Tribute Girl. Yuri

8.9

เขียนโดย ปรัสรา

วันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2556 เวลา 05.18 น.

  8 session
  0 วิจารณ์
  14.06K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 12 มกราคม พ.ศ. 2556 06.28 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) บทที่4

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

      "ไม่ยักรู้ว่า...นอกจากศาสตราวุธทั้งหลาย  เจ้าชีวิตของข้าจะสามารถลุกขึ้นมาจับพู่กันได้"  คนพูดขยับริมฝีปากเพียงน้อย  แต่วาจาเราะร้ายนั้นมิได้เป็นดั่งการเคลื่อนไหวนั้นสักนิด  หากแต่เมื่อผู้พูดมิได้แสดงอารมณ์ใดจนคล้ายกับไม่เจตนาในการว่ากล่าว  เทพสรวงนั้นจึงทำเมินต่อวาจาที่น่ายอกย้อนนั่น  ทั้งยังขบขันเสียจนเกินจะกลั้น  ทั้งรอยยิ้มนั้นยังสั่นกึกๆ ระหว่างแต่งแต้มสีสันลงบนกระดาษเขียนรูปสีขาวสะอาด

      เมื่อหนึ่งชั่วยามก่อน
      ในรุ่งอรุณยามเช้า  สายหมอกแลน้ำค้างยังคงปรากฏเสมือนอยู่ในสวนสรวงแห่งพืชพันธุ์  มิสึงิก้าวตามหลังเจ้านายของตนไปด้วยความสนอกสนใจยิ่ง  นางยังสวมชุดกิโมโนสีชมพูตัวที่สวยที่สุดมาตามคำสั่งนั้นด้วย  ยิ่งความพิถีพิถันเพิ่มมากขึ้นโดยฝีมือของบริวารหญิงทั้งสี่เหล่านั้น  ความแปลกใจของหญิงสาวยิ่งทวีขึ้นตามความงามเหล่านั้น  หรือว่าจะมีแขกคนใดมาเยี่ยมเยือนเป็นพิเศษ?
      บริวารหญิงเหล่านั้นดุจจะแข่งขันในความนิ่งเงียบกับนาง  ใบหน้าของมิสึงิเรียบเฉยเท่าใด  คณะบริวารก็เรียบเฉยเท่านั้น  นางเกือบลงความคิดว่านั่นต้องเป็นคำสั่งของยูคุซึจินแน่  หากแต่ตัวเจ้านายคงมิได้มีความคิดผิดแปลกยิ่งกว่านี้หรอก  เครื่องบรรณาการได้แต่เข้าใจว่าตนมีฐานะไม่ต่างกับนางทั้งสี่  หากไม่ต้องการจะถามตอบอะไรก็คงทำได้เสมอ
      จตุดรุณีนำทางผู้แต่งกายด้วยสีสันอันอ่อนหวานไปสู่สวนดอกไม้ใกล้กับปราสาท  แม้ว่าจะไม่เห็นเงาของผู้ที่ออกคำสั่งอยู่ใกล้เคียง  ความสบายใจที่สร้างสันจากคลื่นลมเย็นสบายเคล้ากับสายหมอกปกคลุมแผ่วบาง  เครื่องบรรณาการค่อยๆ คลี่ยิ้มแรกออกมาต้อนรับแสงแห่งดวงตะวัน  แม้ว่าไทโยโคะซึจินจะเฝ้ามองตามข่าวลือที่ได้ยิน  นั่นก็เป็นสิ่งที่เรียกความสนใจให้เทพสุริยาเพียงชั่วครู่เดียว  ก่อนจะเมินกลับไปยังเส้นทางราชรถตรงหน้า
      มิสึงิเอนกายลงท่ามกลางบุปผาสีหวานเหล่านั้น  ต่อให้บังเกิดความกลัวแล่นสู่จิตใจอยู่หลายครา  แต่ร่องรอยของดอกไม้ที่บดแบนไปกับพสุธาก็บ่งถึงการกระทำแบบเดียวกันของใครสักคน  ซึ่งไม่มีทางใช่จตุดรุณีแน่  นางเหล่านั้นมีตัวตนจริงหรือไม่  หญิงสาวยังไม่ใคร่จะแน่ใจ  รู้เพียงว่าเวลาที่เหมาะสมในการปฏิบัติหน้าที่จึงจะเป็นโอกาสสบมอง  แน่นอนว่าไม่มีคำทักทายสนใจใดๆ แก่หญิงรับใช้คนใหม่เลยเลย
      กายาของสตรีผู้อยู่ท่ามกลางมวลพฤกษาจะไม่ได้พลิกไปมาดั่งตนทำ  ยูคุซึจินก็บังเกิดความชอบอกชอบใจมากล้นนัก  จตุดรุณีเตรียมอุปกรณ์สำหรับเขียนภาพให้ดั่งรู้ใจเจ้านาย  ทั้งที่ความคิดในการวาดรูปของหญิงรับใช้นางนั้นเพิ่งปรากฏขึ้นในใจไม่ถึงครึ่งนาที  นางก้าวออกไปจากมุมอับสายตาเพื่อลองกล่าวดุดูสักครั้ง  ต้องตักเตือนเสียบ้างว่าใครเป็นนายเป็นบ่าว  ส่วนเรื่องภาพเขียนนั้นค่อยพูดกันต่อ
      "ข้าดีใจที่เจ้ารู้สึกไม่ต่างจากอยู่ในที่พำนักของตน"  องค์เทพีแย้มยิ้มด้วยสีหน้าไม่ยินดีเท่าเมื่อครู่นี้  นางมิได้แสร้งทำเป็นเกรี้ยวโกรธสักนิด  เพียงปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสถานการณ์ต่างหากเล่า  "หรือบางทีเจ้านายคนนี้ควรจะกลับเข้าไปในตำหนักแพรพรรณชาดก่อน  จะได้ไม่รบกวนอารมณ์สุนทรีย์ของเจ้า"
      หญิงสาวผุดลุกขึ้นทันใดดั่งโดนเปลวเพลิงจ่อประชิด  รู้ตัวดีว่าคงจะโดนตำหนิเป็นแน่  หากแต่วูบหนึ่งที่นางรู้สึกว่าตนสามารถกระทำการเมื่อครู่ได้โดยสิทธิบางอย่าง  คงเพราะการที่ตนเป็นบริวารซึ่งได้รับความสนิทสนมใกล้ชิดในเวลาอันรวดเร็ว  ทั้งจตุดรุณียังมาช่วยแต่งองค์ทรงเครื่องให้อีกต่างหาก  เมื่อรวมกับการเทิดทูนมากกว่าปกติของชาวบ้าน  โดยไม่นับรวมการเคี่ยวเข็ญฝึกฝนนั้น  มิสึงิคงไม่ทันรู้ตัวว่านางเองก็เผลอคิดว่าตนมีอำนาจล้นเหลือจนไม่มีใครมาดุด่าว่ากล่าวได้  แล้วส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะ...
      หญิงสาวกล่าวคำหวานยิ้มประจบ  "ข้าเผลอคิดว่าตนมิใช่เพียงบริวารของท่าน"
      "งั้นเจ้าคิดเป็นสิ่งใดหรือ? "  ยูคุซึจินเชยคางสาวน้อยผู้หลงละเมอขึ้น  "แต่อย่าได้คิดอีกเลย  มันรังแต่จะทำให้ตัวเจ้าโดนตำหนิเสียเปล่า"
      มิสึงิไม่ได้มีสีหน้ายินดียินร้ายอันใดกับวาจานั้น  แม้จะโดนผลักลงไปกองกับเหล่าบุปผาก็ยังเป็นเช่นนั้น  เพราะสายตาทอดมองตามจตุดรุณีที่เคลื่อนใกล้เข้ามาพร้อมอุปกรณ์เหล่านั้น  หญิงสาวแอบทอดถอนอยู่ในใจ  ทั้งยังส่งสายตากึ่งจะค้อนขวับไปทางเจ้านายหญิงผู้ยิ้มเบิกบานอีก  ทีเมื่อครู่นี้ยังตำหนิ  สุดท้ายแล้วก็โปรดปรานการเอนกายของนางดีไม่ใช่หรือ
      ชุดกิโมโนสีชมพูอ่อนดุจจะละะลายรวมกันกับเหล่าบุปผาให้กลายเป็นเนื้อเดียว  สตรีผู้นอนนิ่งไม่ขยับกายมิได้แย้มยิ้มหรือเกรี้ยวกราด  ซึ่งนั่นทำให้ผู้วาดเขียนรู้สึกถูกอกถูกใจยิ่งนัก  เย็นชาและไร้ชีวิตชีวาเสมือนพฤกษารอบกายเหลือเกิน  หากตอนนี้เป็นช่วงค่ำราตรีและนางกำลังโอบกอดไว้  เทพีปกปักษ์คงได้กลิ่นหอมอ่อนแห่งธรรมชาติจากกายนางแน่
      ภาพวาดเขียนยังคงถูกระบายลงบนกระดาษสีขาวแผ่นนั้น  พร้อมเสียงประชดประชันของดรุณีน้อยยังคงแว่วมาอยู่เรื่อยๆ  เคล้าไปกับเสียงนกร้องเพลงยามเช้า  ซึ่งเนื้อหาความไพเราะนั้นดูจะแตกต่างกันนัก
      แม้จะเป็นมิสึงิผู้มีใบหน้านิ่งเงียบอยู่เสมอ  การไม่ขยับกายเอาเสียเลยก็ทำให้รู้สึกปวดเมื่อยได้เช่นกัน  หากหญิงสาวเป็นคนอื่น  สีหน้าโมโหคล้ายจะพร่ำบ่นของปรากฏขึ้นมานานแล้ว  ร่วมด้วยเสียงโอดครวญวอนขอให้เจ้านายช่วยเร่งมือขึ้นอีกสักนิด  และเหล่านั้นทั้งหมดคงจะทำลายช่วงเวลาจิตรศิลป์อันเพลิดเพลินจนหมดสิ้น
      จะเรียกว่าใจร้ายหรือเยือกเย็นก็ดี  เกรงว่าถึงยูคุซึจินจะรับรู้ถึงความเมื่อยล้าของการหยุดเคลื่อนไหว  นางยังคงลงสีอย่างใจเย็นเนิบช้า  ราวกับว่าตราบใดที่สายลมยังไม่พัดแรงขึ้น  นางจะยังคงเอื่อยการเขียนภาพเช่นนี้ต่อไป  แม้ว่าสายลมนั้นจะทำให้ผู้ที่นอนนิ่งเริ่มง่วงงุนเพิ่มขึ้นทุกนาที  จนเวลาผ่านไปเกือบชั่วยาม  เปลือกตาของมิสึงิเริ่มคล้อยต่ำลงจนฉาบปิด  ให้เจ้าของร่างได้นอนหลับไปพร้อมความเมื่อยล้าเหล่านั้น
      กริ๊ง...  กริ๊ง...  จตุดรุณีพร้อมใจกันส่งเสียงกระดิ่งออกมาจากมุมมืด  คล้ายจะยื้อไว้ไม่ให้หญิงสาวเข้าสู่นิทราง่ายดาย  แทนที่จะหักห้ามไว้  เจ้าชีวิตกลับตวัดปลายพู่กันไปมาโดยไม่มีท่าทีจะแตะแต้มเพิ่มเติมอีก  “ข้าปรารถนาทิวทัศน์ที่เปี่ยมด้วยอารมณ์  ไม่ใช่วานรน้อยที่นอนหลับกลางดงดอกไม้เสียหน่อย”
      มิสึงิเพียงเลี่ยงสายเมินไปอีกด้านหนึ่งเท่านั้น  เพียงพอจะแสดงให้รู้ว่านางไม่ยินดีกับคำกล่าวนั้นเลย  ทั้งยังไม่คิดจะสนใจภาพเขียนของเจ้านาย  แม้สีหน้าเบิกบานของเทพีแห่งยุทธิ์เปี่ยมด้วยความภาคภูมิอย่างที่สุดก็ตาม  คงเพราะกลีบดอกสีหวานกับร่างหญิงสาวกึ่งกลางภาพจะออกมาลงตัวงดงาม  ราวกับเป็นหนึ่งในสตรีสรวงเช่นเดียวกัน  เพียงแค่ยูคุซึจินไม่คิดจะเอ่ยปากออกไปให้นางดีใจเท่านั้น
      สุดท้าย ผู้วาดก็ทนความอยากรู้อยากเห็นไม่ได้  ภาพวาดนั้นงดงามมากเพียงใดหนอ  ใบหน้าที่ยากจะเห็นของเจ้าชีวิตจึงได้เปี่ยมความยินดีถึงเพียงนั้น  มิสึงิแทรกกายเข้าไปใกล้เกินความจำเป็นสักนิด  เพราะกลิ่นกรุ่นเลอล้ำที่ประพรมจากน้ำหอมปริศนา  ยังคงเป็นที่ต้องตาต้องใจหญิงสาวอยู่เสมอ  ซึ่งสตรีสรวงอมยิ้มเพียงเล็กน้อย  แล้วถอยกายห่างอย่างรู้เท่าทัน  อย่าคิดมาเชยชมต่อสิ่งที่บุปผลชาดในกายนี้สร้างขึ้นง่ายดายเลย  คนที่เชยชมความงามของเครื่องบรรณาการคือฝ่ายนางต่างหาก
      ภาพวาดไร้นามปรากฏรูปของสีหวานแต่มแต้งโดยรอบอย่างพอดี  แต่ที่ลงเข้มหนักจนดูฉายเด่นคือร่างตรงกลางนั่นมากกว่า  ยูคุซึจินเพียงรู้สึกว่าหญิงสาวช่างโดดเด่นท่ามกลางดอกไม้อันเปี่ยมด้วยมนตราแห่งสีสันและกลิ่นอันยวนใจ  เพียงแต่คำหวานนั้นไซร้  ต้องแลกมาด้วยสิ่งที่มากกว่าการนอนนิ่งเฉยให้นางวาดรูปแน่
      มิสึงิไม่ได้กล่าวอะไร  เพียงแค่แววตาและรอยยิ้มน้อยๆ นั่นก็แสดงทั้งหมดแล้ว  อารมณ์ขุ่นมัวของหญิงสาวเริ่มคลายลง  อย่างน้อย ถึงภาพนี้จะไม่ได้อยู่ในความครอบครองของตน  แต่การที่นางเป็นส่วนหนึ่งของความงามนั้น  นั่นก็เพียงพอสำหรับผู้ที่เฝ้าทอดถอนใจว่ามีเจ้านายที่สวยกว่าเป็นร้อยเป็นพันเท่านัก
      เจ้าชีวิตไม่เคยบอกเรื่องจงกลเสน่หา  เพราะยังปรารถนาจะมีมิตรเคียงกายคลายความเบื่อเช่นนี้อีกสักหน่อย  จนกว่าความเบื่อหน่ายนั้นจะเข้ามาครอบคลุมด้วยตัวมนุษย์นั้นเอง
      “ถือเสียว่าการนอนนิ่งเช่นนั้นเป็นบทลงโทษกัน”  ยูคุซึจินยิ้มอย่างอารมณ์ดี  “มิฉะนั้น เจ้าลองคิดดูสิว่าตนต้องทำงานเช่นใด  เพื่อชดใช้การทำลายดอกไม้สวยๆ ของข้าจนยับเยินไปส่วนหนึ่ง”
      มิสึงิอ้าปากเตรียมจะยอกย้อนว่าอีกฝ่ายก็ทำไปส่วนหนึ่งมิใช่หรือ  แต่ก็จนด้วยคำพูดเพราะนึกได้ว่าสิทธินั้นเป็นสิ่งที่ตนไม่ได้รับมาแม้แต่น้อย
      สตรีสรวงมอบภาพเขียนให้จตุดรุณีนำไปจัดการหาของตกแต่งเพิ่มเติมให้เรียบร้อย  ส่วนเครื่องบรรณาการผู้ถูกยกย่องในระดับที่สูงกว่าชาวบ้านทั่วไป  แต่แล้วก็พบว่าอำนาจที่ตนมีนั้นน้อยนิดนัก  กลับได้รับการสัมผัสจากมือของเจ้านายให้เดินไปด้วยกัน  ไม่ได้รับคำชมก็แล้วไป  เพียงจับมือกันสักหน่อยไม่ได้สร้างความเสียหายใดหรอก
      หญิงสาวมีใบหน้าที่ผ่อนคลายลงมาอีกนิดจากความตึงขึ้งอันเยือกเย็นนั่น  ก้าวฝีเท้าที่พอเหมาะพอดีไม่ห่างเหินและไม่ไกลมากเกิน  ไม่ใช่แค่ความงามเปี่ยมด้วยมนตราพิสดารแน่นอน  สิ่งที่นางแพ้ทางต่อสตรีสรวงตรงหน้ายังมีมากกว่าความหลงใหล  อาจจะเป็นจิตใจบางอย่างที่ทำให้อบอุ่นปลอดภัยก็ได้
      ในฐานะมิตรสหาย...  มิสึงิคิดเช่นในใจ  ซึ่งไม่ได้ผิดไปเลย  การรู้จักเพียงไม่กี่วันไม่ทำให้ความรู้สึกภายในสั่นคลอนไปได้  อีกทั้งมนตราของจงกลเสน่หาไม่เคยสร้างความรักแก่ใคร  เป็นเพียงความหลงใหลเลื่อนลอยเท่านั้น

      ไออุ่นจากมือที่สัมผัสค่อยๆ บังคับให้พู่กันด้ามไม้ไล้ขึ้นไปเรื่อย  ตามแสงเงาของภาพจากมุมหน้าต่างบานเดิม  ยูคุซึจินอ้อมไปทางด้านหลังของหญิงสาวเพื่อประคองมือนั้นให้ถนัดถนี่  จนได้รับกลิ่นดอกไม้ที่ฟุ้งกระจายครอบร่างของนางดังที่จินตนาการไว้  หลังจากได้รับคำขอร้องให้ช่วยสอนวาดภาพบ้าง
      ดอกไม้นั้นรูปนั้นอาจจะแตกต่างจากทุ่งสวนแห่งนั้น  ไม่ว่าทางสีสัน ชนิดพันธุ์หรือความเสมือนจริง  เพราะมิสึงิไม่เก่งด้านการวาดเขียนเอาเสียเลย  ต่อให้เจ้านายจะเอื้อมมือมาจับสอนถึงขนาดนี้แล้วแท้ๆ  แต่เรื่องที่ทำไม่ได้ก็ยังคงทำไม่ได้อยู่ดี  น่ากลัวว่าทางหมู่บ้านไม่เคยบัญญัติว่านางต้องเก่งกาจไปเสียทุกด้านกระมัง?
      “ข้าคงทำอย่างท่านไม่ได้หรอก  ภาพนี้พิสูจน์ในตัวของมันเอง”  ยูคุซึจินสัมผัสได้ถึงแรงต้านที่กดให้คล้อยต่ำลง  “น่ากลัวว่าความสามารถของข้าคงจะไม่เข้าขั้น”
      “ทุกคนล้วนเคยผ่านช่วงเวลาที่ต้องฝึกฝน เริ่มต้นและอ่อนหัดทั้งนั้น  เจ้าเองก็อยู่ในช่วงฝึกฝนอยู่เช่นกัน”  สตรีสรวงวางมือทาบลงยังหัวใจของนาง  “สิ่งสำคัญที่สุดคือจิตใจที่หลงใหล  ปรารถนาชัยชนะแห่งเสียงเพลงแห่งความสำเร็จ  มันไพเราะยิ่งกว่าเสียงพิณแห่วงเทพธิดาองค์ใดในท้องนภาจะรังสรรค์ได้  เจ้าไม่ปรารถนามันรึ? ”
      “ข้าเล่นพิณได้  มันง่ายกว่าการวาดสิ่งใดลงในแผ่นกระดาษมากนัก”  มิสึงิตอบทันที  สายตาที่คาดหวังแอบมอบจุดประสงค์ไว้อย่างเต็มเปี่ยม  มือของนางสัมผัสเส้นเสียงของเครื่องดนตรีมานานมากที่สุดในบรรดาการฝึกฝน  เมื่อห่างไปหลายวันจึงเริ่มถวิลหาขึ้น
      โอ้ องค์เทพีก็ลืมไปเสียสนิทว่าเครื่องบรรณาการคนสวยคนนี้มีความสามารถทางดนตรีไม่น้อย  นางเองก็ไม่ได้จับขลุ่ยมาผิวนับร้อยปีแล้วกระมัง  นั่งเคล้าเสียงดนตรีแห่งตนอยู่เพียงลำพังช่างเงียบเหงา  นางจึงไม่ใคร่จะหยิบขึ้นผิวนัก  แต่ในตอนนี้มีเพื่อนร่วมบรรเลงกลั่นทำนอง  หากมีเสียงเพลงใดๆ ปรากฏขึ้นใหม่ตามใจของผู้บรรเลง  มันคงจะน่าสนุกมิใช่น้อยเลย
      ทว่า ก่อนที่จตุดรุณีจะยกพิณตัวเก่าและขลึ่ยประจำตัวองค์เทพีออกมา  สายลมหนาวยะเยือกพัดแผ่วเบาเรียกความสนใจในความคุ้นเคย  ผู้คงไว้ซึ่งใบหน้าของเด็กสาวแรกรุ่นอายุเพียงสิบห้าสิบหกปี  สวมกิโมโนยาวคลุมกายสีขาวแกมฟ้า  ลงท้ายด้วยดวงตาซุกวนอยู่ตลอดเวลา  เทพธิดาแห่งสายลมหนาวนั่นเอง
      หากนางมาในเวลาที่ไม่ได้ส่งเสียงเรียก  เกรงว่าคงพัดหอบเอาข่าวของใครกลับมาด้วยอย่างแน่นอน  เพียงแต่จะเป็นข่าวประเภทใด  ไม่มีใครเดาความคิดของผู้วางใจฝากนกส่งสารคนนี้มาหรอก
      เสียงหัวเราะของนางปรากฏขึ้นพร้อมนัยน์ตาแพรวพราว  เมื่อเห็นภาพและกิริยาของหญิงสาวสองคนนั้น  ดูราวกับจะโอบกอดกันอยู่รอมร่อ  ไหนเลยจะปฏิเสธเหมือนอย่างคราวก่อนได้  มือที่ขอบเกาะหน้าต่างดันให้กายทั้งหมดเข้ามาในห้องอย่างพลิ้วไหว  เหมือนแพรพรรณที่สะบัดโบกอย่างนุ่มนวลกลางสายลม
      ยูคุซึจินผละออกจากตัวเครื่องบรรณาการอย่างเป็นธรรมชาติ  ทั้งที่ล่วงรู้ในความคิดลึกของอาคันตุกะผู้มาเยือน  ใบหน้าของนางแฝงด้วยรอยยิ้มประจำกาย  หากแต่สายตาบ่งบอกว่าไม่ค่อยพอใจในสิ่งที่เทพธิดาลมหนาวกำลังรู้สึกเท่าไหร่นัก  ศักดิ์ของเครื่องบรรณาการเทียบเท่าจตุดรุณีเหล่านั้น  นางเป็นถึงเทพผู้สถิตปกป้องหมู่บ้านเชียวนะ  จะมีความสัมพันธ์กับเพศเดียวกัน  ทั้งยังมีฐานะต่ำกว่าได้อย่างไร
      เทพธิดาผู้คงใบหน้าแรกรุ่นรีบยิ้มประจบ  “เรื่องอื่นช่างมันไป  ที่ข้ามาวันนี้ก็เพราะสารจากท่านมุสึโซจิน  ทั้งยังเป็นสารลับ  ห้ามบอกใครเป็นอันขาด”
      หากเป็นผู้อื่นกำชับเทพธิดาแห่งสายลมหนาวในเรื่องนั้น  มันคงเป็นความขบขันล้อเล่นเล็กๆ น้อยๆ เสียมากกว่า  ทว่า เมื่อมีชื่อของบุคคลที่นางเคารพมาโดยตลอด  บางทีสารลับที่ย้ำแน่นหนักก็อาจจะไม่ใช่เรื่องชวนหัวทั่วไป  อีกทั้ง วิหคส่งข่าวนางนี้ยังเป็นผู้ที่เที่ยวท่องออกเหนือตกใต้ไปทั่วหล้า  ท่านมุโซสึจินอาจจะเล็งเห็นถึงจุดนั้น  จนเผลอลืมไปว่าวิหคนั้นส่งเสียงยาวไกลสมฝีเท้านัก  เพราะท่านมักจะเก็บตัวอยู่แต่ในปราสาทจนแทบไม่พบแสงเดือนแสงตะวัน
      ครั้งนี้มิสึงิไม่ได้ถูกไล่ไปไกล  ไม่รู้ว่าเจ้านายหญิงเห็นว่าอาคันตุกะรู้จักนางดีแล้ว  หรือว่านามนั้นดึงเอาความสนอกสนใจไปหมดแล้วกันแน่  นางไม่ได้เขยิบเข้าไปใกล้เพื่อฟังเสียงพึมพำเปลี่ยนวาจากัน  ในเมื่อรู้ว่าเด็กสาวผู้มีอายุมากกว่านางร้อยเท่า  แต่กลับมีใบหน้าอ่อนเยาว์กว่าถึงสี่ปีนั้น  มีศักดิ์เป็นถึงเทพธิดาแห่งสายลมหนาว  ยังมีเรื่องใดให้ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวอีกหรือ?  กิจงานของเหล่าเทพาสตรีสรวง  นางยื่นมือเข้าไปช่วยไม่ได้หรอก
      เพียงแต่ใบหน้าของเครื่องบรรณาการแอบเหลือบมองอย่างตรงไปตรงมาแวบหนึ่ง  ในตอนที่ได้ยินเสียงถอนหายใจของผู้เป็นเจ้าชีวิต  น่ากลัวว่าคงไม่ใช่เรื่องที่นางสมควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวจริงๆ
      เทพธิดาแห่งสายลมหนาวนั้นลงท้ายอีกสองสามคำ  ก่อนจะหันมาโบกไม้โบกมือกับนางให้พอเป็นคำทักทาย  แล้วจึงโบยบินไปพร้อมกับสามลมเย็นยะเยือกเหล่านั้นอย่างว่องไวคล่องแคล่ว
      จตุดรุณีปรากฏตัวขึ้นดั่งรู้ใจนาย  ประตูทั้งสองด้านถูกเปิดออกเพื่อนำมาซึ่งเกาทันฑ์ใหญ่คันงาม  ทำจากไม้เนื้อดีเรืองรองประดุจฉาบไล้ด้วยทองคำ  สายคันธนูนั้นขึงตึงเตรียมพร้อมให้ผู้ใช้ขึ้นสายเหนี่ยวยิง  พร้อมด้วยแล่งที่มีศรปลายคม  แลดูเพียงแวบเดียวก็รู้ว่าของเหล่านี้มีบางอย่างที่พิเศษเกินกว่าอาวุธทั่วไป
      “มิสึงิ”  เสียงที่เรียกนามนางนั้นจริงจังเคร่งขรึมจนหญิงสาวไม่กล้าพูดอะไร  ได้แต่ก้มหน้าก้มตาเดินไปยังหลังฉากม่านที่มีผ้าโปร่งสีแดงหุ้มไว้หลายชั้น  เพื่อช่วยเจ้านายเปลี่ยนอาภรณ์ให้เหมาะสมกับการสู้รบ  นางจัดเตรียมทุกอย่างด้วยความหวั่นใจ  เพราะความที่ไม่เคยพบเจ้านายมีท่าทีจริงจังถึงเพียงนี้
      ยูคุซึจินสัมผัสถึงเรื่องนั้นได้  แต่ก็คิดว่านางไม่จำเป็นต้องสนใจในตัวทาสรับใช้คนหนึ่งนัก

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา