The Silver Mask

9.8

เขียนโดย ปรัสรา

วันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2555 เวลา 04.04 น.

  10 บท
  0 วิจารณ์
  15.94K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

10) ลำดับที่ 11 [บทส่งท้าย]

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ณ หอคอยราชินีในยามราตรี  แม้เวลาจะผันผ่านจนเกือบย่ำรุ่งก็ตาม  องค์ทั้งสองที่ยืนทอดมองไปยังท้องฟ้าอันกว้างไกลและมวลดอกไม้อันงดงาม  กลับไม่แสดงความอ่อนล้าหรือเบื่อหน่ายเลยแม้แต่น้อย  หากแต่ทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมาด้วยความรู้สึกขบขันเหลือกำลัง  ทั้งเรื่องของสตรีนักฆ่า การวิวาห์ของเจ้าหญิงและเจ้าชายต่างแดน  หรือแม้แต่การพบพานในรักของซิลเวอร์

องค์ราชินีถอนหายใจออกมาเบาๆ  เมื่อนึกถึงเรื่องราวของบุตรชายต่างสายโลหิต  พลางเอนอิงไหล่ของผู้เป็นสามีเบาๆ  “ความจริงทั้งข้าและท่านก็คงไม่อยากยอมรับ...ว่าเราไม่ใส่เขาเท่าที่ควร  ในตอนที่เด็กหนุ่มคนนั้นเข้ามาเพื่อวอนขอในเรื่องนี้”

“เราทำได้ดีที่สุดเพื่อชดเชยความผิดพลาดนั้น  เขาเองก็รับรู้ดี...จริงไหม”  พระองค์ยกหัตถ์ซ้ายของพระนางขึ้นมาจุมพิตอย่างนุ่มนวลคล้ายจะปลอบประโลม  “การรั้งเขาไว้ไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด  อีกทั้ง ข้ารู้ความหมายในการเดินหมากนั่นแล้ว  ในเมื่อเขาเป็นฝ่าย ‘แสร้งทำเป็นยอมพ่ายแพ้’ เพื่อหวังชัยชนะที่ยิ่งใหญ่กว่า  ทำไมเราจึงต้องขัดขวางเรื่องราวในการเดินทางนั้นเล่า?”

องค์ราชายังจำถึงปัญหาที่องค์ราชินีได้มอบให้ในเช้าวันนั้นได้  พระนางถามเกี่ยวกับจุดมุ่งหมายของคนที่พ่ายแพ้และไม่ได้อะไรเลย  ทั้งที่วาดหวังในสิ่งของที่เดิมพัน  แต่ยังคงคับเขี่ยวกับผู้ชนะจนคนคนนั้นไม่ทันได้เอะใจ  กว่าความจริงจะปรากฏออกมาอีกครา  ดูเหมือนว่าหมากจบเกมได้ถูกวางลงเสียแล้ว

โอ...จะมีความหมายใดไปมากกว่านั้นเล่า  ในเมื่อคำตอบคือการปล่อยผู้ชนะได้รับของเดิมพันนั้น  นั่นคือความเหมาะสมสำหรับทุกฝ่ายแล้ว  รวมทั้งความสุขของสิ่งเดิมพันที่ว่า  หากนั่นคือจุดมุ่งหมายสูงสุดของผู้พ่ายแพ้อย่างฟิลลิปป์

อีกหนึ่งเรื่องที่ชวนขบขันเป็นที่สุด...คงไม่พ้นเรื่องราวของสตรีนักฆ่า  มันช่างเป็นละครช่างเล็กๆอันน่าดูชมทีเดียว  เรื่องนี้อาจถูกเก็บงำเป็นความลับอย่างยิ่งยวด  แม้แต่กับองค์ราชาเองก็ตาม  ถึงกระนั้น พระองค์พอจะรับรู้ ‘การร่วมมือ’ ขององค์ราชินีระหว่างอาณาจักรดี  จะมีผู้หญิงที่ไหนหน้าตาเหมือนกันถึงสามคน  หนึ่งในนั้นกลับหาลู่ทางต่างๆได้จนสร้างเรื่องราวใหญ่โต  ทั้งที่เป็นเพียงสตรีธรรมดา  ไร้ซึ่งยศฐาและสิ่งจำเป็นอีกหลายประการ

ที่สำคัญ การเดินทางมายังโลนอนซิลของเจ้าชายต่างแดน  ย่อมไม่มีทางสืบทราบว่ามายังดินแดนแห่งนี้ได้เลย  เว้นแต่ว่าคนคนนั้นจะได้รับข้อมูลจากใครบางคนที่หนุนหลังนางอยู่  ใครบางคนที่ ‘ส่งองครักษ์’ มาให้บุตรี  โดยที่การคัดเลือกนั้นไม่ปรากฏอย่างชัดเจน  ซ้ำยังมีเอกสารยืนยันตัวตนของเจ้าหญิงเดเนียร์อีก

พระนางยิ้มออกมาบางเบา  “คนของข้าเองก็สนุกสนานไม่น้อยนะเพคะ  เพียงแต่เวลามันมีน้อยนิดจนเกินไป  ละครอันไร้ความแนบเนียนบทนี้จึงได้ผลสรุปง่ายดาย  ถึงเจ้าชายแห่งโอเทล์มหรือไดอาน่าจะล่วงรู้แล้วมันอย่างไรกัน?  เพราะสุดท้ายคนที่ได้ผลประโยชน์คือทุกฝ่าย”

สิ่งที่น่าขบขันที่สุดในเรื่องของสาวน้อยผู้มีใบหน้าเหมือนกัน  แต่โชคชะตากลับแตกต่างถึงสามคน  นั่นคือการที่มีเพียงคนเดียวที่มีตัวตนอยู่จริง  ไม่ว่าจะเป็นบทบาทของสตรีนักฆ่าที่องค์ราชินีสรรค์สร้างมา  หรือแม้แต่เจ้าหญิงเดเนียร์จากโครอน  ก็ยังคงเป็นอีกหนึ่งฉากที่กำเนิดขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ  ให้ใครเข้าใจภาษาในภาษาของอาณาจักรนั้นสักนิด  คงจะรู้ดีว่าการออกเสียงคำว่า ‘ไดอาน่า’ ได้ถูกแผลงเป็น ‘เดเนียร์’ อย่างเรียบร้อย

แทนที่ท่านป้าของบุตรีนางจะประกาศอย่างชัดเจน  ถึงตัวตนของหลานสาววัยเยาว์จากแดนไกล  กลับกลายเป็นว่าโครอนเข้าใจถึงการมีอยู่ของเจ้าหญิงคนใหม่  ทั้งสองเองก็ร้ายใช่ย่อย  เมื่อเห็นว่าเรื่องของเดเนียร์เป็นที่เข้าใจผิด  กลับชักชวนให้อยู่ในฐานะของบุตรีจริงๆ  จนต้องกันความวุ่นวายโดยการสร้างเรื่องการโดนลักพาตัวในที่สุด

ดังนั้น จะไม่นับเป็นเรื่องนี้เป็นเรื่องชวนขบขันที่สุดได้อย่างไร...?

เมื่อนึกไปถึง ‘ความบังเอิญ’ อย่างแท้จริง  คงจะเป็นเดิมพันระหว่างเจ้าชายกับองค์ราชา  อันเป็นการต่อรองของจริงที่มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย  ทั้งยังมาตรงกันกับเรื่องของเจ้าชายจากโอเทล์มโดยบังเอิญ  กลายเป็นว่าความวุ่นวายถึงสองสิ่งอย่างกับรวมมาอยู่ในห้วงเวลาเดียวกันได้อย่างน่าอัศจรรย์  จนสุดท้ายกลายเป็นว่าแม้แต่เรื่องการเดิมพัน  ยังถูกแทรกแซงเติมแต่งเป็นระยะโดยไม่รู้ตัว

ไม่เพียงแค่เรื่องของบุตรี  เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นบุตรแล้ว  แม้จะไม่ได้ถือกำเนิดจากอุทร  มารดาไหนเล่าจะละเลยถึงคู่ครองของเด็กน้อยที่ได้ฟูมฟักรักเลี้ยงดูเหล่านั้นได้  หากในคืนการขอแต่งงานครั้งที่พระนางวางตัวหมากไว้อย่างเหมาะเจาะ  เขาพร้อมในการเดินทางไปกับซิลเวอร์  หรือแม้แต่การถอดหน้ากากออกมาในเวลาอันถูกกำหนดไว้  โดยไม่สนใจว่าผู้ที่ถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อเป็นเจ้าชาย  สามารถทานทนกับอุปสรรคในฐานะของสามัญชนทั่วไปตามชาติกำเนิดอันแท้จริงได้  เขาคนนั้นจะได้รับ ‘คนรักสามัญชน’ ไปตามที่ต้องการ

ถึงกระนั้น พระนางไม่คาดคิดเกี่ยวกับการวอนขอต่อเรื่องราวของซิลเวอร์เลยแม้แต่น้อย  ดูท่าว่า ‘สตรีนักฆ่าผู้โง่เขลา’ จะไม่ได้แสดงตามบทบาทของนางทุกอย่าง  กลับยื่นมือเข้ามาอีกเล็กน้อยสำหรับความเหมาะสมตามสายตาของคนที่มองเรื่องราวอย่างห่างๆ  ช่วยบอกเล่าบางสิ่งอย่างแก่หนุ่มน้อยคนนั้น  เพื่อช่วยเหลือให้ทุกสิ่งอย่างเดินไปตามที่ควรจะเป็น  ทั้งที่คนในเผลอมองข้ามไปจนคล้ายจะลืมเลือนสิ่งนั้น  หากไม่แล้ว...ฟิลลิปป์คงไม่มีทางรับรู้และมาอ้อนวอนเรื่องเจ้าชายเป็นแน่

องค์ราชาเงยหน้าขึ้นเพื่อส่งสายตาแด่โชคชะตา  ทุกอย่างช่างลงตัวเรียบร้อยเหลือเกิน  ลงตัวจนน่าประหลาดใจในฐานะของมนุษย์  ผู้พยามควบคุมหลายสิ่ง  แต่กลับไม่อาจบังคับในบางสิ่งได้

องค์ราชินีเข้าใจดีว่าคนข้างกายกำลังเย้าหยอกถึงแผนการ  จึงได้ยิ้มรับอย่างไม่ปฏิเสธ  ก่อนจะมองทอดสายตาไปยังดวงดาราอันพร่างพรายบนท้องฟ้า  “ไม่ใช่แค่พวกเขา  แม้แต่เราเองก็เช่นกันไม่ใช่หรือ  ตอนที่อายุเท่ากับกับซิลเวอร์  ท่านเองก็ร้ายใช่ย่อยเลย”

 

เจ้าชายแห่งโลนอนซิลกำลังจับจ้องร่างของสาวน้อยผู้หนึ่ง  เรือนผมสีแดงสลวยของนางเปล่งประกายงดงาม  ทั้งยังสวมชุดสีหวานสวยเรียบง่ายกว่าใครหลายคนในที่นี้  ถึงกระนั้น แม้เป็นเพียงร่างด้านหลัง  เขาก็พอจะเดาความสวยชวนให้หลงใหลของใบหน้านั้นได้ 

องค์ราชาในวัยสิบแปดปียิ้มกริ่มกับสหาย  ผู้กำลังโอดโอยด้วยความเห็นใจเจ้าหญิงองค์นั้น  น่ากลัวว่านางคงจะเป็นเช่นสตรีอื่นๆ  มอบใจให้แก่เด็กหนุ่มผู้หล่อเหลากับบทกวีแว่วหวาน  จากนั้นก็โดนทอดทิ้งให้เปลี่ยวเหงาเดียวดาย  เป็นการเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรโดยอ้อม  นั่นช่างเป็นข้ออ้างอันดีเลิศเหลือเกิน  แม้ในความเป็นจริงจะไม่สวยหรูเลยสักนิด 

เจ้าชายแห่งโลนอนซิลตรงเข้าไปทักทายเด็กสาวทั้งสอง  แม้จะเป็นเช่นนั้น สาวน้อยผู้มีใบหน้าละม้ายพอจะเดาจุดประสงค์ออก  นางก้มลงกระซิบเบาๆกับน้องสาวแล้วเลี่ยงไป  เปิดทางให้เชื้อพระวงศ์จากต่างแดนได้พูดคุย 

“ความงามเลอค่าของท่าน  เป็นความฝันที่ข้าไม่อาจจับต้อง”  เจ้าชายกล่าวชมเชยพลางโค้งตัวลงเล็กน้อยอย่างมีมาดแทนการทักทายและแนะนำตัว  ซึ่งเจ้าหญิงเองก็ไม่ปฏิเสธในไมตรี  นางย่อตัวลงเล็กน้อยและเริ่มต้นกล่าวสนทนาในเรื่องของบทกวีรัก  อันเป็นสิ่งที่ประทับใจนางมาเนิ่นนาน 

“บทกวีและดอกกหลาบ  ล้วนควรคู่กับเจ้าหญิงแสนสวยเช่นท่าน”  เขาส่งสายตาลกซึ้งโดยเปี่ยมไปด้วยเล่ห์  “ท่านคิดว่าข้าควรคู่กับอะไร  โปรดอย่ากล่าวว่าข้าเอ่ยวาจาไร้ยางอาย  ในเมื่อบุรุษตรงหน้าท่านกำลังหลงใหลต่อความงามนี้เหลือเกิน”

ใบหน้าของเจ้าหญิงแดงซ่านสมดังคำตั้งใจของเจ้าชายแห่งโลนอนซิล  เพียงแต่นางไม่ได้เอ่ยคำขานใดออกมา  ทำให้เขารู้ว่านางคงเขินอายเกินกว่าจะตอบรับคำใดได้  เมื่อสตรีหวั่นไหวย่อมเอ่ยวาจาแว่วหวานใส่  ในใจของเขาล่วงรู้ดีว่าทุกอย่างเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของการผูกมิตรเฉกเช่นที่ผ่านมาเท่านั้น  จึงไม่คิดหวั่นไหวไปตามความรู้สึกดังที่กล่าวไปเลยแม้แต่น้อย  กลับกัน เขารู้สึกว่ามันเป็นเพียงเรื่องเล่นสนุกไร้สาระเท่านั้นเอง

แต่จะกล่าวคำรักผ่านบทกวีหรือเอ่ยเป็นนัยเพื่อไม่ให้ผิดมารยาทมากไปนัก  เจ้าหญิงแสนงามยังไม่ตอบคำใดสักที  เป็นครั้งแรกที่เจ้าชายเริ่มท้อเต็มที  นางเองก็หวั่นไหวไม่ใช่หรือ  อย่างน้อยก็ควรจะเอ่ยโต้ตอบสักคำสองคำ

“ข้าควรเอ่ยว่าอย่างไรหรือ”  นางจับจ้องใบหน้าทดท้อของเขาอย่างเงียบๆ  พร้อมทั้งมอบแก้วเครื่องดื่มเปลี่ยนให้ใหม่  การพูดยืดยาวของเขาคงทำให้คอแห้งและเครื่องดื่มในมือเขาก็ไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว

เจ้าชายแห่งโลนอนซิลเริ่มจนด้วยคำพูดก็คราวนี้  ใบหน้าของสาวน้อยตรงหน้าเห็นอกเห็นใจเขาอย่างจริงจัง  แต่คล้ายว่านางไม่ทราบว่าสิ่งที่เขากำลังกระทำคืออะไร  บางทีเขาควรจะเอ่ยออกมาอย่างชัดเจนเพื่อการสานสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นขึ้น  อย่างน้อยตอนนี้แค่ได้รับสักจุมพิตหนึ่งก็เพียงพอแล้ว

“จะมีประโยชน์อะไร  หากว่าจุมพิตนั้นไม่ได้มาจากคนที่ท่านรัก”  เจ้าหญิงกล่าวอย่างอ่อนโยน  “ทำไมเราไม่เริ่จากการกล่าวว่าคืนนี้อากาศหนาวทีเดียว  ท่านว่าไหม”

เจ้าชายแห่งโลนอนซิลพยักหน้ารับกับประโยคนั้น  เพราะไม่รู้จะทำเช่นไรต่อไปกับผู้ที่ไม่ทั้งประสงค์ดีและร้ายกับเขา  นางเขินอายกับคำพูดแต่กลับไม่หวั่นไหว   ในเมื่อทุกอย่างไม่ได้รับการตอบสนองเลย  เขาก็ควรจะลองเริ่มจากการสนทนาเรื่องดินฟ้าอากาศจริงดังที่นางว่า

“คงเพราะด้านนอกมีหิมะและใครบางคนปิดหน้าต่างไม่สนิท”  เจ้าชายเอื้อมไปลงกลอนหน้าต่างให้แน่ใจ  ก่อนจะพบว่ามันค่อนข้างหนักทีเดียว  การที่แรงผู้หญิงจะกระทำคงออกกริยาจนผิดมารยาท  ถึงอย่างนั้นความหนาวยังไม่จางหาย  “ทำไมท่านไม่เปลี่ยนสถานที่คุยกัน?”

“ข้าชอบทิวทัศน์บริเวณนี้ที่สุด  แม้จะเป็นในความมืดของยามราตรี”  นางยิ้มให้เขา  เป็นยิ้มที่มีชีวิตชีวามากเลยทีเดียว  “และกำลังรอใครสักคนจะเอื้อมไปปิดหน้าต่างให้  ข้าเพียงแค่คิดว่าคนที่เข้ามาบอกรักคำหวาน  จะสังเกตถึงความหนาวเย็นของข้าบ้างหรือไม่”

เจ้าชายแห่งโลนอนซิลหลุบตาลงกับคำกระทบกระทั่งนั้น  อดละอายใจไม่ได้ว่าเขามัวแต่กล่าวเพลินไปจริงๆ  อีกทั้งชุดที่สวมใส่ก็หนานุ่มหลายชั้น  แม้ลมหนาวจะลอดผ่านช่องเล็กๆมาก็คงไม่ทันรู้สึก

“ท่านไม่ใช่คนที่แย่ที่สุด  ขอบคุณสำหรับการลดความหนาวเย็นของข้า”  นางกล่าวให้กำลังใจต่อใบหน้าอึมครึมนั้น  “และจากคำถามของท่าน  ข้าไม่อาจนึกเปรียบเปรยสิ่งใดได้เลย  เพราะข้ายังไม่ทันได้พบความจริงใจของท่าน”

“อย่างน้อยข้าก็ไม่คิดอะไรตอนปิดหน้าต่าง  และขออภัยที่ข้าไม่ทันคิดถึงอากาศ”  เขากล่าวแก้  ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตาด้วยความจริงใจดังที่นางต้องการ  “ข้าจะแนะนำให้ท่านได้รู้จักกับโลนอนซิล  หากว่าท่านยินดีจะเยี่ยมเยือนและผูกสัมพันธไมตรีระหว่างอาณาจักร”

อาณาจักรอันสวยงามแห่งนั้นร่มรื่นสมดังที่เจ้าหญิงได้วาดหวัง

เมื่อคนทั้งคู่ได้เข้าสู่พิธีวิวาห์และได้รับการสถาปนาในฐานะแห่งผู้ครองอำนาจในโลนอนซิล  หอคอยราชินีจึงมอบเป็นที่ระลึกแด่เรื่องราวในครั้งนั้น

 

มันช่างเป็นสิ่งที่น่าประหลาดใจในการพบพานกับเจ้าหญิงในตอนนั้น  นางไม่ได้ปฏิเสธคำรักของเขาและไม่ได้ตอบรับ  แต่กลับได้มายืนเคียงข้างเขาในฐานะของคู่ชีวิตที่ยังไว้ซึ่งหัวใจรักดั่งในวันวาน 

 “เจ้าไม่หวั่นไหว  แต่ก็ใช่ว่าจะเมินเฉยต่อข้า...จริงไหม”  องค์ราชาส่งสายตาลึกซึ้งพลางโอบกอดสตรีข้างกายให้แนบแน่นยิ่งขึ้น  เมื่อหวนนึกถึงความหลังในวันวาน  “ราชินีผู้แสนสวยและงดงามกว่าใคร”

“ข้าฟังคำยกยอมามากมายแล้วเพคะ”  พระนางตอบรับจุมพิตของคนรักอย่างนุ่มนวลดั่งในวันแรกวิวาห์  “และยังคงหลงใหลต่อมันเสมอมา  แต่นิทานของข้าในค่ำคืนนี้คงไม่ใช่เรื่องของเรา  ท่านจะลองฟังบ้างไหมเล่า...?”

นิทานกระนั้นรึ...?  องค์ราชาอดคิดในใจด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย  พอจะรับรู้ว่าผู้ที่พระนางกำลังจะกล่าวหมายถึงใคร  หากแต่เด็กในตอนนั้นยังอยู่ในวัยเยาว์  คำกล่าววาจาจะเป็นเช่นไรกัน...?  หากว่าเริ่มต้นที่ดินฟ้าอากาศก็คงจะดี  อย่างน้อยก็หวังว่าซิลเวอร์จะไม่ลืมปิดหน้าต่างให้ใคร

พระนางเพิ่งได้รับรู้ว่าเรื่องในคราวนั้น  ทำให้หอคอยราชินีแห่งนี้ไม่มีกระจกเลยสักบาน

“ข้าจะโอบกอดเจ้าไว้เอง”  องค์ราชากล่าวด้วยน้ำเสียงอับอบอุ่น  “โลนอนซิลแห่งนี้ไม่มีหิมะและความหนาวเย็นจนโหดร้าย  จะมีก็เพียงดางดาวอันพราวพรายเท่านั้น”

องค์ราชินีไม่ได้กล่าวตอบรับอะไรในประโยคอันสมบูรณ์ด้วยความรู้สึกนั้นและนิทานได้เริ่มต้นขึ้น

 

อาชาไนยสีขาวเหลือบเงินควบทะยานเท่าที่ฝีมือของเจ้าชายวัยสิบสามปีจะพึงมี  ในค่ำคืนนี้ดึกและเงียบสงัด  จะมีก็เพียงแสงจันทราอันงดงามคอยสองสว่างแทนตะเกียงเท่านั้น

ความเงียบเหงาเข้าเกาะกุมใจของเขาจนแทบทนไม่ไหว  แม้จะรู้ว่าอันตรายในการออกมาเพียงลำพัง  เจ้าชายน้อยที่แอบออกมาจากงานเลี้ยงสวมหน้ากากของปราสาท  กลับโลดแล่นเพลิดเพลินในความมืดมิด  ได้เห็นสิ่งต่างๆที่คอยปลอบประโลมว่าอย่างน้อย  ผู้ที่โดดเดี่ยวคงไม่ได้มีเพียงเขา

หากจะถามว่าสิ่งนั้นคืออะไร...ย่อมเป็นเด็กน้อยวัยไล่เลี่ย  ผู้เดินอยู่เพียงลำพังในยามดึกดื่นค่อนคืนเช่นนี้  ดจากชุดเสื้อผ้าคงไม่ใช่คนเร่ร่อนทั่วไป  บางทีการเสนอความช่วยเหลือเล็กๆน้อยๆอาจจะดีกว่า  อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ใจคับแคบอะไร  หรืออาจจะคิดว่าการหาเพื่อนคุยสักคนคงจะเป็นการดีกว่า

เสียงของอาชาไนยที่วิ่งมาหยุดอยู่ข้างกาย  ทำให้เด็กน้อยคนนั้นตกใจมิใช่น้อย  แต่เจ้าของม้าสีขาวเหลือบเงินไม่ได้ทำอันตรายแก่เขา  ซ้ำยังเสนอความช่วยเหลือให้ผู้หลงทางอย่างใจดี

ซิลเวอร์มองความลังเลของผู้ที่ตนชักชวนด้วยความประหลาดใจ  หรือว่าการแต่งกายของเขาดูน่าสงสัย  คงเพราะการแต่งกายเป็นอัศวินสีเงินในร่างของเด็กน้อย  คงทำให้มันดูแปลกตาและขัดต่อความเป็นจริงในเรื่องของหลักเกณฑ์อายุ  ถึงกระนั้น การร่วมทางกับอัศวินไม่ดีตรงไหนเล่า...?

ดูเหมือนเด็กน้อยคนนั้นเองก็คงเห็นพ้องกัน  จึงค่อยๆก้าวขึ้นมายังอาชาสีขาวเหลือบเงินอย่างเชื่องช้าเพื่อให้เขานำพาสู่จุดหมายในการกลับไป

“ท่าน...แน่ใจในการกระทำนี้จริงๆหรือ”  ผู้ร่วมทางแปลกหน้าได้ถามขึ้นมากะทันหัน  “ข้า...ข้าไม่ได้คิดว่าท่านมีเจตนาร้าย  ถึงอย่างไร บุตรของคนร่ำรวยเช่นท่านคงไม่แยแสต่อข้า  นอกจากแสดงน้ำใจในการพาข้าผู้หลงทางกลับบ้าน  เพียงแต่...”

เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้  วาจาของผู้เอื้อนเอ่ยได้ยุติลงเพราะความไม่มั่นใจเป็นทุนเดิม  ทั้งผู้ฟังยังไม่ได้ซักไซ้ไล่เลียงอะไร  มันคงไม่สมเหตุสมผลนัก  ถ้าเขายังฝืนดึงดันต่อไปให้น่าเบื่อหน่าย

หากเป็นพวกเขาในอีกห้าให้หลัง  ระยะทางเช่นนี้คงจะน้อยนิดนัก  ทั้งความเร็วและความคุ้นเคยต่อเส้นทาง  แต่ไม่ใช่กับฝีมือของเด็กอายุสิบสามปีที่ห่างชั้นกัน  อีกทั้งยังเป็นเวลาที่ดวงจันทราเคลื่อนมาถึงกึ่งกลางฟ้า  เด็กน้อยด้านหลังที่เจรจาอย่างกล้าๆกลัวๆจึงได้เผลอเข้าสู่ห้วงนิทรา  ทั้งที่มือสองข้างเลื่อนมือโอดกอดเขาแน่นหนาคล้ายป้องกันไม่ให้ตัวเองร่วงลงไปกลางทาง  หากเขาไม่เอะใจหันมาถามทางต่อไปเสียก่อน  คงจะไม่รู้เรื่องคนง่วงงุนด้านหลังเลย

เมื่อพินิจใบหน้ายามนิทราก็อดถูกอกถูกใจในความไร้เดียงสานั้นไม่ได้  ทั้งที่วัยไล่เลี่ยกันมากแท้ๆ  แต่ความน่ารักในใบหน้านั้นฉายชัดจนน่าปกป้อง

คำว่า ‘ปกป้อง’ นอกจากกับไดอาน่าหรือองค์ทั้งสอง  เขาเพิ่งใช้กับคนอื่นเป็นครั้งแรก  ทั้งยังเป็นเด็กแปลกหน้าที่ไม่รู้จักหน้าค่าตากันมาก่อน  น่ากลัวว่าอีกฝ่ายย่อมไม่รู้จักเขาเช่นกัน  ถึงอย่างไรเขาก็เป็นอัศวินพิทักษ์ของเจ้าหญิง  ความภาคภูมิใจนั้นเต็มเปี่ยม  แม้บางครั้งจะอดน้อยใจขึ้นมาไม่ได้  นั่นก็เป็นสิ่งที่ควรกระทำไม่ใช่หรือไร

คล้ายว่าสายลมได้หยุดลงนานเกินไปตามเวลาที่ซิลเวอร์จับจ้อง  คนที่เผลอหลับไปเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ  ก่อนจะกล่าวคำขออภัยต่อคนที่ตนโอบกอดอยู่  บางทีเขาคงจะโดนไล่ลงจากอาชาก็เป็นได้  การปรานีปล่อยให้เขารู้สึกตัวและไม่ตะเพิดลงในวินาทีนี้นับว่าเมตตามากแล้ว

“เปล่า...ข้าไม่ได้คิดแบบนั้น”  ซิลเวอร์รู้ว่าตนต้องถามเส้นทางไปต่อ  แต่กลับ...  “ข้าเพียงแค่สงสัยว่าเจ้าอยากจะบอกอะไรงั้นหรือ”

สีหน้าของฟิลลิปป์แดงเรื่อคล้ายจะอายต่อการกล่าววาจา  เนื่องจากตนคิดว่ามันผิดมหันต์ในการยื่นมือเข้ามายุ่งวุ่นวายกับเรื่องส่วนตัว  แต่แววตาในตอนแรกที่อัศวินสีเงินจับจ้องมา  มันเหมือนมีหิมะและน้ำแข็งแห่งความหนาวเย็นก่อตัวกันอยู่  ผู้ที่มองทะลุผ่านเข้าไปย่อมเหน็บหนาวจับขั้วหัวใจ  ทว่า มันก็ดูโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาเหลือเกิน  บางทีถ้าได้พูดคุยกัน  เขาอาจช่วยรับฟังปัญหาได้

แต่ในทางกลับกัน บุตรชายของขุนนางหรือเศรษฐีจะมีปัญหาที่เขายากเกินจะฟังหรือเปล่า  ฟิลลิปป์ในวัยสิบสามปียังไม่มั่นใจนัก  “เพียงแต่...เมื่อท่านภาวนาต่อเทพีวีนัส  นางจะช่วยเยียวยาให้ใจเจ้าคลายความเจ็บปวดลง  มีคนเคยเล่าให้ข้าฟังเช่นนี้”

ซิลเวอร์ขมวดคิ้วเพื่อทบทวนความเข้าใจ  เทพีวีนัสคือเทพีแห่งความงามและความรัก  การเยียวยาให้จิตใจคลายความเศร้าโศกเจ็บปวดนั้นคงจะเป็นความรักมากกว่าความเจ็บปวดทั่วไป  บางทีผู้กล่าวคงเข้าใจความหมายผิดไป  แต่เจตนาดีย่อมเป็นเจตนาดี  เด็กน้อยยิ้มปลอบโยนให้กับใบหน้าเศร้าหมองอันห่วงใยต่อความรู้สึกของเขา  ทั้งที่เพิ่งพบกันเพียงชั่วครู่แท้ๆ  เขาอดคิดขึ้นมาในใจถึงสิ่งที่ผู้ร่วมทางกล่าวมาไม่ได้

หากว่าฟิลลิปป์กำลังหวาดเกรงต่อเส้นทางการกลับบ้านและเริ่มอ้อนวอนต่อเทพี  การที่นางส่งเข้ามาพานพบคงจะแฝงนัยยะบางอย่างได้...?

หรืออาจจะไม่ใช่...เด็กน้อยยิ้มให้กับการคิดมากไปของตน  พลางหันไปถามไถ่กับผู้ที่ร่วมทางมาด้วยกัน  เผื่อว่าอีกฝ่ายสนใจจะไปค้างแรมในปราสาทของเขาสักคืน  ตอนนี้ซิลเวอร์ยอมรับว่ามันเป็นข้ออ้างในการย้อนกลับทางเดิมเพื่อพูดคุยกันนานกว่าเดิม  อย่างน้อยก็มีใครสักคนที่อยากจะช่วยปลอบใจเขาจริงๆ

“ข้าเกรงว่าเจ้าหญิงจะไม่พอใจ  ข้าไม่อยากสร้างความเกรี้ยวโกรธแก่ผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเชื้อพระวงศ์”  ฟิลลิปป์ก้มหน้าลง  “ส่วนท่านคงเป็นบุตรของขุนนางหรือพ่อค้าผู้ร่ำรวย  ท่านคงจะเข้าใจว่าการทำให้เจ้าหญิงไม่พอใจย่อมไม่ใช่สิ่งที่ดี  หากเป็นไปได้...ตัวข้าคงไม่คิดจะข้องเกี่ยว”

ซิลเวอร์เป็นฝ่ายเงียบไปบ้าง  ก่อนจะกล่าวขึ้นมาคล้ายลังเลต่อบางสิ่งอย่างที่ผู้ฟังไม่เข้าใจ  “งั้น...ถ้าเป็นเพียงสวนในปราสาทเล่า นางไม่ว่าอะไรแน่นอน”

ความง่วงงุนฉายชัดในแววตานั้น  ทำให้อัศวินสีเงินจำต้องกล่าวปฏิเสธในคำชวนเสียเอง  อดโทษต่อความคิดชั่วครู่ขึ้นมาไม่ได้  ไปชักชวนคนแปลกหน้าก้าวไปในปราสาทเพื่อพูดคุยกระนั้นรึ?  แล้วเขาควรจะอธิบายเรื่องนี้ว่าอย่างไร  ในเมื่อเขาเพียงแค่อยากจะพูดคุยกับคนที่ตนสนใจเท่านั้น  คนธรรมดาที่ไม่มีอะไรพิเศษเลย

“หากเป็นคืนพรุ่งนี้...”  เสียงหวานที่ยังไม่แตกพานของผู้ร่วมทางได้เอ่ยขึ้น  “...ข้าคิดว่าคงจะไปที่สวนแห่งนั้นกับท่านได้”

คนธรรมดาไม่มีอะไรพิเศษและเขาควรจะคิดว่านั่นเป็นเรื่องไร้สาระ  ถึงกระนั้นก็ยังคง...  “ได้ แล้วข้าจะมารับเจ้าในคืนพรุ่งนี้”

ฟิลลิปป์มานั่งด้านหน้าตามคำชวนของสารถี  ผู้รู้ดีว่าตนคงจะหลับอีกครั้งก่อนถึงที่หมายเป็นแน่

“ข้าจะคอยอยู่เคียงข้างท่านเอง”  ฟิลลิปป์กล่าวอย่างไม่คิดอะไร  นอกจากห่วงใยในตัวของอีกฝ่ายเมื่อนึกถึงแววตาเมื่อแรกพบกัน  ก่อนจะเผลอเข้าสู่ห้วงนิทราไปในอ้อมกอดของซิลเวอร์  ผู้ผ่อนความเร็วในการเดินทางลงทีละน้อยคล้ายจะรั้งห้วงเวลา

“เจ้าจะคอยอยู่เคียงข้างข้างั้นหรือ”  ซิลเวอร์ทวนความหมาบนั้นเบาๆ  “ข้าเองก็เช่นนั้น  นั่นถือเป็น ‘คำตกลง’ ในเรื่องของเราแล้วนะ”

 

 

Finish.

 

 

ขอบพระคุณที่คอยติดตามเรื่องนี้เสมอมาค่ะ  

ทั้งที่อู้บ้างอะไรบ้าง  แต่เรื่องนี้ลงจบได้ในที่สุด (เย้!)

เป็นเรื่องหนึ่งในความภาคภูมิใจของผู้แต่งเป็นอย่างยิ่ง

++  ขอบคุณมากค่ะ ++

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา