Tribute Girl. Yuri
เขียนโดย ปรัสรา
วันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2556 เวลา 05.18 น.
แก้ไขเมื่อ 12 มกราคม พ.ศ. 2556 06.28 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) บทที่3
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ "หากท่านคาดเดาอารมณ์ผู้คนได้ง่าย ย่อมหลีกเลี่ยงเรื่องเหล่านั้นไม่พ้น" มิสึงิกล่าวมในสิ่งที่องค์เทพีรู้อยู่เต็มอก "สาเหตุที่ท่านยังคงเบื่อหน่ายกับความซ้ำซาก เป็นเพราะท่านไม่ออกไปค้นหาในสิ่งที่แปลกใหม่"
หญิงสาวกล่าวไว้เช่นนั้นแล้วนอนลงข้างกายของเจ้าชีวิตเช่นเดียวกับสองคืนก่อน จันทราเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้งอย่างที่มันควรจะเป็น ทว่า ยูคุซึจินเป็นเทพและไม่มีความรู้สึกง่วงงุนใดๆ นางอยู่ท่ามกลางทิวาอันสว่างสดใสเช่นไร ราตรีเงียบเหงาก็ยังคงเป็นเช่นนั้น บางคราสตรีสูงศักดิ์ก็บังเกิดความอิจฉาในความเป็นมนุษย์ของเครื่องบรรณาการไม่น้อย แม้นางจะต้องเผชิญกับการฝึกฝนเพื่อก้าวเข้ามาในฐานะนี่ตลอดยี่สิบปี หากแต่นางพบพานสิ่งเหล่านั้นเพียงแค่ตอนรุ่งสางจวบจนตะวันลาลับเท่านั้น มิได้ทนทั้งกลางวันกลางคืนเช่นเจ้าชีวิตผู้นี้เลย
ยูคุซึจินมักจะโอบกอดนางไว้เพราะวาดหวังว่าตนจะข่มตาให้หลับใหลไปด้วยกันได้ แต่มันก็ไม่เคยสำเร็จสักที อย่างน้อยก็จนกว่าจะมีผงนิทราของเทพจันทราด้านบนมาช่วยเหลือ ไม่อย่างนั้น เครื่องบรรณาการผู้ถือดีปและหวั่นเกรงต่อนาง คงล้อเลียนว่าตนมีเจ้านายที่ไม่แก่ไม่เฒ่า ซ้ำยังไม่หลับไม่นอนอีกต่างหาก
ผงนิทรายังเหลืออยู่อีกหลายห่อ ผู้ใช้กลับเป็นฝ่ายเมินมันไปเสียเอง นางโอบกอดร่างกายอบอุ่นของมนุษย์ข้างกายอยู่ชั่วครู่ ทั้งยังลูบไล้ต่อเส้นผมดำยาวสยายของบริวารคนที่ห้าอย่างครุ่นคิด หากนางมีเส้นผมสีดำดุจแพรไหมเช่นนี้บ้างจะเป็นอย่างไรหนอ ไม่ใช่ว่านางไม่สามารถ แต่มันจำเป็นจะต้องเปลี่ยนรูปกายตามความสงสัยนั้นเพื่อพิสูจน์ด้วยหรือ สุดท้ายมันก็เป็นเพียงเส้นผมธรรมดาอยู่ดีมิใช่รึ?
ในตอนนั้นเองที่นางเริ่มตระหนักขึ้น เหตุนี้กระมัง นางจึงได้เต็มไปด้วยความเบื่อหน่ายต่อสรรพสิ่งรอบกาย เพราะไม่ว่ามันจะเปลี่ยนไปเช่นไร สุดท้ายมันก็เป็นได้เพียงสิ่งที่มันเป็นเท่านั้น
ยูคุซึจินยันกายขึ้นจากเตียงผ้าแพรเพื่อลองออกไปสัมผัสกับสวนดอกไม้ภายนอก ครั้งก่อนยังมีเมล็ดดอกไม้ที่นางเฝ้าทะนุถนอมคอยรดน้ำอาบใบ ครั้งนี้ไปดูจะเป็นอย่างไรกัน มันจะโตจนจำไม่ได้ หรือเหี่ยวแห้งเพราะไร้คนสนใจ แต่อย่างท้ายคงเป็นไปไม่ได้ ตราบใดที่ในปราสาทนี้มีบริวารหญิงทั้งสี่ของนาง เรื่องใดที่นางเคยสนใจและลืมไป บริวารหญิงเหล่านั้นยังคงดูแลหมั่นเพียรไม่ขาด
แล้วคำตอบของข้อสงสัยก็ปรากฏ เมื่อองค์เทพีพบว่าตนหาดอกไม้ลายสวยสีขาวเจือจุดสีชมพูดอกนั้นไม่เจอเสียแล้ว!
โอ...จริงสิ แถบนี้ถูกพืชพันธุ์เหล่านี้ปกคลุมมาตั้งนานแล้ว จากเดิมทุ่งดอกไม้เคยว่างเปล่าอยู่ส่วนหนึ่ง กลับเพิ่มพูนพันธุ์จนดอกไม้สีขาวลายชมพูนั้นเต็มเปี่ยมพื้นที่ ต่างฝ่ายต่างแย่งแข่งกันโตจนไม่รู้เก่ารู้ใหม่ หากเรียกสตรีทั้งสี่ออกมาคงหาให้จนรู้แน่ หากแต่เจ้านายไม่ได้ต้องการมากมายถึงเพียงนั้น จึงคอยมองสายลมพัดไหวเคล้ากลิ่นหอมของบุปผาให้อวลไปทั่วบริเวณ ในฐานะของผู้ที่เคยให้ความสนใจแก่ดอกไม้ดอกแรกของที่แห่งนี้ ยูคุซึจินยอมรับว่าตนแอบภาคภูมิใจไม่น้อย
นางทอดกายลงท่ามกลางบุปผชาติเหล่านั้นพลางมองขึ้นฟ้า เหม่อมองหาดวงจันทราสีทองกระจ่างอย่างเปี่ยมด้วยล้นด้วยอารมณ์สุนทรีย์ นางถือเสียว่าปิดตาหนึ่งข้างเพื่อเร้นหนีจากสหายผู้ขับเคลื่อนราชรถองค์นั้น ทั้งยังเกลือกกลิ้งไปมาจนไร้การวางท่าที่เหมาะสม ต่างจากสตรีที่ถูกคนเคยพบพานมาลิบลับ คันธนูข้างกายที่ได้จากมวลอาการถูกหยิบยกขึ้นเล็งไปยังสหาย หมายใจว่าจะลองแผลงออกไปดูสักตั้ง หากไม่นึกถึงความสัมพันธ์เก่าก่อนในอดีต
ไม่ต้องรอให้นึกถึงนานเท่าใด คล้ายว่าเทพสตรีจันทราผู้นั้นจะรู้ตัว นางหยุดราชรถไว้กลางหาวแล้วลอยลงมาจากนภาลัยนั้น เครื่องแต่งกายของนางเป็นชุดกิโมโนยาวสีเหลืองทองหลายชั้น แลดูงดงามและประดับเส้นผมได้อย่างประณีตบรรจง ใบหน้าของนางแต่งแต้มสีสันไว้อย่างสวยงาม เปรียบได้ดั่งหญิงงามผู้เลอโฉมในโลกมนุษย์นี้เลยทีเดียว
ใบหน้าของเฉิดฉายนั้นแลดูไม่พอใจในท่าทีของเทพสตรีเมื่อครู่เท่าใดนัก เหนืออื่นใดความสวยของจันทราที่ผู้คนทั้งหลายเฝ้ามอง นั่นคือความเอาแต่ใจและฉุนเฉียวเป็นที่หนึ่ง ทั้งยังวางกิริยาประหนึ่งว่าเป็นจักรพรรดินีในแห่งหนตำบลไหน หาใช่อะไร สึกิฮิคาริทระนงว่าตนคือผู้นำแสงสว่างแห่งยามค่ำคืน ที่ซึ่งพระอาทิตย์ไม่อาจย่างกรายมาเทียบเทียมได้ ก็เหล่ามนุษย์มักชอบเปรียบเปรยว่านางด้อยกว่าสารพัด ทั้งยังลดเสี้ยวไปตามวันแรมคืนอยู่เสมอ
ดังนั้น เทพีพระจันทร์จึงกำลังพิโรธต่อการเทียบเล็งธนูของยูคุซึจินนัก แม้มองจากพื้นดิน ตัวของนางจะห่างไกลจนคล้ายว่าร่างเล็กเพียงครึ่งเชียะ สายตาของเทพสตรีกลับมองรอบกายชัดเจนเสมือนห่างกันไม่เท่าใด เมื่อครู่นี้นางกำลังหัวเราะหัวใคร่อยู่ในกิริยาพลิกกายไปมาของเทพีนักรบอยู่ดีๆ แต่ทันทีที่เห็นว่าตนถูกเล็งอาวุธก็เต้นผางดั่งศรนั้นถูกแผลงออกไปแล้ว
ยูคุซึจินไม่ใคร่จะสนใจในความโกรธเกรี้ยวนั่นเท่าใดนัก แม้นใบหน้าของนางจะแสดงความสำนึกผิดแก่คนที่หยุดราชรถตนไว้ก็ตาม สึกิฮิคาริไม่ต้องการสิ่งใดมากกว่าการรู้สึกว่าคนอื่นด้อยกว่า รวมทั้งใบหน้าสำนึกผิดก็เช่นกัน เพียงคำกล่าวขอโทษขอโพยประดุจจะหมอบแทบเท้าเท่านั้น ความผิดที่มากล้นจนเกินจริงก็จะหมดไปในพริบตา ต่อให้ความโกรธของนางจะลดน้อยลงง่ายดานปานนั้น ผู้คนก็ไม่ใคร่จะสมาคมกับสตรีขี้โมโหเช่นนี้เท่าใดนัก
เมื่อลงมาสะสางเพลิงโทสะเมื่อครู่ เทพจันทราถือโอกาสถามหาลูกมนุษย์ที่ยูคุซึจินอุตส่าห์เลี้ยงไว้ นางมองลงมาเห็นอยู่รำไรหลายคืนแล้ว แต่ก็ยังไม่มั่นใจเท่าคำบอกเล่าแสนซื่อของเทพธิดาแห่งสายลมหนาว ซึ่งถือได้ว่าพบพานกับนางอยู่บ่อยครั้ง ค่าที่สายลมเยียบเย็นกับยามค่ำคืนเป็นของคู่กัน ทั้งนางยังพัดหอบเอาข่าวสำคัญมาบอกหลายต่อหลายครั้งจนคุ้นเคยกัน
"เจ้ารีบกลับไปยังราชรถเถอะ ท้องฟ้าต้องการแสงสว่างที่เปลี่ยนหมุนไปในแต่ละกาล" ยูคุซึจินแต้มยิ้ม ทั้งที่ในใจกำลังเดือดพล่านประหนึ่งจะแผลงศรใส่เทพธิดาผู้นั้นได้หลายเล่ม "ส่วนข้าจะไปสะสางธุระกับนางสักหน่อย"
สึกิฮิคาริคลี่พัดผ้าไหมสีทองขึ้นแนบปากคล้ายจะยิ้มขัน "เกรงว่าคงไม่ทัน เพราะข้าจับนางกรอกหญ้าหลงลืมมาก่อนแล้ว หากนางยังไม่บอกใครในตอนที่ข้าพิศมองทางอื่น เรื่องราวของเด็กมนุษย์ผู้นั้นคงจะไม่กระจายไปไหน พูดแล้วก็อยากลองยลโฉมนัก นางเล่าว่าหน้าตาไม่ได้เลวร้ายอะไร ทั้งยังสวมใส่ชุดสีชมพูหวานต่างจากบริวารหญิงของเจ้าอีก นางมีอะไรพิเศษงั้นรึ? หรือว่านางมิได้หลงใหลอันใดใน 'จงกลเสน่หา' ? "
จงกลเสน่หา ยูคุซึจินทวนวาจานั้นแผ่วเบาพร้อมฝ่ามือที่ทาบอกตน มันคือบัวสีชาดที่สถิตในร่างของนางมานานนับพันปี เมื่อครั้งที่มีงานเฉลิมฉลองที่นางครอบครองชัยเหนือเทพสตรีที่มีวิทยายุทธิ์เลิศล้ำองค์หนึ่งได้ นางได้มอบบุปผชาติแห่งความงามล้ำนี้มาเป็นของกำนัลและเครื่องแทนความพ่ายแพ้ แม้จะเป็นของรักของหวงมานานนัก มันก็เป็นของเลิศล้ำที่ควรค่าแก่การแสดงถึงการยอมรับในคู่ประลองเช่นกัน
จงกลเสน่หานั้นเป็นของวิเศษชนิดหนึ่ง เล่าขานกันว่าหากสถิตอยู่ในกายของผู้ใด คนผู้นั้นก็มีความสวยเยาว์วัยไม่สร่าง หากเป็นอมตะเช่นเดียวกับเทพีองค์นี้แล้วไซร้ นางจะเป็นเทพีผู้มีความงามเหนือใครในใต้หล้าผืนฟ้าปฐพีเลยทีเดียว ฤทธิ์ของมันทำให้ใครต่อใครที่พบกับยูคุซึจินเป็นต้องหลงละเมอในรูปกายนั้นทุกรายไป กระทั่งจิตใจของผู้ที่คิดฆ่า ยังสามารถหมอบกราบแทบเท้าของผู้ครองได้อย่างไม่ยากเย็น ฤทธิ์ของมันนับว่าเป็นที่ต้องตาของสตรีในสามโลกเลยทีเดียว
เทพีนักรบเผยรอยยิ้มชวนฝันละเมอเพียงเล็กน้อย จงกลเสน่หามิฤทธาอย่างเต็มสมบูรณ์ทุกประการ ไม่เว้นกระทั่งสึกิฮิคาริผู้ทระนงตนในยามค่ำคืน เพียงแต่เทพจันทรากลับปรากฏในรูปของความอิจฉาบางเบา นางเองก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ปรารถนาบุปผาชาดนั่นเช่นเดียวกัน แต่ด้วยคำยกยอปอปั้นของผู้คนและเหล่าทวยเทพ นางจึงไม่เคยสนใจจะแย่งชิงมาจากเทพีนักรบสักครั้ง ทั้งยังเย่อหยิ่งว่าตนมีความงามพร้อมจนมิต้องใช้สิ่งใดมาเพิ่มเติม
ถึงจะชิงมาได้ เจ้าของแท้จริงคงราวีจนเกิดสงครามใหญ่หลวงเป็นแน่ เพราะนางเองก็รักก็หวงอยู่เช่นกัน
ผู้ครองจงกลดอกนั้นคล้ายจะเย้าอยู่ในใจเมื่อนึกถึงบางคำขึ้นมา หากไม่แล้ว สึกิฮิคาริคงเต้นเร่าอีกครั้งด้วยเพลิงโกรธาหนักหนา ว่าด้วยบัวสีแดงนั้นคงสิ้นฤทธาแลมนขลังต์ในตัวนางเอง บุรุษทั้งทวยเทพและมนุษย์คงพากันหลีกหนีโทสะที่ถูกจุดขึ้นง่ายดายนั้น แทนที่จะเฝ้าวนเวียนชมโฉมงามเคล้ากับมนตราแห่งความรู้สึกลวงว่าหญิงสาวตรงหน้างามพร้อมสรรพจนยากจะสรรหาคำใดมาเอื้อนเปรียบ
แม้จะคอยท่าอยู่นานสองนาน สหายร่วมฐานันดรสตรีสรวงก็ยังไม่คิดขยับกายพาไปชมโฉมใครสักที จึงเป็นที่รู้แน่ว่ายูคุซึจินคงไม่ปรารถนาจะต้อนรับใครในเวลานี้ ไม่ทราบว่าเป็นความเกียจคร้านแต่ดั้งเดิมหรือลูกมนุษย์นั้นมีอะไรดี สึกิฮิคาริเพียงไหวกายเบาๆ แล้วกล่าวลา ลอยขึ้นสู่ฟากฟ้าเพื่อบังคับราชรถสว่างไสวในความมืดของตนต่อไป
สายลมเย็นเป็นธรรมชาติเริ่มพัดพามาตามกาลเวลา นำพากลิ่นดอกไม้สีขาวแซมชมพูให้ปะทุรับกลิ่นที่ปลายจมูกของเทพีครั้งแล้วครั้งเล่า อากาศเย็นเพียงนี้ไม่ทำให้นางสั่วไหว แต่กายของดรุณีชาวมนุษย์ในห้องนั้นเล่า? นางคงไม่เหน็บหนาวจนเกิดอาการไข้ขึ้นมาหรอกนะ? สองเท้าย่ำก้าวของเจ้าชีวิตสับเปลี่ยนฉึบฉับไปตามทางเดินของปราสาทตน พร้อมทั้งเพิ่งค้นพบประโยชน์ของมิสึงิขึ้นอีกข้อหนึ่ง
เพราะมนุษย์เจ็บไข้ได้ป่วยเป็น นางจึงต้องคอยกังวลได้โดยไม่อาจละใส่ใจ ลดความเบื่อหน่ายในสิ่งว่างเปล่ารอบกายไปได้ส่วนหนึ่ง
ปรากฏว่าหญิงสาวกำลังจะได้สติจากนิทราเพราะความหนาวอยู่พอดี ฝ่ามือขององค์เทพีตะปบลงบนบุปผาหิมะแล้วมองซ้ายขวาไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่กลืนลงไปเพื่อลดความหนาวจัดของห้อง และด้วยรสหวานมันประหนึ่งขนมทำให้ยูคุซึจินรู้สึกขบขันในตัวตนยิ่งนัก นางย่อกายลงโอบอุ้มเครื่องบรรณาการของตนไว้ในอ้อมกอด ทั้งคะนึงคิดยังตัดพ้อทั้งตัวเองและนางในอ้อมกอด
ดรุณีน้อยเอ๋ย เจ้าช่างโชคดีเสียนี่กระไร หากเป็นเจ้านายอื่นคงไม่มีใครยอมกลืนสิ่งนั้นเพื่อเจ้าแน่
สตรีสรวงไม่ปรารถนาจะโยนออกไปนอกหน้าต่าง เพราะเกรงว่าเคราะห์ดีเคราะห์ร้าย ดอกไม้ในทุ่งสวนนั้นจะเหี่ยวแห้งลงก่อนฤดูอันสมควร นางยังอยากจะลองไปที่แห่งนั้นกับสตรีชาวมนุษย์ผู้นี้สักครั้ง แน่นอนว่าในเวลาซึ่งทิวาได้มาเยือน เทพีแห่งสุริยาสอดส่ายสายตารู้เห็นน้อยกว่าสึกิฮิคาริหลายเท่านัก
ไม่จำเป็นต้องออกไปนอกอาณาเขตภูเขานี้ก็สามารถคลายความจำเจที่มีได้ ยูคุซึจินกระหยิ่มใจว่าอย่างน้อยตนก็ลบล้างวาจาอ่อนใจของเครื่องบรรณาการได้ ทั้งยังนึกวางแผนต่อไปว่าควรจะทำสิ่งใด เทพธิดาแห่งสายลมหนาวคงจะมีเมล็ดพันธุ์ของดอกไม้สวยๆ ติดกายบ้าง เพราะนางมักจะต้องยุ่งยากรำคาญใจในสิ่งที่สายลมของตนเผลอหิ้วหอบมาด้วยเสมอ หรือแม้แต่การออกป่าล่าสัตว์ นางไม่ได้ออกแรงในเรื่องนี้มานานเต็มที เพราะไม่มีคู่กายส่งเสียงชื่นชมให้ฟังเพลิน วันนี้อุตส่าห์มีบริวารหญิงที่พอจะอ้าปากได้หลายพยางค์ มากกว่าถ้อยรับคำสั่งไร้ข้อโต้แย้งอย่างนางเหล่านั้น
ในขณะที่เทพีผู้ชำนาญยุทธิ์กำลังครุ่นคิดนั้นเอง นางก็ใคร่ครวญได้ถึงความคิดอ่านของมนุษย์ ทั้งสาวน้อยยังถือว่าเพิ่งกำเนิดมาได้ไม่เท่าไร หากอุดอู้อยู่แต่ภายในของปราสาทคงน่าสงสารพิลึก แต่ครั้นจะให้ไปพบปะกับผู้คนภายนอกบ้าง คนที่เป็นฝ่ายปฏิเสธคงจะเป็นตัวมิสึงิเอง แล้วถ้าวันหนึ่งนางไม่ได้อยู่ปกปักษ์ ณ หมู่บ้านแห่งนี้ การมีมนุษย์ตามไปด้วยจะเป็นการดีกระนั้นรึ?
ถ้าไม่ได้ปกปักษ์หมู่บ้านของเครื่องบรรณาการแล้วไซร้ การรับเครื่องบรรณาการนั้นต่อก็รังแต่จะทำให้ถูกติฉินเอา ถึงจะไม่มีใครส่งเสียงเล็กเสียงน้อยออกมาให้รำคาญใจ ความคิดของนางก็คงจะส่งเสียงประณามตนอยู่ดี เพราะฐานะของดรุณีนางนี้ถือว่าเป็นหลักแสดงถึงความแน่นอนในการปกป้องรักษา ตามหน้าที่ของเทพีผู้ได้รับแต่งตั้งมา
แม้บางครานางจะดูแข็งกร้าวหรือกระทำการเย็นชาโดยผลักไสหญิงรับใช้ออกไปง่ายดาย แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นบริวารแล้ว นางย่อมมีจิตใจห่วงหาอาทรบ้างอย่างสมควร อีกทั้ง คนในหมู่บ้านต่างประคบประหงมกึ่งฝึกสอนนางมาเพื่อหน้าที่นี้โดยเฉพาะ นางเกิดเพื่อยูคุซึจิน ผู้คนเหล่านั้นคงไม่คิดจะสังหารนางลง เมื่อองค์เทพีไม่พิทักษ์ที่แห่งนี้ต่อหรอกนะ?
มือเรียวงามของผู้ครองจงกลไล้ตามเกศาดกดำนั่นพลางทอดถอนใจ อารมณ์สนุกสนานในใจเริ่มมอดลงอีกครา ความเปลี่ยวเหงาเบื่อหน่ายเริ่มกลับมาแทนที่ นางรู้ดีเสมอว่าไม่ควรข้องแวะกับมนุษย์ ด้วยข้อจำกัดอันแตกต่างมากมาย ทวยเทพอื่นก็เช่นกัน ชาวสรวงเหล่านั้นจึงไม่คิดติดต่อกับมนุษย์โดยตรงมากจนเกินไป อย่างดีก็ส่งคำเอ่ยลงมาผ่านร่างทรงชาวมนุษย์ คณะยูไค (มิโกะชุดม่วง) เองก็เป็นหนึ่งในผู้ที่รับฟังวาจานางผ่านกระดิ่งมือเหล่านั้น
เสียงครางอือบ่งถึงความรำคาญใจในการสัมผัส คงเพราะนางเผลอไล้เส้นผมเหล่านั้นแรงมากจนเกินไป มิใช่อะไรหรอก เพียงแต่ยูคุซึจินกำลังใคร่ครวญว่านางทำถูกหรือไม่ ลดความเบื่อหน่ายด้วยมนุษย์หนึ่งคน สร้างความผูกพันธ์ไว้เหนียวแน่นอีกหลายสิบปี จากนั้นก็คร่ำครวญว่านางทั้งสองแตกต่างกันจนไม่อาจอยู่ร่วม รึอาจจะหาเครื่องบรรณาการใหม่มาเปลี่ยนแทนที่
แล้วก็หมุนเวียนอย่างนั้นไปเรื่อยๆ น่ะรึ?
ร้อยปีของมนุษย์หนึ่งคน หากอยู่ร่วมกับมนุษย์สามคนคือสามร้อยปี จากนั้นนางก็จะพบว่าไม่มีสิ่งใดน่าสนใจอีกต่อไป ต่างอุปนิสัยการกระทำหรือคำวาจา ไม่ว่าอย่างไร นางก็พบมามากมายเหลือคณานับแล้ว อย่าคิดหมิ่นต่อเทพีผู้มีชีวิตเป็นอมตะยั่งยืน ทั้งยังเดินทางมาหลายต่อหลายแห่ง ทั้งความรุนแรงหรืออ่อนนุ่มของใจมนุษย์ นางล้วนประสบพบเจอมาแล้วทั้งนั้น
โลกนี้มีสิ่งมากหลายให้ศรัทธา ผู้ที่ไม่ระวังกิริยากับนางเลยก็ใช่ว่าจะน้อย หากแต่ความชินชาของสตรีสรวงเกือบจะกลายเป็นความใจเย็นไป หากพวกเขาเหล่ามิได้ทำร้ายร่างหรือหมิ่นต่อหน้า เพียงคำพูดจากับภาพเขียนไม่สร้างความเจ็บแสบได้นักหรอก
ผ่านการนึกคิดวุ่นวายและพูดคุยกับเทพจันทราไม่เท่าใด คล้ายว่าดวงตะวันจะเฉิดโฉมฉายเสียแล้ว บางคราสึกิฮิคาริก็ไม่ค่อยจะยอมละจากผืนฟ้าเท่าใดนัก คล้ายจะประกาศศักดาต่อไทโยโคะซึจิน ผู้ซึ่งสวมกิโมโนยาวสีแดงปนส้มแสด ทั้งยังมีใบหน้าเฉยชาและไม่อาจหาสิ่งที่ทำให้นางสนอกสนใจได้เลย เทพไม่รู้ มนุษย์ไม่รู้ เกรงว่าตัวเทพีสุริยาเองก็คงไม่รู้!
เมื่อยูคุซึจินลองนึกคิดใหม่ นางพบว่าตนไม่ใช่เพียงคนเดียวที่เบื่อหน่ายกับการดำรงอยู่ในความซ้ำซากจำเจ เพื่อนพ้องทั้งสองที่ต้องคอยบังคับราชรถเหล่านั้นก็คงไม่ต่างกัน แต่ไทโยโคะซึจินไม่นิยมในเหมันตฤดูเท่าใดนัก หรืออาจจะมีเหตุกิจใดในช่วงเวลานั้นก็เป็นได้ เพราะราชรถของนางจะค้างนภาในหน้าหนาวน้อยกว่าช่วงฤดูร้อน อาจเป็นหนึ่งในสิ่งที่เข้าไปอยู่ในความสนใจโดยไม่ปรารถนากระมัง?
ร่างในการโอบอุ้มเริ่มรู้สึกตัวห่างจากการส่งเสียงอืออานั่นราวหนึ่งชั่วยาม ซึ่งเจ้าชีวิตได้วางปล่อยนางลงเพื่อให้เครื่องบรรณาการนั้นลุกขึ้นมาถนัดถนี่ อีกทั้งมิสึงิไม่ค่อยจะนิยมการถูกสัมผัสก่อนได้สติเต็มที่นัก ทั้งยังเคยกัดมือของสตรีสรวงจนเป็นรอยเขี้ยวทันต์อีกต่างหาก คิดไปนางยังฉุนไปแทบแย่ ทั้งความกระอักกระอ่วนของผู้กระทำยังล้นอก เพราะสัมผัสได้ว่าใบหน้าของเจ้านายแย้มยิ้ม หากแต่ส่งสายตาเชือดเฉือนอยู่ในที ทั้งที่ตอนนั้นนางทำไปโดยไม่รู้สึกตัว
เอาเถิด...เอาเถิด ถือเสียว่าเป็นบทเรียนแห่งการล่วงรู้นิสัยกัน แม้มันจะเจ็บลึกยิ่งกว่ามีคนมายืนตะโกนว่าวาจาร้ายต่อหน้ารูปภาพหลายเท่าก็ตาม!
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ