเลยสักนิด

     “สี่” นิ้วของอีธานลดลงไปอีกนิ้ว

     “อย่าไปกดดันเขาสิ อีธาน” เธอหันไปเอ็ดเพื่อนร่วมงานจอมเจ้าระเบียบ มากาเร็ตมองเซปต์ด้วยสายตาที่ยังมีความหวัง หากแต่เขาตัดใจไปตั้งแต่สองนาทีแรกแล้ว

     งอเหล็กโดยไม่ให้แตะต้อง? ใครทำแบบนั้นได้ก็ไม่ใช่มนุษย์แล้ว

     “สาม”

     เซปต์หันไปสบตากับบุคคลที่สามที่เข้ามาในห้อง อะไรบางอย่างในคนๆ นี้ทำให้เซปต์ไม่สามารถละสายตาจากเขาไปได้ เซปต์รู้สึกคุ้นหน้าเหมือนเคยเจอกับชายหนุ่มที่ไหนมาก่อน

     “สอง”

     ชายร่างสูงเองก็หันมาสบตาเขาเช่นกัน ดวงตาเรียวยาวสีมรกตคู่นั้นทำให้เซปต์รู้สึกหวิวหลังอย่างบอกไม่ถูก

     “หนึ่ง”

     “มัวทำอะไรอยู่ รีบๆ จัดการเข้าซี่” มากาเร็ตตะโกนขึ้น เซปต์ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงดูหัวเสียนัก

     “หมดเวลา” อีธานชี้นิ้วไปที่ประตู “เสียใจด้วยนะ เธอไม่ผ่าน ออกไปได้”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา