The Silver Mask
9.8
9) ลำดับที่ 10
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ‘ครั้งหนึ่ง ข้าได้เอนอิงเคียงข้างในฐานะของคู่ครองของท่าน นั่นคือทั้งหมดทั้งมวลที่ข้าใฝ่ฝัน แม้ว่าในอนาคตท่านจะเลือกใคร แต่ท่านจะยังคงเป็นคนรักผู้เดียวของข้าเสมอ...ฟิลลิปป์’
สิ่งที่คนรักของอัศวินสวมหน้ากากหลงเหลือไว้ให้ มีเพียงจดหมายฉบับสั้นๆอันเด็ดเดี่ยวแน่วแน่พาดผ่านตัวอักษร ช่างสมกับเป็นคนคนนี้เหลือเกิน เปลือกภายนอกอาจจะดูอ่อนแอบอบบาง หากแต่จิตใจกลับมั่นคงเสียจนคู่สมรสอย่างเขายังอดยิ้มอย่างขมขื่นให้ตนเองไม่ได้
ดวงจันทราอันสว่างไสวอย่างเต็มที่ในคืนที่แล้ว กลับถูกเสี้ยวแรมหนึ่งกัดกินให้น้อยลง แต่สำหรับอัศวินสีเงินผู้ใช้เวลาทั้งวันคืนเพื่ออยู่ในห้องของคนรัก ซึ่งยังไม่หวลกลับมายังที่แห่งนี้ แม้ว่าดวงตะวันจะฉายส่องและไหววูบลงถึงสามคำรบ จะมีก็เพียงคำปลอบโยนจากผู้ใกล้ชิดเพียงเท่านั้น
เจ้าหญิงไดอาน่าปรากฏความไม่สบายใจออกมาอย่างชัดเจน ตัวนางเองไม่สามารถเข้ามาช่วยให้กำลังใจพี่ชายได้มากนัก ผู้คนที่เกี่ยวข้องก็วุ่นวายอยู่กับพิธีวิวาห์และการต้อนรับคนจากโอเทล์ม ช่างสมใจเขาเหลือเกิน...เพราะเด็กหนุ่มไม่ต้องการให้ใครเข้ามาเพื่อปลอบโยนใดๆ หรือกล่าวถึงสตรีแสนสวยนางใด ผู้สามารถสร้างความสุขให้เขาก้าวต่อไปอย่างมั่นคง สิ่งเดียวที่เขาต้องการคือใบหน้าประหลาดใจของกุหลาบงามดอกนั้น ซึ่งเปิดประตูเข้ามาพบว่าเจ้าชายไม่ได้ปกปิดใบหน้าไว้แต่อย่างใด ใบหน้าที่แท้จริง...
ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นอายบนผืนผ้าหรือดวงหน้าอันตื่นขึ้นมารับแสงยามเช้า หากคืนไหนเขาไม่ได้พบกัน เด็กหนุ่มมักจะล่วงเข้ามาในห้องนี้เพื่อพบพานภาพนั้นอยู่เสมอ ทั้งกริยา น้ำเสียง หรือปลายนิ้วสัมผัสในจุดต่างๆ ซิลเวอร์จดจำมันได้ทั้งสิ้น เสียงหัวเราะ เสียงพูดคุย บทสนทนาที่มีต่อโคเรนซ์ในห้องอันเปี่ยมความทรงจำนี้
เขาไม่อยากออกไปพบกับสิ่งมากมายที่ได้ประดับประดา ทั้งสายรุ้งหรือแถบผ้าหลากสีที่ประดับประดาสวนอย่างมีชีวิตชีวา ซิลเวอร์รู้สึกว่านั่นไม่ใช่สถานที่ซึ่งพวกเขารู้จัก เพราะสวนในปราสาทจะต้องเงียบสงบ มืดตามยามวิกาลอันเป็นปกติ ไม่สว่างไสวอย่างในทิวาอันคราคร่ำไปด้วยผู้คน หรือกระทั่งกลางราตรีเช่นนี้ ของประดับประดาถูกจัดวางไว้สำหรับพิธีในวันพรุ่งนี้ งานเลี้ยงวิวาห์ที่แสนสนุกสนาน เปี่ยมด้วยรักและความสุข
อัศวินสีเงินหวังว่าเจ้าชายจากต่างแดนจะไม่ทำให้ไดอาน่าต้องผิดหวัง แต่ไหนแต่ไรมานางไม่เคยเปิดใจให้ใคร ซ้ำยังหลงใหลอยู่กับความงดงามอ่อนหวานในฝันรักอันถูกแต่งเติมขึ้นมา นางจะทานรับกับอุปสรรคต่างๆระหว่างก้าวผ่านวงกตได้หรือไม่ ใช่ว่าการก้าวเข้าสู่ใจกลางเพื่อวิวาห์จะเป็นจุดยุติของขวากหนามทั้งมวล
เป็นครั้งแรกที่ซิลเวอร์รู้สึกสมเพชตนเองยิ่งนัก เขาห่วงใยนางในฐานะของน้องสาวกระนั้นรึ...? บางทีสิ่งที่คนรักของเขาพยามจะกล่าวมาโดยตลอด อาจจะไม่ใช่ข้อเท็จเพียงอย่างเดียวก็เป็นได้ ในขณะเดียวกัน เขายอมรับว่าตัวเองอดอิจฉาในสิ่งที่นางโอบอุ้มไว้ด้วยมือทั้งสองไม่ได้ ทั้งอำนาจและพันธไมตรี ติดตามมาพร้อมกับเจ้าบ่าวผู้ซึ่งมอบควงามรักให้นางมาเนิ่นนาน ตัวเขากลับไม่อาจจะเหนี่ยวรั้งฟิลลิปป์ไว้ได้เลย ถึงครั้งก่อนเคยคิดหาญกล้าขึ้นมา คนอย่างเขารึจะต่อกรกับองค์ราชาได้ ในเมื่อพระองค์ ‘พิพากษา’ เรื่องราวลงมาแล้ว ทุกอย่างย่อมดำเนินไปตามนั้น
ไม่มีการเดิมพันใดอีก...ทุกอย่างจบลงอย่างง่ายดาย พร้อมกับความเสียใจในความมาดมั่นของเจ้าชายผู้หนึ่ง
เสียงเคาะประตูอย่างเป็นจังหวะเชิงขออนุญาตจากคนภายนอก ช่วยเรียกสติในห้วงคำนึงถึงคนรักของเขาได้เป็นอย่างดี เขาอยากรู้ว่าในค่ำคืนอันโดดเดี่ยวและเศร้าสร้อยนี้ ฟิลลิปป์จะกำลังโหยหาเขาเช่นเดียวกันหรือไม่ ต้องการให้อ้อมแขนนี้เข้าปลอบโยนไหม ถ้ากำลังหลับใหลอย่างสงบสุขก็คงจะดี เพราะเขาไม่อยากให้ใบหน้าแสนงามนั้นต้องเปื้อนด้วยสายน้ำจากนัยเนตรคู่สวย หรือปรากฏความหม่นหมองในแววตา
อาคันตุกะในค่ำคืนนี้คือองค์ราชาราชินี สตรีผู้สูงศักดิ์ยกมือขึ้นห้ามไม่ให้เขาลุกขึ้นจากเตียงนอนหนานุ่มเพื่อทำความเคารพ หากแต่เป็นตัวพระนางเองที่โน้มลงไปโอบกอด พลางส่งยิ้มอ่อนโยนไปให้บุคคลต่างสายเลือด การลูบศีรษะเบาๆนี้ราวกับกำลังปลอบประโลมบุตรน้อยในอุทร ช่างเป็นเรื่องให้ชวนคำนึงถึงเหลือเกินว่าครั้งสุดท้ายที่ทำเช่นนี้ เป็นเรื่องเมื่อสิบปีก่อนหรือไม่
“ข้าไม่เข้าใจ...พวกท่านต้องการสิ่งใดงั้นหรือ” ซิลเวอร์ขืนตัวออกจากอ้อมกอดนั้นด้วยความไม่คุ้นชิน แต่ไหนแต่ไร การกระทำเช่นนี้ไม่เคยอยู่ในความคิดของเด็กหนุ่มเลย เนื่องจากมันย่อมมีไว้สำหรับเจ้าหญิงเพียงผู้เดียว
องค์ทั้งสองสบตากันแล้วพร้อมใจกันส่งยิ้มให้กับเขา พระหัตถ์ขององค์ราชาไม่ได้ลูบอย่างอ่อนโยนเช่นราชินี หากแต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นไม่ผิดเพี้ยน พระองค์เหมือนจะขบขันต่อคำถามนั้นเหลือเกิน มากเสียจนสร้างความโกรธเล็กๆขึ้นในใจของผู้ที่กำลังงุนงง
“มีคนบอกว่าเจ้าไม่ยอมออกไปไหนมาจะครบสามวันแล้ว” นาฬิกาพกเรือนทองขององค์ราชาถูกเปิดออกดูอย่างรวดเร็ว “หากว่าเข็มชี้ที่เลขสิบสองเมื่อไร คงจะครบสามวันบริบูรณ์พอดี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้ายังคิดว่าพวกเราจะปล่อยให้เจ้าอยู่แบบนี้โดยไม่ห่วงใยได้เลยรึ? ท่านแม่ของเจ้าพร่ำบ่นอาคันตุกะทางสายตาจนเกือบเปล่งออกมาอยู่รอมร่อ ค่าที่พวกเขาเหล่านั้นช่างขวางไม่ให้มาพบเจ้ามากเหลือเกิน”
องค์ราชินีพยักหน้ายืนยันต่อคำพูดของผู้เป็นสามี พลางดึงเขาเข้ามาแนบอกของตนอีกครั้ง ทั้งคำพูดหรือการกระทำเหล่านี้ดูคล้ายกับครอบครับอบอุ่นในฝันของใครหลายคน หากแต่ผู้ที่กำลังได้รับคงไม่คิดเช่นนั้น เขาอดคิดไม่ได้ว่าสิ่งนี้คือการเดิมพันของผู้ใดหรือเปล่า องค์ทั้งสองที่ไม่เคยทำสิ่งเหล่านั้นไม่นานจนคล้ายจะลืมเลือนไป กลับมาปฏิบัติในคืนก่อนพิธีของเจ้าหญิงไดอาน่า ไม่แน่ว่าอาจมีสิ่งใดมอบหมายให้เขาทำก็เป็นได้
องค์ราชินีส่ายหน้าเบาๆ “เปล่าเลย...เราสองคนแค่อยากแน่ใจว่าเจ้าจะไม่คิดมากกับเรื่องที่เกิดขึ้น ถึงท่านพ่อของเจ้าจะกลับคำ ยกเลิกการเดิมพันครั้งนี้ เจ้าคิดว่าเด็กหนุ่มคนนั้นจะยินยอมงั้นรึ...? สิ่งเดียวที่เขาต้องการจากเราคือการดูแลเจ้า โปรดอย่าเข้าใจว่านี่คือการตอบรับต่อความต้องการนั้น เราเพียงแต่เพิ่งรับรู้ว่าได้ละเลยเจ้ามานานเพียงใด”
นานแค่ไหนแล้วหนอที่เจ้าชายในอ้อมกอดของนางนี้ไม่แสดงสีหน้าอันสับสนวุ่นวายออกมา ในเมื่อเขาเป็นเด็กหนุ่มที่เติบโตขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มอันไม่ยี่หระต่อสิ่งใด ทั้งยังช่วยดูแลน้องสาวเป็นอย่างดี มอบลหมายหน้าที่ก็ตอบรับอย่างแข็งขันไม่ปฏิเสธ หลายคราที่องค์ทั้งสองเผลอเข้าใจว่าตนกำลังออกคำสั่งกับอัศวิน หาใช่เจ้าชายอย่างที่เคยกล่าวไว้ นั่นทำให้ผู้เป็นมารดารู้สึกเศร้าใจนัก
ไดอาน่าเคยพยามเชื่อมเขากับพวกนางไว้ด้วยกันอยู่หลายครั้ง แต่การที่พระนางไม่สามารถตอบสนองต่อเจตจำนงนั้นได้เท่าที่ควร คงเป็นสาเหตุให้นางตัดสินใจละทิ้งความวุ่นวาย พาพี่ชายผู้คอยดูแลปกป้องตนมาโดยตลอดให้หลีกหนีจากความว่างเปล่าในปราสาทหลัก เมื่อคิดดูแล้ว...เกรงว่าธิดาของพระนางจะเข้าถึงการตัวตนของ ‘พี่ชาย’ มากกว่าองค์ทั้งสองที่มี ‘บุตรชาย’ ไม่ว่าบุตรนั้นจะเป็นสายเลือดแท้หรือมิใช่ก็ตาม ค่าที่ภาระหน้าที่ได้สรรค์สร้างห่อหุ้มเข้ามาตั้งแต่ต้น รวมทั้งการปิดบังการออดอ้อนหรือโอ้อวดความภาคภูมิของตนต่อบุพการี ถึงกระนั้น มันก็ไม่ใช่สาเหตุที่องค์ทั้งสองจะต้องสร้างความเปลี่ยวเหงาในใจดวงนี้มาตลอดสิบแปดปีเลย
ดวงตาของซิลเวอร์หลุบลง คล้ายจะไม่แน่ใจต่อสิ่งที่ได้เอ่ยกล่าว “ท่านทั้งสองโปรดวางใจ ข้าเพียงแค่อยากจะเฝ้ามองความทรงจำต่อผู้เป็นที่รักในที่นี้เท่านั้น เรื่องนี้ไม่คู่ควรให้พวกท่านต้องมาข้องเกี่ยว เป็นเพียงเรื่องเล็กๆไร้สลักสำคัญของข้า”
องค์ราชามองสิ่งที่ประดับเรียวนิ้วของเจ้าชายอย่างรวดเร็ว มันสร้างขึ้นจากการแกะคริสตัลให้การเป็นแหวน ล้อมรอบด้วยทองคำขาวอย่างงดงาม มันคงไม่ใช่สิ่งที่ควรค่าแก่การสังเกต หากมันเป็นเพียงการแลกของแทนใจทั่วไป ไม่ได้ประดับอยู่ในนิ้วนางซ้าย ไม่ไช่สัญลักษณ์แห่งการผูกพันการดุจกล่าวคำรักมั่นต่อหน้าเทพีเฮร่า พระองค์ควรจะล่วงรู้เรื่องราวของพวกเขาสองคน ก่อนจะกระทำสิ่งใดโดยด่วนตัดสินไป เช่นการเสนอสตรีเพื่อปลอบโยนหัวใจอันเศร้าสร้อยของเขา
องค์ราชินีมองตามสายตาของผู้เป็นคู่ครอง พลางสัมผัสเครื่องประดับสัญลักษณ์นั้นอย่างแผ่ว “โอ...” องค์ทั้งสองรับรู้อย่างแน่ชัดว่าที่เรียวนิ้วของเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่ง ย่อมมีสิ่งคล้ายกันนี้สวมไว้อย่างแน่นอน เพียงแต่มันเกิดขึ้นเมื่อไรกัน ไยจึงไม่มีใครรู้เรื่องมาก่อนเลย
ยิ้มของซิลเวอร์เต็มไปด้วยความหม่นหมองกับวาจานั้น ไม่มีใครล่วงรู้และสูญหายไปในกาลเวลาของราตรี นั่นคือทุกสิ่งที่ถูกลิขิตมาเพื่อพวกเขากระนั้นหรือ
“คนที่เจ้ารักและดูแลเจ้าแทนพวกเรามาโดยตลอด เขาเป็นคนอย่างไรรึ” องค์ราชากล่าวเสียงทุ้มนุ่ม "เขาใจดีมากเพียงไร อ่อนโยนมากเพียงไหน บอกมาที...ลูกข้า”
ซิลเวอร์ทวนคำกล่าวนั้นเบาๆคล้ายไม่แน่ใจในสิ่งที่ตนได้ยิน หากแต่รอยยิ้มอันมาดมั่นขององค์ราชินีส่งมาพร้อมกับบางสิ่งที่ชวนให้เชื่อใจ “ลูกของข้า...ลูกของเรา”
โดยไม่ทันรู้ตัว คล้ายหยดน้ำตาของเด็กหนุ่มจะหลั่งออกมาอย่างช้าๆ ตอบรับต่ออ้อมกอดนั้นพร้อมน้ำเสียงอันสั่นเครือ “เขาเป็นคนใจดี เป็นคนที่ข้ารัก และยังเป็นคู่ชีวิตผู้เดียวของข้า ข้าคิดถึงเขาเหลือเกิน...ท่านพ่อ ท่านแม่”
เสี้ยวแรมอันครอบงำดวงจันทราทีละน้อยได้ผ่านไปอย่างเงียบงัน พร้อมกันนั้น หนึ่งราตรีได้ถูกแทนที่ด้วยรุ่งอรุณคราใหม่
กลิ่นหอมบางอย่างเป็นตัวปลุกให้ซิลเวอร์ตื่นขึ้นจากนิทรา โอ...วันนี้เขาต้องเข้าร่วมพิธีวิวาห์ของไดอาน่า การเข้าไปในปะรำพิธีช้าคงจะไม่ดีแน่
ผู้ที่นำอาหารเข้ามาหาใช่นางกำนัลอย่างทุกวัน แต่เป็นบุคคลที่ถูกเขายืมชื่อมาเนิ่นนาน ถึงแม้ว่ามันจะไร้ผลก็ตาม อย่างน้อยครั้งหนึ่งพวกเขาทั้งสองก็ได้พูดคุยกันอย่างสบายใจ ชื่อที่เรียกจะเป็นอย่างไรก็ไม่สำคัญ เดิมทีนามอันแท้จริงของเขาก็ไม่เคยถูกเรียกขานมาก่อนไม่ใช่หรือ? รอยยิ้มของเขาปรากฏความขื่นขมในทันทีทันใด ไม่ว่าจะเป็นใบหน้าหรือชื่อเสียงเรียงนาม ในความทรงจำของฟิลลิปป์จะเหลือสิ่งใดไว้บ้างหนอ สุดท้ายแล้ว เขาจะกลายเป็นเพียงคนรักผู้ไร้ตัวตนเท่านั้นเองรึ
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกพะยะค่ะ” โคเรนซ์กล่าวงปลอบต่อคำพึมพำนั้น นั่นทำให้อัศวินสีเงินเพิ่งรู้ว่าตนเผลอกล่าวความในใจออกมา
แม้จะเก็บตัวอยู่ภายในถึงสามวันด้วยกัน นี่ก็เป็นครั้งแรกที่พวกเขาสองคนได้เอ่ยปากทักทายกัน เนื่องจากหน้าที่การนำอาหารเข้ามาภายในควรจะเป็นของนางกำนัลคนใดคนหนึ่ง มิใช่ทหารยามหน้าห้องซึ่งมีหน้าที่คุ้มกันความปลอดภัย ดังนั้น การที่โคเรนซ์เข้ามาที่นี่จึงค่อนข้างผิดปกติพอสมควร
ทหารคนนั้นโค้งกายลงเล็กน้อย “ขออภัยฝ่าบาท เดิมทีคนที่ทำหน้าที่นี้คือคนรักของข้าพระองค์เอง เพียงแต่วันนี้ดูเหมือนว่ามือของนางจะได้รับบาดเจ็บ ข้าพระองค์จึงอาสานำมื้อเช้าเข้ามาด้วยตนเองพะยะค่ะ”
เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าโคเรนซ์มีคู่รักเช่นกัน นางจะเป็นคนอย่างไรกันหนอ เขาไม่เคยสนทนากับนางกำนัลที่นำอาหารเข้ามาในวันก่อนเลย นางเองก็ไม่เคยพูดคุยหรือเป็นฝ่ายเอ่ยทักทาย เพียงแต่ปฏิบัติหน้าที่ตามมอบหมายเท่านั้น ข้าราชบริพารส่วนใหญ่ก็ดำเนินชีวิตเช่นนี้ มีไม่กี่คนที่เป็นฝ่ายเอ่ยทักทายเจ้าชายเจ้าหญิงก่อน
ใบหน้าของทหารองครักษ์เหมือนจะเผยความพอใจออกมาอย่างเงียบงัน ระหว่างการเล่าถึงสตรีผู้อ่อนหวานและงดงามคนนั้น พลางกล่าวถึงเจ้าของห้องตัวจริงว่าคงจะเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน น่าเสียดายที่เขาไม่ล่วงรู้รายละเอียดนัก เพียงแต่แววตาอันอ่อนโยนของฟิลลิปป์แสดงตัวตนออกมาได้ทั้งหมด
“แน่นอน...เขาอ่อนโยนแล้วก็ใจดีมาก” ซิลเวอร์ยิ้มออกมาบางเบา “เจ้าน่าจะเข้าใจในตอนที่ได้พูดคุย”
ทหารหน้าห้องตอบรับอย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะไม่เคยสนทนากันอย่างจริงจัง แต่ส่วนใหญ่ฟิลลิปป์มักจะกล่าวอรุณสวัสดิ์กับพวกเขาทั้งสองเสมอ แค่เพียงการทักทายตามธรรมชาติกลับสื่อถึงตัวตนของคนคนนั้นออกมาอย่างชัดเจน เพราะโดยปกติมักจะไม่มีใครสนใจทหารหน้าห้องอย่างพวกเขานัก
“เขาไม่เคยพูดคุยกับพวกเจ้าหรอกรึ” ซิลเวอร์อดตั้งคำถามนี้ขึ้นมาไม่ได้ หลังจากที่ตนได้โอบกอดใกล้ชิดกับคนรัก บางครั้งก็กังวลใจเหลือเกินว่าฟิลลิปป์ผู้ไม่รู้เรื่องอะไร จะเข้าไปใกล้ชิดกับเจ้าของนามตัวจริง แต่จากคำบอกเล่าของโคเรนซ์ จะมีเพียงคำทักทายและรอยยิ้มที่เป็นมิตร หรือหากจะลองสนทนากันสักสองสามประโยค คนรักของเขาก็ไม่ได้มอบความใกล้ชิดมากมายนัก
ซิลเวอร์กัดริมฝีปากของตนเบาๆคล้ายไม่มั่นใจในคำถาม “เขาเคยพูดอะไรเกี่ยวกับคนรักหรือไม่ หรือแม้แต่...พูดถึงข้า”
ไม่มีท่าทีหรือเค้าความลังเล ทหารยามหน้าห้องตอบอย่างตรงไปตรงมาว่าบทสนทนาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ส่วนตัวไม่เคยปรากฏมาก่อนเลย เมื่อได้รับฟังเรื่องราวโดยปิดบังหลายส่วนของเจ้าชาย โคเรนซ์เองก็อดประหลาดใจไม่ได้ หากว่าเจ้าชายในนามของตนสนิทสนมกับฟิลลิปป์ถึงเพียงนั้น ไยการโต้ตอบกับเขาตัวจริงจึงดำเนินไปอย่างธรรมชาติ ไร้ซึ่งการพูดคุยอย่างใกล้ชิดเช่นนั้น
องค์ราชินีก้าวเข้ามาเพื่อดูว่าบุตรชายเตรียมตัวพร้อมหรือไม่ ทว่า สุดท้ายกลับมอบหน้ากากสีเงินอันคุ้นเคยให้ซิลเวอร์ ก่อนที่เขาจะใช้อาชาสีขาวเหลือบเงินคู่ใจควบทะยานเพื่อไปยังหมู่บ้านแห่งนั้น ซึ่งพระนางได้ตอบต่อความงุนงงในแววตานั้นพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น “ให้เขาถอดหน้ากากนี้ด้วยตนเองดีกว่า อย่างน้อยเขาก็ล่วงรู้ถึง ‘ความจริง’ มาตั้งแต่ต้น”
สตรีผู้สูงศักดิ์รวบตัวเขาเข้ามากอดอีกครั้งหนึ่ง เด็กน้อยในวันวานที่เคยถูกกอดปลอบเช่นนี้ ในตอนนั้นยังไม่รู้ความใดมากมาย แต่ในตอนนี้กลับมุ่งมั่นในการไปหาคนคนนั้นเหลือเกิน องค์ราชินีไม่ทราบว่าควรจะดีใจหรือโมโหในตัวของฟิลลิปป์ เมื่อเรื่องปรากฏออกมาเป็นเช่นนี้ คนสำคัญของเขาก็ไม่ใช่นางหรือว่าองค์ราชาและไดอาน่าอีกแล้ว
“พวกท่านทั้งสามยังเป็นคนสำคัญของข้าเสมอ” เขายิ้มให้กับพระนางอย่างจริงใจ ก่อนจะผลุนผลันออกไปเพื่อพูดคุยกับคนรัก โดยไม่สนใจสายตาค้อนกึ่งขบขันขององค์ราชินี ไหนว่านางเป็นคนสำคัญอย่างไนเล่า น่ากลัวว่าคงน้อยกว่าเด็กหนุ่มผู้นั้นกระมัง
การเดิมพันจะระบุไว้เช่นไรก็ตาม เมื่อเกิดเรื่องนอกกฎเกณฑ์ขึ้น สิ่งเดิมพันเองก็ไม่ควรจะมั่นคงดังเดิม
องค์ราชินีมองการทำความเคารพตามหลังพระนางมาด้วยรอยยิ้ม หน้าที่ทั้ง ‘สองสิ่ง’ ของเขาได้จบลงอย่างสมบูรณ์ การที่ฟิลลิปป์สร้างระยะห่างระหว่างตัวจริงและตัวปลอมไว้ นับว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ไม่ใช่น้อยเลย เพียงแต่ตอนนี้คงต้องหวังว่าบุตรชายผู้คิดมากของนางจะทำอะไรทันการ ไม่มาร่วมพิธีสำคัญของน้องสาวสายมากจนเกินไปนัก
ไม่มีใครทราบว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง แต่พวกผู้ใหญ่ในหมู่บ้านราวกับเดาใจของเขาออก หลายครั้งที่พวกเด็กๆจร่ำร้องจะฟังนิทานเฉกเช่นเคย พวกเขาจะเตือนไม่ให้พูดถึงเรื่องของบุรุษปริศนาหรือความเป็นอยู่ในปราสาท ด้วยเกรงว่าความเศร้าอันถูกปิดบังไว้ด้วยรอยยิ้มเรียบง่าย จะถูกเปิดออกด้วยความไร้เดียงสาของเด็กน้อยทั้งหลาย
ทางด้านผู้ได้รับการเป็นห่วงเองก็เพิ่งได้รับข่าวสารบางอย่าง ดูเหมือนว่าแมดดิน่าจะได้รับการรักษาจากแพทย์หลวง แม้อาการทางประสาทจะยังไม่ค่อยคืบหน้าเท่าใดนัก หลายสิ่งอย่างก็ดูเหมือนจะเริ่มดีขึ้นมาทีละน้อย เขาพอจะเข้าใจว่านี่คงเป็นฝีมือของไดอาน่า เพราะซิลเวอร์ไม่เคยพบกับหญิงสาวผู้นี้โดยตรงมาก่อน ย่อมไม่มีทางล่วงรู้และยื่นมือเข้าช่วยในการรักษา
แววตาของจิตรกรหนุ่มหม่นหมองยิ่งกว่าเมฆครึ้ม ผิดกับท้องฟ้าที่อากาศแจ่มใสราวกับจะเสียดสี เต็มไปด้วยคำร่ำลือของคนในหมู่บ้านเกี่ยวกับข่าวอันน่ายินดี ทั้งการผูกมิตรและพิธีวิวาห์ กระทั่งสถานที่อันไม่ค่อยจะยุ่งเกี่ยวกับราชวงศ์นัก ยังแพร่กระจายข่าวนี้ได้อย่างรวดเร็ว ไม่แน่ว่าทั้งอาณาจักรอาจกำลังรื่นเริงกับการยุติสงครามอยู่ก็เป็นได้ เพราะช่วงก่อนนี้มีข่าวลือเกี่ยวกับข่าวบาดหมางเหล่านี้ไม่น้อย ประชาชนทั้งหลายต่างวิตกกันมากทีเดียว
เสียงของเด็กน้อยใหญ่เรียกสติเขาคืนมาจากความหม่อลอย หากเป็นทหารซึ่งทำหน้าประกาศเรื่องของเจ้าหญิง ทุกอย่างก็กระจายอย่างทั่วถึงแล้วมิใช่หรือ ถึงหมู่บ้านแห่งนี้จะค่อนข้างเก็บเงียบอยู่ภายใน ต่างจากสถานที่อื่นอย่างน่าประหลาดใจ แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของโลนอนซ์ ไม่มีทางจะตกหล่นข่าวสารนี้ไปได้
ทว่า...ผู้ที่ปรากฏตัวกลับไม่ใช่กองป่าวประกาศ กลับเป็นเด็กหนุ่มสวมหน้ากากในชุดอันเลิศหรูผิดตา คล้ายว่ากำลังจะเข้าร่วมงานเลี้ยงใดสักแห่ง ซึ่งคำตอบนั้นเขารู้ดีอยู่แก่ใจ
ผู้คนเริ่มหยุดสิ่งที่กระทำแล้วหันมาเพื่อดูธุระของเด็กหนุ่มคนนั้น แต่ฟิลลิปป์ตัดสินใจปิดประตูร้านเขียนภาพของตนอย่างรวดเร็ว ก่อนจะทรุดลงท่ามกลางกลิ่นสีในห้องวาด เขาแพ้พนันและไม่ควรพบหน้าอีกฝ่ายเลย อย่างน้อย องค์ราชาราชินีก็น่าจะตอบรับความต้องการของเขาได้มากพอ ฟิลลิปป์หลับตาลง ปล่อยให้หยดน้ำตาหลั่งไหลจนโดนกับแหวนที่นิ้วนางซ้ายโดยไม่รู้ตัว ไม่ใช่แค่เพียงร่างกาย...ความรู้สึกของเขาเริ่มชาขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก อาจเพราะหลายวันมานี้เขาไม่ค่อยได้ลิ้มรสอาหารเท่าใดนัก
อ้อมกอดอันคุ้นเคยโอบรัดเขาจากด้านหลัง เรียกความประหลาดใจอย่างที่สุดจากเจ้าของร่าง เขาจำได้ว่าปิดล็อกทางเข้าอย่างแน่นหนา อัศวินสีเงินไม่น่าจะเข้ามาได้...?
“ไม่ว่าอะไรก็ขวางเราไม่ได้อีกแล้ว” ซิลเวอร์กล่าวอย่างมาดมั่น ก่อนพิศดวงหน้าขาวซีดนั้นด้วยความตกใจ เมื่อร่างในอ้อมกอดนั้นอ่อนแรงและหมดสติลง
ตะวันเริ่มบ่ายคล้อยลง แสงสีส้มแดงพาดผ่านท้องฟ้ายามเย็น แม้ว่าจะต้องห้ามความสนอกสนใจของคนภายนอกหลายครั้งครา คนรักของเขาก็ไม่ฟื้นขึ้นมาสักที ไม่จำเป็นต้องใช้แพทย์คนใดมาวินิจฉัย เขาก็พอจะล่วงรู้ถึงความอ่อนเพลียในดวงหน้าหวานสวย ทำไมเขาถึงไม่รู้เรื่องนี้ให้เร็วกว่านี้กันหนอ
ในระหว่างควานอาทรร้อนใจนั้นกำลังสุมอกของเจ้าชาย คนที่ถูกเฝ้ารอต่อการตื่นขึ้นก็เริ่มได้สติทีละน้อย สถานที่แห่งนี้คือห้องนอนแห่งเดิมของเขา บางทีสิ่งที่เกิดขึ้นอาจเป็นเพียงความฝัน โอ...ใช่ เมื่อครู่เขาฝันว่าตนเองได้พบกับคนรักอีกครั้ง แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน เพราะเขาไม่ได้บอกคำตอบหรือถอดหน้ากากของใครเลย แม้แต่กับโคเรนซ์ตัวปลอมคนนั้น
สัมผัสของใครบางคนแล่นตั้งแต่ปลายนิ้วเข้ามาจนทาบกุมฝ่ามือเขาไว้แนบสนิท สุ้มเสียงเปี่ยมด้วยความห่วงใยนั้นยืนยันว่าทุกอย่างไม่ใช่เรื่องโกหก
คำแรกในการพูดคุยของพวกเขาคือ... “ท่านไม่ควรมาที่นี่”
และคำตอบสำหรับคำกล่าวนั้น... “ทำไมข้าจึงไม่มีสิทธิ์มาพบคู่ชีวิตของข้ากัน?”
อาหารกลิ่นหอมกรุ่นถูกยกมาวางตรงหน้าอย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้ที่เพิ่งฟื้นปฏิเสธต่อสิ่งทั้งหลายเต็มที่ กลับก่อนที่เขาจะมีน้ำตาทีเถิด มันล้นจากหัวใจจนแทบจะหลั่งไหลออกมาอยู่รอมร่อ และเขาไม่อยากให้มันมีบทบาทออกมาตอนนี้...ต่อหน้าคนตรงหน้า
“เจ้าคงไม่ค่อยได้ทานอาหารในช่วงนี้ ใบหน้าของเจ้าซีดเซียว ร่างกายก็ผอมบางลง” ซิลเวอร์กล่าวอย่างห่วงใยแล้วยกมือคู่นั้นขึ้นกอบกุม “แต่จากนี้ไป ข้าจะเป็นคนคอยดูแลเจ้าเอง ไม่ต้องร้องไห้อีกแล้ว...ไม่อีกต่อไป”
“ผู้ที่ท่านควรห่วงใยไม่ใช่ข้าอีกต่อไป” ฟิลลิปป์ก้มหน้าลง “องค์ราชินีเป็นอย่างไรบ้าง พระนางดีต่อท่าน...”
“มากเท่าที่ข้าปรารถนา ครั้งนี้ไม่ใช่คำพูดเลื่อนลอยอย่างเมื่อสามเดือนก่อนอย่างแน่นอน" เจ้าชายเอ่ยคำหนักแน่น ยืนยันว่าตนไม่ได้โกหก “แต่ฟิลลิปป์ ทำไมคนที่ข้ารัก คนที่เป็นคู่ครองของข้า คนที่ยินยอมรับคำขอวิวาห์ของข้า ไยต้องพยามหลบเลี่ยงทุกสิ่งระหว่างเรา แม้แต่หน้ากากในนามของโคเรนซ์ เจ้ายังไม่เคยจะเปิดมันออกเลย”
มือที่ถูกกอบกุมของเด็กหนุ่มได้เอื้อมไปปลดสิ่งปิดบังสีเงินอันนั้นตามการควบคุมของเจ้าชาย เผยใบหน้าอันแท้จริงระหว่างกันเป็นครั้งแรก
นัยเนตรสีม่วงงดงามคู่นั้นค่อยๆปิดลง ในขณะที่ริมฝีปากสัมผัสได้ถึงความนุ่มนวลเล้าโลม ร่างกายนั้นถูกสัมผัสประคองดุจของล้ำค่าอันเปราะบาง ไม่ว่ามันจะเนิ่นนานมากเพียงไร สรรพสิ่งรอบกายคล้ายจะโปร่งใสและหยุดยั้งห้วงเวลาไว้กับความเย้ายวนของภาพนั้น
กาลเวลาผ่านเลยจนสีสันของท้องฟ้ามืดครึ้มลง อาชาสีขาวเหลือบเงินหยุดลงตรงหน้าปราสาทหลัก ผู้คนทั่วอาณาบริเวณล้วนแต่เป็นชนชั้นสูงและข้าราชบริพาร จึงไม่น่าแปลกอะไร หากพวกเขาจะรู้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้เป็นใคร แต่ผู้ถูกประคองให้ก้าวลงนั้นเล่า แม้จะสวมชุดให้ดูเลิศหรูคล้ายอยู่ในชนชั้นเดียวกัน น้อยคนนักจะได้รับการแนะนำอย่างชัดเจน ในทางกลับกัน คนที่ได้ยินเพียง ‘ข่าวลือ’ กลับมีมากกว่าหลายเท่านัก
ฟิลลิปป์ไม่ค่อยมั่นใจในสายตาที่มองมุ่งตรงมาเท่าไหร่นัก ถ้าไม่ได้คำปลอบโยนแผ่วเบาจาดคนข้างกาย เขามาในฐานะของคู่ครองเจ้าชายแห่งโลนอนซิลและไม่จำเป็นต้องกังวลต่อใครอีกต่อไป หารู้ไม่...ในใจของเด็กหนุ่มยิ่งกลัวเสียยิ่งกว่าเดิม นั่นเพราะเขาเคียงข้างอย่างเป็นทางการ ไร้ซึ่งหน้ากากปกปิดว่าอัศวินสีเงินเป็นใครอย่างไรเล่า หวังว่าการมาที่นี่คงไม่ทำให้ผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายต้องขายหน้า
เมื่อก้าวเข้ามาในงานเลี้ยง สิ่งประดับล้ำค่าล้วนแต่งดงามและยิ่งใหญ่ ไม่แพ้การจัดแต่งในงานเลี้ยงของราชินีอะเล็ตก้า ทั้งช่อดอกไม้สีขาวบานสวยหรือแถบผ้าแสนสวยมากมาย อาณาบริเวณโดยรอบกว้างขวาง แต่ผู้คนยังคงกระจัดกระจายกันอยู่เกือบทุกส่วน
ไม่เพียงแค่สถานที่ ซิลเวอร์จูงมือเขาเข้าไปหาคู่เอกของงานเลี้ยงอย่างรวดเร็ว ณ ที่นั่นปรากฏร่างของชายหญิงคู่หนึ่ง ซึ่งเจ้าหญิงสวมชุดสีขาวสวยงาม ปักลายด้วยด้ายสีชมพูสลับฟ้าสวยงาม นางเรียกชายหนุ่มข้างกายเบาๆเพื่อแนะนำให้รู้จักกับผู้ที่ตรงเข้ามา แม้ว่าโอซิลริสจะทำความรู้จักกับพี่ชายของนางมาก่อนหน้านี้ เขาก็ยังไม่เคยพูดคุยกับฟิลลิปป์อย่างเป็นทางการเท่าไหร่นัก
“ข้าขอโทษที่พลาดงานช่วงเช้าไป” เจ้าชายกล่าวกับไดอาน่าด้วยสีหน้ารู้สึกผิด หลังได้กำหนดการแน่นอน นางย้ำให้เขาร่วมงานอยู่หลายครั้ง เพียงแต่อาการของฟิลลิปป์ไม่สู้ดีนัก เขาอยากแน่ใจว่าคนรักจะดีขึ้น การร่วมงานในช่วงกลางคืนคงไม่ทำให้นางผิดหวังนัก ซึ่งเจ้าหญิงตอบรับเช่นนั้นพร้อมรอยยิ้ม เพียงแค่ได้เห็นพวกเขาทั้งคู่อยู่ด้วยกันอีกครั้งและพี่ชายไม่ต้องกักขังตนเองอยู่ในห้องแห่งนั้น นางก็พึงพอใจมากที่สุดแล้ว
บทสนทนาส่วนใหญ่มักจะเป็นซิลเวอร์กับคู่วิวาห์ มากกว่าฟิลลิปป์กับเจ้าชายจากโอเทล์ม อาจเพราะเด็กหนุ่มยังไม่คุ้นกับการพูดคุยกับชนชั้นสูงนัก โอซิลริสเล็งเห็นจุดนี้เป็นอย่างดี อดกังวลกับภาพในอนาคตไม่ได้ ในเมื่อบทสรุปของการเดิมพันพิศวงอันได้ยินจากเจ้าสาวยแสนงามว่าคำตอบจากพระราชาต่อบุตรชายคนนี้เป็นเช่นไร
ยังไม่ทันที่ความกังวลจะถูกปัดออกไปให้เป็นเรื่องของอนาคต บุคคลผู้สร้างความกังวลก็ก้าวเข้ามา ราชาและราชินีแห่งโลนอนซิลก้าวเข้ามาร่วมสนทนา องค์ทั้งสองไร้ซึ่งความขุ่นมัวหรือไม่พอใจในการเห็นฟิลลิปป์อย่างที่เขากำลังกังวล นั่นทำให้ความอึดอัดในความคิดของเด็กหนุ่มคลายตัวลงบ้าง
งานฉลองนั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้มอย่างแท้จริง
กาลเวลาไหลผ่านไปอย่างช้าๆ แขกคนแล้วคนเล่าค่อยๆทยอยเดินกันออกไปเมื่อใกล้ค่อนคืนเต็มที ฟิลลิปป์เองก็เช่นกัน เขาคิดว่าการอยู่ร่วมงานจนถึงกล่าวปิดท้ายเป็นสิ่งที่ดี แต่ความง่วงงุนครอบงำเขามากเกินไป รวมถึงการดื่มของมึนเมาด้วยยากจะปฏิเสธเข้าไปบ้างส่วน ทำให้ภาพตรงหน้าของเด็กหนุ่มเริ่มบิดเบี้ยวมึนงง หากมากกว่านี้เขาคงเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว
อัศวินสีเงินประคองเขาขึ้นอาชาไนยสีขาวเหลือบเงินอย่างช้าๆ ก่อนสายลมอันไหวรุนแรงจะทำให้คนสะลึมสะลือรู้ว่าพาหนะเริ่มเคลื่อนที่ แขนด้านหนึ่งของซิลเวอร์โอบเขาไว้อย่างแนบแน่น แม้จะมากเป็นพิเศษเพราะรู้ว่าตอนนี้สติของเขาไม่ครบถ้วนเท่าไหร่นัก ไม่เป็นไร ความอบอุ่นแบบนี้เขาเองก็ชื่นชอบไม่น้อย
“คืนพรุ่งนี้เราจะได้พบกันเหมือนเดิมใช่ไหม” ฟิลลิปป์ถามเบาๆ “ได้พบกันเหมือนเช่นเคย...เหมือนตลอดเวลาที่ผ่านมา”
รอยยิ้มประหลาดของเด็กหนุ่มปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน “ไม่เพียงแค่คืนต่อไป แต่อาจจะเป็นรุ่งอรุณนี้เลยก็เป็นได้ การพบกันของเราขึ้นอยู่กับกำหนดการจากองค์...ท่านพ่อ”
กำหนดการ...? ศีรษะที่เอนอิงอยู่ของจิตรกรหนุ่มถอยห่างจากร่างนั้นเล็กน้อย เพื่อมองใบหน้าของผู้กล่าวอย่างฉงนใจ การพบพานของพวกเขาต้องได้รับการอนุญาตจากองค์ราชาเป็นครั้งคราวงั้นหรือ จะเป็นเช่นนั้นก็คงไม่แปลก เขาไม่ได้ถอดหน้ากากใคร เพียงแค่ได้พบกันในวันนี้ก็นับว่าเป็นความปรานีอย่างมากมายแล้ว
แต่กำหนดการที่ซิลเวอร์หมายถึง...ไม่ใช่เรื่องเวลาในการนัดพบอย่างที่อีกฝ่ายเข้าใจ
“เจ้าคิดว่าส่วนหนึ่งที่ตนเองไม่อาจถอดหน้ากากของข้า ทำให้ข้ากลายเป็นสามัญชนทั่วไปเพื่อออกเดินทางไปด้วยกัน นั่นคือความหวั่นเกรงว่าข้าจะไม่สามรถอดทนต่อความเปลี่ยนแปลงได้ใช่หรือไม่”
เขาอดยอมรับไม่ได้ว่านั่นคือหนึ่งในสาเหตุหลัก เกือบจะเทียบเท่าเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างองค์ทั้งสองกับซิลเวอร์ แม้จะเป็นเจ้าชายที่ผู้คนแทบไม่รู้จักหรือมีการเอ่ยนามในฐานะสำคัญ การดำรงอยู่ของเขาก็เหนือกว่าคนธรรมดามาก หากว่าองค์ราชินีดูแลเขาอย่างดีเสมอมา โดยไม่เผลอละเลยอย่างที่ผ่านมา สาเหตุนี้ยังคงเป็นสิ่งที่ทำให้เขาเลือกที่จะไม่ปลดเครื่องปิดบังสีเงินนั้นอยู่ดี
เสมือนองค์ราชาจะเข้าใจถึงความคิดนี้ หรืออาจจะไม่ต้องการปล่อยให้บุตรชายเดินทางไป โดยไม่รู้ว่าภายภาคหน้ายังสามารถพบพานกันอีกหรือไม่ พระองค์จึงใช้สิ่งที่ฟิลลิปป์เลือก นั่นคือการปิดบังตัวตนจริงของคนรักต่อไป ในการมอบสิ่งนี้แก่พวกเขาทั้งสอง
“ข้าจะได้เดินทางท่องไปในดินแดนต่างๆอย่างอิสระ เพื่อสานสัมพันธไมตรีกับอาณาจักรอื่น” อัศวินสีเงินกล่าวขึ้นมาอย่างอ่อนโยน “หากเป็นเช่นนี้ เราสามารถทำให้ความฝันของเจ้าเป็นจริง นั่นคือเดินทางเพื่อวาดรูปสิ่งแปลกใหม่ได้อย่างไม่จำกัด จริงอยู่ที่อาจจะต้องเกี่ยวข้องกับการพบปะชนชั้นสูงอยู่บ้าง แต่ข้าจะจัดการให้เจ้าไม่ต้องพบกับผู้คนเหล่านั้นได้...คู่ชีวิตของข้า เจ้าจะยินยอมได้ไหม”
ศีรษะของฟิลลิปป์เอนอิงร่างของคนรักอีกครั้งอย่างผาสุก และนั่นคือความหมายต่อการเดินหมากรุกขององค์ราชินีในค่ำคืนนั้นงั้นรึ...? โอ...ดูเหมือนว่าคงไม่ใช่แค่เขาเท่านั้นที่สื่อความนัยออกมา
“ข้าเคยปฏิเสธคำขอแต่งงานของท่าน เพราะในวันนั้นท่านบอกให้เราออกเดินทางไปด้วยกัน ซึ่งท่านทราบดีว่าข้าไม่มีทางยินยอมให้ทุกอย่างวุ่นวายอยู่เบื้องหลัง และในคืนที่เราได้เข้าสู่พิธีวิวาห์ต่อกัน นั่นคือท่านที่กล่าวว่าจะเดิมพันกับองค์ราชาเพื่อให้ได้พบกันอีกครั้ง หากว่าองค์ทั้งสองยินยอมทำตามความต้องการของข้า ทุกอย่างคงจบลงด้วยดีเป็นแน่” เรียวแขนของเด็กหนุ่มโอบกอดคู่ชีวิตอย่างรักใคร่ “ท่านทำทุกอย่างเพื่อข้ามากมายเหลือเกิน...ซิลเวอร์ แล้วข้าจะปฏิเสธคู่ครองของตนเองได้อย่างไร”
แสงจันทร์ฉายส่องลงมาอย่างสว่างไสวในคืนแรมสองค่ำ แม้นว่าเสี้ยวของสิ่งนั้นจะลดลงไปถึงสองคืนแล้วก็ตาม เส้นทางทุกอย่างกลับเปิดออกอย่างงดงาม ดั่งอวยพรแด่คนทั้งสองเหมือนเช่นเคย พวกเขาได้เดินทางมาจนถึงใจกลางอย่างงดงาม เส้นทางต่อไปอาจจะไม่รู้ว่าจุดหมายเป็นเช่นไร หรือการเดินทางต่อไปในสวนวงกตอันวกวนแห่งการอยู่ร่วมกันจะเป็นเช่นไร แม้จะเป็นเช่นนั้น...
‘แค่เพียงมือของเรายังคงจับกันไว้เสมอก็เพียงพอ’
เจ้าชายก้มลงมองใบหน้าอันไร้สติของคนรักด้วยรอยยิ้ม เกรงว่าของมึนเมาเพียงเล็กน้อยจะมีผลไม่น้อย อาชาไนยสีขาวเหลือบเงินชะลอความเร็วชั่วครู่ คล้ายกำลังลังเลใจว่าการวกกลับไปยังปราสาทจะเป็นการดีกว่าหรือไม่ เพราะเขาอยากจะโอบกอดอีกฝ่ายไว้ทั้งคืนท่ามกลางแสงอันสว่างไสวนี้ แต่มันคงไม่เป็นการดี หากว่านั่นเป็นการรุกล้ำโดยพลการเป็นครั้งที่สอง ถึงอย่างไร เขาก็ไม่เคยได้รับการเชื้อเชิญให้เข้าไปสักครั้ง
เสียงของผู้ที่น่าจะเข้าสู่ห้วงนิทราเอ่ยแผ่วเบา “งั้นข้าจะเชิญท่านในคืนนี้ ให้ข้าได้อยู่ในอ้อมกอดของท่านจนดวงตะวันจะสาดส่อง...ได้หรือไม่”
“หากในอรุณรุ่งเจ้าจะตื่นขึ้นมาอย่างมึนงง เมื่อพบข้าอยู่ข้างกายในที่แห่งนั้น หวังว่าเจ้าคงจะไม่เอ่ยอ้างว่านั่นเป็นเพียงฤทธิ์ของเครื่องดื่ม” ซิลเวอร์ปรากฏรอยยิ้มกริ่ม “เพราะทุกสิ่งอย่างในคืนนี้คือการตอบ ‘ตกลง’ ของเรา”
สิ่งที่คนรักของอัศวินสวมหน้ากากหลงเหลือไว้ให้ มีเพียงจดหมายฉบับสั้นๆอันเด็ดเดี่ยวแน่วแน่พาดผ่านตัวอักษร ช่างสมกับเป็นคนคนนี้เหลือเกิน เปลือกภายนอกอาจจะดูอ่อนแอบอบบาง หากแต่จิตใจกลับมั่นคงเสียจนคู่สมรสอย่างเขายังอดยิ้มอย่างขมขื่นให้ตนเองไม่ได้
ดวงจันทราอันสว่างไสวอย่างเต็มที่ในคืนที่แล้ว กลับถูกเสี้ยวแรมหนึ่งกัดกินให้น้อยลง แต่สำหรับอัศวินสีเงินผู้ใช้เวลาทั้งวันคืนเพื่ออยู่ในห้องของคนรัก ซึ่งยังไม่หวลกลับมายังที่แห่งนี้ แม้ว่าดวงตะวันจะฉายส่องและไหววูบลงถึงสามคำรบ จะมีก็เพียงคำปลอบโยนจากผู้ใกล้ชิดเพียงเท่านั้น
เจ้าหญิงไดอาน่าปรากฏความไม่สบายใจออกมาอย่างชัดเจน ตัวนางเองไม่สามารถเข้ามาช่วยให้กำลังใจพี่ชายได้มากนัก ผู้คนที่เกี่ยวข้องก็วุ่นวายอยู่กับพิธีวิวาห์และการต้อนรับคนจากโอเทล์ม ช่างสมใจเขาเหลือเกิน...เพราะเด็กหนุ่มไม่ต้องการให้ใครเข้ามาเพื่อปลอบโยนใดๆ หรือกล่าวถึงสตรีแสนสวยนางใด ผู้สามารถสร้างความสุขให้เขาก้าวต่อไปอย่างมั่นคง สิ่งเดียวที่เขาต้องการคือใบหน้าประหลาดใจของกุหลาบงามดอกนั้น ซึ่งเปิดประตูเข้ามาพบว่าเจ้าชายไม่ได้ปกปิดใบหน้าไว้แต่อย่างใด ใบหน้าที่แท้จริง...
ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นอายบนผืนผ้าหรือดวงหน้าอันตื่นขึ้นมารับแสงยามเช้า หากคืนไหนเขาไม่ได้พบกัน เด็กหนุ่มมักจะล่วงเข้ามาในห้องนี้เพื่อพบพานภาพนั้นอยู่เสมอ ทั้งกริยา น้ำเสียง หรือปลายนิ้วสัมผัสในจุดต่างๆ ซิลเวอร์จดจำมันได้ทั้งสิ้น เสียงหัวเราะ เสียงพูดคุย บทสนทนาที่มีต่อโคเรนซ์ในห้องอันเปี่ยมความทรงจำนี้
เขาไม่อยากออกไปพบกับสิ่งมากมายที่ได้ประดับประดา ทั้งสายรุ้งหรือแถบผ้าหลากสีที่ประดับประดาสวนอย่างมีชีวิตชีวา ซิลเวอร์รู้สึกว่านั่นไม่ใช่สถานที่ซึ่งพวกเขารู้จัก เพราะสวนในปราสาทจะต้องเงียบสงบ มืดตามยามวิกาลอันเป็นปกติ ไม่สว่างไสวอย่างในทิวาอันคราคร่ำไปด้วยผู้คน หรือกระทั่งกลางราตรีเช่นนี้ ของประดับประดาถูกจัดวางไว้สำหรับพิธีในวันพรุ่งนี้ งานเลี้ยงวิวาห์ที่แสนสนุกสนาน เปี่ยมด้วยรักและความสุข
อัศวินสีเงินหวังว่าเจ้าชายจากต่างแดนจะไม่ทำให้ไดอาน่าต้องผิดหวัง แต่ไหนแต่ไรมานางไม่เคยเปิดใจให้ใคร ซ้ำยังหลงใหลอยู่กับความงดงามอ่อนหวานในฝันรักอันถูกแต่งเติมขึ้นมา นางจะทานรับกับอุปสรรคต่างๆระหว่างก้าวผ่านวงกตได้หรือไม่ ใช่ว่าการก้าวเข้าสู่ใจกลางเพื่อวิวาห์จะเป็นจุดยุติของขวากหนามทั้งมวล
เป็นครั้งแรกที่ซิลเวอร์รู้สึกสมเพชตนเองยิ่งนัก เขาห่วงใยนางในฐานะของน้องสาวกระนั้นรึ...? บางทีสิ่งที่คนรักของเขาพยามจะกล่าวมาโดยตลอด อาจจะไม่ใช่ข้อเท็จเพียงอย่างเดียวก็เป็นได้ ในขณะเดียวกัน เขายอมรับว่าตัวเองอดอิจฉาในสิ่งที่นางโอบอุ้มไว้ด้วยมือทั้งสองไม่ได้ ทั้งอำนาจและพันธไมตรี ติดตามมาพร้อมกับเจ้าบ่าวผู้ซึ่งมอบควงามรักให้นางมาเนิ่นนาน ตัวเขากลับไม่อาจจะเหนี่ยวรั้งฟิลลิปป์ไว้ได้เลย ถึงครั้งก่อนเคยคิดหาญกล้าขึ้นมา คนอย่างเขารึจะต่อกรกับองค์ราชาได้ ในเมื่อพระองค์ ‘พิพากษา’ เรื่องราวลงมาแล้ว ทุกอย่างย่อมดำเนินไปตามนั้น
ไม่มีการเดิมพันใดอีก...ทุกอย่างจบลงอย่างง่ายดาย พร้อมกับความเสียใจในความมาดมั่นของเจ้าชายผู้หนึ่ง
เสียงเคาะประตูอย่างเป็นจังหวะเชิงขออนุญาตจากคนภายนอก ช่วยเรียกสติในห้วงคำนึงถึงคนรักของเขาได้เป็นอย่างดี เขาอยากรู้ว่าในค่ำคืนอันโดดเดี่ยวและเศร้าสร้อยนี้ ฟิลลิปป์จะกำลังโหยหาเขาเช่นเดียวกันหรือไม่ ต้องการให้อ้อมแขนนี้เข้าปลอบโยนไหม ถ้ากำลังหลับใหลอย่างสงบสุขก็คงจะดี เพราะเขาไม่อยากให้ใบหน้าแสนงามนั้นต้องเปื้อนด้วยสายน้ำจากนัยเนตรคู่สวย หรือปรากฏความหม่นหมองในแววตา
อาคันตุกะในค่ำคืนนี้คือองค์ราชาราชินี สตรีผู้สูงศักดิ์ยกมือขึ้นห้ามไม่ให้เขาลุกขึ้นจากเตียงนอนหนานุ่มเพื่อทำความเคารพ หากแต่เป็นตัวพระนางเองที่โน้มลงไปโอบกอด พลางส่งยิ้มอ่อนโยนไปให้บุคคลต่างสายเลือด การลูบศีรษะเบาๆนี้ราวกับกำลังปลอบประโลมบุตรน้อยในอุทร ช่างเป็นเรื่องให้ชวนคำนึงถึงเหลือเกินว่าครั้งสุดท้ายที่ทำเช่นนี้ เป็นเรื่องเมื่อสิบปีก่อนหรือไม่
“ข้าไม่เข้าใจ...พวกท่านต้องการสิ่งใดงั้นหรือ” ซิลเวอร์ขืนตัวออกจากอ้อมกอดนั้นด้วยความไม่คุ้นชิน แต่ไหนแต่ไร การกระทำเช่นนี้ไม่เคยอยู่ในความคิดของเด็กหนุ่มเลย เนื่องจากมันย่อมมีไว้สำหรับเจ้าหญิงเพียงผู้เดียว
องค์ทั้งสองสบตากันแล้วพร้อมใจกันส่งยิ้มให้กับเขา พระหัตถ์ขององค์ราชาไม่ได้ลูบอย่างอ่อนโยนเช่นราชินี หากแต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นไม่ผิดเพี้ยน พระองค์เหมือนจะขบขันต่อคำถามนั้นเหลือเกิน มากเสียจนสร้างความโกรธเล็กๆขึ้นในใจของผู้ที่กำลังงุนงง
“มีคนบอกว่าเจ้าไม่ยอมออกไปไหนมาจะครบสามวันแล้ว” นาฬิกาพกเรือนทองขององค์ราชาถูกเปิดออกดูอย่างรวดเร็ว “หากว่าเข็มชี้ที่เลขสิบสองเมื่อไร คงจะครบสามวันบริบูรณ์พอดี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้ายังคิดว่าพวกเราจะปล่อยให้เจ้าอยู่แบบนี้โดยไม่ห่วงใยได้เลยรึ? ท่านแม่ของเจ้าพร่ำบ่นอาคันตุกะทางสายตาจนเกือบเปล่งออกมาอยู่รอมร่อ ค่าที่พวกเขาเหล่านั้นช่างขวางไม่ให้มาพบเจ้ามากเหลือเกิน”
องค์ราชินีพยักหน้ายืนยันต่อคำพูดของผู้เป็นสามี พลางดึงเขาเข้ามาแนบอกของตนอีกครั้ง ทั้งคำพูดหรือการกระทำเหล่านี้ดูคล้ายกับครอบครับอบอุ่นในฝันของใครหลายคน หากแต่ผู้ที่กำลังได้รับคงไม่คิดเช่นนั้น เขาอดคิดไม่ได้ว่าสิ่งนี้คือการเดิมพันของผู้ใดหรือเปล่า องค์ทั้งสองที่ไม่เคยทำสิ่งเหล่านั้นไม่นานจนคล้ายจะลืมเลือนไป กลับมาปฏิบัติในคืนก่อนพิธีของเจ้าหญิงไดอาน่า ไม่แน่ว่าอาจมีสิ่งใดมอบหมายให้เขาทำก็เป็นได้
องค์ราชินีส่ายหน้าเบาๆ “เปล่าเลย...เราสองคนแค่อยากแน่ใจว่าเจ้าจะไม่คิดมากกับเรื่องที่เกิดขึ้น ถึงท่านพ่อของเจ้าจะกลับคำ ยกเลิกการเดิมพันครั้งนี้ เจ้าคิดว่าเด็กหนุ่มคนนั้นจะยินยอมงั้นรึ...? สิ่งเดียวที่เขาต้องการจากเราคือการดูแลเจ้า โปรดอย่าเข้าใจว่านี่คือการตอบรับต่อความต้องการนั้น เราเพียงแต่เพิ่งรับรู้ว่าได้ละเลยเจ้ามานานเพียงใด”
นานแค่ไหนแล้วหนอที่เจ้าชายในอ้อมกอดของนางนี้ไม่แสดงสีหน้าอันสับสนวุ่นวายออกมา ในเมื่อเขาเป็นเด็กหนุ่มที่เติบโตขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มอันไม่ยี่หระต่อสิ่งใด ทั้งยังช่วยดูแลน้องสาวเป็นอย่างดี มอบลหมายหน้าที่ก็ตอบรับอย่างแข็งขันไม่ปฏิเสธ หลายคราที่องค์ทั้งสองเผลอเข้าใจว่าตนกำลังออกคำสั่งกับอัศวิน หาใช่เจ้าชายอย่างที่เคยกล่าวไว้ นั่นทำให้ผู้เป็นมารดารู้สึกเศร้าใจนัก
ไดอาน่าเคยพยามเชื่อมเขากับพวกนางไว้ด้วยกันอยู่หลายครั้ง แต่การที่พระนางไม่สามารถตอบสนองต่อเจตจำนงนั้นได้เท่าที่ควร คงเป็นสาเหตุให้นางตัดสินใจละทิ้งความวุ่นวาย พาพี่ชายผู้คอยดูแลปกป้องตนมาโดยตลอดให้หลีกหนีจากความว่างเปล่าในปราสาทหลัก เมื่อคิดดูแล้ว...เกรงว่าธิดาของพระนางจะเข้าถึงการตัวตนของ ‘พี่ชาย’ มากกว่าองค์ทั้งสองที่มี ‘บุตรชาย’ ไม่ว่าบุตรนั้นจะเป็นสายเลือดแท้หรือมิใช่ก็ตาม ค่าที่ภาระหน้าที่ได้สรรค์สร้างห่อหุ้มเข้ามาตั้งแต่ต้น รวมทั้งการปิดบังการออดอ้อนหรือโอ้อวดความภาคภูมิของตนต่อบุพการี ถึงกระนั้น มันก็ไม่ใช่สาเหตุที่องค์ทั้งสองจะต้องสร้างความเปลี่ยวเหงาในใจดวงนี้มาตลอดสิบแปดปีเลย
ดวงตาของซิลเวอร์หลุบลง คล้ายจะไม่แน่ใจต่อสิ่งที่ได้เอ่ยกล่าว “ท่านทั้งสองโปรดวางใจ ข้าเพียงแค่อยากจะเฝ้ามองความทรงจำต่อผู้เป็นที่รักในที่นี้เท่านั้น เรื่องนี้ไม่คู่ควรให้พวกท่านต้องมาข้องเกี่ยว เป็นเพียงเรื่องเล็กๆไร้สลักสำคัญของข้า”
องค์ราชามองสิ่งที่ประดับเรียวนิ้วของเจ้าชายอย่างรวดเร็ว มันสร้างขึ้นจากการแกะคริสตัลให้การเป็นแหวน ล้อมรอบด้วยทองคำขาวอย่างงดงาม มันคงไม่ใช่สิ่งที่ควรค่าแก่การสังเกต หากมันเป็นเพียงการแลกของแทนใจทั่วไป ไม่ได้ประดับอยู่ในนิ้วนางซ้าย ไม่ไช่สัญลักษณ์แห่งการผูกพันการดุจกล่าวคำรักมั่นต่อหน้าเทพีเฮร่า พระองค์ควรจะล่วงรู้เรื่องราวของพวกเขาสองคน ก่อนจะกระทำสิ่งใดโดยด่วนตัดสินไป เช่นการเสนอสตรีเพื่อปลอบโยนหัวใจอันเศร้าสร้อยของเขา
องค์ราชินีมองตามสายตาของผู้เป็นคู่ครอง พลางสัมผัสเครื่องประดับสัญลักษณ์นั้นอย่างแผ่ว “โอ...” องค์ทั้งสองรับรู้อย่างแน่ชัดว่าที่เรียวนิ้วของเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่ง ย่อมมีสิ่งคล้ายกันนี้สวมไว้อย่างแน่นอน เพียงแต่มันเกิดขึ้นเมื่อไรกัน ไยจึงไม่มีใครรู้เรื่องมาก่อนเลย
ยิ้มของซิลเวอร์เต็มไปด้วยความหม่นหมองกับวาจานั้น ไม่มีใครล่วงรู้และสูญหายไปในกาลเวลาของราตรี นั่นคือทุกสิ่งที่ถูกลิขิตมาเพื่อพวกเขากระนั้นหรือ
“คนที่เจ้ารักและดูแลเจ้าแทนพวกเรามาโดยตลอด เขาเป็นคนอย่างไรรึ” องค์ราชากล่าวเสียงทุ้มนุ่ม "เขาใจดีมากเพียงไร อ่อนโยนมากเพียงไหน บอกมาที...ลูกข้า”
ซิลเวอร์ทวนคำกล่าวนั้นเบาๆคล้ายไม่แน่ใจในสิ่งที่ตนได้ยิน หากแต่รอยยิ้มอันมาดมั่นขององค์ราชินีส่งมาพร้อมกับบางสิ่งที่ชวนให้เชื่อใจ “ลูกของข้า...ลูกของเรา”
โดยไม่ทันรู้ตัว คล้ายหยดน้ำตาของเด็กหนุ่มจะหลั่งออกมาอย่างช้าๆ ตอบรับต่ออ้อมกอดนั้นพร้อมน้ำเสียงอันสั่นเครือ “เขาเป็นคนใจดี เป็นคนที่ข้ารัก และยังเป็นคู่ชีวิตผู้เดียวของข้า ข้าคิดถึงเขาเหลือเกิน...ท่านพ่อ ท่านแม่”
เสี้ยวแรมอันครอบงำดวงจันทราทีละน้อยได้ผ่านไปอย่างเงียบงัน พร้อมกันนั้น หนึ่งราตรีได้ถูกแทนที่ด้วยรุ่งอรุณคราใหม่
กลิ่นหอมบางอย่างเป็นตัวปลุกให้ซิลเวอร์ตื่นขึ้นจากนิทรา โอ...วันนี้เขาต้องเข้าร่วมพิธีวิวาห์ของไดอาน่า การเข้าไปในปะรำพิธีช้าคงจะไม่ดีแน่
ผู้ที่นำอาหารเข้ามาหาใช่นางกำนัลอย่างทุกวัน แต่เป็นบุคคลที่ถูกเขายืมชื่อมาเนิ่นนาน ถึงแม้ว่ามันจะไร้ผลก็ตาม อย่างน้อยครั้งหนึ่งพวกเขาทั้งสองก็ได้พูดคุยกันอย่างสบายใจ ชื่อที่เรียกจะเป็นอย่างไรก็ไม่สำคัญ เดิมทีนามอันแท้จริงของเขาก็ไม่เคยถูกเรียกขานมาก่อนไม่ใช่หรือ? รอยยิ้มของเขาปรากฏความขื่นขมในทันทีทันใด ไม่ว่าจะเป็นใบหน้าหรือชื่อเสียงเรียงนาม ในความทรงจำของฟิลลิปป์จะเหลือสิ่งใดไว้บ้างหนอ สุดท้ายแล้ว เขาจะกลายเป็นเพียงคนรักผู้ไร้ตัวตนเท่านั้นเองรึ
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกพะยะค่ะ” โคเรนซ์กล่าวงปลอบต่อคำพึมพำนั้น นั่นทำให้อัศวินสีเงินเพิ่งรู้ว่าตนเผลอกล่าวความในใจออกมา
แม้จะเก็บตัวอยู่ภายในถึงสามวันด้วยกัน นี่ก็เป็นครั้งแรกที่พวกเขาสองคนได้เอ่ยปากทักทายกัน เนื่องจากหน้าที่การนำอาหารเข้ามาภายในควรจะเป็นของนางกำนัลคนใดคนหนึ่ง มิใช่ทหารยามหน้าห้องซึ่งมีหน้าที่คุ้มกันความปลอดภัย ดังนั้น การที่โคเรนซ์เข้ามาที่นี่จึงค่อนข้างผิดปกติพอสมควร
ทหารคนนั้นโค้งกายลงเล็กน้อย “ขออภัยฝ่าบาท เดิมทีคนที่ทำหน้าที่นี้คือคนรักของข้าพระองค์เอง เพียงแต่วันนี้ดูเหมือนว่ามือของนางจะได้รับบาดเจ็บ ข้าพระองค์จึงอาสานำมื้อเช้าเข้ามาด้วยตนเองพะยะค่ะ”
เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าโคเรนซ์มีคู่รักเช่นกัน นางจะเป็นคนอย่างไรกันหนอ เขาไม่เคยสนทนากับนางกำนัลที่นำอาหารเข้ามาในวันก่อนเลย นางเองก็ไม่เคยพูดคุยหรือเป็นฝ่ายเอ่ยทักทาย เพียงแต่ปฏิบัติหน้าที่ตามมอบหมายเท่านั้น ข้าราชบริพารส่วนใหญ่ก็ดำเนินชีวิตเช่นนี้ มีไม่กี่คนที่เป็นฝ่ายเอ่ยทักทายเจ้าชายเจ้าหญิงก่อน
ใบหน้าของทหารองครักษ์เหมือนจะเผยความพอใจออกมาอย่างเงียบงัน ระหว่างการเล่าถึงสตรีผู้อ่อนหวานและงดงามคนนั้น พลางกล่าวถึงเจ้าของห้องตัวจริงว่าคงจะเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน น่าเสียดายที่เขาไม่ล่วงรู้รายละเอียดนัก เพียงแต่แววตาอันอ่อนโยนของฟิลลิปป์แสดงตัวตนออกมาได้ทั้งหมด
“แน่นอน...เขาอ่อนโยนแล้วก็ใจดีมาก” ซิลเวอร์ยิ้มออกมาบางเบา “เจ้าน่าจะเข้าใจในตอนที่ได้พูดคุย”
ทหารหน้าห้องตอบรับอย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะไม่เคยสนทนากันอย่างจริงจัง แต่ส่วนใหญ่ฟิลลิปป์มักจะกล่าวอรุณสวัสดิ์กับพวกเขาทั้งสองเสมอ แค่เพียงการทักทายตามธรรมชาติกลับสื่อถึงตัวตนของคนคนนั้นออกมาอย่างชัดเจน เพราะโดยปกติมักจะไม่มีใครสนใจทหารหน้าห้องอย่างพวกเขานัก
“เขาไม่เคยพูดคุยกับพวกเจ้าหรอกรึ” ซิลเวอร์อดตั้งคำถามนี้ขึ้นมาไม่ได้ หลังจากที่ตนได้โอบกอดใกล้ชิดกับคนรัก บางครั้งก็กังวลใจเหลือเกินว่าฟิลลิปป์ผู้ไม่รู้เรื่องอะไร จะเข้าไปใกล้ชิดกับเจ้าของนามตัวจริง แต่จากคำบอกเล่าของโคเรนซ์ จะมีเพียงคำทักทายและรอยยิ้มที่เป็นมิตร หรือหากจะลองสนทนากันสักสองสามประโยค คนรักของเขาก็ไม่ได้มอบความใกล้ชิดมากมายนัก
ซิลเวอร์กัดริมฝีปากของตนเบาๆคล้ายไม่มั่นใจในคำถาม “เขาเคยพูดอะไรเกี่ยวกับคนรักหรือไม่ หรือแม้แต่...พูดถึงข้า”
ไม่มีท่าทีหรือเค้าความลังเล ทหารยามหน้าห้องตอบอย่างตรงไปตรงมาว่าบทสนทนาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ส่วนตัวไม่เคยปรากฏมาก่อนเลย เมื่อได้รับฟังเรื่องราวโดยปิดบังหลายส่วนของเจ้าชาย โคเรนซ์เองก็อดประหลาดใจไม่ได้ หากว่าเจ้าชายในนามของตนสนิทสนมกับฟิลลิปป์ถึงเพียงนั้น ไยการโต้ตอบกับเขาตัวจริงจึงดำเนินไปอย่างธรรมชาติ ไร้ซึ่งการพูดคุยอย่างใกล้ชิดเช่นนั้น
องค์ราชินีก้าวเข้ามาเพื่อดูว่าบุตรชายเตรียมตัวพร้อมหรือไม่ ทว่า สุดท้ายกลับมอบหน้ากากสีเงินอันคุ้นเคยให้ซิลเวอร์ ก่อนที่เขาจะใช้อาชาสีขาวเหลือบเงินคู่ใจควบทะยานเพื่อไปยังหมู่บ้านแห่งนั้น ซึ่งพระนางได้ตอบต่อความงุนงงในแววตานั้นพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น “ให้เขาถอดหน้ากากนี้ด้วยตนเองดีกว่า อย่างน้อยเขาก็ล่วงรู้ถึง ‘ความจริง’ มาตั้งแต่ต้น”
สตรีผู้สูงศักดิ์รวบตัวเขาเข้ามากอดอีกครั้งหนึ่ง เด็กน้อยในวันวานที่เคยถูกกอดปลอบเช่นนี้ ในตอนนั้นยังไม่รู้ความใดมากมาย แต่ในตอนนี้กลับมุ่งมั่นในการไปหาคนคนนั้นเหลือเกิน องค์ราชินีไม่ทราบว่าควรจะดีใจหรือโมโหในตัวของฟิลลิปป์ เมื่อเรื่องปรากฏออกมาเป็นเช่นนี้ คนสำคัญของเขาก็ไม่ใช่นางหรือว่าองค์ราชาและไดอาน่าอีกแล้ว
“พวกท่านทั้งสามยังเป็นคนสำคัญของข้าเสมอ” เขายิ้มให้กับพระนางอย่างจริงใจ ก่อนจะผลุนผลันออกไปเพื่อพูดคุยกับคนรัก โดยไม่สนใจสายตาค้อนกึ่งขบขันขององค์ราชินี ไหนว่านางเป็นคนสำคัญอย่างไนเล่า น่ากลัวว่าคงน้อยกว่าเด็กหนุ่มผู้นั้นกระมัง
การเดิมพันจะระบุไว้เช่นไรก็ตาม เมื่อเกิดเรื่องนอกกฎเกณฑ์ขึ้น สิ่งเดิมพันเองก็ไม่ควรจะมั่นคงดังเดิม
องค์ราชินีมองการทำความเคารพตามหลังพระนางมาด้วยรอยยิ้ม หน้าที่ทั้ง ‘สองสิ่ง’ ของเขาได้จบลงอย่างสมบูรณ์ การที่ฟิลลิปป์สร้างระยะห่างระหว่างตัวจริงและตัวปลอมไว้ นับว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ไม่ใช่น้อยเลย เพียงแต่ตอนนี้คงต้องหวังว่าบุตรชายผู้คิดมากของนางจะทำอะไรทันการ ไม่มาร่วมพิธีสำคัญของน้องสาวสายมากจนเกินไปนัก
ไม่มีใครทราบว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง แต่พวกผู้ใหญ่ในหมู่บ้านราวกับเดาใจของเขาออก หลายครั้งที่พวกเด็กๆจร่ำร้องจะฟังนิทานเฉกเช่นเคย พวกเขาจะเตือนไม่ให้พูดถึงเรื่องของบุรุษปริศนาหรือความเป็นอยู่ในปราสาท ด้วยเกรงว่าความเศร้าอันถูกปิดบังไว้ด้วยรอยยิ้มเรียบง่าย จะถูกเปิดออกด้วยความไร้เดียงสาของเด็กน้อยทั้งหลาย
ทางด้านผู้ได้รับการเป็นห่วงเองก็เพิ่งได้รับข่าวสารบางอย่าง ดูเหมือนว่าแมดดิน่าจะได้รับการรักษาจากแพทย์หลวง แม้อาการทางประสาทจะยังไม่ค่อยคืบหน้าเท่าใดนัก หลายสิ่งอย่างก็ดูเหมือนจะเริ่มดีขึ้นมาทีละน้อย เขาพอจะเข้าใจว่านี่คงเป็นฝีมือของไดอาน่า เพราะซิลเวอร์ไม่เคยพบกับหญิงสาวผู้นี้โดยตรงมาก่อน ย่อมไม่มีทางล่วงรู้และยื่นมือเข้าช่วยในการรักษา
แววตาของจิตรกรหนุ่มหม่นหมองยิ่งกว่าเมฆครึ้ม ผิดกับท้องฟ้าที่อากาศแจ่มใสราวกับจะเสียดสี เต็มไปด้วยคำร่ำลือของคนในหมู่บ้านเกี่ยวกับข่าวอันน่ายินดี ทั้งการผูกมิตรและพิธีวิวาห์ กระทั่งสถานที่อันไม่ค่อยจะยุ่งเกี่ยวกับราชวงศ์นัก ยังแพร่กระจายข่าวนี้ได้อย่างรวดเร็ว ไม่แน่ว่าทั้งอาณาจักรอาจกำลังรื่นเริงกับการยุติสงครามอยู่ก็เป็นได้ เพราะช่วงก่อนนี้มีข่าวลือเกี่ยวกับข่าวบาดหมางเหล่านี้ไม่น้อย ประชาชนทั้งหลายต่างวิตกกันมากทีเดียว
เสียงของเด็กน้อยใหญ่เรียกสติเขาคืนมาจากความหม่อลอย หากเป็นทหารซึ่งทำหน้าประกาศเรื่องของเจ้าหญิง ทุกอย่างก็กระจายอย่างทั่วถึงแล้วมิใช่หรือ ถึงหมู่บ้านแห่งนี้จะค่อนข้างเก็บเงียบอยู่ภายใน ต่างจากสถานที่อื่นอย่างน่าประหลาดใจ แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของโลนอนซ์ ไม่มีทางจะตกหล่นข่าวสารนี้ไปได้
ทว่า...ผู้ที่ปรากฏตัวกลับไม่ใช่กองป่าวประกาศ กลับเป็นเด็กหนุ่มสวมหน้ากากในชุดอันเลิศหรูผิดตา คล้ายว่ากำลังจะเข้าร่วมงานเลี้ยงใดสักแห่ง ซึ่งคำตอบนั้นเขารู้ดีอยู่แก่ใจ
ผู้คนเริ่มหยุดสิ่งที่กระทำแล้วหันมาเพื่อดูธุระของเด็กหนุ่มคนนั้น แต่ฟิลลิปป์ตัดสินใจปิดประตูร้านเขียนภาพของตนอย่างรวดเร็ว ก่อนจะทรุดลงท่ามกลางกลิ่นสีในห้องวาด เขาแพ้พนันและไม่ควรพบหน้าอีกฝ่ายเลย อย่างน้อย องค์ราชาราชินีก็น่าจะตอบรับความต้องการของเขาได้มากพอ ฟิลลิปป์หลับตาลง ปล่อยให้หยดน้ำตาหลั่งไหลจนโดนกับแหวนที่นิ้วนางซ้ายโดยไม่รู้ตัว ไม่ใช่แค่เพียงร่างกาย...ความรู้สึกของเขาเริ่มชาขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก อาจเพราะหลายวันมานี้เขาไม่ค่อยได้ลิ้มรสอาหารเท่าใดนัก
อ้อมกอดอันคุ้นเคยโอบรัดเขาจากด้านหลัง เรียกความประหลาดใจอย่างที่สุดจากเจ้าของร่าง เขาจำได้ว่าปิดล็อกทางเข้าอย่างแน่นหนา อัศวินสีเงินไม่น่าจะเข้ามาได้...?
“ไม่ว่าอะไรก็ขวางเราไม่ได้อีกแล้ว” ซิลเวอร์กล่าวอย่างมาดมั่น ก่อนพิศดวงหน้าขาวซีดนั้นด้วยความตกใจ เมื่อร่างในอ้อมกอดนั้นอ่อนแรงและหมดสติลง
ตะวันเริ่มบ่ายคล้อยลง แสงสีส้มแดงพาดผ่านท้องฟ้ายามเย็น แม้ว่าจะต้องห้ามความสนอกสนใจของคนภายนอกหลายครั้งครา คนรักของเขาก็ไม่ฟื้นขึ้นมาสักที ไม่จำเป็นต้องใช้แพทย์คนใดมาวินิจฉัย เขาก็พอจะล่วงรู้ถึงความอ่อนเพลียในดวงหน้าหวานสวย ทำไมเขาถึงไม่รู้เรื่องนี้ให้เร็วกว่านี้กันหนอ
ในระหว่างควานอาทรร้อนใจนั้นกำลังสุมอกของเจ้าชาย คนที่ถูกเฝ้ารอต่อการตื่นขึ้นก็เริ่มได้สติทีละน้อย สถานที่แห่งนี้คือห้องนอนแห่งเดิมของเขา บางทีสิ่งที่เกิดขึ้นอาจเป็นเพียงความฝัน โอ...ใช่ เมื่อครู่เขาฝันว่าตนเองได้พบกับคนรักอีกครั้ง แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน เพราะเขาไม่ได้บอกคำตอบหรือถอดหน้ากากของใครเลย แม้แต่กับโคเรนซ์ตัวปลอมคนนั้น
สัมผัสของใครบางคนแล่นตั้งแต่ปลายนิ้วเข้ามาจนทาบกุมฝ่ามือเขาไว้แนบสนิท สุ้มเสียงเปี่ยมด้วยความห่วงใยนั้นยืนยันว่าทุกอย่างไม่ใช่เรื่องโกหก
คำแรกในการพูดคุยของพวกเขาคือ... “ท่านไม่ควรมาที่นี่”
และคำตอบสำหรับคำกล่าวนั้น... “ทำไมข้าจึงไม่มีสิทธิ์มาพบคู่ชีวิตของข้ากัน?”
อาหารกลิ่นหอมกรุ่นถูกยกมาวางตรงหน้าอย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้ที่เพิ่งฟื้นปฏิเสธต่อสิ่งทั้งหลายเต็มที่ กลับก่อนที่เขาจะมีน้ำตาทีเถิด มันล้นจากหัวใจจนแทบจะหลั่งไหลออกมาอยู่รอมร่อ และเขาไม่อยากให้มันมีบทบาทออกมาตอนนี้...ต่อหน้าคนตรงหน้า
“เจ้าคงไม่ค่อยได้ทานอาหารในช่วงนี้ ใบหน้าของเจ้าซีดเซียว ร่างกายก็ผอมบางลง” ซิลเวอร์กล่าวอย่างห่วงใยแล้วยกมือคู่นั้นขึ้นกอบกุม “แต่จากนี้ไป ข้าจะเป็นคนคอยดูแลเจ้าเอง ไม่ต้องร้องไห้อีกแล้ว...ไม่อีกต่อไป”
“ผู้ที่ท่านควรห่วงใยไม่ใช่ข้าอีกต่อไป” ฟิลลิปป์ก้มหน้าลง “องค์ราชินีเป็นอย่างไรบ้าง พระนางดีต่อท่าน...”
“มากเท่าที่ข้าปรารถนา ครั้งนี้ไม่ใช่คำพูดเลื่อนลอยอย่างเมื่อสามเดือนก่อนอย่างแน่นอน" เจ้าชายเอ่ยคำหนักแน่น ยืนยันว่าตนไม่ได้โกหก “แต่ฟิลลิปป์ ทำไมคนที่ข้ารัก คนที่เป็นคู่ครองของข้า คนที่ยินยอมรับคำขอวิวาห์ของข้า ไยต้องพยามหลบเลี่ยงทุกสิ่งระหว่างเรา แม้แต่หน้ากากในนามของโคเรนซ์ เจ้ายังไม่เคยจะเปิดมันออกเลย”
มือที่ถูกกอบกุมของเด็กหนุ่มได้เอื้อมไปปลดสิ่งปิดบังสีเงินอันนั้นตามการควบคุมของเจ้าชาย เผยใบหน้าอันแท้จริงระหว่างกันเป็นครั้งแรก
นัยเนตรสีม่วงงดงามคู่นั้นค่อยๆปิดลง ในขณะที่ริมฝีปากสัมผัสได้ถึงความนุ่มนวลเล้าโลม ร่างกายนั้นถูกสัมผัสประคองดุจของล้ำค่าอันเปราะบาง ไม่ว่ามันจะเนิ่นนานมากเพียงไร สรรพสิ่งรอบกายคล้ายจะโปร่งใสและหยุดยั้งห้วงเวลาไว้กับความเย้ายวนของภาพนั้น
กาลเวลาผ่านเลยจนสีสันของท้องฟ้ามืดครึ้มลง อาชาสีขาวเหลือบเงินหยุดลงตรงหน้าปราสาทหลัก ผู้คนทั่วอาณาบริเวณล้วนแต่เป็นชนชั้นสูงและข้าราชบริพาร จึงไม่น่าแปลกอะไร หากพวกเขาจะรู้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้เป็นใคร แต่ผู้ถูกประคองให้ก้าวลงนั้นเล่า แม้จะสวมชุดให้ดูเลิศหรูคล้ายอยู่ในชนชั้นเดียวกัน น้อยคนนักจะได้รับการแนะนำอย่างชัดเจน ในทางกลับกัน คนที่ได้ยินเพียง ‘ข่าวลือ’ กลับมีมากกว่าหลายเท่านัก
ฟิลลิปป์ไม่ค่อยมั่นใจในสายตาที่มองมุ่งตรงมาเท่าไหร่นัก ถ้าไม่ได้คำปลอบโยนแผ่วเบาจาดคนข้างกาย เขามาในฐานะของคู่ครองเจ้าชายแห่งโลนอนซิลและไม่จำเป็นต้องกังวลต่อใครอีกต่อไป หารู้ไม่...ในใจของเด็กหนุ่มยิ่งกลัวเสียยิ่งกว่าเดิม นั่นเพราะเขาเคียงข้างอย่างเป็นทางการ ไร้ซึ่งหน้ากากปกปิดว่าอัศวินสีเงินเป็นใครอย่างไรเล่า หวังว่าการมาที่นี่คงไม่ทำให้ผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายต้องขายหน้า
เมื่อก้าวเข้ามาในงานเลี้ยง สิ่งประดับล้ำค่าล้วนแต่งดงามและยิ่งใหญ่ ไม่แพ้การจัดแต่งในงานเลี้ยงของราชินีอะเล็ตก้า ทั้งช่อดอกไม้สีขาวบานสวยหรือแถบผ้าแสนสวยมากมาย อาณาบริเวณโดยรอบกว้างขวาง แต่ผู้คนยังคงกระจัดกระจายกันอยู่เกือบทุกส่วน
ไม่เพียงแค่สถานที่ ซิลเวอร์จูงมือเขาเข้าไปหาคู่เอกของงานเลี้ยงอย่างรวดเร็ว ณ ที่นั่นปรากฏร่างของชายหญิงคู่หนึ่ง ซึ่งเจ้าหญิงสวมชุดสีขาวสวยงาม ปักลายด้วยด้ายสีชมพูสลับฟ้าสวยงาม นางเรียกชายหนุ่มข้างกายเบาๆเพื่อแนะนำให้รู้จักกับผู้ที่ตรงเข้ามา แม้ว่าโอซิลริสจะทำความรู้จักกับพี่ชายของนางมาก่อนหน้านี้ เขาก็ยังไม่เคยพูดคุยกับฟิลลิปป์อย่างเป็นทางการเท่าไหร่นัก
“ข้าขอโทษที่พลาดงานช่วงเช้าไป” เจ้าชายกล่าวกับไดอาน่าด้วยสีหน้ารู้สึกผิด หลังได้กำหนดการแน่นอน นางย้ำให้เขาร่วมงานอยู่หลายครั้ง เพียงแต่อาการของฟิลลิปป์ไม่สู้ดีนัก เขาอยากแน่ใจว่าคนรักจะดีขึ้น การร่วมงานในช่วงกลางคืนคงไม่ทำให้นางผิดหวังนัก ซึ่งเจ้าหญิงตอบรับเช่นนั้นพร้อมรอยยิ้ม เพียงแค่ได้เห็นพวกเขาทั้งคู่อยู่ด้วยกันอีกครั้งและพี่ชายไม่ต้องกักขังตนเองอยู่ในห้องแห่งนั้น นางก็พึงพอใจมากที่สุดแล้ว
บทสนทนาส่วนใหญ่มักจะเป็นซิลเวอร์กับคู่วิวาห์ มากกว่าฟิลลิปป์กับเจ้าชายจากโอเทล์ม อาจเพราะเด็กหนุ่มยังไม่คุ้นกับการพูดคุยกับชนชั้นสูงนัก โอซิลริสเล็งเห็นจุดนี้เป็นอย่างดี อดกังวลกับภาพในอนาคตไม่ได้ ในเมื่อบทสรุปของการเดิมพันพิศวงอันได้ยินจากเจ้าสาวยแสนงามว่าคำตอบจากพระราชาต่อบุตรชายคนนี้เป็นเช่นไร
ยังไม่ทันที่ความกังวลจะถูกปัดออกไปให้เป็นเรื่องของอนาคต บุคคลผู้สร้างความกังวลก็ก้าวเข้ามา ราชาและราชินีแห่งโลนอนซิลก้าวเข้ามาร่วมสนทนา องค์ทั้งสองไร้ซึ่งความขุ่นมัวหรือไม่พอใจในการเห็นฟิลลิปป์อย่างที่เขากำลังกังวล นั่นทำให้ความอึดอัดในความคิดของเด็กหนุ่มคลายตัวลงบ้าง
งานฉลองนั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้มอย่างแท้จริง
กาลเวลาไหลผ่านไปอย่างช้าๆ แขกคนแล้วคนเล่าค่อยๆทยอยเดินกันออกไปเมื่อใกล้ค่อนคืนเต็มที ฟิลลิปป์เองก็เช่นกัน เขาคิดว่าการอยู่ร่วมงานจนถึงกล่าวปิดท้ายเป็นสิ่งที่ดี แต่ความง่วงงุนครอบงำเขามากเกินไป รวมถึงการดื่มของมึนเมาด้วยยากจะปฏิเสธเข้าไปบ้างส่วน ทำให้ภาพตรงหน้าของเด็กหนุ่มเริ่มบิดเบี้ยวมึนงง หากมากกว่านี้เขาคงเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว
อัศวินสีเงินประคองเขาขึ้นอาชาไนยสีขาวเหลือบเงินอย่างช้าๆ ก่อนสายลมอันไหวรุนแรงจะทำให้คนสะลึมสะลือรู้ว่าพาหนะเริ่มเคลื่อนที่ แขนด้านหนึ่งของซิลเวอร์โอบเขาไว้อย่างแนบแน่น แม้จะมากเป็นพิเศษเพราะรู้ว่าตอนนี้สติของเขาไม่ครบถ้วนเท่าไหร่นัก ไม่เป็นไร ความอบอุ่นแบบนี้เขาเองก็ชื่นชอบไม่น้อย
“คืนพรุ่งนี้เราจะได้พบกันเหมือนเดิมใช่ไหม” ฟิลลิปป์ถามเบาๆ “ได้พบกันเหมือนเช่นเคย...เหมือนตลอดเวลาที่ผ่านมา”
รอยยิ้มประหลาดของเด็กหนุ่มปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน “ไม่เพียงแค่คืนต่อไป แต่อาจจะเป็นรุ่งอรุณนี้เลยก็เป็นได้ การพบกันของเราขึ้นอยู่กับกำหนดการจากองค์...ท่านพ่อ”
กำหนดการ...? ศีรษะที่เอนอิงอยู่ของจิตรกรหนุ่มถอยห่างจากร่างนั้นเล็กน้อย เพื่อมองใบหน้าของผู้กล่าวอย่างฉงนใจ การพบพานของพวกเขาต้องได้รับการอนุญาตจากองค์ราชาเป็นครั้งคราวงั้นหรือ จะเป็นเช่นนั้นก็คงไม่แปลก เขาไม่ได้ถอดหน้ากากใคร เพียงแค่ได้พบกันในวันนี้ก็นับว่าเป็นความปรานีอย่างมากมายแล้ว
แต่กำหนดการที่ซิลเวอร์หมายถึง...ไม่ใช่เรื่องเวลาในการนัดพบอย่างที่อีกฝ่ายเข้าใจ
“เจ้าคิดว่าส่วนหนึ่งที่ตนเองไม่อาจถอดหน้ากากของข้า ทำให้ข้ากลายเป็นสามัญชนทั่วไปเพื่อออกเดินทางไปด้วยกัน นั่นคือความหวั่นเกรงว่าข้าจะไม่สามรถอดทนต่อความเปลี่ยนแปลงได้ใช่หรือไม่”
เขาอดยอมรับไม่ได้ว่านั่นคือหนึ่งในสาเหตุหลัก เกือบจะเทียบเท่าเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างองค์ทั้งสองกับซิลเวอร์ แม้จะเป็นเจ้าชายที่ผู้คนแทบไม่รู้จักหรือมีการเอ่ยนามในฐานะสำคัญ การดำรงอยู่ของเขาก็เหนือกว่าคนธรรมดามาก หากว่าองค์ราชินีดูแลเขาอย่างดีเสมอมา โดยไม่เผลอละเลยอย่างที่ผ่านมา สาเหตุนี้ยังคงเป็นสิ่งที่ทำให้เขาเลือกที่จะไม่ปลดเครื่องปิดบังสีเงินนั้นอยู่ดี
เสมือนองค์ราชาจะเข้าใจถึงความคิดนี้ หรืออาจจะไม่ต้องการปล่อยให้บุตรชายเดินทางไป โดยไม่รู้ว่าภายภาคหน้ายังสามารถพบพานกันอีกหรือไม่ พระองค์จึงใช้สิ่งที่ฟิลลิปป์เลือก นั่นคือการปิดบังตัวตนจริงของคนรักต่อไป ในการมอบสิ่งนี้แก่พวกเขาทั้งสอง
“ข้าจะได้เดินทางท่องไปในดินแดนต่างๆอย่างอิสระ เพื่อสานสัมพันธไมตรีกับอาณาจักรอื่น” อัศวินสีเงินกล่าวขึ้นมาอย่างอ่อนโยน “หากเป็นเช่นนี้ เราสามารถทำให้ความฝันของเจ้าเป็นจริง นั่นคือเดินทางเพื่อวาดรูปสิ่งแปลกใหม่ได้อย่างไม่จำกัด จริงอยู่ที่อาจจะต้องเกี่ยวข้องกับการพบปะชนชั้นสูงอยู่บ้าง แต่ข้าจะจัดการให้เจ้าไม่ต้องพบกับผู้คนเหล่านั้นได้...คู่ชีวิตของข้า เจ้าจะยินยอมได้ไหม”
ศีรษะของฟิลลิปป์เอนอิงร่างของคนรักอีกครั้งอย่างผาสุก และนั่นคือความหมายต่อการเดินหมากรุกขององค์ราชินีในค่ำคืนนั้นงั้นรึ...? โอ...ดูเหมือนว่าคงไม่ใช่แค่เขาเท่านั้นที่สื่อความนัยออกมา
“ข้าเคยปฏิเสธคำขอแต่งงานของท่าน เพราะในวันนั้นท่านบอกให้เราออกเดินทางไปด้วยกัน ซึ่งท่านทราบดีว่าข้าไม่มีทางยินยอมให้ทุกอย่างวุ่นวายอยู่เบื้องหลัง และในคืนที่เราได้เข้าสู่พิธีวิวาห์ต่อกัน นั่นคือท่านที่กล่าวว่าจะเดิมพันกับองค์ราชาเพื่อให้ได้พบกันอีกครั้ง หากว่าองค์ทั้งสองยินยอมทำตามความต้องการของข้า ทุกอย่างคงจบลงด้วยดีเป็นแน่” เรียวแขนของเด็กหนุ่มโอบกอดคู่ชีวิตอย่างรักใคร่ “ท่านทำทุกอย่างเพื่อข้ามากมายเหลือเกิน...ซิลเวอร์ แล้วข้าจะปฏิเสธคู่ครองของตนเองได้อย่างไร”
แสงจันทร์ฉายส่องลงมาอย่างสว่างไสวในคืนแรมสองค่ำ แม้นว่าเสี้ยวของสิ่งนั้นจะลดลงไปถึงสองคืนแล้วก็ตาม เส้นทางทุกอย่างกลับเปิดออกอย่างงดงาม ดั่งอวยพรแด่คนทั้งสองเหมือนเช่นเคย พวกเขาได้เดินทางมาจนถึงใจกลางอย่างงดงาม เส้นทางต่อไปอาจจะไม่รู้ว่าจุดหมายเป็นเช่นไร หรือการเดินทางต่อไปในสวนวงกตอันวกวนแห่งการอยู่ร่วมกันจะเป็นเช่นไร แม้จะเป็นเช่นนั้น...
‘แค่เพียงมือของเรายังคงจับกันไว้เสมอก็เพียงพอ’
เจ้าชายก้มลงมองใบหน้าอันไร้สติของคนรักด้วยรอยยิ้ม เกรงว่าของมึนเมาเพียงเล็กน้อยจะมีผลไม่น้อย อาชาไนยสีขาวเหลือบเงินชะลอความเร็วชั่วครู่ คล้ายกำลังลังเลใจว่าการวกกลับไปยังปราสาทจะเป็นการดีกว่าหรือไม่ เพราะเขาอยากจะโอบกอดอีกฝ่ายไว้ทั้งคืนท่ามกลางแสงอันสว่างไสวนี้ แต่มันคงไม่เป็นการดี หากว่านั่นเป็นการรุกล้ำโดยพลการเป็นครั้งที่สอง ถึงอย่างไร เขาก็ไม่เคยได้รับการเชื้อเชิญให้เข้าไปสักครั้ง
เสียงของผู้ที่น่าจะเข้าสู่ห้วงนิทราเอ่ยแผ่วเบา “งั้นข้าจะเชิญท่านในคืนนี้ ให้ข้าได้อยู่ในอ้อมกอดของท่านจนดวงตะวันจะสาดส่อง...ได้หรือไม่”
“หากในอรุณรุ่งเจ้าจะตื่นขึ้นมาอย่างมึนงง เมื่อพบข้าอยู่ข้างกายในที่แห่งนั้น หวังว่าเจ้าคงจะไม่เอ่ยอ้างว่านั่นเป็นเพียงฤทธิ์ของเครื่องดื่ม” ซิลเวอร์ปรากฏรอยยิ้มกริ่ม “เพราะทุกสิ่งอย่างในคืนนี้คือการตอบ ‘ตกลง’ ของเรา”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ