Tribute Girl. Yuri

8.9

เขียนโดย ปรัสรา

วันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2556 เวลา 05.18 น.

  8 session
  0 วิจารณ์
  12.55K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 12 มกราคม พ.ศ. 2556 06.28 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) บทที่ 5

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

      หนึ่งเดือนผ่านพ้น จวบจนนับปีครบคำรบที่สาม เครื่องบรรณาการนั้นยังคงนั่งคอยเจ้านายริมหน้าต่างบานเดิม...
ในสายกาลที่ผ่านมา มิสึงิพานพบกับจตุดรูรีบ้างตามโอกาส ในปีแรกก็คอยไต่ถามว่าเจ้านายนั้นจะกลับมาตอนไหน นางจะกลับมาเมื่อไหร่ มีข่าวคราวฝากสายลมเย็นนั้นมาบ้างไหม แต่ไม่ว่าอย่างไร ทุกครั้งยังคงเป็นความเงียบงัน เป็นอันสื่อให้รู้ว่าสตรีสรวงยังคงวุ่นวายอยู่กับภารกิจนั้นไม่เปลี่ยน
     จากหญิงสาวผู้ยังคงความเยาว์ เริ่มกล่าวสู่ร่างกายแบบสตรีอย่างเต็มบริบูรณ์ ดวงตาแววใสที่เคยฉายแววนิ่งเงียบ บัดนี้กลับแฝงไปด้วยความสุขุมากกว่าที่เคยนัก แม้ว่าเวลาสามปีที่ผ่านไปจะไม่เคยย่างกรายออกนอกปราสาท หญิงสาวก็ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ จากฟ้าดินลมฝน จากการเวียนแวะของเทพธิดาแห่งสายลมหนาวและเทพีพระจันทร์ หากแต่พวกนางเหล่านั้นกลับไม่เคยมีข่าวคราวของเจ้าชีวิตแว่วมาเลย
     สึกิฮิคาริมักจะเอ่ยทุกครั้งที่แวะเวียนมาหา ว่าท่านมุสิโซจินเป็นผู้ที่สตรีสรวงให้ความเคารพและฝ่ายนั้นก็เชื่อในฝีมือของนางมาก ต่อให้ข่าวความลับที่หอบมาด้วยสายลมแห่งเทพธิดา พิราบสื่อสารนั้นก็ยังตีความไม่ออกและแปลไม่เข้าใจ ผู้ไหว้วานขึ้นชื่อว่าเป็นปราชญ์อันดับหนึ่งบนท้องฟ้า หากว่าจะให้ถอดความอย่างตั้งใจคงจะยาก รวมทั้งลิ้นของเทพธิดาผู้ขจรกว้างไกล ยังพันกันสองทบตามมนตร์ที่คนผู้นั้นร่ายไว้อีกด้วย เวลาสามปีที่ไม่ได้พูดถึง กอปรกับความเคารพมากหลายที่เทพเทวดาให้แก่ท่านมุสึโซจิน กว่าจะมีคนกล้าหาทางล้วงความลับจริงๆ เทพธิดาองค์นั้นคงลืมสิ้นทุกสิ่งไปแล้ว
     เหตุที่เทพพระจันทร์เวียนมาหาเครื่องบรรณาการบ่อยครั้งนั้น ส่วนหนึ่งก็เพราะอยากลองพูดคุยกับลูกมนุษย์ที่สหายนำมาชุบเลี้ยงดูแล อีกส่วนหนึ่งนั้นเป็นเพราะความเหงาเดียวดายกลางราตรี เมื่อเจอมิตรที่สามารถคลายความเหงายามวิกาลได้ จะแวะลงมาพูดคุยหน่อยก็ดีเหมือนกัน ยังฟังมากพูดน้อยตามที่สึกิฮิคาริโปรนปราน เมื่อเปล่งวาจาออกมา สุ้มเสียงเหล่านั้นยังรื่นหูชวนฟัง นับได้ว่ามีศิลปะแห่งการพูดคุยไม่น้อย
วันคืนเช่นนั้นผ่านไปอย่างเงียบงัน จนกระทั่งเทพีพระจันทร์นำข่าวดีมาบอกแก่นางในค่ำวันหนึ่ง หากแต่ข่าวดีนั้นกลับสร้างความตกใจแก่มิสึงินัก
     “มีข่าวลือว่านางกลับไปยังตำหนักของท่านมุสึโซจินเพื่อนำของที่ท่านต้องการไปมอบให้ ร่างกายของนางเปี่ยมโชกไปด้วยโลหิตแลดูน่ากลัวยิ่งนัก” ดวงตาของสึกิฮิคาริแพรวพราวเสมือนเรื่องเล่านั้นแสนสนุก ชวนให้ผู้สดับฟังข่าวจากคนไกลไม่ค่อยจะพึงพอใจนัก หากแต่สีหน้าของนางยังคงสงบนิ่งดั่งสายน้ำที่ไหลผ่านเอื่อย แม้จะมีก้อนหินเหวี่ยงมากระทบ ครู่เดียวก็กลับมาเวิ้งว้างไร้ละลอกคลื่นอื่นใด ต่อให้ใต้ผืนน้ำนั้นยังคงมีศิลาร่วงหล่นจมอยู่ก็ตาม
     นางชะงักไปชั่วขณะในตอนที่เห็นรอยยิ้มอันว่างเปล่าของมิสึงิ ผู้กำลังรับฟังอย่างใจเย็นไม่ถกเถียงถามไถ่ใดๆ ก่อนจะนึกได้ว่าบุตรมนุษย์คนนี้เพิ่งอยู่กับยูคุซึจินไม่กี่วันก็ต้องแยกกันแล้ว หากจะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรก็คงไม่แปลกนัก “เจ้าอาจจะไม่เข้าใจความรื่นเริงของข้าหรือชาวสรวงคนอื่นๆ แต่ฝีมือของนางมิได้ยิ่งหย่อนไปกว่าใครเลย ผู้ที่ทำให้นางบาดเจ็บหรือสิ่งของล้ำค่านั้นคืออะไร? ย่อมต้องเป็นสงสัยของพวกเขาแน่ อีกทั้งร่างกายของยูคุซึจินยังฟื้นตัวได้เร็วกว่าบุตรมนุษย์เช่นเจ้าหลายร้อยเท่านนัก เราต่างเป็นเทพผู้เสมือนมีกายอมตะ เจ้าอย่าได้วิตกไปเลย”
มิสึงิก้มหน้ารับรู้เพียงเล็กน้อยเพื่อรอคอยฟังเนื้อหาในข่าวลือนั้น หากว่าดวงตาของอาคันตุกะไม่เบิกกว้าง แสดงความประหลาดใจออกมาอย่างชัดเจน ซ้ำยังมีใครบางคนที่เอื้อมมาสัมผัสนางเบาๆ ราวกับนั่นเป็นพละกำลังทั้งหมดที่มี หากจะกล่าวจากบาดแผลกลางลำตัวที่ยังคงไว้ด้วยกลิ่นโลหิตคละคลุ้ง การประคองสติเดินมาจนสัมผัสเครื่องบรรณาการได้ก็นับว่าเก่งกาจมากแล้ว
     หญิงสาวรีบหันไปประคองเจ้าชีวิตด้วยสีหน้าอันว้าวุ่นใจ แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าจตุดรุณีคงจะรู้เรื่องนี้ ผิดกับนางที่ไม่ได้ยินกระทั่งเสียงเปิดประตูเพราะกำลังตั้งใจฟังข่าวคราวของผู้บาดเจ็บ มิสึงิก็อยากจะตะโกนเรียกให้ความว้าวุ่นในใจนั้นลดลงไปบ้างสักหลายส่วน ทั้งยังเป็นการเร่งให้แปดฝีเท้านั้นช่วยรีบนำกล่องยาสมุนไพรมาช่วยบรรเทาบาดแผลให้ไวที่สุด ความสงบนิ่งดั่งสายน้ำเมื่อครู่นี้เบาจางลงจนแทบไม่น่าเชื่อ เหลือเพียงสีหน้าท่าทางให้เจ้าชีวิตขบขันเท่านั้น จริงอยู่ที่ความเจ็บปวดมันเริ่มทวีขึ้นจนชาหนึบ แต่การที่มีคนนึกถึงบาดแผลมากกว่าพลังความฟื้นฟูก็ทำให้จิตใจของยูคุซึจินอบอุ่นนัก
     สึกิฮิคาริสบตากับเจ้าบ้านเพียงแวบเดียวก็เข้าใจความหมาย แทนที่นางจะถามไถ่ว่าทำไมฤทธิ์แห่งการฟื้นกายจึงดูล่าช้านัก สู้กลับไปประจำราชรถจันทราของจนก่อนดีกว่า อย่างน้อยก็ให้ผ่านพ้นช่วงเจ็บหนักนี้ไปก่อน เพราะฝ่ายนั้นไม่ใคร่จะชอบใจในความคลางแคลงสงสัยในฤทธาแข็งแกร่งนัก และเมื่อเทพีจันทรากล่าวลาเพื่อล่องลอยสู่ฟากฟ้า จตุดรุณีจึงเปิดประตูเข้ามาอย่างรู้งาน ทั้งยังผิดหน้าต่างบานประตูด้วยแพรพรรณชาดสารพัดผืนจนหนาแน่น การสายตาแอบดูสอดส่องของผู้สงสัยไปได้ส่วนหนึ่ง
     ทีแรก ยูคุซึจินคิดว่าเครื่องบรรณาการคงได้แต่นั่งมองเพียงอย่างเดียว เพราะสมุนไพรที่ปรากฏเหล่านี้มิใช่ของที่มีดาษดื่นทั่วไป หากแต่สีหน้าจริงจังของนางไล่สายตาจดจำทุกการเคลื่อนไหวทุกรายละเอียด สุ้มเสียงไพเราะของดรุณีเหล่านั้นก็คอยบอกขานฤทธิ์ยาไปพร้อมกัน แน่นอนว่าผู้สดับฟังต้องไม่ใช่เจ้านายซึ่งรู้ดีทุกอย่าง แต่เป็นตัวของหญิงสาวที่นั่งอยู่ใกล้เคียงต่างหาก
     เมื่อเสร็จสิ้นกิจงานทุกอย่าง เทพีแห่งยุทธนาส่งเสียงเรียกเพียงเล็กน้อย ทีแรกมิสึงิคิดว่าเจ้านายต้องการหมอนอิงสักใบ หากแต่เจตจำนงนั้นคือการที่นอนหนุนนางต่างหากเล่า เป็นความรู้สึกที่ชวนให้ประหลาดใจสำหรับสตรีทั้งสองนัก ฝ่ายหนึ่งคิดว่าเจ้านายไม่น่าจะกระทำเรื่องแปลกประหลาดเช่นนี้ เพราะตนก็เป็นเพียงทาสรับใช้ที่ไม่มีอะไรทัดเทียม การนำมานอนหนุนคงจะลดตัวมากเกินไปนัก หากแต่ฝ่ายนั้นกลับคิดไปอีกอย่าง การที่รู้สึกอบอุ่นท่ามกลางความหนาวเหน็บด้วยพิษบาดแผลนี่ต่างหากเล่า จึงจะเป็นเรื่องน่าประหลาดของจริง
     คงเป็นเพราะห่างกันไปนานถึงสามปี เมื่อกลับมาพบกันอีกครั้งก็ควรจะรู้สึก... นางคิดเพียงแค่นั้นแล้วหลับลงด้วยความอ่อนเพลีย จริงอยู่ที่ในยามปกติ มักจะไม่มีเทพหรือเทพีองค์ใดเข้าสู่นิทรา แต่ในยามบาดเจ็บก็เป็นข้อยกเว้น
     ร่างที่นั่งนิ่งสนิทมาตั้งแต่เมื่อครู่ของมิสึงิเฝ้ารอจนเจ้าชีวิตหลับสนิทลง เรียวมือของนางไล้ไปบนแก้มเนียนอย่างพิจารณาครุ่นคิด ในใจลึกๆ ได้แต่หวังว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความปกติอย่างหนึ่งในหมู่เทพยดา เนื่องจากหัวใจและลางสังหรณ์ลึกๆ เปี่ยมด้วยความกังวลใหญ่หลวง ราวกับสัมผัสได้ถึงเงาร้ายบางอย่างที่ครอบคลุมทั่วผืนฟ้า สะท้อนลงมาจรดผืนดิน โดยเฉพาะเมื่อคิดถึงชื่อมุสึโซจินนั่นแล้ว บางสิ่งบางอย่างถาโถมเข้ามาในอกดั่งพายุหมุน จะเกิดสวรรค์ชั้นฟ้าอุบัติใด นางไม่สน แต่อย่าได้เกิดเรื่องอะไรกับเจ้านายนางนี้อีกเลย แม้เพิ่งอยู่ด้วยกันเพียงไม่กี่วัน ยูคุซึจินเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่หญิงสาวยอมรับว่าสมควรติดตาม
     เจ้าชีวิตคนนี้ไม่เคยบังคับให้นางดีดพิณเพื่อใคร เจ้าชีวิตคนนี้ไม่เคยสั่งให้นางฝึกฝนตนเพื่อใคร ตรงกันข้าม กลับใช้วาจาปลอบประโลมว่าชัยชนะช่างหอมหวาน และยินดีจะเสี้ยมสอนในสิ่งที่นางสนใจด้วยหัวใจ มิใช่หน้าที่อย่างคนในหมู่บ้าน แต่หลังจากอยู่ที่ปราสาทนี้มาตลอดสามปี นางเริ่มเข้าใจความคิดความรู้สึกของพวกเขาเหล่านั้นขึ้นมาบ้าง พวกเขาแค่ทำตาม ‘คำสั่งของเจ้านาย’ เท่านั้นเอง ต่อให้คำสั่งนั้นจะหมายถึงการเสี่ยงอันตรายของชีวิตคนคนหนึ่งก็ตาม เพื่อคนส่วนมากที่จะปลอดภัยจากเพลิงสงครามและความพิโรธของเทพเจ้า บางสิ่งก็ไม่มีทางหลีกเลี่ยงหรอก แล้วการที่นางมาที่นี่ มันก็เป็นข้อพิสูจน์ชั้นดีถึงความกระจ่างในใจว่ามีดเล่มนั้นมีไว้เพื่อทำอะไร ใช้เพื่อปักลงสังหารเทพี หรือมีไว้เพียงเพื่อป้องกันตัวจากสัตว์ป่าดุร้ายในค่ำคืนนั้น
     แต่ ณ ตอนนี้ สตรีผู้ที่นอนหนุนนางอยู่คือคำยืนยันที่ดีที่สุดแล้ว
     นางประคองร่างของผู้บาดเจ็บไปนอนบนเบาะนุ่มอย่างระมัดระวัง แล้วนั่งพิงกำแพงริมหน้าต่างเพื่อเฝ้าไข้เจ้านายไปเรื่อยๆ ระหว่างนั้นสายลมเอื่อยอ่อนกอปรกับเสียงของธรรมชาติประสานกันมากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังเป็นยามราตรี เวลาที่มนุษย์ทั่วไปจะพักผ่อนร่างกายให้หายความเมื่อยล้าอันสั่งสมมาตั้งแต่รุ่งอรุณก่อน มิสึงิซึ่งทนฝืนอยู่เพียงครู่เดียว ได้พ่ายแพ้ต่อความง่วงงุนนั้นจะผล็อยหลับไปในที่สุด

     เสียงคลุกคลักบางอย่างปลุกให้หญิงสาวตื่นขึ้นมาอีกครั้งด้วยความง่วงงุน เหตุเพราะผล็อยหลับไปในตอนหัวค่ำเท่านั้น ถัดมาเพียงสามชั่วยามก็ต้องตื่นขึ้นมาตามเสียงรบกวนนั้น แต่ไหนเลยมิสึงิจะเอ่ยปากต่อว่าเสียงรบกวนนั้นได้? เดิมทีนางต้องเป็นคนคอยประคบแผลและจัดยาตามเวลาให้แก่เจ้านายด้วยซ้ำไป จตุดรุณีรู้ใจยูคุซึจินที่สุดย่อมเป็นความจริงอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ผู้ที่ใกล้ชิดกว่าในระยะทางคือนางเอง คนเฝ้าไข้ดูแลบาดแผลกลับมาหลับแบบนี้ นับว่าเป็นเรื่องใช่ไม่ได้เลยจริงๆ
     “เจ้าหลับต่อดีกว่านะ” น้ำเสียงของเทพีแห่งยุทธิ์ไม่ได้สื่ออารมณ์ใด นัยเนตรจับจ้องแต่เพียงผ้าม่านคลุม     หน้าตาสีชาดเท่านั้น ราวกับจะทะลุทะลวงไปยังเดือนดวงนั้น หากแต่ความว่างเปล่าอันสื่อถึงการไม่คิดสิ่งใดทำให้มิสึงิไม่กล้าเปิดม่านรับแสงสว่างจากท้องฟ้าในราตรีนี้ ได้แต่เคลื่อนกายเข้ามาใกล้เพื่อช่วยจัดหยูกยาสำหรับบำรุงร่างกายสมานแผล หากว่ายูคุซึจินไม่รีบนำผ้าคลุมปิดภาพอันน่าสะพรึงเสียก่อน
     รอยยิ้มของหญิงสาวประทับแต้มขึ้นบนใบหน้าทรงสามเหลี่ยมโค้งมน มือของนางทาบทับกับเจ้านายเหนือบาดแผล อีกมือก็โบกให้จตุดรุณีออกไปก่อน หากการที่พวกนางเหล่านี้ยอมออกไปแต่โดยดี มิใช่การเชื่อฟังนางขึ้นมากะทันหัน นายหญิงของนางเหล่านั้นก็คงต้องการทำตามสัญญาณนั่นเช่นเดียวกัน
     “ท่านกลัวสิ่งใดกับบุตรมนุษย์อย่างข้า” มิสึงิแสร้งทำเสมือนไม่มีอะไรผิดแปลก แม้กลิ่นเลือดและบาดแผลไม่น่าดูจะปรากฏอยู่เบื้องหน้า “วางใจเถิด ข้ารู้จักสมุนไพรพวกนี้ดีพอ ต่อให้เป็นการศึกษาเพียงครั้งเดียว”
     “ครั้งเดียวแน่รึ? ทั้งที่มีพืชพันธุ์มีเจ็ดชนิด แบ่งใช้เจ็ดวิถี ในช่วงระยะเจ็ดราตรี ในทุกเจ็ดชั่วยาม ปราดเปรื่องเพียงใดก็ท่องจำในครั้งเดียวไม่ได้ ยังไม่นับรวมเรื่องความมั่นใจในแววตาคู่สวยของเจ้า นั่นแปลว่าความเชี่ยวชาญในยาสมุนไพรย่อมมีมากใช่เล่น หากไม่ใช่เช่นนั้นแล้ว เจ้าต้องไม่กล้าโบกไล่นางทั้งสี่ออกไปแน่” วาจากล่าวรู้ทันพรั่งพรูออกมาไม่หยุดหย่อน “ไม่ว่าการท่องชื่อยาหรืออาการไม่ประสีประสาต่อการรักษา ล้วนเป็นสิ่งที่เจ้าสร้างขึ้นเพื่อลวงข้าเท่านั้น เจ้าเองจะกลัวอะไรในตัวข้าเล่า? แม้เจ้าจะเรียนยาพิษมาสังหารข้าในสักวัน ข้าก็ไม่คิดจะห้ามหรอกนะ”
     เครื่องบรรณาการเอื้อนเอ่ยสิ่งใดไม่ออก ได้แต้ก้มหน้ายอมรับกับถ้อยความทั้งหลาย มือของนางบดยาสมุนไพรไปก็นำส่วนผสมมาปรถุงกันให้รวมเป็นหนึ่ง ตั้งใจจะสร้างประคบบรรเทาความปวดชาบาดแผลโดยเฉพาะ แล้วจึงทำความสะอาดเพื่อพันแผลใหม่ให้เรียบร้อย
     เทวนารีเฝ้ารอให้หญิงสาวถามไถ่ในข้อความประโยคสุดท้าย แต่น่าเสียดายที่ไม่มีเสียงใดๆ หลุดออกมาแม้แต่ครึ่งคำ หากว่าเครื่องบรรณาการกล่าวถามมา นางต้องตอบด้วยความคิดทั้งหลายที่แล่นวนอยู่ในหัวใจตอนนี้ หากกล่าวออกไปแล้วไม่เสียใจ ไม่คิดคืนคำ นั่นก็คงยืนยันได้ว่านางเริ่มสนใจในตัวของหญิงรับใช้ ผู้ห่างจากกันไปนานถึงสามปีบริบูรณ์
     สตรีสรวงเผลอเอื้อมไปรั้งกายของบุตรสาวชาวมนุษย์ไว้ พร้อมรอยยิ้มอันงดงาม “หากจะเฝ้าไข้ก็ต้องอยู่ใกล้ๆ มิใช่รึ? ไปอิงกำแพงอยู่อีกทำไม”
     หญิงสาวจ้องนัยน์ตาของผู้กล่าววาจา ก่อนจะนั่งลงข้างกายตามที่เจ้านายต้องการ

     “บุตรมนุษย์งั้นรึ? ” สุ้มเสียงนั้นทวีความประหลาดใจ ความคุ้นเคยแอบแฝงมาเจือจางแต่กลับนึกไม่ออก มิสึงิพบว่าตนได้แต่เดินมาตามเส้นทางปกคลุมไอหมอกเท่านั้น
     สิ้นสุดปลายทางแห่งหมอกและเส้นทางสีขาวที่ไร้ซึ่งเหนือใต้และกลางวันกลางคืน ร่างอันสง่างามของสตรีสรวงผู้เป็นเจ้าชีวิตกำลังอิงกายกับผืนแพรสีแดงมากมาย มันดูหนานุ่ม ลอยล่องและบางเบาราวกับขนนก แต่ยูคุซึจินยังคงเปี่ยมด้วยรอยยิ้มและกิโมโนสีแดงตัวนั้นยังคงถูกสวมใส่ไว้ไม่เปลี่ยน
     มิสึงิยืนอยู่ห่างจากกองแพรพรรณที่โบกพลิ้วโดยไร้ลมอย่างน่าประหลาดนั่นพอสมควร และแทนที่ผู้เป็นนายจะเรียกขานให้เข้าใกล้ ใบหน้าเปี่ยมด้วยชีวิตชีวาเริ่มคลายความสงสัย ทั้งยังล่องลอยมาเบื้องหน้านางอย่างเชื่องช้า ฝ่ามือที่คอยจับแต่อาวุธเพื่อต่อสู้ได้ดึงรั้งนางให้เข้ามาสู่โอบกอด เนื่องด้วยเครื่องบรรณาการนั้นสูงเพียงไหล่ นางจึงได้แต่อิงกับกายของเจ้านายอย่างไม่มีทางเลือก
     “เป็นท่านจริงๆ ” เสียงของมิสึงิแผ่วเบาล่องลอยมาไม่ต่างจากผืนผ้าเหล่านั้น
     “เป็นข้าแน่นอน เพราะนี่คือฝันยามนิทาราของข้า ซึ่งมีเจ้าเป็นแขกมาเยี่ยมเยือน” ยูคุซึจินเผยยิ้มอ่อนโยนจากหัวใจ มือหนึ่งคอยไล้ไปตามเส้นผมสีดำสนิทของเครื่องบรรณาการอย่างพึงใจ “บุตรมนุษย์เอ๋ย ข้าไม่เคยพบใครที่ยิ้มให้เมื่อข้ากลับมา หรือห่วงหาในเวลาที่ข้าออกเดินทางมาก่อน เจ้าเป็นคนแรก...”
     ผู้ถูกโอบอุ้มสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นบางอย่างผ่านกระแสเสียงนั้น สิ่งที่เจ้านายเมื่อสามปีก่อนเคยมอบให้จนนางจำได้ขึ้นใจ หากแต่ครั้งนี้กลับเป็นมากยิ่งกว่า ไม่ว่าจะเป็นคำชมหวานล้ำถึงนัยน์เนตรของนางหรือรอยยิ้มจริงใจ ทุกอย่างดูจะผันแปรไปตั้งแต่เมื่อตอนที่นางกลับมา มันเกิดอะไรขึ้นกันหนอ...?
     เสียงหัวเราะของผู้เป็นเจ้านายไพเราะก้องกังวานเปี่ยมด้วยความสุข ก่อนจะแนบสัมผัสนุ่มนวลลงบนริมฝีปากของหญิงสาว ก่อนจะตอบคำถามทางแววตาสื่ออารมณ์เหล่านั้น นางอยากจะมั่นใจว่าตนต่อต้านกับกระทำฉันชู้สาวหรือไม่? หากต่อต้าน นางคงไม่ได้รู้สึกลึกซึ้งดังที่ตนเข้าใจ แต่ถ้าอ่อนคล้อย ย่อมแปลว่าวาจาต่อไปนี้ มิใช่เรื่องผิดพลาดหรือความเข้าใจคลาดเคลื่อนในตัวตน
     “ท่าน...” เสียงของมิสึงิแผ่วยิ่งกว่าตอนแรกเสียอีก
     “เราไม่เคยมีคนรักมาก่อน ไม่ว่าบุรุษหรือสตรีนางไหน ข้าจึงไม่เคยพบว่าความสุขยามที่รอยยิ้มนั้นต้อนรับการกลับมา มันคือสิ่งที่ข้าปรารถนามากมายนัก แม้ว่าจตุดรุณีสามารภแย้มยบิ้มหรือกล่าวทักทายต้อนรับมา มันก็ไม่ใช่หัวใจและนิสัยอันแท้จริงของพวกนางเลย ต่างกับเจ้า เจ้าก็เป็นเพียงคนเดียวที่ทำให้ใจข้าสั่นไหว ดุจดั่งเรียวนิ้วที่กระทบกับสายพิณให้เกิดเสียงแว่วหวาน” มือซ้ายของหญิงสาวถูกยกขึ้นแนบจุมพิตสัมผัส “หากข้าจะยกเจ้าขึ้นมาในฐานะ ‘หญิงสาวผู้รับใช้ใกล้ชิด’ เจ้าจะยินยอมหรือไม่? ”
     “แม้ไม่ยินยอมก็คงทำไม่ได้ ข้าจะคอยอยู่รั้งรอท่านในฐานะนั้น จนกว่าท่านจะพบผู้ที่สามารถใช้คำว่า ‘คนรัก’ ได้” มิสึงิกล่าว ทั้งยังจรดนิ้วชี้ปิดไม่ให้เทวนารีพูดคำใดอีก “ไม่ต้องปลอบโยนข้า ไม่ต้องอธิบายคำใดๆ หากท่านใช้คำว่า ‘คนรัก’ ข้าก้คงไม่อาจรับตำแหน่งอันล้ำค่านั้นไว้ได้ วางใจเถิด ท่านยูคุซึจิน ข้าจะอยู่เคียงข้างท่านจนกว่าจะคลายความเหงาและเบื่อหน่ายทั้งหมดในใจนี้เอง”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา