The Esbelin's Hope ความหวังของชาวเอสเบลิน
2.7
เขียนโดย Pie_l2
วันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2556 เวลา 17.51 น.
9 chapter
3 วิจารณ์
12.95K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 20.00 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) ชาเบล
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ นิ้วยาวพรมลงไปบนคีย์เปียโนเกิดเป็นท่วงทำนองอันไพเราะ เด็กหนุ่มนามแอชลี่ย์ผู้เกิดมาเพรียบพร้อมพริ้มตาลงแต่มือของเขายังคงพรมลงไปบนเปียโนตัวโปรดอย่างต่อเนื่อง ทุกครั้งที่เขารู้สึกไม่ดี เสียงเปียโนเป็นเสียงเดียวที่ทำให้เขารู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง
บทเพลงยังคงดำเนินต่อไป เสียงของมันดังไปรอบบริเวณบ้าน เพลงที่ทุกคนคุ้นเคยกันดีในชื่อของ ‘The Amazing Grace’ เด็กหนุ่มฮำเพลงไปด้วยหากแต่เจ้าตัวกลับเหม่อลอย และแล้วท่วงทำนองอันไพเราะก็ได้ปิดฉากลง แอชลี่ย์มองแหวนที่ตนใส่อยู่พลางนึกถึงเรื่องเมื่อสามปีก่อน
“สุขสันต์วันเกิดนะแอชลี่ย์” ผู้เป็นแม่ที่เพิ่งเข้ามาในห้องของเด็กหนุ่มว่า “แม่ขอโทษนะที่ไม่ได้เตรียมอะไรให้ ช่วงนี้แม่ยุ่งๆ น่ะ ไว้แม่จะซื้อให้วันหลังนะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่อยากได้อะไร” แอชลี่ย์บอกกับแม่อย่างถ่อมตน และแน่นอนว่ามันเป็นหนึ่งในมารยาทที่เขาได้ถูกสั่งสอนมาเป็นอย่างดี
“ไม่เอาน่า อยากได้อะไรก็บอกแม่สิ” อลิซ่าว่าพร้อมกับมองหน้าลูกชายของตนที่อายุครบสิบห้าแล้ว
“อะไรก็ได้เหรอครับ”
“จ้ะ อะไรก็ได้”
“ถ้าอย่างนั้น...” แอชลี่ย์จ้องมองแหวนที่ผู้เป็นแม่ใส่อยู่ นั่นเป็นสิ่งที่เขาอยากได้มานานแล้ว “ผมขอแหวนวงนั้นได้ไหมครับ”
“เอ่อ...” อลิซ่าดูมีท่าทางลำบากใจเล็กน้อย
“ไม่เป็นไรครับ ถ้าแม่ไม่อยากให้...”
“ไม่จ้ะ แม่จะให้” ว่าแล้วหญิงสาวก็ถอดแหวนวงนั้นออกมาจากนิ้วของเธอก่อนจะสวมมันลงไปในนิ้วของลูกชายที่ดูเหมือนจะหลวมเล็กน้อย “แต่ว่ามีอย่างหนึ่งที่แม่ต้องบอก ลูกสัญญาได้ไหมว่าจะไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกกับเซปต์”
“ครับ” ถึงเขาจะไม่เข้าใจสถานการณ์นัก แต่เด็กหนุ่มเชื่อว่าแม่ของเขาต้องมีเหตุผลดีๆ สักข้อที่อยากให้เขาปิดบังเรื่องนี้เอาไว้
“แหวนวงนี้คือแหวนที่พ่อใช้เป็นแหวนในงานพิธีแต่งงานของพ่อกับแม่”
“เรื่องนั้นผมรู้ครับ แล้วมันไปเกี่ยวกับเซปต์ตรงไหน” แอชลี่ย์ขมวดคิ้วเข้าหากัน เป็นภาพที่หาดูได้ยากจากเด็กหนุ่มที่แสนจะฉลาดผู้นี้
“แม่ของเซปต์เป็นคนให้แหวนวงนี้กับพ่อ” สีหน้าของอลิซ่าดูเปลี่ยนไปจากคนที่เด็กหนุ่มเคยรู้จัก เขาสังเกตเห็นความรังเกียจอันรุนแรงบวกกับความอิจฉาริษยาในแววตาของคนเป็นแม่
“แล้วทำไมแม่ไม่เอาไปคืนเซปต์ แม่เก็บแหวนวงนี้ไว้ทำไม” ผู้เป็นลูกดูจะไม่พอใจเล็กน้อยกับสิ่งที่เพิ่งรับรู้
“แม่ไม่ได้ขโมยมันมา แม่ได้มันมาโดยชอบธรรม นั่นหมายถึงแม่มีสิทธิ์ที่จะเก็บมันเอาไว้ ยังไงก็ตามแหวนวงนี้สำคัญกับแม่มาก เพราะฉะนั้นรักษามันไว้ดีๆ” หญิงสาวกุมมือลูกชายเอาไว้แน่น “แม่เชื่อใจเธอนะ อย่าบอกเรื่องแหวนให้เซปต์รู้เด็ดขาด”
ป๊อก
เสียงเหมือนอะไรบางอย่างกระทบกันดังขึ้นที่หน้าต่าง เซปต์เก็บข้าวของต่อไปอย่างไม่ได้ใส่ใจ
ป๊อก
มันดังขึ้นอีกครั้ง แต่เด็กหนุ่มก็ยังคงไม่สนใจ
ป๊อก
เซปต์จำต้องเดินไปเปิดผ้าม่านดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ สิ่งที่เขาเห็นคือลูกแก้วสามลูกที่วางระเนระนาดอยู่ตรงระเบียง เขาเปิดประตูเพื่อออกไปดูสถานการณ์ให้แน่ชัด
“เซปต์!” เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นจากถนนด้านล่าง เซปต์ไม่จำเป็นต้องปราดตามองก็รู้ว่าเป็นใคร เขาทำเป็นไม่ได้ยินก่อนจะเดินเข้าไปในห้องนอน “ถ้านายไม่ลงมา ฉันก็จะขึ้นไป ฉันจะรอจนกว่านายจะออกมาคุยกับฉัน!”
มือที่ค้างอยู่ที่ลูกบิดชะงักกึกเมื่อได้ยินประโยคนั้น เซปต์เดินออกมาที่ระเบียงอีกครั้ง ก่อนจะเหวี่ยงตัวเองลงมาจากระเบียงชั้นสองนั้น ร่างที่แข็งแรงทิ้งตัวลงมาอย่างรวดเร็วก่อนจะหยุดลงบนพื้นด้วยท่วงท่าที่สง่างาม
“ว้าว เท่ห์จังเลย” เด็กสาวผู้มีแต่รอยยิ้มเอ่ยขึ้นพร้อมกับปรบมือแปะๆ เธอคนนี้ก็คือ แอนเจลิก้า สควีนนี่ หรือแอนจี้นั่นเอง ผมของเธอยังคงถูกรวบเป็นแกละเอาไว้สองข้างอย่างเคย เธออาจจะดูน่ารักสำหรับใครหลายๆ คน แต่ช่วงเวลาสิบเก้าปีที่เขาเผชิญโลกมา ไม่มีคำว่าน่ารักในหมู่ผู้หญิงสำหรับคนอย่างเซปต์ มีแต่คำว่า ‘น่ารำคาญ’ หรือบางทีอาจจะเป็นความผิดของเขาที่ไม่เคยสนใจผู้หญิงเลยแม้สักครั้ง
“มีอะไรก็รีบๆ พูดมา”
“ฉันแค่อยากให้ของบางอย่างกับนาย ก่อนที่นายจะไปจากที่นี่น่ะ” แอนจี้ทำท่าทางขวยเขินก่อนจะเดินเข้ามาประชิดตัวเซปต์ และนั่นทำให้เขาสงสัยว่าตัวเองคิดผิดหรือเปล่าที่ลงมาอยู่ตรงนี้ เซปต์เดินถอยหลังสามก้าวและแบมือออกเป็นเชิงบอกให้เอาของที่ว่านั้นให้เขาเสียที
“นายก็ยังใจร้ายเหมือนเดิมนั่นแหละ” เด็กสาวเสมองไปทางอื่น ก่อนจะหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อและใส่มันไว้ในมือของเขา “ถือซะว่าเป็นเครื่องรางแล้วกัน รักษามันไว้ดีๆ ล่ะ”
เซปต์สำรวจของที่อยู่ในมือตัวเอง มันคือสร้อยเงินรูปหัวใจนั่นเอง ซึ่งมันไม่ได้อยู่เหนือการคาดเดาของเขาเลยสักนิด ผู้หญิงมักจะให้อะไรแบบนี้กับเขาเสมอ และสิ่งสุดท้ายที่เขาจะทำกับมันก็คือการยกให้ใครสักคน มันช่างงี่เง่าสิ้นดีในสายตาของเขา
“เซปต์ ฉันชอบนายจริงๆ นะ” แอนจี้ฉุดเสื้อของเขาเอาไว้เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะเดินเข้าไปในบ้าน
“ฉันได้ยินคำพูดแบบนี้จากผู้หญิงหลายคนจนฉันเบื่อแล้ว” เซปต์มองเด็กสาวด้วยแววตาที่ไร้ความรู้สึกยิ่งนัก “ฉันไม่เคยพูดแบบนี้กับใคร แต่ฉันจะพูดกับเธอเป็นคนแรก”
อยู่ๆ แอนจี้ก็หน้าแดงขึ้นมา รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าจิ้มลิ้มของเธออีกครั้ง
“เธอเป็นผู้หญิงที่น่ารำคาญที่สุดในสายตาของฉัน” นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายก่อนที่เซปต์จะหันหลังให้กับเด็กสาวผู้น่าสงสารที่กำลังยืนทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่เขาเคยรู้จักได้เปลี่ยนเป็นเด็กสาวหน้าตาดีคนหนึ่ง ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว รวมถึงความรู้สึกที่เขามีให้กับเธอ จากน้องสาวคนหนึ่งที่เขาเคยรักและหวงแหน ตอนนี้เธอเหมือนกับคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักกันอีก เพียงเพราะคำพูดคำนั้นที่เธอพูดออกมา บางทีที่คนชอบพูดว่าเขาทำร้ายจิตใจคนเก่ง อาจจะจริงก็ได้
บุคคลแรกที่เด็กหนุ่มเห็นเมื่อเข้ามาในบ้านคือแอชลี่ย์ที่กำลังเล่นเปียโนคู่ใจของตนอยู่ เซปต์ยืนฟังอยู่สักพักเจ้าตัวก็เหมือนจะรู้ว่ามีคนกำลังมองอยู่ แอชลี่ย์หันหน้ามาหาเขาแล้วมองด้วยสีหน้างงงวย
“นายมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่สิ นายลงมาข้างล่างตั้งแต่เมื่อไหร่” น้องชายเพียงคนเดียวของเขาถามขึ้นด้วยน้ำเสียงแปลกใจ เซปต์คิดว่าถ้าเล่าถึงเรื่องที่ตนกระโดดลงมาจากชั้นสองคงทำให้หนุ่มน้อยตรงหน้าเป็นลมไปก็ได้
“นานแล้วที่ฉันไม่ได้ยินนายเล่นเปียโน” เซปต์เดินเข้าไปใกล้แอชลี่ย์ ก่อนจะหยิบสร้อยที่อยู่ในมือคล้องไปที่คอของผู้เป็นน้อง
“นายให้ฉันเหรอ” แอชลี่ย์หยิบจี้รูปหัวใจขึ้นมาสำรวจ
“มันเป็นเครื่องลาง”
“ถึงจะดูไม่เหมาะที่คนอย่างนายจะให้ของแบบนี้กับฉันก็เถอะ ขอบคุณมากนะ” เด็กหนุ่มยิ้มพรายพร้อมกับถอดแหวนที่นิ้วของตนและยัดมันไว้ในมือของเขา
“นี่มัน...” เซปต์มองแหวนในมือด้วยความตกใจ มันคือแหวนที่คนในตระกูลฮัทสเบิร์กรู้จักกันดีในนามของ ‘ชาเบล’ แหวนที่ใช้ในงานอภิเษกสมรสของนายเจเรมี่และอลิซ่า ภรรยาคนปัจจุบันของเขา “นายเอามันคืนไป”
“นายนั่นแหละเอามันคืนไป ฉันแค่คืนในสิ่งที่เป็นของนาย” แอชลี่ย์กระแอมเล็กน้อย “แม่ฉันไม่ให้บอกเรื่องนี้กับนาย แต่ฉันคิดว่านายควรจะรู้เอาไว้ แหวนวงนี้ความจริงไม่ได้เป็นของแม่ฉันหรอก มันเป็นของแม่นายที่ให้ไว้กับพ่อและถูกใช้ในงานแต่งงานน่ะ แม่ฉันให้แหวนวงนี้เมื่อตอนที่ฉันอายุครบ 15 ปี แต่ฉันไม่คิดว่าแหวนวงนี้มันคู่ควรกับฉันนักหรอก ฉันคิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่จะคืนให้กับผู้ที่มีสิทธิ์ครอบครองมันจริงๆ”
“ขอบคุณ” นานๆ ทีคำว่าขอบคุณที่ถูกเอื้อนเอ่ยออกมาจากปากของเซปต์จะออกมาจากใจจริง และครั้งนี้เป็นหนึ่งในนั้นด้วยเช่นกัน เซปต์มองแหวนที่อยู่ในมือด้วยความรู้สึกแปลกใจ มันเป็นแหวนเหล็กที่ค่อนข้างใหญ่ หัวแหวนเป็นคล้ายๆ ลูกแก้วลูกเล็กๆ ที่มีสารสีขาวอยู่ข้างใน แว่บหนึ่งที่เขาเห็นเหมือนสารสีขาวนั้นขยับไปมา แต่แล้วมันก็หยุดลง เซปต์รู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างในตัวของเขาที่ได้หยุดทำงานมาเป็นเวลานานเริ่มทำงานใหม่อีกครั้ง ความรู้สึกนี้มัน...อะไรกัน
รถลีมูซีนคันสีดำจอดลงด้านหลังตัวอาคารใหญ่ ภายในรถมีชายวัยกลางคนที่ทุกคนรู้จักกันในชื่อของ เจเรมี่ ฮัทสเบิร์ก นั่งอยู่ ลูกชายคนโตที่ไม่มีผู้ใดรู้จักก็นั่งอยู่ในนั้นด้วยเช่นกัน ทั้งคู่เงียบจนกระทั่งคนเป็นพ่อเริ่มการสนทนา
“เธอรู้ใช่ไหมว่านับตั้งแต่ก้าวแรกที่เธอก้าวออกไปจากรถคนนั้น เธอไม่ใช่ เซปต์ ฮัทสเบิร์ก แต่เธอคือ เซปต์ คาสร่า”
“รีบกลับไปก่อนที่จะมีคนมาเห็นทนายชื่อดังที่มาส่งเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างผมดีกว่านะ” เซปต์ว่าก่อนจะปลดล็อคประตูรถ
“นี่มันไม่เกี่ยวกับเรื่องนั้นเลย เซปต์” คนเป็นพ่อพยายามอธิบาย
“ถ้างั้นทำไมเราถึงต้องเข้าจากด้านหลังมหาวิทยาลัยด้วย” เด็กหนุ่มมองพ่อของเขาตาขวาง
“เธอกำลังโกรธอะไรฉันอยู่ใช่ไหม” เจเรมี่คว้าแขนของลูกชายเอาไว้
“แล้วทำไมคุณถึงคิดว่าผมจะโกรธ ถ้าคุณไม่ได้ทำอะไรให้ผมโกรธ” เซปต์ตอบเสียงนิ่ง
“ชาเบล...เธอได้มันไปแล้วสินะ” ทนายชื่อดังจ้องมองแหวนที่อยู่บนนิ้วเรียวยาวของบุตรชาย
“คุณจะเอามันคืนไหมล่ะ” เซปต์ไม่รอช้า เขาพยายามดึงแหวนเหล็กที่ใส่อยู่ออก หากแต่มันไม่เป็นผล
“อย่าพยายามเลย” เจเรมี่จับมือของเซปต์ขึ้นมา “เธอจะถอดมันได้ก็ต่อเมื่อเธอกำลังจะสิ้นใจเท่านั้นล่ะ”
เซปต์รีบสะบัดข้อมือของตัวเองออกจากมือของพ่อทันที
“เดิมทีแล้วแหวนวงนี้เป็นของไวโอล่า เธอได้ให้กับฉันไว้ก่อนที่เธอจะสิ้นลม” คนเป็นพ่ออธิบายต่อ “แหวนวงนี้ไม่มีผลกับแอชลี่ย์ นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงให้มันกับเธอได้”
“ทำไม” คิ้วของเซปต์โก่งงอเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจ
“แอชลี่ย์กับเธอแตกต่างกัน”
ยิ่งคนเป็นพ่อพยายามพูดมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งไม่เข้าใจมากเท่านั้น
“ฉันคิดว่าฉันพูดมากไม่ได้ คำตอบทุกอย่างอยู่ที่นี่แล้ว ฉันจัดเตรียมทุกอย่างให้แล้ว ส่วนนี่กุญแจบ้านของเธอ” เจเรมี่ยื่นกุญแจดอกหนึ่งให้เขา เซปต์รับมันไว้และยัดมันลงไปในกระเป๋ากางเกง “มีอะไรก็โทรมาได้เสมอ”
“แล้วผมจะติดต่อไป” เซปต์เปิดประตูรถแล้วก้าวลงจากรถ ลีมูซีนคันสีดำค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไปช้าๆ
วันนี้เซปต์อยู่ในชุดยูนิฟอร์มของมหาวิทยาลัย ‘ฟราดิโอ’ ซึ่งเป็นเสื้อเชิ้ตสีดำที่ถูกสวมทับด้วยสูทสีขาวตัวยาวอีกทีหนึ่ง กางเกงผ้าสีเดียวกันยาวจนถึงข้อเท้า เข็มกลัดที่มีชื่อของเขาสลักอยู่ถูกติดไว้ที่ด้านขวามือของชุดสูท ทางด้านซ้ายเป็นตราสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัย รองเท้าหนังสีขาวที่ได้รับการดูแลอย่างดีจากเจ้าของดูจะเข้ากับยูนิฟอร์มชุดนี้ได้ดีทีเดียว
เด็กหนุ่มกวาดสายตามองตึกสูงที่ถูกประดับประดาด้วยกระจกเงาซึ่งไม่สามารถมองเห็นด้านในได้จากด้านนอกนี้ หน้าตึกเขียนเอาไว้ว่า ‘Faculty Of Architecture & Engineering’ เซปต์ขมวดคิ้วเข้าหากัน เขาไม่เห็นตึกอื่นๆ เลยนอกจากตึกนี้
“ขอโทษนะครับ” เซปต์เดินเข้าไปถามชายชราที่กำลังกวาดเศษใบไม้ด้วยท่าทางทุลักทุเล บางทีอาจเป็นเพราะเขาแก่มากแล้วก็เป็นได้ “ไม่ทราบว่าตึกคณะวิทยาศาสตร์อยู่ทางไหน”
“เจ้าหนุ่มเอ้ย เธอน่ะตาบอดหรือยังไง” ชายชราที่ดูเหมือนจะเป็นภารโรงเหน็บ “มันก็อยู่ด้านหลังตึกคณะสถาปัตยกรรมนั่นแหละ ใครใช้ให้เธอเข้าทางด้านหลังล่ะ”
เซปต์ก้มตัวลงเล็กน้อยเป็นการขอบคุณ
“พ่อหนุ่มน้อย” ชายชราเรียกเขาเอาไว้ “แม่ของเธอน่ะเป็นยังไงบ้างล่ะ”
เซปต์หรี่ตามองภารโรงชราอย่างสงสัยในตัวคนๆ นี้ แต่แล้วเขาก็เลือกที่จะตอบส่งเดช ยังไงซะก็คงเป็นแค่คนแก่ที่เริ่มจะเลอะเลือนแล้วเท่านั้น
“ท่านสบายดี”
“งั้นเหรอ” ชายชรายิ้มที่มุมปากเล็กน้อย “แล้วเจอกันพ่อหนุ่ม”
ว่าแล้วแกก็หันหลังเดินจากไป เซปต์มองแผ่นหลังที่ค่อยๆ ไกลออกไปช้าๆ เด็กหนุ่มเริ่มทำการเดินหาตึกคณะวิทยาศาสตร์อีกครั้ง เขาเดินไปด้านหลังตึกคณะสถาปัตยกรรมตามคำแนะนำของชายชรา และได้พบกับตึกที่เล็กกว่า ‘Faculty Of Business Administration & Accounting’ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เขาไม่เห็นตึกนี้ตั้งแต่แรก เพราะตึกคณะสถาปัตยกรรมดูจะเป็นตึกที่สูงที่สุด และระยะห่างระหว่างตึกก็ดูจะไม่ใช่น้อยๆ เซปต์เข้าใจในทันทีว่าเขาจะหาเป้าหมายเจอได้อย่างไร
เด็กหนุ่มเดินไปตามทางและพบกับตึกอีก 4 ตึกที่มีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ ตามลำดับ อันได้แก่ ‘Faculty Of Political Science’ ‘Faculty Of Law’ ‘Faculty Of Humanities’ ‘Faculty Of Medicine & Psychological’ และแล้วเซปต์ก็เดินมาถึงหน้ามหาวิทยาลัย เขาหันไปดูตึกสุดท้ายที่มีตัวหนังสือเขียนไว้ว่า ‘Faculty Of Science’ ซึ่งเป็นตึกที่เล็กที่สุดและดูเหมือนจะมีแค่ 5 ชั้นเท่านั้น ที่แปลกคือตัวตึกที่ถูกสร้างจากหินอ่อนแทนที่จะเป็นกระจกเหมือนกับตึกคณะอื่นๆ
“เขาว่ากันว่าคณะวิทยาศาสตร์เป็นคณะอาถรรพ์น่ะ” เสียงของเด็กสาวที่กำลังคุยอยู่กับเพื่อนของเธอดังเข้ามาในโสตประสาท
“อาถรรพ์ยังไงเหรอ”
“ทุกๆ 2-3 ปีจะมีนักศึกษาจากคณะอื่นที่เข้าไปในตึกของคณะวิทยาศาสตร์แล้วออกมาไม่ได้น่ะสิ” เจ้าหล่อนคุยโวอย่างออกรส “พวกเขาส่งคนเข้าไปหาแต่ก็ไม่มีใครพบร่องรอยของนักศึกษาพวกนั้นเลยล่ะ”
“ว้าววว~” เพื่อนของเด็กสาวดูเหมือนจะจิตใจไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัว และเซปต์เชื่อว่าเธอไม่ได้ฟังในสิ่งที่เพื่อนของเธอพูดเมื่อครู่เลย เพราะบัดนี้เธอกำลังยืนสบตากับเซปต์อยู่นั่นเอง
“เธอเป็นอะไรไปน่ะ” เด็กสาวมองตามเพื่อนของเธอมายังเขา ก่อนจะมีสภาพไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก “ว้าววว~”
เซปต์ตัดสินใจเดินเข้าไปในตึกอย่างไม่ใส่ใจพวกผู้หญิงที่พากันมองเขาด้วยสายตาที่แสนจะน่าขนลุกนั่น ภายในตัวอาคารดูโล่งโจ้งไร้ซึ่งการตกแต่ง มีเพียงลิฟต์สี่ตัวที่ตั้งอยู่ตรงหน้า เซปต์ยื่นมือไปกดปุ่ม ลิฟต์เปิดออกทันที เซปต์ย่างกรายเข้าไปและกดปุ่มหมายเลข 5
ลิฟต์เคลื่อนตัวขึ้นช้าหรือบางทีอาจจะเร็ว แต่เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนว่ามันไม่ได้ขยับไปไหนเลย ไม่นานนักมันก็หยุดลงพร้อมกับเลื่อนออก สิ่งแรกที่เขาเห็นคือป้ายขนาดใหญ่มีข้อความว่า ‘ยินดีต้อนรับเข้าสู่คณะวิทยาศาสตร์’ อย่างที่สองที่ไม่ต้องสังเกตก็รับรู้ได้ถึงจำนวนของนักศึกษาที่เยอะมากเสียจนยากแก่การก้าวเดิน เด็กหนุ่มเริ่มสงสัยว่าเขากำลังอยู่ในมหาวิทยาลัยหรือฮอลล์ที่จัดแสดงสินค้ากันแน่ เขาจึงออกมาจากลิฟต์และเลือกที่จะเดินเลี่ยงผู้คน
“หยุดสิโว้ย! หยุด ฉันบอกให้หยุดไงเล่า!” เสียงโหวกเหวกดังขึ้น ก่อนที่เขาจะเห็นชายคนหนึ่งวิ่งผ่านเขาไป ลางสังหรณ์ของเซปต์บอกให้รู้ว่าต้องวิ่งตามชายผู้นั้นไป เหยื่อที่เคลื่อนไหวอยู่ด้านหน้าวิ่งไม่เร็วเท่าไรนัก แต่ด้วยระยะห่างที่ค่อนข้างมากจึงทำให้เจ้าตัววิ่งตามไม่ทันเสียที เด็กหนุ่มตัดสินใจหยุดวิ่ง เขาคว้ากระป๋องน้ำอัดลมจากมือของเด็กสาวที่กำลังจะเปิดมันออก เซปต์คำนวนระยะทางก่อนส่งกระป๋องน้ำอัดลมไปตามแรงเตะ มันลอยหลุนๆ ไปด้านหน้า และ...
ป๊อก!
หยุดลงกลางหัวของชายผู้นั้นพอดี ผู้คนเริ่มโห่ร้องด้วยความตกใจปนแปลกใจ เซปต์เองก็เพิ่งสังเกตว่ามีคนมองเขามากขนาดนี้ หากแต่เด็กหนุ่มที่ชินกับการถูกจับจ้องไม่ได้สนใจผู้คนเลยแม้แต่น้อย
“ฉันจะซื้อน้ำอัดลมคืนให้เธอ” เซปต์บอกกับเด็กสาวที่บัดนี้ยืนมองเขาด้วยสายตาพิศวาส เธอส่งสายตาวิ๊งๆ ใส่เขาสองสามที “ฉันเปลี่ยนใจแล้ว เธอไปซื้อเอาเองก็แล้วกัน”
ว่าแล้วเซปต์ก็เดินไปดูอาการของผู้เคราะห์ร้ายที่ดูจะไม่น่าสงสารสักเท่าไหร่ ดูท่าจะไม่มีร่องรอยการบาดเจ็บใดๆ แต่คงสร้างแผลใหญ่ในใจของผู้บาดเจ็บไม่ใช่น้อย ชายผู้นั้นนอนสลบไม่ไหวติงอยู่บนพื้น ในมือของเขามีกล้องดิจิตอลรุ่นใหม่ล่าสุด เซปต์แงะมันออกมาจากมือของเขา แต่ยังไม่ทันที่เด็กหนุ่มจะเปิดมันดูข้อมูลข้างใน มือหนึ่งก็ฉกมันไปจากเขาเสียแล้ว
“ขอบใจมาก” เด็กหนุ่มกล่าวขึ้นพร้อมกับยิ้มอย่างเป็นมิตรให้กับเซปต์ เขาเป็นเด็กหนุ่มที่มีเรือนผมสีทอง ดวงตาสีน้ำเงินเข้มที่แฝงไว้ด้วยความเจ้าเล่ห์ ผิวสีแทน ตัวสูงกว่าเซปต์นิดหน่อย รูปร่างกำยำนั้นบ่งบอกให้รู้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้ต้องผ่านอะไรมาไม่มากก็น้อย เซปต์รู้ได้ในทันทีว่าเด็กหนุ่มคนนี้คือเจ้าของเสียงโหวกเหวกเมื่อครู่นี้ “ไม่ได้นายคงแย่น่าดู”
“กล้องนั่น...” เซปต์ยังคงติดใจเรื่องกล้องดิจิตอลนั้นอยู่
“อ๋อ กล้องนี่น่ะ ไม่ใช่ของฉันหรอก ของเจ้านั่นน่ะแหละ” หนุ่มผิวแทนชี้ไปที่ชายผู้ที่นอนสลบอยู่ “แต่ว่ารูปภาพในนี้น่ะ ดันมีภาพของฉันอยู่ด้วย และเผอิญว่าฉันไม่ชอบให้ใครมาถ่ายรูปของตัวเองซี้ซั้วซะด้วยน่ะสิ”
“เอาเป็นว่าฉันจะไม่ถามก็แล้วกันว่ามันเป็นภาพอะไร” เซปต์ว่าพร้อมกับเสมองไปทางอื่น เขาเป็นคนไม่ค่อยชอบรับรู้เรื่องของคนอื่นสักเท่าไหร่ “ฉันไปก่อนแล้วกัน”
“เฮ้ๆๆ เดี๋ยวก่อนสิ เดี๋ยวก่อน” เด็กหนุ่มรั้งเซปต์เอาไว้ ก่อนจะเปิดกล้องดิจิตอลที่ตัวเองถืออยู่ “ในฐานะที่นายช่วยฉันเอาไว้ ฉันจะให้นายดูก็ได้ ความจริงแล้วมันก็ไม่ได้มีอะไรมากนักหรอก ก็แค่รูปภาพที่ฉัน...”
เจ้าตัวยื่นกล้องมาให้เซปต์ดู มันเป็นภาพเด็กหนุ่มผมทองกับเด็กสาวอีกคนหนึ่งที่กำลังพูดคุยกันอยู่ เซปต์ดันมันกลับไปให้เจ้าตัว
“แล้วไง”
“ก็นี่ไงล่ะ” เด็กหนุ่มเลื่อนไปที่ภาพถัดไป ซึ่งเป็นภาพเจ้าตัวกำลังแลกเบอร์โทรศัพท์กับสาวอีกคนหนึ่ง และในภาพถัดๆ ไปก็เป็นภาพแนวๆ เดียวกัน เพียงแต่หน้าของสาวในแต่ละภาพไม่ซ้ำกันเลยสักคน เซปต์พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเจ้าหนุ่มคนนี้ถึงไม่อยากให้ภาพพวกนี้ลอยนวลออกไป
“นายกำลังจะบอกว่า...” เซปต์ใช้ปลายรองเท้าสะกิดชายคนที่ยังคงนอนหลับไม่ได้สติ “เจ้านี่คือช่างภาพของฟราดิโองั้นเหรอ”
“ปิ๊งป่อง!” เด็กหนุ่มดีดนิ้วดังเปราะ “หรือเรียกง่ายๆ ว่าปาปารัซซี่นั่นแหละ พวกสอดรู้สอดเห็นเรื่องของชาวบ้านเขาน่ะ”
เซปต์รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังอารมณ์เสีย เขาหนีมาจากสังคมที่วุ่นวาย แต่ดูเหมือนเขาจะคิดผิดที่มาที่นี่ จะว่าไปแล้วเขาแทบไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับมหาลัยฯ นี้เลย แค่เขาบอกว่าจะย้ายมาอยู่นอกเมือง ผู้เป็นพ่อก็ตระเตรียมทุกอย่างให้ รวมถึงมหาวิทยาลัยฟราดิโอแห่งนี้และคณะวิทยาศาสตร์นี้ด้วย นายเจเรมี่ย้ำนักย้ำหนาว่าจะต้องเป็นคณะนี้เท่านั้น และแน่นอนว่าเขาไม่สามารถคัดค้านคำสั่งประกาศิตของท่านพ่อได้ ที่เขาได้รับอนุญาติออกมาจากบ้านหลังนั้นก็นับว่าเป็นบุญโขแล้วสำหรับเซปต์
“ว่าแต่นายชื่ออะไรน่ะ” เด็กหนุ่มผมทองถามพร้อมกับยิ้มร่า เผยให้เห็นเขี้ยวเล็กๆ ที่ถ้าดูผ่านๆ อาจจะไม่เห็น เจ้าตัวยื่นมือมาให้เขาเป็นเชิงทักทายอย่างเป็นทางการ “ฉันกอร์ดอน เวย์มส์”
“เซปต์ คาสร่า” เซปต์ยื่นมือออกไปเชคแฮนด์กับกอร์ดอน
“นี่ๆๆ นายรู้ใช่ไหมว่าไม่ใช่ทุกคนที่นี่จะสามารถเข้าเรียนในคณะนี้ได้”
“หมายความว่ายังไง” เซปต์ขมวดคิ้วเป็นรอบที่ร้อยของวัน มีแต่เรื่องที่เขาไม่รู้ทั้งนั้น และเขาไม่ชอบมันเอาเสียเลย
“ก็หมายความว่า นายจะต้องผ่านบททดสอบบางอย่างถึงจะได้เข้าคณะนี้ยังไงล่ะ” กอร์ดอนอธิบาย “แต่ไม่ใช่ทุกคณะหรอกนะ แค่คณะนี้เท่านั้นน่ะ”
“แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับคนที่ไม่ผ่านการทดสอบ” เซปต์เริ่มกังวลใจ เขาไม่อยากจะจินตนาการถึงภาพของตัวเองเดินกลับเข้าไปในบ้านหลังเดิมนั้น และดูเหมือนเขาจะเป็นคนเดียวที่ไม่รู้เรื่องนี้ เพราะนักศึกษากว่าครึ่งมีหนังสือเกร็งข้อสอบอยู่ในมือ
“ก็แค่ต้องหามหาลัยฯ ใหม่ หรืออาจจะถูกเด้งไปอยู่คณะอื่น ขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละคน” กอร์ดอนตอบด้วยท่าทางสบายใจเฉิบ ก่อนจะหันไปสนใจภาพในกล้องดิจิตอลต่อ
“เฮ้ นี่ใช่ภาพนายหรือเปล่า!” กอร์ดอนยื่นกล้องให้เขาดูอีกรอบ เซปต์ผงะไปชั่วครู่เมื่อเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า เขาสาบานได้ว่าไม่มีสิ่งใดที่อาจจะทำให้เขาตกใจได้มากเพียงนี้ ภาพของเซปต์ที่นั่งอยู่ในรถกับทนายชื่อดัง เจเรมี่ ฮัทสเบิร์ก เซปต์พยายามรวบรวมสติทั้งหมดกลับคืนมา ก่อนจะกดปุ่มดีลีทภาพนั้นออก แต่ภาพถัดไปกลับเป็นภาพที่ไม่ได้แตกต่างจากภาพเดิมนัก เซปต์พยายามจะกดปุ่มดีลีทอีกครั้ง แต่กอร์ดอนฉวยกล้องไปจากเขาเสียก่อน
“นาย...” กอร์ดอนมองเขาด้วยสายตาจับผิด “มีความสัมพันธ์แบบไหนกับเจเรมี่ ฮัทสเบิร์กกันแน่”
บทเพลงยังคงดำเนินต่อไป เสียงของมันดังไปรอบบริเวณบ้าน เพลงที่ทุกคนคุ้นเคยกันดีในชื่อของ ‘The Amazing Grace’ เด็กหนุ่มฮำเพลงไปด้วยหากแต่เจ้าตัวกลับเหม่อลอย และแล้วท่วงทำนองอันไพเราะก็ได้ปิดฉากลง แอชลี่ย์มองแหวนที่ตนใส่อยู่พลางนึกถึงเรื่องเมื่อสามปีก่อน
“สุขสันต์วันเกิดนะแอชลี่ย์” ผู้เป็นแม่ที่เพิ่งเข้ามาในห้องของเด็กหนุ่มว่า “แม่ขอโทษนะที่ไม่ได้เตรียมอะไรให้ ช่วงนี้แม่ยุ่งๆ น่ะ ไว้แม่จะซื้อให้วันหลังนะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่อยากได้อะไร” แอชลี่ย์บอกกับแม่อย่างถ่อมตน และแน่นอนว่ามันเป็นหนึ่งในมารยาทที่เขาได้ถูกสั่งสอนมาเป็นอย่างดี
“ไม่เอาน่า อยากได้อะไรก็บอกแม่สิ” อลิซ่าว่าพร้อมกับมองหน้าลูกชายของตนที่อายุครบสิบห้าแล้ว
“อะไรก็ได้เหรอครับ”
“จ้ะ อะไรก็ได้”
“ถ้าอย่างนั้น...” แอชลี่ย์จ้องมองแหวนที่ผู้เป็นแม่ใส่อยู่ นั่นเป็นสิ่งที่เขาอยากได้มานานแล้ว “ผมขอแหวนวงนั้นได้ไหมครับ”
“เอ่อ...” อลิซ่าดูมีท่าทางลำบากใจเล็กน้อย
“ไม่เป็นไรครับ ถ้าแม่ไม่อยากให้...”
“ไม่จ้ะ แม่จะให้” ว่าแล้วหญิงสาวก็ถอดแหวนวงนั้นออกมาจากนิ้วของเธอก่อนจะสวมมันลงไปในนิ้วของลูกชายที่ดูเหมือนจะหลวมเล็กน้อย “แต่ว่ามีอย่างหนึ่งที่แม่ต้องบอก ลูกสัญญาได้ไหมว่าจะไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกกับเซปต์”
“ครับ” ถึงเขาจะไม่เข้าใจสถานการณ์นัก แต่เด็กหนุ่มเชื่อว่าแม่ของเขาต้องมีเหตุผลดีๆ สักข้อที่อยากให้เขาปิดบังเรื่องนี้เอาไว้
“แหวนวงนี้คือแหวนที่พ่อใช้เป็นแหวนในงานพิธีแต่งงานของพ่อกับแม่”
“เรื่องนั้นผมรู้ครับ แล้วมันไปเกี่ยวกับเซปต์ตรงไหน” แอชลี่ย์ขมวดคิ้วเข้าหากัน เป็นภาพที่หาดูได้ยากจากเด็กหนุ่มที่แสนจะฉลาดผู้นี้
“แม่ของเซปต์เป็นคนให้แหวนวงนี้กับพ่อ” สีหน้าของอลิซ่าดูเปลี่ยนไปจากคนที่เด็กหนุ่มเคยรู้จัก เขาสังเกตเห็นความรังเกียจอันรุนแรงบวกกับความอิจฉาริษยาในแววตาของคนเป็นแม่
“แล้วทำไมแม่ไม่เอาไปคืนเซปต์ แม่เก็บแหวนวงนี้ไว้ทำไม” ผู้เป็นลูกดูจะไม่พอใจเล็กน้อยกับสิ่งที่เพิ่งรับรู้
“แม่ไม่ได้ขโมยมันมา แม่ได้มันมาโดยชอบธรรม นั่นหมายถึงแม่มีสิทธิ์ที่จะเก็บมันเอาไว้ ยังไงก็ตามแหวนวงนี้สำคัญกับแม่มาก เพราะฉะนั้นรักษามันไว้ดีๆ” หญิงสาวกุมมือลูกชายเอาไว้แน่น “แม่เชื่อใจเธอนะ อย่าบอกเรื่องแหวนให้เซปต์รู้เด็ดขาด”
ป๊อก
เสียงเหมือนอะไรบางอย่างกระทบกันดังขึ้นที่หน้าต่าง เซปต์เก็บข้าวของต่อไปอย่างไม่ได้ใส่ใจ
ป๊อก
มันดังขึ้นอีกครั้ง แต่เด็กหนุ่มก็ยังคงไม่สนใจ
ป๊อก
เซปต์จำต้องเดินไปเปิดผ้าม่านดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ สิ่งที่เขาเห็นคือลูกแก้วสามลูกที่วางระเนระนาดอยู่ตรงระเบียง เขาเปิดประตูเพื่อออกไปดูสถานการณ์ให้แน่ชัด
“เซปต์!” เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นจากถนนด้านล่าง เซปต์ไม่จำเป็นต้องปราดตามองก็รู้ว่าเป็นใคร เขาทำเป็นไม่ได้ยินก่อนจะเดินเข้าไปในห้องนอน “ถ้านายไม่ลงมา ฉันก็จะขึ้นไป ฉันจะรอจนกว่านายจะออกมาคุยกับฉัน!”
มือที่ค้างอยู่ที่ลูกบิดชะงักกึกเมื่อได้ยินประโยคนั้น เซปต์เดินออกมาที่ระเบียงอีกครั้ง ก่อนจะเหวี่ยงตัวเองลงมาจากระเบียงชั้นสองนั้น ร่างที่แข็งแรงทิ้งตัวลงมาอย่างรวดเร็วก่อนจะหยุดลงบนพื้นด้วยท่วงท่าที่สง่างาม
“ว้าว เท่ห์จังเลย” เด็กสาวผู้มีแต่รอยยิ้มเอ่ยขึ้นพร้อมกับปรบมือแปะๆ เธอคนนี้ก็คือ แอนเจลิก้า สควีนนี่ หรือแอนจี้นั่นเอง ผมของเธอยังคงถูกรวบเป็นแกละเอาไว้สองข้างอย่างเคย เธออาจจะดูน่ารักสำหรับใครหลายๆ คน แต่ช่วงเวลาสิบเก้าปีที่เขาเผชิญโลกมา ไม่มีคำว่าน่ารักในหมู่ผู้หญิงสำหรับคนอย่างเซปต์ มีแต่คำว่า ‘น่ารำคาญ’ หรือบางทีอาจจะเป็นความผิดของเขาที่ไม่เคยสนใจผู้หญิงเลยแม้สักครั้ง
“มีอะไรก็รีบๆ พูดมา”
“ฉันแค่อยากให้ของบางอย่างกับนาย ก่อนที่นายจะไปจากที่นี่น่ะ” แอนจี้ทำท่าทางขวยเขินก่อนจะเดินเข้ามาประชิดตัวเซปต์ และนั่นทำให้เขาสงสัยว่าตัวเองคิดผิดหรือเปล่าที่ลงมาอยู่ตรงนี้ เซปต์เดินถอยหลังสามก้าวและแบมือออกเป็นเชิงบอกให้เอาของที่ว่านั้นให้เขาเสียที
“นายก็ยังใจร้ายเหมือนเดิมนั่นแหละ” เด็กสาวเสมองไปทางอื่น ก่อนจะหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อและใส่มันไว้ในมือของเขา “ถือซะว่าเป็นเครื่องรางแล้วกัน รักษามันไว้ดีๆ ล่ะ”
เซปต์สำรวจของที่อยู่ในมือตัวเอง มันคือสร้อยเงินรูปหัวใจนั่นเอง ซึ่งมันไม่ได้อยู่เหนือการคาดเดาของเขาเลยสักนิด ผู้หญิงมักจะให้อะไรแบบนี้กับเขาเสมอ และสิ่งสุดท้ายที่เขาจะทำกับมันก็คือการยกให้ใครสักคน มันช่างงี่เง่าสิ้นดีในสายตาของเขา
“เซปต์ ฉันชอบนายจริงๆ นะ” แอนจี้ฉุดเสื้อของเขาเอาไว้เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะเดินเข้าไปในบ้าน
“ฉันได้ยินคำพูดแบบนี้จากผู้หญิงหลายคนจนฉันเบื่อแล้ว” เซปต์มองเด็กสาวด้วยแววตาที่ไร้ความรู้สึกยิ่งนัก “ฉันไม่เคยพูดแบบนี้กับใคร แต่ฉันจะพูดกับเธอเป็นคนแรก”
อยู่ๆ แอนจี้ก็หน้าแดงขึ้นมา รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าจิ้มลิ้มของเธออีกครั้ง
“เธอเป็นผู้หญิงที่น่ารำคาญที่สุดในสายตาของฉัน” นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายก่อนที่เซปต์จะหันหลังให้กับเด็กสาวผู้น่าสงสารที่กำลังยืนทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่เขาเคยรู้จักได้เปลี่ยนเป็นเด็กสาวหน้าตาดีคนหนึ่ง ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว รวมถึงความรู้สึกที่เขามีให้กับเธอ จากน้องสาวคนหนึ่งที่เขาเคยรักและหวงแหน ตอนนี้เธอเหมือนกับคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักกันอีก เพียงเพราะคำพูดคำนั้นที่เธอพูดออกมา บางทีที่คนชอบพูดว่าเขาทำร้ายจิตใจคนเก่ง อาจจะจริงก็ได้
บุคคลแรกที่เด็กหนุ่มเห็นเมื่อเข้ามาในบ้านคือแอชลี่ย์ที่กำลังเล่นเปียโนคู่ใจของตนอยู่ เซปต์ยืนฟังอยู่สักพักเจ้าตัวก็เหมือนจะรู้ว่ามีคนกำลังมองอยู่ แอชลี่ย์หันหน้ามาหาเขาแล้วมองด้วยสีหน้างงงวย
“นายมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่สิ นายลงมาข้างล่างตั้งแต่เมื่อไหร่” น้องชายเพียงคนเดียวของเขาถามขึ้นด้วยน้ำเสียงแปลกใจ เซปต์คิดว่าถ้าเล่าถึงเรื่องที่ตนกระโดดลงมาจากชั้นสองคงทำให้หนุ่มน้อยตรงหน้าเป็นลมไปก็ได้
“นานแล้วที่ฉันไม่ได้ยินนายเล่นเปียโน” เซปต์เดินเข้าไปใกล้แอชลี่ย์ ก่อนจะหยิบสร้อยที่อยู่ในมือคล้องไปที่คอของผู้เป็นน้อง
“นายให้ฉันเหรอ” แอชลี่ย์หยิบจี้รูปหัวใจขึ้นมาสำรวจ
“มันเป็นเครื่องลาง”
“ถึงจะดูไม่เหมาะที่คนอย่างนายจะให้ของแบบนี้กับฉันก็เถอะ ขอบคุณมากนะ” เด็กหนุ่มยิ้มพรายพร้อมกับถอดแหวนที่นิ้วของตนและยัดมันไว้ในมือของเขา
“นี่มัน...” เซปต์มองแหวนในมือด้วยความตกใจ มันคือแหวนที่คนในตระกูลฮัทสเบิร์กรู้จักกันดีในนามของ ‘ชาเบล’ แหวนที่ใช้ในงานอภิเษกสมรสของนายเจเรมี่และอลิซ่า ภรรยาคนปัจจุบันของเขา “นายเอามันคืนไป”
“นายนั่นแหละเอามันคืนไป ฉันแค่คืนในสิ่งที่เป็นของนาย” แอชลี่ย์กระแอมเล็กน้อย “แม่ฉันไม่ให้บอกเรื่องนี้กับนาย แต่ฉันคิดว่านายควรจะรู้เอาไว้ แหวนวงนี้ความจริงไม่ได้เป็นของแม่ฉันหรอก มันเป็นของแม่นายที่ให้ไว้กับพ่อและถูกใช้ในงานแต่งงานน่ะ แม่ฉันให้แหวนวงนี้เมื่อตอนที่ฉันอายุครบ 15 ปี แต่ฉันไม่คิดว่าแหวนวงนี้มันคู่ควรกับฉันนักหรอก ฉันคิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่จะคืนให้กับผู้ที่มีสิทธิ์ครอบครองมันจริงๆ”
“ขอบคุณ” นานๆ ทีคำว่าขอบคุณที่ถูกเอื้อนเอ่ยออกมาจากปากของเซปต์จะออกมาจากใจจริง และครั้งนี้เป็นหนึ่งในนั้นด้วยเช่นกัน เซปต์มองแหวนที่อยู่ในมือด้วยความรู้สึกแปลกใจ มันเป็นแหวนเหล็กที่ค่อนข้างใหญ่ หัวแหวนเป็นคล้ายๆ ลูกแก้วลูกเล็กๆ ที่มีสารสีขาวอยู่ข้างใน แว่บหนึ่งที่เขาเห็นเหมือนสารสีขาวนั้นขยับไปมา แต่แล้วมันก็หยุดลง เซปต์รู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างในตัวของเขาที่ได้หยุดทำงานมาเป็นเวลานานเริ่มทำงานใหม่อีกครั้ง ความรู้สึกนี้มัน...อะไรกัน
รถลีมูซีนคันสีดำจอดลงด้านหลังตัวอาคารใหญ่ ภายในรถมีชายวัยกลางคนที่ทุกคนรู้จักกันในชื่อของ เจเรมี่ ฮัทสเบิร์ก นั่งอยู่ ลูกชายคนโตที่ไม่มีผู้ใดรู้จักก็นั่งอยู่ในนั้นด้วยเช่นกัน ทั้งคู่เงียบจนกระทั่งคนเป็นพ่อเริ่มการสนทนา
“เธอรู้ใช่ไหมว่านับตั้งแต่ก้าวแรกที่เธอก้าวออกไปจากรถคนนั้น เธอไม่ใช่ เซปต์ ฮัทสเบิร์ก แต่เธอคือ เซปต์ คาสร่า”
“รีบกลับไปก่อนที่จะมีคนมาเห็นทนายชื่อดังที่มาส่งเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างผมดีกว่านะ” เซปต์ว่าก่อนจะปลดล็อคประตูรถ
“นี่มันไม่เกี่ยวกับเรื่องนั้นเลย เซปต์” คนเป็นพ่อพยายามอธิบาย
“ถ้างั้นทำไมเราถึงต้องเข้าจากด้านหลังมหาวิทยาลัยด้วย” เด็กหนุ่มมองพ่อของเขาตาขวาง
“เธอกำลังโกรธอะไรฉันอยู่ใช่ไหม” เจเรมี่คว้าแขนของลูกชายเอาไว้
“แล้วทำไมคุณถึงคิดว่าผมจะโกรธ ถ้าคุณไม่ได้ทำอะไรให้ผมโกรธ” เซปต์ตอบเสียงนิ่ง
“ชาเบล...เธอได้มันไปแล้วสินะ” ทนายชื่อดังจ้องมองแหวนที่อยู่บนนิ้วเรียวยาวของบุตรชาย
“คุณจะเอามันคืนไหมล่ะ” เซปต์ไม่รอช้า เขาพยายามดึงแหวนเหล็กที่ใส่อยู่ออก หากแต่มันไม่เป็นผล
“อย่าพยายามเลย” เจเรมี่จับมือของเซปต์ขึ้นมา “เธอจะถอดมันได้ก็ต่อเมื่อเธอกำลังจะสิ้นใจเท่านั้นล่ะ”
เซปต์รีบสะบัดข้อมือของตัวเองออกจากมือของพ่อทันที
“เดิมทีแล้วแหวนวงนี้เป็นของไวโอล่า เธอได้ให้กับฉันไว้ก่อนที่เธอจะสิ้นลม” คนเป็นพ่ออธิบายต่อ “แหวนวงนี้ไม่มีผลกับแอชลี่ย์ นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงให้มันกับเธอได้”
“ทำไม” คิ้วของเซปต์โก่งงอเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจ
“แอชลี่ย์กับเธอแตกต่างกัน”
ยิ่งคนเป็นพ่อพยายามพูดมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งไม่เข้าใจมากเท่านั้น
“ฉันคิดว่าฉันพูดมากไม่ได้ คำตอบทุกอย่างอยู่ที่นี่แล้ว ฉันจัดเตรียมทุกอย่างให้แล้ว ส่วนนี่กุญแจบ้านของเธอ” เจเรมี่ยื่นกุญแจดอกหนึ่งให้เขา เซปต์รับมันไว้และยัดมันลงไปในกระเป๋ากางเกง “มีอะไรก็โทรมาได้เสมอ”
“แล้วผมจะติดต่อไป” เซปต์เปิดประตูรถแล้วก้าวลงจากรถ ลีมูซีนคันสีดำค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไปช้าๆ
วันนี้เซปต์อยู่ในชุดยูนิฟอร์มของมหาวิทยาลัย ‘ฟราดิโอ’ ซึ่งเป็นเสื้อเชิ้ตสีดำที่ถูกสวมทับด้วยสูทสีขาวตัวยาวอีกทีหนึ่ง กางเกงผ้าสีเดียวกันยาวจนถึงข้อเท้า เข็มกลัดที่มีชื่อของเขาสลักอยู่ถูกติดไว้ที่ด้านขวามือของชุดสูท ทางด้านซ้ายเป็นตราสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัย รองเท้าหนังสีขาวที่ได้รับการดูแลอย่างดีจากเจ้าของดูจะเข้ากับยูนิฟอร์มชุดนี้ได้ดีทีเดียว
เด็กหนุ่มกวาดสายตามองตึกสูงที่ถูกประดับประดาด้วยกระจกเงาซึ่งไม่สามารถมองเห็นด้านในได้จากด้านนอกนี้ หน้าตึกเขียนเอาไว้ว่า ‘Faculty Of Architecture & Engineering’ เซปต์ขมวดคิ้วเข้าหากัน เขาไม่เห็นตึกอื่นๆ เลยนอกจากตึกนี้
“ขอโทษนะครับ” เซปต์เดินเข้าไปถามชายชราที่กำลังกวาดเศษใบไม้ด้วยท่าทางทุลักทุเล บางทีอาจเป็นเพราะเขาแก่มากแล้วก็เป็นได้ “ไม่ทราบว่าตึกคณะวิทยาศาสตร์อยู่ทางไหน”
“เจ้าหนุ่มเอ้ย เธอน่ะตาบอดหรือยังไง” ชายชราที่ดูเหมือนจะเป็นภารโรงเหน็บ “มันก็อยู่ด้านหลังตึกคณะสถาปัตยกรรมนั่นแหละ ใครใช้ให้เธอเข้าทางด้านหลังล่ะ”
เซปต์ก้มตัวลงเล็กน้อยเป็นการขอบคุณ
“พ่อหนุ่มน้อย” ชายชราเรียกเขาเอาไว้ “แม่ของเธอน่ะเป็นยังไงบ้างล่ะ”
เซปต์หรี่ตามองภารโรงชราอย่างสงสัยในตัวคนๆ นี้ แต่แล้วเขาก็เลือกที่จะตอบส่งเดช ยังไงซะก็คงเป็นแค่คนแก่ที่เริ่มจะเลอะเลือนแล้วเท่านั้น
“ท่านสบายดี”
“งั้นเหรอ” ชายชรายิ้มที่มุมปากเล็กน้อย “แล้วเจอกันพ่อหนุ่ม”
ว่าแล้วแกก็หันหลังเดินจากไป เซปต์มองแผ่นหลังที่ค่อยๆ ไกลออกไปช้าๆ เด็กหนุ่มเริ่มทำการเดินหาตึกคณะวิทยาศาสตร์อีกครั้ง เขาเดินไปด้านหลังตึกคณะสถาปัตยกรรมตามคำแนะนำของชายชรา และได้พบกับตึกที่เล็กกว่า ‘Faculty Of Business Administration & Accounting’ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เขาไม่เห็นตึกนี้ตั้งแต่แรก เพราะตึกคณะสถาปัตยกรรมดูจะเป็นตึกที่สูงที่สุด และระยะห่างระหว่างตึกก็ดูจะไม่ใช่น้อยๆ เซปต์เข้าใจในทันทีว่าเขาจะหาเป้าหมายเจอได้อย่างไร
เด็กหนุ่มเดินไปตามทางและพบกับตึกอีก 4 ตึกที่มีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ ตามลำดับ อันได้แก่ ‘Faculty Of Political Science’ ‘Faculty Of Law’ ‘Faculty Of Humanities’ ‘Faculty Of Medicine & Psychological’ และแล้วเซปต์ก็เดินมาถึงหน้ามหาวิทยาลัย เขาหันไปดูตึกสุดท้ายที่มีตัวหนังสือเขียนไว้ว่า ‘Faculty Of Science’ ซึ่งเป็นตึกที่เล็กที่สุดและดูเหมือนจะมีแค่ 5 ชั้นเท่านั้น ที่แปลกคือตัวตึกที่ถูกสร้างจากหินอ่อนแทนที่จะเป็นกระจกเหมือนกับตึกคณะอื่นๆ
“เขาว่ากันว่าคณะวิทยาศาสตร์เป็นคณะอาถรรพ์น่ะ” เสียงของเด็กสาวที่กำลังคุยอยู่กับเพื่อนของเธอดังเข้ามาในโสตประสาท
“อาถรรพ์ยังไงเหรอ”
“ทุกๆ 2-3 ปีจะมีนักศึกษาจากคณะอื่นที่เข้าไปในตึกของคณะวิทยาศาสตร์แล้วออกมาไม่ได้น่ะสิ” เจ้าหล่อนคุยโวอย่างออกรส “พวกเขาส่งคนเข้าไปหาแต่ก็ไม่มีใครพบร่องรอยของนักศึกษาพวกนั้นเลยล่ะ”
“ว้าววว~” เพื่อนของเด็กสาวดูเหมือนจะจิตใจไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัว และเซปต์เชื่อว่าเธอไม่ได้ฟังในสิ่งที่เพื่อนของเธอพูดเมื่อครู่เลย เพราะบัดนี้เธอกำลังยืนสบตากับเซปต์อยู่นั่นเอง
“เธอเป็นอะไรไปน่ะ” เด็กสาวมองตามเพื่อนของเธอมายังเขา ก่อนจะมีสภาพไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก “ว้าววว~”
เซปต์ตัดสินใจเดินเข้าไปในตึกอย่างไม่ใส่ใจพวกผู้หญิงที่พากันมองเขาด้วยสายตาที่แสนจะน่าขนลุกนั่น ภายในตัวอาคารดูโล่งโจ้งไร้ซึ่งการตกแต่ง มีเพียงลิฟต์สี่ตัวที่ตั้งอยู่ตรงหน้า เซปต์ยื่นมือไปกดปุ่ม ลิฟต์เปิดออกทันที เซปต์ย่างกรายเข้าไปและกดปุ่มหมายเลข 5
ลิฟต์เคลื่อนตัวขึ้นช้าหรือบางทีอาจจะเร็ว แต่เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนว่ามันไม่ได้ขยับไปไหนเลย ไม่นานนักมันก็หยุดลงพร้อมกับเลื่อนออก สิ่งแรกที่เขาเห็นคือป้ายขนาดใหญ่มีข้อความว่า ‘ยินดีต้อนรับเข้าสู่คณะวิทยาศาสตร์’ อย่างที่สองที่ไม่ต้องสังเกตก็รับรู้ได้ถึงจำนวนของนักศึกษาที่เยอะมากเสียจนยากแก่การก้าวเดิน เด็กหนุ่มเริ่มสงสัยว่าเขากำลังอยู่ในมหาวิทยาลัยหรือฮอลล์ที่จัดแสดงสินค้ากันแน่ เขาจึงออกมาจากลิฟต์และเลือกที่จะเดินเลี่ยงผู้คน
“หยุดสิโว้ย! หยุด ฉันบอกให้หยุดไงเล่า!” เสียงโหวกเหวกดังขึ้น ก่อนที่เขาจะเห็นชายคนหนึ่งวิ่งผ่านเขาไป ลางสังหรณ์ของเซปต์บอกให้รู้ว่าต้องวิ่งตามชายผู้นั้นไป เหยื่อที่เคลื่อนไหวอยู่ด้านหน้าวิ่งไม่เร็วเท่าไรนัก แต่ด้วยระยะห่างที่ค่อนข้างมากจึงทำให้เจ้าตัววิ่งตามไม่ทันเสียที เด็กหนุ่มตัดสินใจหยุดวิ่ง เขาคว้ากระป๋องน้ำอัดลมจากมือของเด็กสาวที่กำลังจะเปิดมันออก เซปต์คำนวนระยะทางก่อนส่งกระป๋องน้ำอัดลมไปตามแรงเตะ มันลอยหลุนๆ ไปด้านหน้า และ...
ป๊อก!
หยุดลงกลางหัวของชายผู้นั้นพอดี ผู้คนเริ่มโห่ร้องด้วยความตกใจปนแปลกใจ เซปต์เองก็เพิ่งสังเกตว่ามีคนมองเขามากขนาดนี้ หากแต่เด็กหนุ่มที่ชินกับการถูกจับจ้องไม่ได้สนใจผู้คนเลยแม้แต่น้อย
“ฉันจะซื้อน้ำอัดลมคืนให้เธอ” เซปต์บอกกับเด็กสาวที่บัดนี้ยืนมองเขาด้วยสายตาพิศวาส เธอส่งสายตาวิ๊งๆ ใส่เขาสองสามที “ฉันเปลี่ยนใจแล้ว เธอไปซื้อเอาเองก็แล้วกัน”
ว่าแล้วเซปต์ก็เดินไปดูอาการของผู้เคราะห์ร้ายที่ดูจะไม่น่าสงสารสักเท่าไหร่ ดูท่าจะไม่มีร่องรอยการบาดเจ็บใดๆ แต่คงสร้างแผลใหญ่ในใจของผู้บาดเจ็บไม่ใช่น้อย ชายผู้นั้นนอนสลบไม่ไหวติงอยู่บนพื้น ในมือของเขามีกล้องดิจิตอลรุ่นใหม่ล่าสุด เซปต์แงะมันออกมาจากมือของเขา แต่ยังไม่ทันที่เด็กหนุ่มจะเปิดมันดูข้อมูลข้างใน มือหนึ่งก็ฉกมันไปจากเขาเสียแล้ว
“ขอบใจมาก” เด็กหนุ่มกล่าวขึ้นพร้อมกับยิ้มอย่างเป็นมิตรให้กับเซปต์ เขาเป็นเด็กหนุ่มที่มีเรือนผมสีทอง ดวงตาสีน้ำเงินเข้มที่แฝงไว้ด้วยความเจ้าเล่ห์ ผิวสีแทน ตัวสูงกว่าเซปต์นิดหน่อย รูปร่างกำยำนั้นบ่งบอกให้รู้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้ต้องผ่านอะไรมาไม่มากก็น้อย เซปต์รู้ได้ในทันทีว่าเด็กหนุ่มคนนี้คือเจ้าของเสียงโหวกเหวกเมื่อครู่นี้ “ไม่ได้นายคงแย่น่าดู”
“กล้องนั่น...” เซปต์ยังคงติดใจเรื่องกล้องดิจิตอลนั้นอยู่
“อ๋อ กล้องนี่น่ะ ไม่ใช่ของฉันหรอก ของเจ้านั่นน่ะแหละ” หนุ่มผิวแทนชี้ไปที่ชายผู้ที่นอนสลบอยู่ “แต่ว่ารูปภาพในนี้น่ะ ดันมีภาพของฉันอยู่ด้วย และเผอิญว่าฉันไม่ชอบให้ใครมาถ่ายรูปของตัวเองซี้ซั้วซะด้วยน่ะสิ”
“เอาเป็นว่าฉันจะไม่ถามก็แล้วกันว่ามันเป็นภาพอะไร” เซปต์ว่าพร้อมกับเสมองไปทางอื่น เขาเป็นคนไม่ค่อยชอบรับรู้เรื่องของคนอื่นสักเท่าไหร่ “ฉันไปก่อนแล้วกัน”
“เฮ้ๆๆ เดี๋ยวก่อนสิ เดี๋ยวก่อน” เด็กหนุ่มรั้งเซปต์เอาไว้ ก่อนจะเปิดกล้องดิจิตอลที่ตัวเองถืออยู่ “ในฐานะที่นายช่วยฉันเอาไว้ ฉันจะให้นายดูก็ได้ ความจริงแล้วมันก็ไม่ได้มีอะไรมากนักหรอก ก็แค่รูปภาพที่ฉัน...”
เจ้าตัวยื่นกล้องมาให้เซปต์ดู มันเป็นภาพเด็กหนุ่มผมทองกับเด็กสาวอีกคนหนึ่งที่กำลังพูดคุยกันอยู่ เซปต์ดันมันกลับไปให้เจ้าตัว
“แล้วไง”
“ก็นี่ไงล่ะ” เด็กหนุ่มเลื่อนไปที่ภาพถัดไป ซึ่งเป็นภาพเจ้าตัวกำลังแลกเบอร์โทรศัพท์กับสาวอีกคนหนึ่ง และในภาพถัดๆ ไปก็เป็นภาพแนวๆ เดียวกัน เพียงแต่หน้าของสาวในแต่ละภาพไม่ซ้ำกันเลยสักคน เซปต์พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเจ้าหนุ่มคนนี้ถึงไม่อยากให้ภาพพวกนี้ลอยนวลออกไป
“นายกำลังจะบอกว่า...” เซปต์ใช้ปลายรองเท้าสะกิดชายคนที่ยังคงนอนหลับไม่ได้สติ “เจ้านี่คือช่างภาพของฟราดิโองั้นเหรอ”
“ปิ๊งป่อง!” เด็กหนุ่มดีดนิ้วดังเปราะ “หรือเรียกง่ายๆ ว่าปาปารัซซี่นั่นแหละ พวกสอดรู้สอดเห็นเรื่องของชาวบ้านเขาน่ะ”
เซปต์รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังอารมณ์เสีย เขาหนีมาจากสังคมที่วุ่นวาย แต่ดูเหมือนเขาจะคิดผิดที่มาที่นี่ จะว่าไปแล้วเขาแทบไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับมหาลัยฯ นี้เลย แค่เขาบอกว่าจะย้ายมาอยู่นอกเมือง ผู้เป็นพ่อก็ตระเตรียมทุกอย่างให้ รวมถึงมหาวิทยาลัยฟราดิโอแห่งนี้และคณะวิทยาศาสตร์นี้ด้วย นายเจเรมี่ย้ำนักย้ำหนาว่าจะต้องเป็นคณะนี้เท่านั้น และแน่นอนว่าเขาไม่สามารถคัดค้านคำสั่งประกาศิตของท่านพ่อได้ ที่เขาได้รับอนุญาติออกมาจากบ้านหลังนั้นก็นับว่าเป็นบุญโขแล้วสำหรับเซปต์
“ว่าแต่นายชื่ออะไรน่ะ” เด็กหนุ่มผมทองถามพร้อมกับยิ้มร่า เผยให้เห็นเขี้ยวเล็กๆ ที่ถ้าดูผ่านๆ อาจจะไม่เห็น เจ้าตัวยื่นมือมาให้เขาเป็นเชิงทักทายอย่างเป็นทางการ “ฉันกอร์ดอน เวย์มส์”
“เซปต์ คาสร่า” เซปต์ยื่นมือออกไปเชคแฮนด์กับกอร์ดอน
“นี่ๆๆ นายรู้ใช่ไหมว่าไม่ใช่ทุกคนที่นี่จะสามารถเข้าเรียนในคณะนี้ได้”
“หมายความว่ายังไง” เซปต์ขมวดคิ้วเป็นรอบที่ร้อยของวัน มีแต่เรื่องที่เขาไม่รู้ทั้งนั้น และเขาไม่ชอบมันเอาเสียเลย
“ก็หมายความว่า นายจะต้องผ่านบททดสอบบางอย่างถึงจะได้เข้าคณะนี้ยังไงล่ะ” กอร์ดอนอธิบาย “แต่ไม่ใช่ทุกคณะหรอกนะ แค่คณะนี้เท่านั้นน่ะ”
“แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับคนที่ไม่ผ่านการทดสอบ” เซปต์เริ่มกังวลใจ เขาไม่อยากจะจินตนาการถึงภาพของตัวเองเดินกลับเข้าไปในบ้านหลังเดิมนั้น และดูเหมือนเขาจะเป็นคนเดียวที่ไม่รู้เรื่องนี้ เพราะนักศึกษากว่าครึ่งมีหนังสือเกร็งข้อสอบอยู่ในมือ
“ก็แค่ต้องหามหาลัยฯ ใหม่ หรืออาจจะถูกเด้งไปอยู่คณะอื่น ขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละคน” กอร์ดอนตอบด้วยท่าทางสบายใจเฉิบ ก่อนจะหันไปสนใจภาพในกล้องดิจิตอลต่อ
“เฮ้ นี่ใช่ภาพนายหรือเปล่า!” กอร์ดอนยื่นกล้องให้เขาดูอีกรอบ เซปต์ผงะไปชั่วครู่เมื่อเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า เขาสาบานได้ว่าไม่มีสิ่งใดที่อาจจะทำให้เขาตกใจได้มากเพียงนี้ ภาพของเซปต์ที่นั่งอยู่ในรถกับทนายชื่อดัง เจเรมี่ ฮัทสเบิร์ก เซปต์พยายามรวบรวมสติทั้งหมดกลับคืนมา ก่อนจะกดปุ่มดีลีทภาพนั้นออก แต่ภาพถัดไปกลับเป็นภาพที่ไม่ได้แตกต่างจากภาพเดิมนัก เซปต์พยายามจะกดปุ่มดีลีทอีกครั้ง แต่กอร์ดอนฉวยกล้องไปจากเขาเสียก่อน
“นาย...” กอร์ดอนมองเขาด้วยสายตาจับผิด “มีความสัมพันธ์แบบไหนกับเจเรมี่ ฮัทสเบิร์กกันแน่”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ