Tribute Girl. Yuri
8.9
เขียนโดย ปรัสรา
วันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2556 เวลา 05.18 น.
8 session
0 วิจารณ์
13.90K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 12 มกราคม พ.ศ. 2556 06.28 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) บทที่2
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ สามวันที่คอยเล่าเรื่องต่างๆ สามวันที่คอยปะทะคารมกันอยู่บ่อยครั้ง สามวันที่ผ่านไปเรื่อยๆ โดยไม่มีใครมาบงการว่านางควรทำเช่นไร เพื่อให้สมกับเป็นเครื่องบรรณาการของเทพ เป็นสามวันที่ทุกอย่างผ่านไปเรื่อยๆจนน่าแปลกใจ และเป็นสามวันที่ต่างฝ่ายต่างเงียบเหงาน้อยลง ในคืนวันที่สามนี้เอง มิสึงิยังคงนั่งอยู่เบื้องหน้าเทพีเจ้าชีวิตเฉกเช่นเคย โดยฝ่ายนั้นพิศมองชุดเสื้อผ้าสีสันสดสวยสมกับสตรีแรกรุ่น แน่นอนว่าย่อมไม่เด็กเกินไปสำหรับวัยอายุของหญิงสาว แม้นางจะดูเงียบงันไร้อารมณ์ในบางครา ทว่า ยังมีส่วนที่สมกับเป็นสตรีอยู่บ้าง ผิดกับยูคุซึจิน ผู้ไม่สนใจเอาเลยไม่ว่าเรื่องใด และยังคงเป็นเช่นนั้นอยู่เสมอ เครื่องบรรณาการรับรู้เข้าใจว่าคงไม่มีอาภรณ์ใดน่าตื่นตาตื่นใจ สำหรับผู้ที่พานพบมามากมายตลอดหลายร้อยปี ในปราสาทสถิตเทพแห่งนี้ไม่มีสิ่งใดน่าสนใจจริงดังที่ผู้สรรค์สร้างว่า ไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้ไม้สอยหรือเครื่องตกแต่งให้สถานที่ดูตระกาลตา หรือจะมี ก็คงเป็นเพียงผืนผ้าโปร่งมากมายที่รายล้อมผูกโยงไว้ในตำหนักแพรพรรณชาด ซึ่งบางครั้งแลดูน่าสยดสยองอย่างช่วยไม่ได้ ดรุณีน้อยทอดถอนใจกับการนั่งมองตากันลำพังเช่นนี้เต็มที นางลุกขึ้นแล้วเดินไปเปิดม่านรับลมให้พัดอวลกลิ่นดอกไม้ ซึ่งปกคลุมแถบหนึ่งของปราสาทเอาไว้ราวกับผ้าคลุมของสตรี อีกนัยคือการต้อนรับแสงจันทร์ให้สาดส่องมา เพื่อเป็นหัวข้อสนทนาในค่ำคืนนี้ หากว่ามันไม่ได้หยุดลงที่ขึ้นสิบห้าค่ำเช่นนี้มาตลอดสามวัน และจะทอดยาวไปจนถึงคืนเดือนดับที่แท้จริง ซึ่งจะเป็นคืนเดือนดับที่ทอดยาวไปจนถึงคืนจันทร์เต็มดวงเช่นกัน คงเพราะคนที่นี่ไม่เคยสนใจในเดือนปีและเวลา... แม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่าของปราสาทสถิตเทพ อย่างหนึ่งที่ทำให้ดรุณีน้อยยังคงหลงใหล นั่นคือใบหน้างดงามของเจ้านายตน รวมถึงอ้อมกอดที่ประคองนางไว้ยามนิทรา ยูคุซึจินมักจะทำเช่นนั้นเมื่อนางหลับตาลงพักหนึ่ง นางเองก็รู้สึกตัวเสมอ องค์เทพีรับรู้ในข้อนั้นดี เฉกเช่นที่นางรู้ว่าผู้ประคองกอดเองก็เข้าใจว่านางทราบดี แต่เหตุการณ์พิลึกพิลั่นนี้ก็ดำเนินมาถึงสองครั้งสองคราแล้ว หญิงสาวคาดเดาไว้ในใจตน เกรงว่าเจ้าชีวิตคงจะเงียบเหงามากจนเกินไป ทั้งบริวารหญิงสี่ตนยังมีใบหน้าละม้ายและไร้อารมณ์ สั่งอย่างไรก็ได้อย่างนั้น มีเคยเอ่ยโต้ตอบให้แตกต่างหรือบิดพลิ้วในคำสั่ง บางครั้งยังรู้หน้าที่ก่อนจะเอ่ยปากเสียด้วยซ้ำ มีบริวารเช่นนี้นับว่าดี แต่บางทีพวกนางก็ทำให้ยูคุซึจินรู้สึกเปลี่ยวเหงาในปราสาทกว้างใหญ่นี้ เมื่อมีเครื่องบรรณาการที่ถูกใจเข้ามาที่นี่ องค์เทพีสัมผัสได้ถึงความมีชีวิตชีวาในตำหนักแห่งนี้ แม้จะเป็นเพียงแสงเทียนดวงเล็กท่ามกลางสายฝนแห่งความเงียบเหงา แสงเทียนนั้นก็สว่างพอสำหรับทิวาและราตรี แม้นว่าความมืดมิดมาพร้อมกับการนิทราของนางก็ตาม ไม่เป็นไร สตรีสูงศักดิ์พร้อมจะโอบกอดนางไว้คลายเหงา เฝ้ารอเวลาจะได้พบกับคำพูดเจรจาระหว่างกันในวันรุ่งขึ้น ไม่มีใครสร้างหัวใจรักระหว่างกัน เพราะทั่งคู่รู้ดีว่าสิ่งทั้งมวลคือภาพลวง ยูคุซึจินคือผู้ที่สรรหาความแปลกใหม่ในตัวของเครื่องบรรณาการชิ้นเอก ส่วนเครื่องบรรณาการนั้นก็สรรหาอิสระจากฎเกณฑ์ของผู้คนเช่นเดียวกัน ทั้งยังพ่วงด้วยความหลงใหลในกลิ่นหอมรูปรสของเจ้าชีวิตมาอีกหนึ่ง มันจึงไม่มีอะไรมากไปกว่านั้นได้อีก คงเพราะคนทั้งสองไม่คิดจะทำให้มันเกินเลยมากไปกว่าฐานะเหล่านั้น ยูคุซึจินมองดวงจันทราด้วยสายตาเหมือนจะทักทายต่อเทพี ผู้ขับราชรถอยู่แสนไกลในท้องนภานั้น ในขณะเดียวกันก็ไม่คิดจะบอกเรื่องนี้ให้มนุษย์รับรู้ นางมักพรรณนาความงามของพระจันทร์เป็นกลอนอยู่เสมอ และมันก็สะอาดบริสุทธิ์มากจนเกินไป อย่าให้ต้องแปดเปื้อนว่ากลางความสว่างสดใสนั้น มีเทพีผู้เหลือองค์เพียงนิดเดียวจากมุมหน้าต่างของปราสาทคอยควบคุมอยู่ “เจ้าเคยได้ยินตำนานของเทศกาลทานาบาตะไหม” เทพีนักรบยกกล้องยาสูบญี่ปุ่นขึ้นจรดริมฝีปาก หลังจากนั้นจึงปล่อยสายควันบางเบาออกมาให้ลอยลมไปในอากาศ หากเป็นคนอื่น นางคงไม่จำเป็นต้องรอคำตอบ แต่กับหญิงสาวชาวมนุษย์ผู้ยากจะหยั่งคนนี้ ยูคุซึจินยอมรับว่านางอยากทราบในคำตอบ มากกว่าต้องการผลลัพธ์แท้จริงเสียอีก มิสึงิหัวเราะออกมาเบาๆ พลางเทน้ำชาแก้วหนึ่งส่งให้อย่างเอาใจ ส่วนหนึ่งของนางยังคงสำนึกได้ว่าตนเป็นเครื่องบรรณาการ ต่างฐานะ ต่างชนชั้น เป็นมากกว่าหญิงรับใช้ของจักรพรรดินีเสียอีก “เป็นเทศกาลฤดูร้อนเหมือนกันหรือเจ้าคะ? ถ้าเป็นเทศกาลฤดูหนาวก็คงจะดี เพราะข้าปรารถนาจะขับไล่ความร้อนเหลือเกิน” มือที่ถือพัดของสตรีสูงศักดิ์ยื่นไปหาหญิงผู้มีฐานะประหนึ่งหน้าที่รับใช้ “จับมือข้าแล้วอ้อนวอนขอดูสิ ข้าเป็นเทพเจ้าของเจ้า เรื่องเหล่านี้ต้องทำได้อยู่แล้ว” “โป้ปดคนอื่นเถอะ” มิสึงิกล่าวอย่างรู้ทันในวาจา พลางฉวยพัดผ้าไหมสีแดงมาไว้โบกตนเอง “หากท่านไม่เดือดร้อนกับความอบอ้าวนี้จริง งั้นพัดเล่มนี้เป็นของกำนัลแก่ข้าคงไม่เป็นไร” “เจ้าอยากได้ก็เอาไป” นางว่าพลางลุกขึ้นเดินไปยังขอบหน้าต่าง ก่อนจะหยิบขลุ่ยเลาหนึ่งขึ้นแนบแทนกล้องยาสูบ ซึ่งเครื่องบรรณาการหญิงลองจรดริมฝีปากตนดูบ้าง เพราะไม่สนใจว่ามันจะให้สัมผัสเช่นไร สัมผัสของกล้องยาสูบไม่สำคัญเท่ากับสตรีนางนั้นที่ริมหน้าต่าง นางลอยลงมาจากฟากฟ้าในชุดโปร่งเบาสีขาวแกมฟ้าสะอาด ใบหน้านั้นหมดจนแต่งแต้มประดับเส้นผมไว้อย่างลงตัว เมื่อนางเข้ามาใกล้จนเกือบจะชิด เครื่องบรรณาการก็สัมผัสถึงไอเย็นบางอย่างที่โปร่งสบาย มิได้เสียดแทงลึกเข้าไปในกระดูกเช่นหิมะหรือน้ำแข็ง เทพธิดานางนั้นเหลือบมองมนุษย์เพียงคนเดียวด้วยแววตาใคร่รู้ ประหนึ่งจะสงสัยถึงฐานะและความเป็นมา อีกทั้งชุดแต่งกายของมิสึงิยังเป็นสีชมพูอ่อน มิใช่สีม่วงเข้มดังที่บริหารหญิงทั้งสี่สวมคลุม แล้วใบหน้าของหญิงสาวยังมีอารมณ์และแววแห่งชีวิตจิตใจ ไม่เงียบขรึมคล้ายนางเหล่านั้น ใบหน้าของยูคุซึจินแต้มยิ้มบางหวาน พลางยกมือไล่มิสึงิให้ออกจากห้องไปก่อน แม้ผู้เรียกขานจะประทับใบหน้าไม่มีเรื่องราวใดๆ แต่เทพธิดาแห่งสายลมหนาวก็พอจะทราบถึงความไม่พอใจ ในสายตาอยากรู้อยากเห็นถึงสตรีในชุดกิโมโนสีหวานนั้น เทพีนักรบก็เป็นเสียแบบนี้ ไม่นิยมให้ใครมายุ่งกับเรื่องภายในของตน เช่นเดียวกับไม่เข้าไปยุ่งในเรื่องของใคร มิสึงิแอบมองเจ้านายกระซิบกระซาบกับเทพธิดาแห่งสายลมหนาวด้วยสายตาอันเรียบเฉย เพราะสนใจว่าแขกผู้มาเยือนนั้นเป็นใครจากไหนกัน และสายตาเรียบเฉยนั้นยังมองอาคันตุกะหัวเราะหัวใคร่กับคู่สนทนา ราวกับว่ามีเรื่องใดชวนขบขันเสียเต็มประดา ความร้อนรอบกายหาได้ระคายพวกเขาเหล่านั้น ผิดกับนางที่ยกพัดผ้าไหมขึ้นมาโบกพัด เทพธิดาองค์นั้นผละจากไปในที่สุด โดยทิ้งบุปผาหิมะสีขาวสวยไว้ให้หนึ่งดอก อาณาเขตของห้องกว้างขวางนี้เพียงพอกับมันอย่างแน่นอน ความรุ่มร้อนตามฤดูกาลก็จะหมดไป “หนึ่งสตรีสอดส่ายสายตารู้เห็น เป็นที่น่าขบขันของตำหนักใน” ยูคุซึจินกลับมานั่งเดิมโดยมีบุปผาหิมะอยู่ตรงหน้า ทั้งยังว่ากลอนออกมาเบาๆ แต่กระทบกับผู้ที่เข้ามานั่งตรงหน้าเช่นเดิม มิสึงิแตะดอกไม้บริสุทธิ์นั้นอย่างสนใจแล้วต่อกลอน “เพราะนางห่วงใยในตัวเจ้านาย แต่กลับกลายเป็นความผิดใหญ่หลวง” ผู้ถูกตัดพ้อไม่แย้มยิ้มไม่โมโห สามวันที่คอยเล่าเรื่องต่างๆ สามวันที่คอยปะทะคารมกันอยู่บ่อยครั้ง สามวันที่ผ่านไปเรื่อยๆ โดยไม่มีใครมาบงการว่านางควรทำเช่นไร เพื่อให้สมกับเป็นเครื่องบรรณาการของเทพ เป็นสามวันที่ทุกอย่างผ่านไปเรื่อยๆจนน่าแปลกใจ และเป็นสามวันที่ต่างฝ่ายต่างเงียบเหงาน้อยลง ในคืนวันที่สามนี้เอง มิสึงิยังคงนั่งอยู่เบื้องหน้าเทพีเจ้าชีวิตเฉกเช่นเคย โดยฝ่ายนั้นพิศมองชุดเสื้อผ้าสีสันสดสวยสมกับสตรีแรกรุ่น แน่นอนว่าย่อมไม่เด็กเกินไปสำหรับวัยอายุของหญิงสาว แม้นางจะดูเงียบงันไร้อารมณ์ในบางครา ทว่า ยังมีส่วนที่สมกับเป็นสตรีอยู่บ้าง ผิดกับยูคุซึจิน ผู้ไม่สนใจเอาเลยไม่ว่าเรื่องใด และยังคงเป็นเช่นนั้นอยู่เสมอ เครื่องบรรณาการรับรู้เข้าใจว่าคงไม่มีอาภรณ์ใดน่าตื่นตาตื่นใจ สำหรับผู้ที่พานพบมามากมายตลอดหลายร้อยปี ในปราสาทสถิตเทพแห่งนี้ไม่มีสิ่งใดน่าสนใจจริงดังที่ผู้สรรค์สร้างว่า ไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้ไม้สอยหรือเครื่องตกแต่งให้สถานที่ดูตระกาลตา หรือจะมี ก็คงเป็นเพียงผืนผ้าโปร่งมากมายที่รายล้อมผูกโยงไว้ในตำหนักแพรพรรณชาด ซึ่งบางครั้งแลดูน่าสยดสยองอย่างช่วยไม่ได้ ดรุณีน้อยทอดถอนใจกับการนั่งมองตากันลำพังเช่นนี้เต็มที นางลุกขึ้นแล้วเดินไปเปิดม่านรับลมให้พัดอวลกลิ่นดอกไม้ ซึ่งปกคลุมแถบหนึ่งของปราสาทเอาไว้ราวกับผ้าคลุมของสตรี อีกนัยคือการต้อนรับแสงจันทร์ให้สาดส่องมา เพื่อเป็นหัวข้อสนทนาในค่ำคืนนี้ หากว่ามันไม่ได้หยุดลงที่ขึ้นสิบห้าค่ำเช่นนี้มาตลอดสามวัน และจะทอดยาวไปจนถึงคืนเดือนดับที่แท้จริง ซึ่งจะเป็นคืนเดือนดับที่ทอดยาวไปจนถึงคืนจันทร์เต็มดวงเช่นกัน คงเพราะคนที่นี่ไม่เคยสนใจในเดือนปีและเวลา... แม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่าของปราสาทสถิตเทพ อย่างหนึ่งที่ทำให้ดรุณีน้อยยังคงหลงใหล นั่นคือใบหน้างดงามของเจ้านายตน รวมถึงอ้อมกอดที่ประคองนางไว้ยามนิทรา ยูคุซึจินมักจะทำเช่นนั้นเมื่อนางหลับตาลงพักหนึ่ง นางเองก็รู้สึกตัวเสมอ องค์เทพีรับรู้ในข้อนั้นดี เฉกเช่นที่นางรู้ว่าผู้ประคองกอดเองก็เข้าใจว่านางทราบดี แต่เหตุการณ์พิลึกพิลั่นนี้ก็ดำเนินมาถึงสองครั้งสองคราแล้ว หญิงสาวคาดเดาไว้ในใจตน เกรงว่าเจ้าชีวิตคงจะเงียบเหงามากจนเกินไป ทั้งบริวารหญิงสี่ตนยังมีใบหน้าละม้ายและไร้อารมณ์ สั่งอย่างไรก็ได้อย่างนั้น มีเคยเอ่ยโต้ตอบให้แตกต่างหรือบิดพลิ้วในคำสั่ง บางครั้งยังรู้หน้าที่ก่อนจะเอ่ยปากเสียด้วยซ้ำ มีบริวารเช่นนี้นับว่าดี แต่บางทีพวกนางก็ทำให้ยูคุซึจินรู้สึกเปลี่ยวเหงาในปราสาทกว้างใหญ่นี้ เมื่อมีเครื่องบรรณาการที่ถูกใจเข้ามาที่นี่ องค์เทพีสัมผัสได้ถึงความมีชีวิตชีวาในตำหนักแห่งนี้ แม้จะเป็นเพียงแสงเทียนดวงเล็กท่ามกลางสายฝนแห่งความเงียบเหงา แสงเทียนนั้นก็สว่างพอสำหรับทิวาและราตรี แม้นว่าความมืดมิดมาพร้อมกับการนิทราของนางก็ตาม ไม่เป็นไร สตรีสูงศักดิ์พร้อมจะโอบกอดนางไว้คลายเหงา เฝ้ารอเวลาจะได้พบกับคำพูดเจรจาระหว่างกันในวันรุ่งขึ้น ไม่มีใครสร้างหัวใจรักระหว่างกัน เพราะทั่งคู่รู้ดีว่าสิ่งทั้งมวลคือภาพลวง ยูคุซึจินคือผู้ที่สรรหาความแปลกใหม่ในตัวของเครื่องบรรณาการชิ้นเอก ส่วนเครื่องบรรณาการนั้นก็สรรหาอิสระจากฎเกณฑ์ของผู้คนเช่นเดียวกัน ทั้งยังพ่วงด้วยความหลงใหลในกลิ่นหอมรูปรสของเจ้าชีวิตมาอีกหนึ่ง มันจึงไม่มีอะไรมากไปกว่านั้นได้อีก คงเพราะคนทั้งสองไม่คิดจะทำให้มันเกินเลยมากไปกว่าฐานะเหล่านั้น ยูคุซึจินมองดวงจันทราด้วยสายตาเหมือนจะทักทายต่อเทพี ผู้ขับราชรถอยู่แสนไกลในท้องนภานั้น ในขณะเดียวกันก็ไม่คิดจะบอกเรื่องนี้ให้มนุษย์รับรู้ นางมักพรรณนาความงามของพระจันทร์เป็นกลอนอยู่เสมอ และมันก็สะอาดบริสุทธิ์มากจนเกินไป อย่าให้ต้องแปดเปื้อนว่ากลางความสว่างสดใสนั้น มีเทพีผู้เหลือองค์เพียงนิดเดียวจากมุมหน้าต่างของปราสาทคอยควบคุมอยู่ “เจ้าเคยได้ยินตำนานของเทศกาลทานาบาตะไหม” เทพีนักรบยกกล้องยาสูบญี่ปุ่นขึ้นจรดริมฝีปาก หลังจากนั้นจึงปล่อยสายควันบางเบาออกมาให้ลอยลมไปในอากาศ หากเป็นคนอื่น นางคงไม่จำเป็นต้องรอคำตอบ แต่กับหญิงสาวชาวมนุษย์ผู้ยากจะหยั่งคนนี้ ยูคุซึจินยอมรับว่านางอยากทราบในคำตอบ มากกว่าต้องการผลลัพธ์แท้จริงเสียอีก มิสึงิหัวเราะออกมาเบาๆ พลางเทน้ำชาแก้วหนึ่งส่งให้อย่างเอาใจ ส่วนหนึ่งของนางยังคงสำนึกได้ว่าตนเป็นเครื่องบรรณาการ ต่างฐานะ ต่างชนชั้น เป็นมากกว่าหญิงรับใช้ของจักรพรรดินีเสียอีก “เป็นเทศกาลฤดูร้อนเหมือนกันหรือเจ้าคะ? ถ้าเป็นเทศกาลฤดูหนาวก็คงจะดี เพราะข้าปรารถนาจะขับไล่ความร้อนเหลือเกิน” มือที่ถือพัดของสตรีสูงศักดิ์ยื่นไปหาหญิงผู้มีฐานะประหนึ่งหน้าที่รับใช้ “จับมือข้าแล้วอ้อนวอนขอดูสิ ข้าเป็นเทพเจ้าของเจ้า เรื่องเหล่านี้ต้องทำได้อยู่แล้ว” “โป้ปดคนอื่นเถอะ” มิสึงิกล่าวอย่างรู้ทันในวาจา พลางฉวยพัดผ้าไหมสีแดงมาไว้โบกตนเอง “หากท่านไม่เดือดร้อนกับความอบอ้าวนี้จริง งั้นพัดเล่มนี้เป็นของกำนัลแก่ข้าคงไม่เป็นไร” “เจ้าอยากได้ก็เอาไป” นางว่าพลางลุกขึ้นเดินไปยังขอบหน้าต่าง ก่อนจะหยิบขลุ่ยเลาหนึ่งขึ้นแนบแทนกล้องยาสูบ ซึ่งเครื่องบรรณาการหญิงลองจรดริมฝีปากตนดูบ้าง เพราะไม่สนใจว่ามันจะให้สัมผัสเช่นไร สัมผัสของกล้องยาสูบไม่สำคัญเท่ากับสตรีนางนั้นที่ริมหน้าต่าง นางลอยลงมาจากฟากฟ้าในชุดโปร่งเบาสีขาวแกมฟ้าสะอาด ใบหน้านั้นหมดจนแต่งแต้มประดับเส้นผมไว้อย่างลงตัว เมื่อนางเข้ามาใกล้จนเกือบจะชิด เครื่องบรรณาการก็สัมผัสถึงไอเย็นบางอย่างที่โปร่งสบาย มิได้เสียดแทงลึกเข้าไปในกระดูกเช่นหิมะหรือน้ำแข็ง เทพธิดานางนั้นเหลือบมองมนุษย์เพียงคนเดียวด้วยแววตาใคร่รู้ ประหนึ่งจะสงสัยถึงฐานะและความเป็นมา อีกทั้งชุดแต่งกายของมิสึงิยังเป็นสีชมพูอ่อน มิใช่สีม่วงเข้มดังที่บริหารหญิงทั้งสี่สวมคลุม แล้วใบหน้าของหญิงสาวยังมีอารมณ์และแววแห่งชีวิตจิตใจ ไม่เงียบขรึมคล้ายนางเหล่านั้น ใบหน้าของยูคุซึจินแต้มยิ้มบางหวาน พลางยกมือไล่มิสึงิให้ออกจากห้องไปก่อน แม้ผู้เรียกขานจะประทับใบหน้าไม่มีเรื่องราวใดๆ แต่เทพธิดาแห่งสายลมหนาวก็พอจะทราบถึงความไม่พอใจ ในสายตาอยากรู้อยากเห็นถึงสตรีในชุดกิโมโนสีหวานนั้น เทพีนักรบก็เป็นเสียแบบนี้ ไม่นิยมให้ใครมายุ่งกับเรื่องภายในของตน เช่นเดียวกับไม่เข้าไปยุ่งในเรื่องของใคร มิสึงิแอบมองเจ้านายกระซิบกระซาบกับเทพธิดาแห่งสายลมหนาวด้วยสายตาอันเรียบเฉย เพราะสนใจว่าแขกผู้มาเยือนนั้นเป็นใครจากไหนกัน และสายตาเรียบเฉยนั้นยังมองอาคันตุกะหัวเราะหัวใคร่กับคู่สนทนา ราวกับว่ามีเรื่องใดชวนขบขันเสียเต็มประดา ความร้อนรอบกายหาได้ระคายพวกเขาเหล่านั้น ผิดกับนางที่ยกพัดผ้าไหมขึ้นมาโบกพัด เทพธิดาองค์นั้นผละจากไปในที่สุด โดยทิ้งบุปผาหิมะสีขาวสวยไว้ให้หนึ่งดอก อาณาเขตของห้องกว้างขวางนี้เพียงพอกับมันอย่างแน่นอน ความรุ่มร้อนตามฤดูกาลก็จะหมดไป “หนึ่งสตรีสอดส่ายสายตารู้เห็น เป็นที่น่าขบขันของตำหนักใน” ยูคุซึจินกลับมานั่งเดิมโดยมีบุปผาหิมะอยู่ตรงหน้า ทั้งยังว่ากลอนออกมาเบาๆ แต่กระทบกับผู้ที่เข้ามานั่งตรงหน้าเช่นเดิม มิสึงิแตะดอกไม้บริสุทธิ์นั้นอย่างสนใจแล้วต่อกลอน “เพราะนางห่วงใยเจ้านายจนมากมาย แต่กลับกลายเป็นความผิดใหญ่หลวง” ผู้ถูกตัดพ้อไม่แย้มยิ้มไม่โมโห นางมองพระจันทร์ที่มีราชรถของเทพีองค์หนึ่ง มันค้างอยู่กึ่งกลางฟ้าเช่นนั้น เหตุเพราะการมองภาพที่เคลื่อนไหวช้ามากเกินไป แม้ตอนนี้มันจะหยุดนิ่งค้างคาราตรีอยู่เช่นนั้น พวกเขาก็คงไม่ทราบได้ และไม่รู้ว่าเทพจันทรากำลังน้อยอกน้อยใจอยู่ที่ใด เพราะตอนนี้ราชรถของนางว่างเปล่าไร้ผู้บังคับ แน่นอนว่ายูคุซิจินไม่สนใจจะขึ้นไปถามไถ่หรือค้นหาสหายเก่าหรอก "เมื่อครู่นี้คือเทพธิดาแห่งสายลมหนาว ใช่ว่านางจะเลวร้าย เพียงแต่ไม่ค่อยจะมีความลับกับใครเท่าใดนัก แม้เรื่องที่ตั้งใจจะเก็บงำไว้เพียงหนึ่ง กลับรู้ถึงสองหรือสาม บางครั้งก็ชักนำภัยมาสู่ตน" ยูคิซึจินอธิบาย "นานมากแล้ว ที่ข้าไม่ได้สนใจในตัวของมนุษย์ หากข่าวลือแพร่ออกไปว่าข้านำมนุษย์มาเลี้ยงไว้ข้างกาย เกรงว่าบริวารหญิงของเราคงต้อนรับกันไม่หวาดไม่ไหว ส่วนตัวข้าจะนิ่งเฉยไว้ด้วยอุบายสารพัด พวกเขาจะได้รู้ว่าห้ามมารบกวนโดยไร้เหตุ" มิสึงิเติมน้ำชาให้กับเจ้านายไปเงียบๆ นางกำลังใคร่ครวญถึงความเบื่อหน่ายและสิ่งที่สตรีสูงศักดิ์พบ ไม่แน่ว่าการที่นางไม่ยอมออกไปพบเจอผู้คน อาจสร้างความรำคาญอยู่ในอกขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งผู้รู้สึกคงจะไม่ทันเฉลียวใจ ค่าที่มัวแต่โทษความเบื่อหน่ายและสิ่งรอบกายร่ำไปนั่นเอง น่าเสียที่หญิงสาวยังไม่อยากพบเจอกับชาวบ้าน ทั้งยังไม่ใช่สาวน้อยผู้คิดถึงถิ่นที่อยู่อู่ที่นอน นางจึงไม่ได้เสนออุบายในการกลับลงไปเยี่ยมผู้คนทั้งหลายเหล่านั้น เมื่อมองยูคุซึจินซึ่งนำกล้องยาสูบญี่ปุ่นกลับคืนมาได้แต่ทอดถอนใจ เดิมทีวันเวลากับการพบพานผู้ที่ไม่กลัวเกรงก็สนุกดี แต่นางมีเพียงหนึ่งและยังคงเป็นเช่นนั้น เมื่อผ่านไปหลายวันก็ย่อมเกิดความเบื่อหน่ายขึ้นได้ น่ากลัวว่าวินาทีนี้คงจะเป็นจุดเริ่มต้นความรู้สึกนั้นแล้ว ทั้งมนุษย์ก็เป็นเพียงแค่มนุษย์ ไม่ได้มีฤทธิ์เดชน่าตื่นใจ รูปโฉมงามเป็นที่ประจักษ์อย่างแท้จริง ทว่า กับสตรีซึ่งไม่สนใจในเรื่องความงามหลงใหล ความงามเช่นนั้นล้วนไร้ค่า เครื่องบรรณาการเคยกล่าวอย่างตรงไปตรงมาอยู่หลายครั้งว่าแพ้ทางนาง นับว่าน่าขันอย่างบอกไม่ถูก เพราะบัดนี้นางกำลังต้องการใครสักคนจะมาตอบปัญหา มิใช่คำทายหรือหลักปรัชญาไม่ แต่เป็นสาเหตุของความเบื่อหน่ายทั้งหมดทั้งมวล ทั้งต่อปากต่อคำ ต่อกรหรือรับใช้ตามหน้าที่ มิสึงิมีทั้งบกพร่องบ้าง ไม่บกพร่องบ้าง ต่างจากบริวารหญิงสี่ตนนั้นก็จริง กระนั้น นางยังคงน่าเบื่อไม่ต่างจากใคร มันเพราะอะไรกันหนอ...
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ