Tribute Girl. Yuri
8.9
เขียนโดย ปรัสรา
วันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2556 เวลา 05.18 น.
8 session
0 วิจารณ์
13.91K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 12 มกราคม พ.ศ. 2556 06.28 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) บทที่4
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ "ไม่ยักรู้ว่า...นอกจากศาสตราวุธทั้งหลาย เจ้าชีวิตของข้าจะสามารถลุกขึ้นมาจับพู่กันได้" คนพูดขยับริมฝีปากเพียงน้อย แต่วาจาเราะร้ายนั้นมิได้เป็นดั่งการเคลื่อนไหวนั้นสักนิด หากแต่เมื่อผู้พูดมิได้แสดงอารมณ์ใดจนคล้ายกับไม่เจตนาในการว่ากล่าว เทพสรวงนั้นจึงทำเมินต่อวาจาที่น่ายอกย้อนนั่น ทั้งยังขบขันเสียจนเกินจะกลั้น ทั้งรอยยิ้มนั้นยังสั่นกึกๆ ระหว่างแต่งแต้มสีสันลงบนกระดาษเขียนรูปสีขาวสะอาด เมื่อหนึ่งชั่วยามก่อน ในรุ่งอรุณยามเช้า สายหมอกแลน้ำค้างยังคงปรากฏเสมือนอยู่ในสวนสรวงแห่งพืชพันธุ์ มิสึงิก้าวตามหลังเจ้านายของตนไปด้วยความสนอกสนใจยิ่ง นางยังสวมชุดกิโมโนสีชมพูตัวที่สวยที่สุดมาตามคำสั่งนั้นด้วย ยิ่งความพิถีพิถันเพิ่มมากขึ้นโดยฝีมือของบริวารหญิงทั้งสี่เหล่านั้น ความแปลกใจของหญิงสาวยิ่งทวีขึ้นตามความงามเหล่านั้น หรือว่าจะมีแขกคนใดมาเยี่ยมเยือนเป็นพิเศษ? บริวารหญิงเหล่านั้นดุจจะแข่งขันในความนิ่งเงียบกับนาง ใบหน้าของมิสึงิเรียบเฉยเท่าใด คณะบริวารก็เรียบเฉยเท่านั้น นางเกือบลงความคิดว่านั่นต้องเป็นคำสั่งของยูคุซึจินแน่ หากแต่ตัวเจ้านายคงมิได้มีความคิดผิดแปลกยิ่งกว่านี้หรอก เครื่องบรรณาการได้แต่เข้าใจว่าตนมีฐานะไม่ต่างกับนางทั้งสี่ หากไม่ต้องการจะถามตอบอะไรก็คงทำได้เสมอ จตุดรุณีนำทางผู้แต่งกายด้วยสีสันอันอ่อนหวานไปสู่สวนดอกไม้ใกล้กับปราสาท แม้ว่าจะไม่เห็นเงาของผู้ที่ออกคำสั่งอยู่ใกล้เคียง ความสบายใจที่สร้างสันจากคลื่นลมเย็นสบายเคล้ากับสายหมอกปกคลุมแผ่วบาง เครื่องบรรณาการค่อยๆ คลี่ยิ้มแรกออกมาต้อนรับแสงแห่งดวงตะวัน แม้ว่าไทโยโคะซึจินจะเฝ้ามองตามข่าวลือที่ได้ยิน นั่นก็เป็นสิ่งที่เรียกความสนใจให้เทพสุริยาเพียงชั่วครู่เดียว ก่อนจะเมินกลับไปยังเส้นทางราชรถตรงหน้า มิสึงิเอนกายลงท่ามกลางบุปผาสีหวานเหล่านั้น ต่อให้บังเกิดความกลัวแล่นสู่จิตใจอยู่หลายครา แต่ร่องรอยของดอกไม้ที่บดแบนไปกับพสุธาก็บ่งถึงการกระทำแบบเดียวกันของใครสักคน ซึ่งไม่มีทางใช่จตุดรุณีแน่ นางเหล่านั้นมีตัวตนจริงหรือไม่ หญิงสาวยังไม่ใคร่จะแน่ใจ รู้เพียงว่าเวลาที่เหมาะสมในการปฏิบัติหน้าที่จึงจะเป็นโอกาสสบมอง แน่นอนว่าไม่มีคำทักทายสนใจใดๆ แก่หญิงรับใช้คนใหม่เลยเลย กายาของสตรีผู้อยู่ท่ามกลางมวลพฤกษาจะไม่ได้พลิกไปมาดั่งตนทำ ยูคุซึจินก็บังเกิดความชอบอกชอบใจมากล้นนัก จตุดรุณีเตรียมอุปกรณ์สำหรับเขียนภาพให้ดั่งรู้ใจเจ้านาย ทั้งที่ความคิดในการวาดรูปของหญิงรับใช้นางนั้นเพิ่งปรากฏขึ้นในใจไม่ถึงครึ่งนาที นางก้าวออกไปจากมุมอับสายตาเพื่อลองกล่าวดุดูสักครั้ง ต้องตักเตือนเสียบ้างว่าใครเป็นนายเป็นบ่าว ส่วนเรื่องภาพเขียนนั้นค่อยพูดกันต่อ "ข้าดีใจที่เจ้ารู้สึกไม่ต่างจากอยู่ในที่พำนักของตน" องค์เทพีแย้มยิ้มด้วยสีหน้าไม่ยินดีเท่าเมื่อครู่นี้ นางมิได้แสร้งทำเป็นเกรี้ยวโกรธสักนิด เพียงปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสถานการณ์ต่างหากเล่า "หรือบางทีเจ้านายคนนี้ควรจะกลับเข้าไปในตำหนักแพรพรรณชาดก่อน จะได้ไม่รบกวนอารมณ์สุนทรีย์ของเจ้า" หญิงสาวผุดลุกขึ้นทันใดดั่งโดนเปลวเพลิงจ่อประชิด รู้ตัวดีว่าคงจะโดนตำหนิเป็นแน่ หากแต่วูบหนึ่งที่นางรู้สึกว่าตนสามารถกระทำการเมื่อครู่ได้โดยสิทธิบางอย่าง คงเพราะการที่ตนเป็นบริวารซึ่งได้รับความสนิทสนมใกล้ชิดในเวลาอันรวดเร็ว ทั้งจตุดรุณียังมาช่วยแต่งองค์ทรงเครื่องให้อีกต่างหาก เมื่อรวมกับการเทิดทูนมากกว่าปกติของชาวบ้าน โดยไม่นับรวมการเคี่ยวเข็ญฝึกฝนนั้น มิสึงิคงไม่ทันรู้ตัวว่านางเองก็เผลอคิดว่าตนมีอำนาจล้นเหลือจนไม่มีใครมาดุด่าว่ากล่าวได้ แล้วส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะ... หญิงสาวกล่าวคำหวานยิ้มประจบ "ข้าเผลอคิดว่าตนมิใช่เพียงบริวารของท่าน" "งั้นเจ้าคิดเป็นสิ่งใดหรือ? " ยูคุซึจินเชยคางสาวน้อยผู้หลงละเมอขึ้น "แต่อย่าได้คิดอีกเลย มันรังแต่จะทำให้ตัวเจ้าโดนตำหนิเสียเปล่า" มิสึงิไม่ได้มีสีหน้ายินดียินร้ายอันใดกับวาจานั้น แม้จะโดนผลักลงไปกองกับเหล่าบุปผาก็ยังเป็นเช่นนั้น เพราะสายตาทอดมองตามจตุดรุณีที่เคลื่อนใกล้เข้ามาพร้อมอุปกรณ์เหล่านั้น หญิงสาวแอบทอดถอนอยู่ในใจ ทั้งยังส่งสายตากึ่งจะค้อนขวับไปทางเจ้านายหญิงผู้ยิ้มเบิกบานอีก ทีเมื่อครู่นี้ยังตำหนิ สุดท้ายแล้วก็โปรดปรานการเอนกายของนางดีไม่ใช่หรือ ชุดกิโมโนสีชมพูอ่อนดุจจะละะลายรวมกันกับเหล่าบุปผาให้กลายเป็นเนื้อเดียว สตรีผู้นอนนิ่งไม่ขยับกายมิได้แย้มยิ้มหรือเกรี้ยวกราด ซึ่งนั่นทำให้ผู้วาดเขียนรู้สึกถูกอกถูกใจยิ่งนัก เย็นชาและไร้ชีวิตชีวาเสมือนพฤกษารอบกายเหลือเกิน หากตอนนี้เป็นช่วงค่ำราตรีและนางกำลังโอบกอดไว้ เทพีปกปักษ์คงได้กลิ่นหอมอ่อนแห่งธรรมชาติจากกายนางแน่ ภาพวาดเขียนยังคงถูกระบายลงบนกระดาษสีขาวแผ่นนั้น พร้อมเสียงประชดประชันของดรุณีน้อยยังคงแว่วมาอยู่เรื่อยๆ เคล้าไปกับเสียงนกร้องเพลงยามเช้า ซึ่งเนื้อหาความไพเราะนั้นดูจะแตกต่างกันนัก แม้จะเป็นมิสึงิผู้มีใบหน้านิ่งเงียบอยู่เสมอ การไม่ขยับกายเอาเสียเลยก็ทำให้รู้สึกปวดเมื่อยได้เช่นกัน หากหญิงสาวเป็นคนอื่น สีหน้าโมโหคล้ายจะพร่ำบ่นของปรากฏขึ้นมานานแล้ว ร่วมด้วยเสียงโอดครวญวอนขอให้เจ้านายช่วยเร่งมือขึ้นอีกสักนิด และเหล่านั้นทั้งหมดคงจะทำลายช่วงเวลาจิตรศิลป์อันเพลิดเพลินจนหมดสิ้น จะเรียกว่าใจร้ายหรือเยือกเย็นก็ดี เกรงว่าถึงยูคุซึจินจะรับรู้ถึงความเมื่อยล้าของการหยุดเคลื่อนไหว นางยังคงลงสีอย่างใจเย็นเนิบช้า ราวกับว่าตราบใดที่สายลมยังไม่พัดแรงขึ้น นางจะยังคงเอื่อยการเขียนภาพเช่นนี้ต่อไป แม้ว่าสายลมนั้นจะทำให้ผู้ที่นอนนิ่งเริ่มง่วงงุนเพิ่มขึ้นทุกนาที จนเวลาผ่านไปเกือบชั่วยาม เปลือกตาของมิสึงิเริ่มคล้อยต่ำลงจนฉาบปิด ให้เจ้าของร่างได้นอนหลับไปพร้อมความเมื่อยล้าเหล่านั้น กริ๊ง... กริ๊ง... จตุดรุณีพร้อมใจกันส่งเสียงกระดิ่งออกมาจากมุมมืด คล้ายจะยื้อไว้ไม่ให้หญิงสาวเข้าสู่นิทราง่ายดาย แทนที่จะหักห้ามไว้ เจ้าชีวิตกลับตวัดปลายพู่กันไปมาโดยไม่มีท่าทีจะแตะแต้มเพิ่มเติมอีก “ข้าปรารถนาทิวทัศน์ที่เปี่ยมด้วยอารมณ์ ไม่ใช่วานรน้อยที่นอนหลับกลางดงดอกไม้เสียหน่อย” มิสึงิเพียงเลี่ยงสายเมินไปอีกด้านหนึ่งเท่านั้น เพียงพอจะแสดงให้รู้ว่านางไม่ยินดีกับคำกล่าวนั้นเลย ทั้งยังไม่คิดจะสนใจภาพเขียนของเจ้านาย แม้สีหน้าเบิกบานของเทพีแห่งยุทธิ์เปี่ยมด้วยความภาคภูมิอย่างที่สุดก็ตาม คงเพราะกลีบดอกสีหวานกับร่างหญิงสาวกึ่งกลางภาพจะออกมาลงตัวงดงาม ราวกับเป็นหนึ่งในสตรีสรวงเช่นเดียวกัน เพียงแค่ยูคุซึจินไม่คิดจะเอ่ยปากออกไปให้นางดีใจเท่านั้น สุดท้าย ผู้วาดก็ทนความอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ ภาพวาดนั้นงดงามมากเพียงใดหนอ ใบหน้าที่ยากจะเห็นของเจ้าชีวิตจึงได้เปี่ยมความยินดีถึงเพียงนั้น มิสึงิแทรกกายเข้าไปใกล้เกินความจำเป็นสักนิด เพราะกลิ่นกรุ่นเลอล้ำที่ประพรมจากน้ำหอมปริศนา ยังคงเป็นที่ต้องตาต้องใจหญิงสาวอยู่เสมอ ซึ่งสตรีสรวงอมยิ้มเพียงเล็กน้อย แล้วถอยกายห่างอย่างรู้เท่าทัน อย่าคิดมาเชยชมต่อสิ่งที่บุปผลชาดในกายนี้สร้างขึ้นง่ายดายเลย คนที่เชยชมความงามของเครื่องบรรณาการคือฝ่ายนางต่างหาก ภาพวาดไร้นามปรากฏรูปของสีหวานแต่มแต้งโดยรอบอย่างพอดี แต่ที่ลงเข้มหนักจนดูฉายเด่นคือร่างตรงกลางนั่นมากกว่า ยูคุซึจินเพียงรู้สึกว่าหญิงสาวช่างโดดเด่นท่ามกลางดอกไม้อันเปี่ยมด้วยมนตราแห่งสีสันและกลิ่นอันยวนใจ เพียงแต่คำหวานนั้นไซร้ ต้องแลกมาด้วยสิ่งที่มากกว่าการนอนนิ่งเฉยให้นางวาดรูปแน่ มิสึงิไม่ได้กล่าวอะไร เพียงแค่แววตาและรอยยิ้มน้อยๆ นั่นก็แสดงทั้งหมดแล้ว อารมณ์ขุ่นมัวของหญิงสาวเริ่มคลายลง อย่างน้อย ถึงภาพนี้จะไม่ได้อยู่ในความครอบครองของตน แต่การที่นางเป็นส่วนหนึ่งของความงามนั้น นั่นก็เพียงพอสำหรับผู้ที่เฝ้าทอดถอนใจว่ามีเจ้านายที่สวยกว่าเป็นร้อยเป็นพันเท่านัก เจ้าชีวิตไม่เคยบอกเรื่องจงกลเสน่หา เพราะยังปรารถนาจะมีมิตรเคียงกายคลายความเบื่อเช่นนี้อีกสักหน่อย จนกว่าความเบื่อหน่ายนั้นจะเข้ามาครอบคลุมด้วยตัวมนุษย์นั้นเอง “ถือเสียว่าการนอนนิ่งเช่นนั้นเป็นบทลงโทษกัน” ยูคุซึจินยิ้มอย่างอารมณ์ดี “มิฉะนั้น เจ้าลองคิดดูสิว่าตนต้องทำงานเช่นใด เพื่อชดใช้การทำลายดอกไม้สวยๆ ของข้าจนยับเยินไปส่วนหนึ่ง” มิสึงิอ้าปากเตรียมจะยอกย้อนว่าอีกฝ่ายก็ทำไปส่วนหนึ่งมิใช่หรือ แต่ก็จนด้วยคำพูดเพราะนึกได้ว่าสิทธินั้นเป็นสิ่งที่ตนไม่ได้รับมาแม้แต่น้อย สตรีสรวงมอบภาพเขียนให้จตุดรุณีนำไปจัดการหาของตกแต่งเพิ่มเติมให้เรียบร้อย ส่วนเครื่องบรรณาการผู้ถูกยกย่องในระดับที่สูงกว่าชาวบ้านทั่วไป แต่แล้วก็พบว่าอำนาจที่ตนมีนั้นน้อยนิดนัก กลับได้รับการสัมผัสจากมือของเจ้านายให้เดินไปด้วยกัน ไม่ได้รับคำชมก็แล้วไป เพียงจับมือกันสักหน่อยไม่ได้สร้างความเสียหายใดหรอก หญิงสาวมีใบหน้าที่ผ่อนคลายลงมาอีกนิดจากความตึงขึ้งอันเยือกเย็นนั่น ก้าวฝีเท้าที่พอเหมาะพอดีไม่ห่างเหินและไม่ไกลมากเกิน ไม่ใช่แค่ความงามเปี่ยมด้วยมนตราพิสดารแน่นอน สิ่งที่นางแพ้ทางต่อสตรีสรวงตรงหน้ายังมีมากกว่าความหลงใหล อาจจะเป็นจิตใจบางอย่างที่ทำให้อบอุ่นปลอดภัยก็ได้ ในฐานะมิตรสหาย... มิสึงิคิดเช่นในใจ ซึ่งไม่ได้ผิดไปเลย การรู้จักเพียงไม่กี่วันไม่ทำให้ความรู้สึกภายในสั่นคลอนไปได้ อีกทั้งมนตราของจงกลเสน่หาไม่เคยสร้างความรักแก่ใคร เป็นเพียงความหลงใหลเลื่อนลอยเท่านั้น ไออุ่นจากมือที่สัมผัสค่อยๆ บังคับให้พู่กันด้ามไม้ไล้ขึ้นไปเรื่อย ตามแสงเงาของภาพจากมุมหน้าต่างบานเดิม ยูคุซึจินอ้อมไปทางด้านหลังของหญิงสาวเพื่อประคองมือนั้นให้ถนัดถนี่ จนได้รับกลิ่นดอกไม้ที่ฟุ้งกระจายครอบร่างของนางดังที่จินตนาการไว้ หลังจากได้รับคำขอร้องให้ช่วยสอนวาดภาพบ้าง ดอกไม้นั้นรูปนั้นอาจจะแตกต่างจากทุ่งสวนแห่งนั้น ไม่ว่าทางสีสัน ชนิดพันธุ์หรือความเสมือนจริง เพราะมิสึงิไม่เก่งด้านการวาดเขียนเอาเสียเลย ต่อให้เจ้านายจะเอื้อมมือมาจับสอนถึงขนาดนี้แล้วแท้ๆ แต่เรื่องที่ทำไม่ได้ก็ยังคงทำไม่ได้อยู่ดี น่ากลัวว่าทางหมู่บ้านไม่เคยบัญญัติว่านางต้องเก่งกาจไปเสียทุกด้านกระมัง? “ข้าคงทำอย่างท่านไม่ได้หรอก ภาพนี้พิสูจน์ในตัวของมันเอง” ยูคุซึจินสัมผัสได้ถึงแรงต้านที่กดให้คล้อยต่ำลง “น่ากลัวว่าความสามารถของข้าคงจะไม่เข้าขั้น” “ทุกคนล้วนเคยผ่านช่วงเวลาที่ต้องฝึกฝน เริ่มต้นและอ่อนหัดทั้งนั้น เจ้าเองก็อยู่ในช่วงฝึกฝนอยู่เช่นกัน” สตรีสรวงวางมือทาบลงยังหัวใจของนาง “สิ่งสำคัญที่สุดคือจิตใจที่หลงใหล ปรารถนาชัยชนะแห่งเสียงเพลงแห่งความสำเร็จ มันไพเราะยิ่งกว่าเสียงพิณแห่วงเทพธิดาองค์ใดในท้องนภาจะรังสรรค์ได้ เจ้าไม่ปรารถนามันรึ? ” “ข้าเล่นพิณได้ มันง่ายกว่าการวาดสิ่งใดลงในแผ่นกระดาษมากนัก” มิสึงิตอบทันที สายตาที่คาดหวังแอบมอบจุดประสงค์ไว้อย่างเต็มเปี่ยม มือของนางสัมผัสเส้นเสียงของเครื่องดนตรีมานานมากที่สุดในบรรดาการฝึกฝน เมื่อห่างไปหลายวันจึงเริ่มถวิลหาขึ้น โอ้ องค์เทพีก็ลืมไปเสียสนิทว่าเครื่องบรรณาการคนสวยคนนี้มีความสามารถทางดนตรีไม่น้อย นางเองก็ไม่ได้จับขลุ่ยมาผิวนับร้อยปีแล้วกระมัง นั่งเคล้าเสียงดนตรีแห่งตนอยู่เพียงลำพังช่างเงียบเหงา นางจึงไม่ใคร่จะหยิบขึ้นผิวนัก แต่ในตอนนี้มีเพื่อนร่วมบรรเลงกลั่นทำนอง หากมีเสียงเพลงใดๆ ปรากฏขึ้นใหม่ตามใจของผู้บรรเลง มันคงจะน่าสนุกมิใช่น้อยเลย ทว่า ก่อนที่จตุดรุณีจะยกพิณตัวเก่าและขลึ่ยประจำตัวองค์เทพีออกมา สายลมหนาวยะเยือกพัดแผ่วเบาเรียกความสนใจในความคุ้นเคย ผู้คงไว้ซึ่งใบหน้าของเด็กสาวแรกรุ่นอายุเพียงสิบห้าสิบหกปี สวมกิโมโนยาวคลุมกายสีขาวแกมฟ้า ลงท้ายด้วยดวงตาซุกวนอยู่ตลอดเวลา เทพธิดาแห่งสายลมหนาวนั่นเอง หากนางมาในเวลาที่ไม่ได้ส่งเสียงเรียก เกรงว่าคงพัดหอบเอาข่าวของใครกลับมาด้วยอย่างแน่นอน เพียงแต่จะเป็นข่าวประเภทใด ไม่มีใครเดาความคิดของผู้วางใจฝากนกส่งสารคนนี้มาหรอก เสียงหัวเราะของนางปรากฏขึ้นพร้อมนัยน์ตาแพรวพราว เมื่อเห็นภาพและกิริยาของหญิงสาวสองคนนั้น ดูราวกับจะโอบกอดกันอยู่รอมร่อ ไหนเลยจะปฏิเสธเหมือนอย่างคราวก่อนได้ มือที่ขอบเกาะหน้าต่างดันให้กายทั้งหมดเข้ามาในห้องอย่างพลิ้วไหว เหมือนแพรพรรณที่สะบัดโบกอย่างนุ่มนวลกลางสายลม ยูคุซึจินผละออกจากตัวเครื่องบรรณาการอย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งที่ล่วงรู้ในความคิดลึกของอาคันตุกะผู้มาเยือน ใบหน้าของนางแฝงด้วยรอยยิ้มประจำกาย หากแต่สายตาบ่งบอกว่าไม่ค่อยพอใจในสิ่งที่เทพธิดาลมหนาวกำลังรู้สึกเท่าไหร่นัก ศักดิ์ของเครื่องบรรณาการเทียบเท่าจตุดรุณีเหล่านั้น นางเป็นถึงเทพผู้สถิตปกป้องหมู่บ้านเชียวนะ จะมีความสัมพันธ์กับเพศเดียวกัน ทั้งยังมีฐานะต่ำกว่าได้อย่างไร เทพธิดาผู้คงใบหน้าแรกรุ่นรีบยิ้มประจบ “เรื่องอื่นช่างมันไป ที่ข้ามาวันนี้ก็เพราะสารจากท่านมุสึโซจิน ทั้งยังเป็นสารลับ ห้ามบอกใครเป็นอันขาด” หากเป็นผู้อื่นกำชับเทพธิดาแห่งสายลมหนาวในเรื่องนั้น มันคงเป็นความขบขันล้อเล่นเล็กๆ น้อยๆ เสียมากกว่า ทว่า เมื่อมีชื่อของบุคคลที่นางเคารพมาโดยตลอด บางทีสารลับที่ย้ำแน่นหนักก็อาจจะไม่ใช่เรื่องชวนหัวทั่วไป อีกทั้ง วิหคส่งข่าวนางนี้ยังเป็นผู้ที่เที่ยวท่องออกเหนือตกใต้ไปทั่วหล้า ท่านมุโซสึจินอาจจะเล็งเห็นถึงจุดนั้น จนเผลอลืมไปว่าวิหคนั้นส่งเสียงยาวไกลสมฝีเท้านัก เพราะท่านมักจะเก็บตัวอยู่แต่ในปราสาทจนแทบไม่พบแสงเดือนแสงตะวัน ครั้งนี้มิสึงิไม่ได้ถูกไล่ไปไกล ไม่รู้ว่าเจ้านายหญิงเห็นว่าอาคันตุกะรู้จักนางดีแล้ว หรือว่านามนั้นดึงเอาความสนอกสนใจไปหมดแล้วกันแน่ นางไม่ได้เขยิบเข้าไปใกล้เพื่อฟังเสียงพึมพำเปลี่ยนวาจากัน ในเมื่อรู้ว่าเด็กสาวผู้มีอายุมากกว่านางร้อยเท่า แต่กลับมีใบหน้าอ่อนเยาว์กว่าถึงสี่ปีนั้น มีศักดิ์เป็นถึงเทพธิดาแห่งสายลมหนาว ยังมีเรื่องใดให้ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวอีกหรือ? กิจงานของเหล่าเทพาสตรีสรวง นางยื่นมือเข้าไปช่วยไม่ได้หรอก เพียงแต่ใบหน้าของเครื่องบรรณาการแอบเหลือบมองอย่างตรงไปตรงมาแวบหนึ่ง ในตอนที่ได้ยินเสียงถอนหายใจของผู้เป็นเจ้าชีวิต น่ากลัวว่าคงไม่ใช่เรื่องที่นางสมควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวจริงๆ เทพธิดาแห่งสายลมหนาวนั้นลงท้ายอีกสองสามคำ ก่อนจะหันมาโบกไม้โบกมือกับนางให้พอเป็นคำทักทาย แล้วจึงโบยบินไปพร้อมกับสามลมเย็นยะเยือกเหล่านั้นอย่างว่องไวคล่องแคล่ว จตุดรุณีปรากฏตัวขึ้นดั่งรู้ใจนาย ประตูทั้งสองด้านถูกเปิดออกเพื่อนำมาซึ่งเกาทันฑ์ใหญ่คันงาม ทำจากไม้เนื้อดีเรืองรองประดุจฉาบไล้ด้วยทองคำ สายคันธนูนั้นขึงตึงเตรียมพร้อมให้ผู้ใช้ขึ้นสายเหนี่ยวยิง พร้อมด้วยแล่งที่มีศรปลายคม แลดูเพียงแวบเดียวก็รู้ว่าของเหล่านี้มีบางอย่างที่พิเศษเกินกว่าอาวุธทั่วไป “มิสึงิ” เสียงที่เรียกนามนางนั้นจริงจังเคร่งขรึมจนหญิงสาวไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่ก้มหน้าก้มตาเดินไปยังหลังฉากม่านที่มีผ้าโปร่งสีแดงหุ้มไว้หลายชั้น เพื่อช่วยเจ้านายเปลี่ยนอาภรณ์ให้เหมาะสมกับการสู้รบ นางจัดเตรียมทุกอย่างด้วยความหวั่นใจ เพราะความที่ไม่เคยพบเจ้านายมีท่าทีจริงจังถึงเพียงนี้ ยูคุซึจินสัมผัสถึงเรื่องนั้นได้ แต่ก็คิดว่านางไม่จำเป็นต้องสนใจในตัวทาสรับใช้คนหนึ่งนัก
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ