Tribute Girl. Yuri

8.9

เขียนโดย ปรัสรา

วันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2556 เวลา 05.18 น.

  8 session
  0 วิจารณ์
  14.06K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 12 มกราคม พ.ศ. 2556 06.28 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) บทที่1

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

       งานพิธีคราวนี้ถูกจัดขึ้นยิ่งใหญ่กว่าครั้งใดๆ  โดยมีหญิงสาวสวมชุดกิโมโนม่วงเข้มทั้งชุดนั่งนิ่งอยู่ตรงกลางสถานที่  ใบหน้าของนางไร้อารมณ์จนเรียกได้ว่าเฉยชาต่อภาพของผู้คนหลากอารมณ์ตรงหน้า  บางส่วนก็เศร้าเสียใจเพราะพบพานกับมิสึงิมานาน  แม้จะไม่สนิทสนมคุ้นเคยกันดั่งคนอื่นทั่วไป  ยังไงก็เห็นกันมาตั้งแต่เยาว์วัย
       เครื่องบรรณาการหญิงถูกจัดวางไว้นิ่งดั่งรูปปั้นมาตลอดหลายชั่วโมง  แค่รอคอยเวลาให้พระจันทร์ขึ้นสู่กลางฟ้าเท่านั้น  เมฆหมอกขึ้นนี้กระจ่างดี  ชาวบ้านต้องรับรู้ว่าต้องเป็นคำอวยพรจากเทพีแน่  และนางคงต้องการให้เครื่องบรรณาการไปถึงไม่ช้าสาย
       ทั้งผู้คนของกินหรือกลิ่นสุราเลิศรสไหแล้วไหเล่าที่ถูกเปิดขึ้น  ทุกอย่างล้วนแต่ถูกนำออกมาเต็มที่สำหรับงานเลี้ยงฉลองนี้  ฉลองไปรอบกายของสตรีที่ขึ้นชื่อว่าเกิดมาเพื่อเป็นของกำนัลเทพ  แลกกับความปลอดภัยและความสงบสุข  ซึ่งทั้งหมู่บ้านได้รับมาโดยตลอด
       “...มิสึงิ  ท่านมิสึงิขอรับ! ”  ชายหนุ่มคนหนึ่งท่าทางใจดี  ร่างกายของเขาใหญ่เต็มไปด้วยมัดกล้ามแบบคนที่ออกแรงมามาก  เขาเป็นหนึ่งในชาวบ้านที่บูชาต่อเทพียูคุซึจิน  แต่ไม่พอใจที่ต้องเห็นการหลั่งเลือดของหญิงสาวแรกรุ่น  โอโตะซังอาจไม่คุ้นเคยกับบุตรสาวของหัวหน้าหมู่บ้านเท่าใดนัก  หรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นการพูดคุยครั้งแรกเลยก็ตาม  ถึงกระนั้น ใบหน้าใจดีของเขาได้เคร่งเครียดขึ้นเพื่อลบล้างความไม่เป็นธรรมนี้
       มิสึงิมองไปยังฝูงชนมากมายแล้วส่ายหน้า  เขาสู้กับคนจำนวนมากขนาดนี้ไม่ได้  การที่เขาเห็นนางเป็นลูกหลานในหมู่บ้านคนหนึ่งก็นับว่าเมตตามากพอแล้ว  อีกทั้งหญิงวัยกลางคนข้างโอโตะยังมีลูกน้อยมาด้วยคนหนึ่ง  มันคงไม่ง่ายในการดำรงชีวิตต่อไปในหมู่บ้าน  ซึ่งตนขึ้นชื่อได้ว่าเป็นคนทรยษต่อความเชื่อของชาวบ้านหมู่มาก
       “แต่ท่านก็ไม่สมควรจะถูกกระทำเช่นนี้! ”  ชายวัยกลางคนย้ำหนักแน่น  “เราทั้งหมดต่างเคยมีชีวิตที่อิสระ  จนกระทั่งมีตำนานเรื่องของอสูรศีรษะยักษ์กับเทพีองค์นี้  ไม่แน่ว่านางอาจเป็นคนส่งมันมาเองก็เป็นได้! ”
       ภรรยาของเขาสะดุ้งเฮือกแล้วรีบโค้งขออภัยต่อยูคุซึจิน  แม้จะไม่เห็นด้วยและตั้งใจจะช่วยมิสึงิตามสามี  การเกรงกลัวต่อเทพที่เคารพก็ไม่เคยจางหาย  ทั้งยังเพิ่มในคืนนี้อย่างที่สุด  เมื่อรู้ดีว่าตนกำลังทำผิดบัญชาเทพ  คิดช่วยเครื่องบรรณการให้พ้นจากชะตากรรมที่โหดร้าย  ซึ่งต้องเดินเข้าไปในภูเขาที่องค์เทพีสถิตอยู่เพียงลำพังเมื่อเวลาเที่ยงคืนมาถึง
       แต่ในยามที่ย้อนกลับมาสบตากับมิสึงิ  นางพูดด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นอันไม่มั่นคงนัก  “ข้าอยากช่วยท่านมิสึงินะคะ  แม้จะกลัวในความเกรี้ยวกราดขององค์เทพีก็เถอะ”
       หญิงสาวผู้เลอโฉมส่ายหน้า  “เจ้าอย่าได้ช่วยพาข้าหนีไปเลย  มันไม่มีประโยชน์หรอก...”
       ทั้งสามคุยกันต่ออีกชั่วครู่  ก่อนที่สามีภรรยาทั้งสองต้องกลับไปเพราะความตั้งใจอันเด็ดเดี่ยวของสตรีนางนั้น  แต่ก็ย้อนกลับมาถามไถ่ถึงการหลบหนีอีกครั้ง  เนื่องจากทนนึกถึงสภาพหลังเข้าไปในภูเขาของหญิงสาวไม่ไหว  ชาวบ้านส่วนใหญ่ล้วนหาสมุนไพรล่าสัตว์กันบริเวณเชิงเขาเท่านั้น  นี่นางต้องเดินไปจนถึงยอดเขา  มันจะเป็นไปได้อย่างไร!
       แต่ในที่สุด...เวลานั้นก็ได้เริ่มต้นขึ้น  เมื่อเสียงกระดิ่งของคณะมิโกะที่เรียกตนว่ายูไคได้บรรเลง  บทเพลงจากกระดิ่งมือทรงรีก็เริ่มร่ายรำ  พวกมิโกะทั้งหกนำโดยหัวหน้าซึ่งประดับชุดด้วยเครื่องแต่งมากกว่ายูไคทั่วไป  ทำการบวงสรวงแด่ยูคุซึจินอีกหลายนาที  ก่อนจะเปิดทางคณะแด่เส้นทางสถิตเทพ
       หัวหน้ายูไคมอบตะเกียงเจ้าพายุให้กับมิสึงิหนึ่งอันเพื่อใช้ส่องทางไปจนถึงยอดเขา  ทั้งยังประทับรอยยิ้มใจดีให้  “ไม่จำเป็นต้องกังวลไป  แม้เส้นทางจะอันตราย  ท่านยูคุซึจินจะปกปักษ์เจ้าเอง”
       หญิงสาวไม่ตอบอะไร  นอกจากรับของติดกายอีกหนึ่งชิ้นมาจากยูไค  ดูเหมือนว่าท่ามกลางเครื่องแต่งองค์ของพิธีมากมาย  สิ่งที่ใช้งานได้คงมีเพียงหนึ่งเท่านั้น  แม้แต่ชาดที่แต้มริมฝีปากนางยังเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาเป็นพิเศษเลย  หากแต่เวลาใช้สอยคงอยู่ไม่พ้นคืนนี้  เมื่อนางพร้อมจะปาดลบมันทันทีที่เสร็จสิ้นงาน
       มิโกะเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติและพร้อมจะหยั่งลึกถึงจิตใจของผู้คนเสมอ  ต่อให้สตรีตรงหน้ามิได้เอื้อนเอ่ยคำใด  นางก็เข้าใจและรับรู้ดีถึงความนึกคิด  อย่างน้อยโชคชะตาก็เวียนมาบรรจบกันในวันนี้  วันหน้าจะเป็นเช่นไรหรือเกิดอะไร  ย่อมไม่ใช่หน้าที่ของพวกนางเหล่ายูไคจะไปเปลี่ยนแปลง
       มิสึงิสบตาคู่หวาดหวั่นของสองสามีภรรยาผู้ใจดี  โดยไม่แม้แต่จะมองบิดาแท้จริงด้วยซ้ำ  มิได้เจ็บช้ำน้ำใจใดๆ  แต่ก็ไม่มีความผูกพันให้อาวรณ์  นั่นคงเป็นคำกล่าวรวมสำหรับหญิงสาวในวินาทีนี้
       เครื่องบรรณาการณ์ลงมาจากแท่นบูชาเมื่อครู่  แล้วเริ่มออกก้าวเดินอย่างเชื่องช้า  ชุดพิธีเปื้อนดินโคลนของภูเขามากขึ้นตามชายที่ลากเรี่ย  ซึ่งไม่มีความจำเป็นต้องยกขึ้นให้เสียกิริยา  ไม่แน่ว่ายังไม่ทันจะเดินตัดผ่านยอดเขา  สิงสาราสัตว์คงเห็นนางเป็นกระยาหารแสนหวานก่อนก็เป็นได้
       แสงตะเกียงตัดผ่านความมืดพอได้เห็นทาง  ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครเคยผ่านภูเขานี้มานานจริงๆ  พวกชาวบ้านไม่อาจหาญล่วงล้ำเขตศักสิทธิ์ของสตรีเอาแต่ใจในความคิดของเครื่องบรรณาการนางนี้  รวมทั้งความคิดที่ว่าทุกอย่างอาจเป็นคำโกหก  ไม่มีศีรษะยักษ์ตนใดมาทำลายผืนนา  ไม่มีเทวากับหญิงรับใช้จากสรวงสวรรค์  มีเพียงนางเท่านั้นในคืนอันเหน็บหนาวกลางฤดูร้อนเช่นนี้
       แล้วบางอย่างก็สว่างวาบเข้ามาเมื่อนางเข้าสู่เขตแดนที่ใกล้พอ  แสงจากปราสาทบนยอดเขาอันเป็นที่สถิตเทพียูคุซึจิน  ทั้งที่ไม่มีคนด้านล่างแหงนมองขึ้นมาพบแท้ๆ  แต่ปราสาทสวยงามดั่งที่ประทับขององค์จักรพรรดินีก็ปรากฏขึ้นสู่สายตาของนาง  สวยงามเรืองรองดุจจะเปล่งแสงได้เองท่ามกลางความมืดมิด
       มิสึงิเดินเข้าไปช้าๆ ระหว่างพิจารณาสิ่งรอบกาย  ตรงทั้งเข้ายังมีหญิงสาวสี่ตนที่โค้งคำนับรอนางตั้งแต่ยังไม่เดินเข้ามา  ใบหน้าของพวกนางเหล่านั้นไม่แตกต่างกันเลย  รวมถึงชุดกิโมโนสีม่วงเข้มในตำนานนั่นด้วย
       หญิงรับใช้ทั้งสี่เดินขนาบคู่ดรุณีเครื่องบรรณาการไปสู่ตำหนักแพรพรรณชาด  ซึ่งตกแต่งด้วยผ้าชนิดต่างและผืนไหมสีแดงสวยสมชื่อ  ตัดผ่านประตูกระดาษญี่ปุ่นบานแล้วบานเล่า  ราวกับจะปิดกั้นเรื่องราวภายนอกจากคนใน  ผู้ที่ไม่มีใครเคยพบพานมาตลอดหลายร้อยปี  ผู้ที่เป็นตำนานแห่งหมู่บ้านอันห่างไกล  ตำนานอันน่าสะพรึงกลัว...
       ดรุณีทั้งสี่โค้งกายลงเพื่อเป็นสัญญาณว่าการเดินทางร่วมได้สิ้นสุดลง  เส้นผมกฤษณาไร้การประดับลู่ลงตามแรงโน้มแล้วโบกสะบัดอย่างพร้อมเพรียงตาสมจังหวะหมุนนั้น  ทิ้งเครื่องบรรณาการหญิงไว้หน้าประตูสู่ห้องของเจ้านาย  โดยตลอดทางมายังไม่เคยปริปากคำใด  เมื่อตอนออกไปก็ยังเหมือนเดิม
       มิสึงิรอให้พวกนางเดินไปจนลับตา  ก่อนจะแนบแอบฟังเสียงภายใน  แม้จะมีมีดสั้นที่ไปขอมาจากสองสามีภรรยาคู่นั้นอยู่ในอกเสื้อ  ผู้ที่อยู่ภายในจะดุร้ายเป็นเทพปิศาจมากเพียงไร  ยังไม่เคยมีใครบอกได้สักคน  หากแต่ทันทีที่หัวใจของเทพีองค์นั้นถูกหั่นสะบั้น  นางจะเร่งเดินทางให้ไกลจากที่นี่  จากหมู่บ้านแห่งนี้ซึ่งนางไม่เคยผูกพัน!
       ลูกธนูดอกหนึ่งพุ่งออกมาแทนเสียงภายในประตู  พร้อมกับการเปิดกะทันหันอย่างพร้องเพรียงกันของประตูซ้ายขวา  จนหญิงสาวผู้ไม่ทันจะตั้งตัวถึงกับล้มลุกคลุกคลาน  สบมองใบหน้าของเจ้าชีวิตในท่าหมอบเงย  ดุจยอมก้มศีรษะให้ตั้งแต่ต้น  มันเป็นการน้อมเพียงกายที่ไม่ตั้งใจ  ความนึกคิดยังไม่อาจน้อมตาม
       นัยน์ตาของเครื่องบรรณาการยังคงเรียบเฉย  ไม่เคยแสดงอารมณ์ใดๆ อีกเช่นเคย  มิสึงิได้แต่ก้าวเข้าไปตามเสียงเรียกของเจ้าชีวิตคนใหม่  โอ...ชีวิตของนางมีเจ้าของตั้งแต่กำเนิดแล้วใช่ไหมนี่  กำเนิดเป็นอย่างไร  ปัจจุบันก็ยังคงเป็นอย่างเดิม  เพราะอย่างนั้น  หากจะผิดกับคนในหมู่บ้านก็ช่างปะไร  เขาว่าบ่าวผิด นายก็ผิด  กล่าวโทษเจ้าชีวิตตรงหน้านางไปแทนแล้วกัน
       เมื่ออยู่ในระยะที่ใกล้พอ  มิสึงิเชยคางอีกฝ่ายขึ้นหมุนไปมาดั่งจะพินิจทั้งหมด  “โอ้ บุตรสาวของชาวบ้าน  เจ้าเติบโตขึ้นมาได้อย่างงดงามเลยนี่  ทีหลังก็เข้ามาแต่โดยดี  อย่าให้เราต้องโมโหอีก”
       มิสึงิเอะใจเผลอเงยหน้าขึ้นมองคนที่กำลังแย้มยิ้มให้  หากแต่ในใจกำลังคุกรุ่นไปด้วยโทสะกับกิริยาของลูกมนุษย์  เป็นครั้งแรกที่สาวน้อยพบคนที่เป็นเหนือกว่านาง  ไม่ว่าโกรธ เศร้าสร้อยหรือเสียใจ  ยังคงอารมณ์ไว้ได้เหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น  ในขณะที่นางได้แต่แสดงสีหน้าไร้อารมณ์  คนผู้นี้กลับมีสีหน้าพึงพอใจให้สัมผัสเท่านั้น!
       น่ากลัวเหนือร่างคือจิตใจ  เทพีที่ผู้คนต่างไหว้วอนคงไม่ใช่สตรีเทพนักรบที่มีเพียงกำลัง  หรือสิ่งที่เป็นเครื่องย้ำเตือนถึงอันตราย  แท้จริงคือความนึกคิดอันน่าเกรงขามเหล่านั้น...!  เครื่องบรรณาการริมฝีปากสั่นระริกจนไม่กล้าพูดอะไร  ได้แต่ก้มหน้างุดลงตามเดิมอย่างขวัญเสีย  เปลือกนอกแข็งกร้าวเป็นเพียงฉากหน้า  เมื่อเจอกับคนที่มีภายนอกแข็งแกร่งกว่า  จึงมีใจหวั่นเกรงได้อย่างง่ายดาย
       เครื่องบรรณาการสบตากับเจ้าชีวิตอย่างตื่นตระหนกอีกครั้ง  เมื่อพบว่าอีกฝ่ายกำลังรวบกายนั่งเข้าไปนั่งโอบกอดไว้อย่างใกล้ชิดเกินไป  ทั้งยังล้วงเข้าไปในอกชุดพิธีสีม่วงเข้มนี้อีกต่างหาก  มิสึงิหลับตาลงแน่นเพราะรู้ดีในชะตากรรม  นางไม่ใช่คนโง่  ต่อให้ไม่รู้ว่าทำไมเทพองค์นี้ถึงรู้ได้ว่านางซ่อนอาวุธก็ตาม
       จริงดังความกลัวของนาง  มีดสั้นถูกหยิบยกออกมาจรดกับปลายนิ้วของยูคุซึจิน  แต่แทนที่โลหิตไหลอาบจะปรากฏระบายแทนที่ผิวขาวนวล  ปลายแหลมคมกลับหักกึกจนกระเด็นมาเฉี่ยวใบหน้าของหญิงสาว  กลายเป็นแผลชาไหลซิบจนเจ้าตัวพูดไม่ออก
        “เครื่องบรรณาการเอ๋ย  ข้าเป็นคนเดียวที่ได้ยินเสียงร้องของมารดาเจ้า  และเป็นคนแรกที่เจ้าเห็นหน้า  ไม่ว่าจะในทางใด  เจ้าสังหารข้าไม่ได้หรอก”  เสียงเอ่ยนั้นปลอบโยนดุจจะคลายความกลัวให้ร่างหวาดหวั่น  แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น  มิสึงิกลับยิ่งทวีความกลัวยิ่งขึ้นไปอีก  นอกจากพละกำลัง จิตใจ  เทพีองค์นี้ยังมีรังสีบางอย่างที่ปลุกสัญชาติญาณของมนุษย์ให้รับรู้ได้ถึงความห่างชั้นจนไม่อาจเอื้อมถึง
       สาวน้อยเอื้อมไปสัมผัสเส้นผมสีเงินยวงนั้นพร้อมรอยยิ้ม  ซึ่งได้เกล้าประดับไว้บนศีรษะส่วนหนึ่งเช่นเดียวกับนาง  นัยน์ตาสีชาดเคล้ากับชุดที่สวมใส่มองไล่ตามกับกิริยาของเครื่องบรรณาการ  รอยยิ้มนั้นนางเองก็ไม่เข้าใจ  รู้แต่ว่านางพึงพอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างน่าประหลาด  ราวกับว่า...คนที่น่าแพ้ทางก็ได้มาโอบอุ้มปกปักษ์ไว้แล้ว  ไม่มีสิ่งใดให้คนที่แพ้ทางนาง  แล้วยังจะมากำหนดกะเกณฑ์เอาตามใจจะทำได้อีก  “งั้นข้าจะทำร้ายท่านอย่างไรดี?”
       ยูคุซึจินยิ้มบ้างแล้วผนักนางลงไปกองกับพื้น  จนคนในอ้อมกอดเมื่อครู่ถึงกับงุนงง  ทีแรกนางคิดว่าอีกฝ่ายตจะตอบโต้ด้วยวาจาที่เหนือชั้นกว่าเสียอีก  แต่ไม่หรอก สาวน้อยเอ๋ย  เจ้าไม่มีทางตามความคิดของสตรีตรงหน้าทันได้  และนั่นทำให้เครื่องบรรณาการยิ่งชื่นชมหลงใหลในเสน่ห์ดึงดูดใจอันน่าประหลาดนี้ยิ่งขึ้น
       “สาวน้อย  เจ้าก็เหมือนคนอื่น”  วาจานั้นเปี่ยมไปด้วยถ้อยอันปลดปลงอย่างแท้จริง  “หนึ่งในสาเหตุที่ไม่มีใครสังหารข้าได้  ก็เพราะพวกเขาไม่คิดจะทำ  ข้านึกว่าอย่างน้อยจะได้เห็นการแสดงระบำมีดอันน่าดูชมของเจ้า  แต่กลับยินยอมให้หักมันทิ้งอย่างง่ายดาย”
       มิสึงิรู้สึกหยันตัวเองขึ้นมากับความลวงในเสน่ห์เหล่านั้น  “งั้นข้าควรจะทำในสิ่งที่ท่านไม่คาดหมายงั้นหรือ?  อย่างการหลบหนีไปจากปราสาทแห่งนี้ทั้งที่ไม่เต็มใจ  แล้วกลับไปใช้ชีวิตอย่างสมบูรณ์พูนสุขในฐานะเครื่องบรรณาการผู้ถูกส่งกลับ  อย่างน้อยก็จนกว่าคณะยูไคจะประกาศความจริงสินะเจ้าคะ?”
       แท้จริงแล้วคำกล่าวเหล่านั้นก็ต่างความคาดหมายของยูคุซึจินในระดับหนึ่งแล้ว  เพราะนางคิดว่าดรุณีน้อยตรงหน้าจะร่ำไห้อ้อนวอน  ขอร้องให้นางอภัยในความผิดของตน  จากนั้นก็พร่ำเพ้อว่านางงดงามเพียงใด  หวังใจว่านางจะใจดีปลอบโยนและมอบความสนิทสนม  เฉกเช่นบุรุษและสตรีที่นางเคยพานพบในสถานที่ต่างจากนี้
       เมื่อรู้ความในใจของเทพีผู้น่าสงสาร  มิสึงิทั้งหวาดกลัวและหลงใหล  ในขณะเดียวก็รู้ว่าคนตรงหน้าคงเบื่อการสรรพสิ่งเต็มที  ทั้งผู้คนที่พร้อมจะหมอบกราบเคารพเพียงสบตา  หรือร้องไห้อ้อนวอนดั่งนางเป็นปิศาจมิใช่เทพสรวง  ทุกอย่างวนเวียนซ้ำเดิมเหมือนวงแหวนเมอบิอุสอันไร้ซึ่งความน่าสนใจ
       มิสึงิรู้ดังนั้นก็จริง  แต่นางเลือกที่จะเงียบเพื่อพิจารณาผลลัพธ์ของเรื่อง  กับดรุณีผู้ไม่มีความน่าสนใจเหมือนใครๆดังว่า  เทพีเจ้าชีวิตเลือกที่จะสังหารหรือปล่อยกลับคืนสู่ถิ่นฐาน  ให้นางรับชะตากรรมอันน่าเบื่อไม่แพ้กัน  ทั้งที่รู้และลอบมองอยู่เสมอ  โดยความวาดหวังว่าความนิ่งงันของนางคงจะเปลี่ยนสิ่งต่างๆ ในหนึ่งวันได้
       ยูคุซึจินสบตาอันไร้อารมณ์และการสื่อความคิด  จึงได้รู้ว่าตนถูกเล่นแง่เข้าแล้ว  สาวน้อยผู้ไร้ซึ่งคำอ้อนวอนกลับเลือกจะเดิมพันการลงดาบกับนาง  เพียงเพราะทุกอย่างของตัวเองก็น่าเบื่อเช่นกัน  ยอดเยี่ยมอย่างที่สุด  ในตอนนี้นางก็มีผู้ที่กำลังเลิกแยแสต่อสิ่งรอบกายเหมือนกายแล้ว
       ดรุณีน้อยเอ๋ย  การไม่อ้อนวอนขอชีวิตกลับช่วยเจ้าไว้หรือนี่...
       องค์เทพีใช้คมมีดเชยคางของเครื่องบรรณาการขึ้นมาดั่งจะหยอกเย้า  “ข้าสามารถแทงหัวใจเจ้าได้เสมอ”
       “เฉกเช่นเดียวกับการที่ท่านบังคับข้ามาตลอด  โดยผู้ที่ศรัทธาหวั่นเกรงต่อท่าน”  มิสึงิเผยรอยยิ้มอันน่าประหลาดขึ้น  “ข้าก็หลงใหลในความงามของท่าน  แล้วก็รู้สึกรังเกียจที่ตนเป็นเช่นนั้นด้วย  ข้าจึงยินดีหากว่าท่านจะเป็นผู้กุมผลการตัดสินนี้  เพราะข้าล้วนแต่ได้ประโยชน์ทั้งหมด”
       ประโยคของมิสึงิทำให้เทพีนักรบนึกถูกใจมากยิ่งขึ้น  สตรีตรงหน้านางอยากจะบอกว่าหากสังหารไป  นางก็คงจะไม่รู้สึกผิดต่อการคล้อยตามในเสน่ห์  ทั้งที่มาดมั่นว่าจะต้องลงมือฆ่าให้จงได้  แต่ถ้านางปล่อยดรุณีนางนี้  นางก็จะรอดชีวิตและดำเนินไปเรื่อยๆ เหมือนอย่างที่เคยเป็น         ส่วนคนที่หมดผลประโยชน์ตัวจริงจะเป็นใครได้...
       ก็เทพีผู้บงการชีวิตนางมาตลอดคนนี้ยังไงล่ะ
       ยูคุซึจินยอมลดมีดสั้นลงเองกับคำพูดของเครื่องบรรณาการ  ในใจก็เกิดอยากวัดผลบางอย่างขึ้นมาเหมือนกัน  ในปราสาทนี้มีบริวารหญิงของนางอยู่สี่ตน  แต่ละตนหน้าตาเหมือนกันหมด  นั่นคือมีโครงหน้ารูปลูกนัทและตัดผมหน้าม้าและปล่อยส่วนที่เหลือยาวลงไปโดยไร้การตกแต่ง  ในปราสาทซึ่งไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น  ระหว่างเทพีผู้เบื่อหน่ายนับร้อยปีกับหญิงสาวชาวบ้านผู้เบื่อมาตลอดชีวิต  ใครจะทนไม่ไหวก่อนกัน?
       เมื่อลองยื่นข้อเสนอดังนั้น  มิสึงิตอบรับพร้อมกลับยื่นมือมาขอมีดสั้นของตนคืน  มีดเล่มนี้เป็นของที่ผู้ห่วงใยคนแรกในรอบหลายปีของนางมอบให้มา  มันจึงมีค่ามากกว่าเครื่องประดับประดาบนกายนี้เสียอีก  แน่นอนว่ายิ่งมีค่ากว่าชุดกิโมโนสีม่วงเข้มกลืนไปตลอดนี่ด้วย  ดรุณีน้อยพูดอย่างเต็มที่สำหรับเรื่องนี้
       “งั้นตามหญิงรับใช้ของข้าไปเปลี่ยนแล้วกัน”  ยูคุซึจินยิ้มขบขัน  “แล้วเราก็จะมาเริ่มต้นค่ำคืนอันน่าเบื่อนี่ด้วยกัน”
       คล้อยหลังเทพีผู้บงการชีวิต  มิสึงิถอนหายใจออกมายาวระหว่างเอามือทาบอก  ในขณะที่ร่างกายนี้ยังคงสั่นเทา  ความหวาดกลัวปนเปกับสิ่งแปลกใหม่ได้เข้ามาในหัวใจ  มันมิใช่ความรักแน่  หญิงสาวรู้ดี  แต่ก็มีค่าพอสำหรับตอบแทนต่อสิ่งที่น่าต้องเผชิญมาตลอดยี่สิบปี  ไม่ว่างานฝีมือหรือการร่ายกลอน  ทุกอย่างเพื่อเข้ามายังสถานที่ซึ่งผู้คนไม่อาจมาถึง
       แล้วคนที่ต้องจ่ายค่าตอบแทบทั้งหมด  ย่อมเป็นเทพีองค์นั้นอย่างไม่ต้องสงสัย

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา