The Silver Mask

9.8

เขียนโดย ปรัสรา

วันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2555 เวลา 04.04 น.

  10 บท
  0 วิจารณ์
  15.96K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) ลำดับที่ 7

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
ในค่ำคืนเดียวกันนั้น ณ อีกด้านหนึ่งของปราสาท  สถานที่พักของกองกำลังองครักษ์พิทักษ์เจ้าหญิง  เมื่อดวงจันทร์ได้เคลื่อนสู่กลางฟ้าอย่างเต็มที่  สตรีผู้งดงามพร้อมด้วยมีดคมใต้แขนเสื้อ  เปิดหน้าต่างเข้าสู่ห้องของอัสเซลอย่างช้าๆ  สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านอย่างเงียบเชียบ  เช่นเดียวกับฝีเท้าของนางที่แตะลงบนพื้นหิน
หญิงสาวก้าวเข้าไปใกล้ชายหนุ่มผู้กำลังนิทราอย่างสบายอารมณ์  อาวุธในแขนเสื้อที่หยิบยกขึ้นมาอย่างช้าๆ  น้ำเสียงหวานหูซึ่งบัดนี้เปรียบเสมือนยาพิษอันร้ายแรง  กลั่นกระซิบผู้ที่กำลังหลับใหล  “ต้องขอโทษด้วย  แต่เจ้าเองก็ผิด...ผิดเพราะมาที่นี่  ทำให้ข้าต้องไล่ล่าถึงสองครั้งสองครา!”
ทันใดนั้นเอง ดวงตาของผู้ถูกปองร้ายได้เปิดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว  เขาผลักกายของสตรีนักล่าออกอย่างรวดเร็ว  พร้อมกันนั้นยังบิดเอามือข้างที่ถือมีดจนต้องปล่อย  หากแต่มือของหญิงสาวได้เอื้อมคนจุดบริเวณแผลอันน่าหวาดกลัว  ไม่ใช่เพียงแค่เป็นปฏิกิริยาโต้ตอบให้ชายหนุ่มบาดเจ็บกับบาดแผลเท่านั้น  มันยังช่วยพิสูจน์ข้อข้องใจบางอย่างแก่นางด้วย  ข้อข้องใจว่าเขามีบาดแผลร้ายแรงอยู่จริงหรือไม่
อัสเซลลอกหน้ากากอันขาดวิ่นนั่นให้เห็นใบหน้าชัดเจน  ในขณะที่จ้องมองไปยังใบหน้าของสตรีนักฆ่า  ซึ่งราวกับถอดแบบมาจากไดอาน่าอย่างไม่ผิดเพี้ยน
“เป็นเจ้าจริงๆ  สวมหน้ากากน่าเกลียดนั่นกระทั่งยามนอน  คิดจะปิดบังใครงั้นรึ?”  ดวงตาของนางแวววาวขึ้น  โดยหยิบดาบประจำหน้าที่องครักษ์ใกล้ๆนั้นขึ้นมาแทนของที่ถูกยึดไป  “ไม่นึกเลยว่าจะเดินทางมาถึงอาณาจักรของข้าแบบนี้  น่ากลัวว่าหากเจ้าถูกปลิดชีวิตที่นี่  สงครามคงจะปะทุขึ้นโดยเร็ววัน”
อัสเซลไม่คิดปรานี  ถึงแม้คู่ต่อสู้จะเป็นหญิงหรือไม่  ในยามนี้นางก็ดูอันตรายและเปี่ยมด้วยความเจ้าเล่ห์  อีกทั้ง คำพูดเหล่านี้ไม่ต่างจากการแอบอ้างว่าตนเองคือเจ้าหญิงแห่งโลนอนซิลหรอกหรือ    หากปล่อยไว้แบบนี้คงเกิดเองวุ่นวายตามมาอีกมาก...ทว่า นั่นหมายถึงนางไม่ใช่เจ้าหญิงจริงๆดังที่เขากำลังวาดหวังไว้
สตรีนักสังหารล่วงรู้ถึงความในใจนั้นดี  จึงได้บรรยายถึงความหอมหวานของรสขนมในค่ำคืนของการเดินทางนั้น  ยังไม่นับรวมเรื่องความสนุกสนานระหว่างการเล่าวีรกรรม  กระทั่งการขัดคอชวนให้ขบขันระหว่างองครักษ์  ราวกับว่าได้ประสบพบเจอกับตาของตนเองเลยทีเดียว
ในขณะเดียวกันนั้น นางอครุ่นคิดไม่ได้  ถึงจะมีฝีมือมากและถืออาวุธยาวกว่า  บุรุษตรงหน้าก็ใช่ว่าจะอ่อนด้อยแต่ประการใด  อีกทั้งหากจวนตัวจริงๆคงเรียกทหารองครักษ์ในละแวกนี้มาโดยไม่คำนึงถึงความลับเรื่องใบหน้าอีกต่อไป  ในขณะเดียวกัน นางคงเป็นคนที่ถูกเปิดเผยจนการเดินหมากที่แล้วมาต่างล้มครืน 
อัสเซลหรี่ตาลงอย่างจับสังเกต  ดูเหมือนว่าคนลังเลจะไม่ใช่เขาเท่านั้น  ทว่า ไฉนคนตรงหน้านี้จึงปรารถนาในสงคราม  นางมีส่วนได้ส่วนเสียจากเหตุการณ์นั้นรึ  งั้นคงเป็นเรื่องที่ซับซ้อนพอสมควร  เพราะการที่สองอาณาจักรกันเป็นศัตรูก็เพราะความแค้นที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน  จนโยงใยไปยังผลประโยชน์ต่างๆหลายทางเลยทีเดียว
ไม่มีสิ่งใดประกันว่าโอเทล์มจะชนะสงคราม  และไม่มีสิ่งใดประกันว่าโลนอนซิลจะพ่ายแพ้  สิ่งที่สตรีตรงหน้าทำอยู่ไม่ต่างจากการเดิมพันครั้งสำคัญ  อันแลกมาด้วยเลือดเนื้อ สงครามและความอดอยากของประชาชนในอาณาจักร!
แล้วผู้ที่ลงแรงสร้างความปั่นป่วนเบาๆใต้ผิวคลื่นน้ำอันแสร้งสงบนี้  นางเป็นใครกัน?
“ก่อนจะถามนามผู้อื่นต้องเอ่ยนามตนฉันใด  ก่อนจะถามผู้อื่นย่อมต้องตอบคำถามก่อนฉันนั้น”  นางเล่นลิ้นอย่างไร้ความกังวล  พลางลดความระมัดระวังทั้งหมดอย่างง่ายดาย  ในเบื้องลึกมันคือการหยั่งเชิงอย่างหนึ่ง  “หากข้าจำคนที่เกือบจะเอาชีวิตได้ไม่ผิดล่ะก็  ไฉนท่านจึงมาที่นี่กันเล่า?  ข้ารอเวลาจะให้สองอาณาจักรห่ำหั่นกันมาเนิ่นนานแล้ว  รอวันจะได้ปลดมงกุฎราชาแห่งโอเทล์ม  เหยียบย่ำเจ้าชายไว้ใต้ฝ่าเท้า  แล้วครองอำนาจเบ็ดเสร็จทั้งหมด!”
แม้จะเป็นเพียงมีดสั้นอันเล็กที่เทียบไม่ได้กับดาบองครักษ์  อัสเซลก็เตรียมจะรุกไล่อย่างเต็มที่  โดยสตรีซึ่งแทบจะไม่ทันตั้งตัวถึงกับถอยร่นไปหลายก้าว  หากแต่ความได้เปรียบของอาวุธช่วยไว้ได้อย่างเฉียดฉิว  หรือไม่แน่...หากนางอ่อนด้อยกว่านี้อีกนิด  บางทีคงจะได้หลั่งโลหิตสักแผลแน่นอน
ถึงกระนั้น สตรีนักฆ่าอดครุ่นคิดไม่ได้  การเผยช่องว่างเมื่อครู่ถือเป็นการเปิดโอกาสอย่างหนึ่ง  ลำพังฝีมือของอัสเซลน่าจะได้มากกว่ารอยบาดผิวบางเบา  ไยจึงเลือกจะยั้งไว้ไม่ให้นางบาดเจ็บสักนิดเล่า...?
คำตอบอยู่ไม่ไกลนี้เอง  เดิมที การที่ตัวตนของเขาอยู่ที่นี่ก็เป็นสิ่งพิสูจน์ดีพอแล้วไม่ใช่หรือ
ดาบประจำตำแหน่งกับมีดสั้นถูกเปลี่ยนคนใช้อย่างสิ้นเชิง  บัดนี้มันกำลังถูกเสียดสีอย่างชิดใกล้  ใบหน้าของคนทั้งสองห่างจากคมของอาวุธเพียงเล็กน้อย  ในขณะที่อัสเซลเปี่ยมไปด้วยความเคร่งเครียด  ใบหน้าของสาวน้อยผู้มีนัยเนตรสีชาดกลับส่อความสนุกสนาน
น้ำเสียงนั้นเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยนดุจเจ้าหญิงไดอาน่าที่ทุกคนคุ้นเคย  “หากว่าความแค้นเคืองของเจ้าร้อนแรงมากไปกว่านี้  ข้าคงต้านกำลังของเจ้าไม่ไหวอีกต่อไป  แม้จะเป็นเช่นนั้น...”
ดวงตาสุกใสของนางจับจ้องเขาอย่างวอนขอ  ก่อนจะลดแรงลงเรื่อยๆจนคมดาบของตนเริ่มเข้าใกล้ลำคอระหงมากขึ้นเรื่อยๆ
“ปล่อยข้าไปได้ไหม...ที่รักของข้า?”
เรี่ยวแรงที่กดลงมาเสมือนหายไปวูบหนึ่ง  แต่นั่นเพียงพอสำหรับหญิงสาวแล้ว  นางหัวเราะเยาะเชิงชัยชนะในฐานะที่ทายถูก  อาจเพราะนางกล้าเสี่ยงกับการที่อีกฝ่ายไม่มีความกระหายเลือดต่อคู่ต่อสู้เลยก็ว่าได้  ไม่ใช่การคำนวณอันเดิมพันกับโชคชะตาเท่านั้น
สุดท้าย อัสเซลได้แต่มองร่างของศัตรูลับหายไปในความมืดมิดของปราสาท  ใช่ว่าเขาหวาดหวั่นในฝีมือจนไม่กล้าที่จะไล่ตาม  แต่เป็น ‘ตัวตน’ ของนางที่เขาไม่กล้าจะล่วงรู้มากกว่า
ชายหนุ่มก้มลงเก็บอาวุธที่นางแลกกลับคืน  ก่อนจะมองตราแห่งกองกำลังคุ้มกันอันสลักลงบนตัวดาบอย่างงดงาม  มันคือเครื่องหมายแห่งการพิทักษ์รักษาสาวน้อยผู้สูงศักดิ์คนนั้น  ในขณะเดียวกัน มันก็สะท้อนถึงความลังเลของเขาออกมาอย่างเต็มที่
อัสเซลจุมพิตตราสัญลักษณ์นั้นเบาๆ  ก่อนจะเริ่มต้นค่ำคืนที่ยาวนานโดยไร้ซึ่งการนิทราแม้แต่น้อย
 
ในเช้าวันรุ่งขึ้น เจ้าหญิงไดอาน่ามองสหายคนสำคัญสลับกับองครักษ์ผู้สวมหน้ากากแตกต่างจากผู้อื่นที่สุด  ดูเหมือนว่าเช้านี้จะไม่เช้าที่สดใสนัก  หรือว่าเมื่อคืนนี้ฟิลลิปป์เกิดเหตุการณ์ขัดแย้งกันกับซิลเวอร์งั้นรึ? 
สำหรับอัสเซล...นางคิดว่าควรถามด้วยความห่วงใยตามปกติมากกว่า  ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครรายงานเหตุการณ์วุ่นวายอะไรให้นางได้ทราบข่าว  หากจะมีเรื่องกลุ้มใจใดสักอย่างคงเป็นเรื่องส่วนตัวมากกว่าหน้าที่  และแน่นอนว่าการไถ่ถามผู้คุ้มครองเมื่อมีสิ่งไม่สบายใจ  เจ้าหญิงคิดว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสมอย่างหนึ่ง  เขาคิดจะเลี่ยงก็ไม่เป็นไร  เจ้าหญิงเข้าใจว่าทุกคนย่อมมีความลับด้วยกันทั้งนั้น  เพียงแค่เขารู้สึกว่านางใส่ใจ  ไม่ใช่เป็นแค่องครักษ์ที่ถูกมองผ่านเลยในแต่ละวัน
นัยนเนตรสีน้ำตาลจ้องมองนางมาอย่างล้ำลึก  แฝงด้วยความรู้สึกอันชวนให้อึดอัด  นั่นสร้างความลังเลให้แก่ผู้ถามไม่น้อยเลยทีเดียว  ซ้ำด้วยน้ำเสียงอันเย็นเยือกประหนึ่งกดดัน  “ฝ่าบาทไม่ต้องกังวลกับเหตุการณ์เมื่อคืนหรอกพะยะค่ะ  เพราะข้าพระองค์เข้าใจว่าเป็นเพียงการ ‘ล้อเล่น’ เท่านั้น”
ฟิลลิปป์ละจากแก้วน้ำชาที่นั่งจิบมาตลอดหลายนาทีอย่างเงียบงัน  พลางสบตากับเจ้าหญิงไดอาน่าผู้ทำหน้างุนงง  เขาใช้เวลาทั้งค่ำคืนกับคนรักเพื่อซึมซับสิ่งต่างๆให้มากที่สุดในทุกเวลา ทุกวินาที  หรือว่าเกิดเรื่องบางอย่างในระหว่างที่เขาอยู่กับซิลเวอร์ที่หอคอยราชินี
แต่ในที่นี้...ไม่มีผู้ซึ่งควรจะเป็นอัศวินสีเงินเลยแม้แต่น้อย
ไดอาน่าสั่นศีรษะเบาๆ  แล้วหันไปมององครักษ์ผู้แสดงความผิดออกมาตลอดทั้งเช้าวันนี้อีกครั้ง  ซึ่งอัสเซลไม่ได้สบตาใครระหว่างเอ่ยออกมาแม้แต่น้อย  “ได้โปรดอย่าคิดว่าข้าพระองค์กำลังล่วงเกิน  แต่ช่วยบอกสักนิด...ฝ่าบาทคิดอย่างไรกับโอเทล์มงั้นหรือพะยะค่ะ”
เจ้าหญิงนิ่งอึ้งอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก  อดเหลือบมองไปทางดาบเหน็บเอวของอัสเซลไม่ได้  ซึ่งผู้ถูกจับจ้องรู้ดี  เขาคุกเข่าลงแนบพื้นหนึ่งด้านแล้วชักมันออกมาวางลงบนมือของสาวน้อยสูงศักดิ์  เสมือนจะสื่อว่าดาบแห่งการปกป้องนาง  จะไม่มีวันหันใส่อย่างแน่นอน  ถึงกระนั้น น้ำเสียงของเขายังคงลุ่มลึกอย่างเจ็บปวด
“ฝ่าบาทเคยคิดจะปลดมงกุฎของราชาแห่งโอเทล์ม  คิดจะเหยียบย่ำเจ้าชายอย่างไม่ใยดีหรือไม่  คิดจะสร้างสงครามระหว่างอาณาจักรบ้างไหม!”
สิ้นคำนั้นเอง เหล่าองครักษ์ที่เห็นท่าไม่ดีตั้งแต่ต้นต่างกรูเข้ามาเพื่อจับตัวชายหนุ่มไว้อย่างรวดเร็ว  เขาถูกกดลงกับพื้นจนร้องขึ้นมาด้วยแรงกระแทก  หากว่าเขาไม่ใช่องครักษ์ที่เริ่มคุ้นเคยกันมาก่อน  บางทีความรุนแรงอาจมากกว่าอีกหลายเท่า  แต่ความเจ็บปวดนั้นอาจช่วยเรียกสติได้ดี  ในตอนนี้แววตาของเขาเริ่มสงบลงแล้ว
เจ้าหญิงส่งสัญญาณให้รอบข้างปล่อยตัวเขา  ซ้ำยังประคองขึ้นมาอย่างช้าๆด้วยความเป็นห่วงในอาการ  อัสเซลมองดาบที่กลับคืนปลอกด้วยความไม่เข้าใจ  ใบหน้าของเขาถูกนางประคองไว้อย่างอ่อนโยนเช่นเดียวกับน้ำเสียง  ในขณะเดียวกันมันแฝงด้วยการบังคับไม่ให้หลบตา  “มีเรื่องอะไรที่ข้าควรรู้ใช่ไหม”
ทุกสิ่งคือความเงียบ...ไดอาน่าจ้องลึกเข้าไปในตาของผู้ที่ไม่ยอมปริปาก  สุดท้ายจึงถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา  ออกคำสั่งให้ทุกคนโดยรอบออกไปจากที่นั่น  นางจะเริ่มทำการสืบสวนความจริงจากชายหนุ่มตรงหน้านี้เพียงลำพัง  แม้ว่านางอยากให้ฟิลลิปป์คอยอยู่ช่วยให้นางเข้มแข็งขึ้นอีกหน่อย  ความสับสนในใจของเขามันมีมากเกินไป  อีกทั้ง เรื่องนี้ดูจะพัวพันกับอาณาจักร  มันคงมากเกินไปสำหรับเขา  ถึงเด็กหนุ่มจะเอ่ยปากขึ้นมาอย่างเป็นห่วง  สาวน้อยสูงศักดิ์จึงได้แต่ปฏิเสธ
เจ้าหญิงดึงเขาให้นางลงตรงข้ามที่เก้าอี้ยาวหนานุ่มสวยงาม  พลางยื่นแก้วน้ำชาให้เขาดื่มเพื่อสงบใจมากกว่านี้  นางเองก็คงต้องดื่มเช่นกัน  เพื่อเตรียมใจฟังเรื่องราวทั้งหมดซึ่งส่อแววไม่ความยุ่งเหยิง
“เจ้ามาจากโอเทล์ม  ถึงจะบอกว่าภักดีต่อเรามากเพียงใด  กายของเจ้าก็ยังคงเป็นโอเทล์มอยู่ดี  ข้าเข้าใจในความเป็นห่วงต่อบ้านเกิดเมืองนอน  บางทีข้าอาจเอ่ยอะไรที่ทำให้เจ้ารู้สึกว้าวุ่นใจ”  นอกจากเป็นการเริ่มบทสนทนา  ยังเป็นสิ่งที่คล้ายจะหวังว่าเรื่องคงจบลงแค่นั้นของเจ้าหญิงอีกด้วย
ความเงียบงันยังคงปกคลุมต่อไปจนน่าอึดอัด  ไดอาน่าขยับตัวเพียงเล็กน้อยเสมือนถูกความกดดันนี้ดึงเข้าไปรบกวนกระทั่งการเคลื่อนไหว  สุดท้ายจึงจบลงด้วยการมอบน้ำชาให้เขาอีกแก้ว  ซึ่งนางหวังว่ามันจะช่วยให้เขาพูดได้บ้าง  แน่นอนว่าต้องไม่ใช่คำบอกปัดว่าเรื่องทั้งหมดเป็นความฟุ้งซ่ายในใจอย่างกะทันหันแน่
จวบจนน้ำชาแก้วที่สาม  ในที่สุดชายหนุ่มตรงหน้าจึงทำให้เจ้าหญิงเบาใจลงบ้าง  ด้วยการเอื้อนเอ่ยเป็นคำแรก  ซ้ำยังเป็นคำแรกที่ชวนให้งุนงงอย่างที่สุด  อัสเซลต้องการรู้ว่านางอยู่ที่ไหนเมื่อกลางคืนที่แล้วกัน?
“ข้าก็ย่อมพักอยู่ในห้องอย่างแน่นอน”  เจ้าหญิงพยักหน้ายืนยันเล็กน้อย  แววตาเริ่มคมกริบขึ้นมาบ้าง  “หรือว่าเจ้าพบข้ากำลังเดินอยู่ในที่แห่งใด”
ปฎิกิริยาของนางทำให้เขาไม่ไว้ใจ  ด้วยความคิดไปอีกทางว่านางกำลังรู้สึกตึงเครียดกับสิ่งที่ได้กระทำลงไปในอดีต  หากแต่ถ้านางรู้เรื่องทั้งหมด  ไฉนในเช้าวันนี้จึงกระทำเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  นอกจากจะคืนดาบกลับมาข้างกายเขาแล้ว  ยังไม่เรียกองครักษ์กลับมาในห้อง  หากไดอาน่าเป็นสตรีนักฆ่าของแท้  นางคงไม่ไว้ใจเขามากถึงขนาดนี้
ดวงตาของเขาหลุบลงต่ำ  ถึงจะบอกว่าไม่มีอะไรเพื่อหลีกเลี่ยงความวุ่นวายและการบอกเล่ารายละเอียด  คนที่จะไม่ยอมคงกลายเป็นอีกฝ่ายไปแทน  เพราะความเลือดร้อนของเขาแท้ๆ  หรือเพราะคำพูดลงท้ายอันชวนให้สับสนของสาวน้อยคนนั้นกันหนอ  อัสเซลอดยิ้มเยาะต่อตนเองที่สร้างปัญหาขึ้นมาไม่ได้  ทว่า...เขาอยากรู้ว่าคำพูดนั้นใครเป็นคนพูด  แล้วนางรู้สึกอย่างนั้นรึไม่  หรือเพียงแค่พูดจาหลอกล่อเขาอย่างไร้ปรานีต่อผู้ที่ได้สดับฟัง
อัสเซลไม่ใส่รายละเอียดลงไปในส่วนนั้น  หากแต่พูดถึงคำพูดหยามเหยียดต่อโอเทล์มและใบหน้าที่เสมอเหมือนกับเจ้าหญิงไม่มีผิดเพี้ยน
“เมื่อคืนข้าอยู่ในห้องจริงๆ  รวมทั้งไม่คิดจะสร้างสงครามใดอีกด้วย  เจ้ารู้ดีว่าข้าชื่นชอบในความสงบสุขอย่างที่เป็น  มากกว่าถวิลหาความยิ่งใหญ่เหล่านั้น”  ไดอาน่ายิ้มอย่างอ่อนโยน  ก่อนจะกล่าวถามสิ่งสำคัญบางอย่าง  นั่นคือการที่สตรีนักฆ่าลอบเข้ามาอย่างง่ายดาย  ซ้ำในบรรดาห้องพักนับร้อยพันขององครักษ์  ยังเจาะจงไปยังเขาอย่างไม่ลังเล  นางคงไม่สุ่มจากหน้าต่างเอาเท่านั้นหรอกนะ...?
อัสเซลนิ่งไปหนึ่งชั่วอึดใจ  แต่ในคำถามนั้นมีสิ่งหนึ่งที่เขาไม่ลังเลในการตอบ  “ข้าเองก็ไม่ทราบว่าทำไมนางถึงลอบเข้ามาได้  ถึงแม้จะเลือกข้าในฐานะที่เป็นชาวโอเทล์ม  การจะรู้ว่าข้าอยู่ที่ไหนไม่ใช่เรื่องง่ายดังที่ท่านว่า  เว้นซะแต่นางจะสมรู้ร่วมคิดกับใครบางคน...หรือเคยลอบเข้ามาสำรวจเส้นทางเอาไว้ตั้งแต่ต้น”
ไดอาน่านึกถึงเหตุการณ์ในมื้อเย็นวันนั้น  เมื่อครั้งที่มีซาร่า นางกำนัลผู้มีหน้าที่เสิร์ฟอาหารตัวปลอมได้ปรากฏตัวขึ้น  บางทีอาจเป็นฝีมือของคนเดียวกันนี้  เจ้าหญิงหลับลงไม่กี่วินาที  ก่อนจะเปิดออกมาพร้อมความสดใส  นางลุกขึ้นพลางบอกให้เขาเปลี่ยนเป็นชุดชาวบ้าน  เพราะนางต้องการจะออกไปข้างนอกอย่าง ‘เป็นความลับ’
นางอธิบายต่ออัสเซลถึงความไม่สบายใจของฟิลลิปป์  ซึ่งจะเป็นซิลเวอร์หรือเขาก็ต่างเงียบไว้ทั้งนั้น  แม้นางจะไม่ถามไถ่ถึงห้องพัก  อัศวินสีเงินกลับไม่คิดที่จะเปิดประตูออกมาเลยด้วยซ้ำ  บางทีการพาเด็กหนุ่มที่ยังยินยอมมาอยู่เคียงข้างนางไปยังสถานที่อันคุ้นเคย  อาจทำให้ทุกอย่างดีขึ้นมาบ้าง
เจ้าหญิงไดอาน่ายืดกายตัวอย่างงามสง่าด้วยสีหน้าที่อยากจะลองเดิมพันดูสักครั้ง  “ข้าเองก็อยากทราบว่า ‘สตรีผู้รอบรู้’  ยังจะรอบรู้เรื่องอะไรได้มากไปกว่านี้อีก!”
 
เมื่อมาถึงหมู่บ้าน สาวน้อยในชุดสามัญธรรมดาทอดสายตามองสหายด้วยความเห็นใจ  พวกผู้ใหญ่บางคนอาจจะจับสังเกตกับท่าทีผิดปกติของเขาได้  แต่ไม่ใช่กับเด็กน้อยใหญ่ที่ยังไม่ประสา  พวกเขานั่งลงฟังนิทานอันแว่วหวาน  พร้อมทั้งออกความคิดเห็นไปต่างๆนานา  เรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มฝืนความกลัดกลุ้มของนักเล่าได้เป็นอย่างดี
อัสเซลเรียกให้นางมาอีกทางหนึ่ง  แม้การเข้าไปพูดคุยจะเป็นสิ่งดีสำหรับเพื่อน  แต่นั่นหมายถึงในยามที่อยู่เพียงลำพัง  หากว่านางเผลอหลุดปากให้คนโดยรอบเริ่มสนใจใคร่รู้ขึ้นมา  การมายังหมู่บ้านแห่งนี้คงจะไร้ประโยชน์
คนทั้งสองเดินไปเรื่อยๆตามหนทาง  เฝ้ามองดูความทุกข์สุขของผู้คน  ทั้งการดำรงอยู่และการมีมิตรสัมพันธ์ต่อกัน  แม้จะไม่ได้อยู่อย่างเลิศหรูอะไร  คนที่นี่ก็ท่าทางจะมีความสุขดี  มีการช่วยเหลือ มีการแบ่งปัน  รวมทั้งใบหน้าอันยิ้มแย้มเปี่ยมด้วยชีวิตชีวา  เป็นสถานที่อันสวยงามในหลายด้านเลยทีเดียว
“ไม่มีอะไรดีเพียงอย่างเดียว”  อัสเซลเตือนสติด้วยน้ำเสียงเนิบช้า  “ท่านยังจำแมดดิน่าได้ไหม?  เพราะข้าเผลอทำอาวุธบาดผิวนางไปโดยไม่ตั้งใจ  จึงคิดว่าการไปดูอาการสักหน่อยคงไม่เสียหายนัก  รวมทั้งพวกชาวบ้านเองก็ทารุณนางไม่น้อยเลย  ตอนนี้นางน่าจะหายเป็นปกติแล้ว  อย่างน้อยก็ในแง่ของบาดแผล”
ไดอาน่าขมวดคิ้วเล็กน้อยระหว่างเดินตามองครักษ์ของตน  ในละแวกนี้เริ่มออกนอกเขตหมู่บ้านขึ้นเรื่อยๆ  ผู้คนหรือบ้านก็เบาบางจนไม่น่าไว้ใจ  แม้ว่าจะเป็นยามกลางวันเช่นนี้ก็ตาม  เจ้าหญิงรั้งแขนคนนำทางไว้ให้เขาบอกจุดหมายที่จะถึงก่อน  ใช่ว่าเรื่องการกระทำประหลาดช่วงเช้าจะหายไปกับคำกล่าวอ้างเหล่านั้น  ใครจะรู้ว่าสตรีนักฆ่าจะเป็นเพียงเรื่องเท็จหรือไม่
ยังไม่ทันที่อัสเซลจะตอบอะไร  หญิงสาวในชุดคลุมมอมแมมได้ปรากฏตัวขึ้น  นางเดินโซเซมาทางพวกเขาอย่างช้าๆ  ครั้งนี้นางไม่ได้หิ้วตะกร้าเพื่อรับข้าวของจากชาวบ้านแต่อย่างใด  กลับเป็นภาชนะรองน้ำเก่ามีรอยผุด้านข้าง  กว่าจะเติมเต็มถังใหญ่ๆสักใบคงกินเวลาหลายชั่วโมงเลยทีเดียว
อัสเซลเรียกนางไว้ให้ทำความรู้จักกับไดอาน่า  โดยที่ฝ่ายหลังแสดงความหวั่นเกรงออกมาไม่น้อย  เนื่องจากรัศมีคมมีดที่เกือบจะแทงตรงเข้ามาช่างใกล้เหลือเกิน
“ไม่ใช่แม่มด...  ไม่ใช่แม่มด...”  แมดดิน่าทวนคำซ้ำไปมา  แล้วเผยสีหน้าซึมเศร้า  “แต่ข้าแทงไปแล้ว...”
“นางปลอดภัยดี  ไม่มีใครได้รับอันตรายทั้งนั้น”  อัสเซลกล่าวปลอบ  พลางเล่าถึงการช่วยเหลือหญิงสาวเสียสติผู้บาดเจ็บในครั้งก่อน  ดูเหมือนว่าการอธิบายให้นางเข้าใจจะเป็นวิธีที่ดี  เพราะหลังจากนั้นแมดดิน่าก็แสดงความสำนึกผิดออกมาไม่น้อย  แม้ว่าชาวบ้านพวกนั้นจะเป็นฝ่ายทำให้นางบาดเจ็บด้วยเช่นกัน
จากข่าวคราวที่เขาสอบถามจากคนต่างๆมา  อดีตก่อนจะได้มาพักอาศัยยังริมบึงไม่ใกล้ไม่ไกลจากท้ายหมู่บ้าน  แมดดิน่าเคยอยู่ในสถานที่อันน่ากลัว  ณ ที่นั้นไม่เหลือสตรีเพศอยู่เลยแม้แต่น้อย  หากนับรวมกับอาการซึ่งได้แสดงออกมา  บางทีสาเหตุของเรื่องราวอาจเป็นคณะล่าแม่มดของอาณาจักรใดสักแห่งก็เป็นได้  ด้วยการฝังใจในเรื่องเหล่านั้น  จึงเริ่มหวาดกลัวต่อพวกผู้ที่คิดว่าใช้มนตร์ดำ  อันเป็นสิ่งที่เรียกให้คนอำมหิตมาไล่จับไปทำร้ายอย่างหนักหนา  ซึ่งพวกเขากระทำราวกับว่าผู้หญิงเหล่านั้นไม่มีเลือดเนื้อ  ไร้ความเจ็บปวดหรือทรมาน!
ไดอาน่ารับฟังเรื่องราวเหล่านั้นอย่างเงียบๆ  แม้จะไม่ได้กล่าวคำใดออกมา  ความไม่เห็นด้วยยังคงแสดงออกมาทางแววตาสีชาดคู่นั้น  แม้ในโลนอนซิลจะไม่มีการล่าแม่มดอย่างเป็นทางการ  ความเชื่อกึ่งหวาดกลัวของคนบางกลุ่มยังคงขจรขจายเข้าไปทำร้ายผู้บริสุทธิ์อยู่เสมอ...
ความคิดเหม่อลอยของนางหยุดลงกะทันหัน  เมื่อมีบุปผาเล็กๆสีน้ำเงินสวยดอกหนึ่งมอบมาตรงหน้า  เป็นดอกไม้ที่เข้มสวยท่ามกลางแสงยามทิวา  ทั้งที่เป็นสิ่งสวยงามอย่างมากมาย  ผู้คนไม่น้อยได้เดินผ่านเมินไปอย่างไม่คิดปรายตา  แล้วดอกหญ้าดอกนี้หมายถึงอะไรงั้นหรือ
เดิมทีดอกหญ้าน่าจะหมายถึงการวอขอว่าอย่าผูกมัดกันเลย  แต่นางไม่ได้ผูกมัดบังคับให้นำทางไปไหนไม่ใช่รึ?
“ไม่มีความหมายของใดเลย”  เขาบรรจงวางบุปผาสีน้ำเงินลงกลางฝ่ามืออันเรียวงามของนาง  “เพียงแต่มันสวย งดงาม และรื่นเริงรับแสงอย่างสดใสในทุกวัน  แม้ว่าผู้คนจะไม่เคยหันมาหา  แม้ว่าใครจะเหยียบย่ำอย่างไร้ค่า  ก็ยังคงมีดอกหญ้าที่รอดมาจากสิ่งเหล่านั้น  แล้วชูช่อรับแสงอาทิตย์ขึ้นมาอีกครั้งและอีกครั้ง  ฉะนั้น ท่านอย่าได้เศร้ากับเรื่องราวของแมดดิน่าไปเลย  เพราะนางเองต้องมีวันที่ได้อาบแสงแดดอันอบอุ่นอย่างมีความสุขเช่นกัน”
เป็นครั้งแรกที่ไดอาน่ามองเขาด้วยความทึ่ง  กลีบบุปผาสีน้ำเงินในมือนางกระทบกับแสงอย่างงดงาม  ราวกับตอบรับในคำพูดของชายหนุ่ม
ดอกไม้อันไร้ค่าไร้ความหมาย  หากแต่สามารถปลอบประโลมได้กระทั่งผู้ที่มีฐานะสูงศักดิ์อย่างเจ้าหญิง  สาวน้อยกล่าวขอบคุณต่อมุมมองใหม่ที่เขาได้เปิดกว้างให้กับนาง  ไม่แน่ว่าสิ่งนี้อาจช่วยให้เพื่อนคนสำคัญกลับมายิ้มแย้มได้บ้าง  ฟิลลิปป์เป็นคนที่มีแรงดึงดูดอย่างประหลาด  นัยเนตรของเขาเมื่อแฝงด้วยความเศร้า  มันก็สื่อตรงลงมาจนผู้พบสบตาอยากจะทำให้มันมีความสุข
อัสเซลแสร้งเดินนำไปเรื่อยๆโดยไม่ยอมสบตากับไดอาน่า  ในขณะที่ถามบางสิ่งซึ่งติดค้างอยู่ในใจตั้งแต่เมื่อครั้งที่ไปคอนชายส์แล้ว  ทำไมนางจึงต้องใส่ใจสำคัญกับคนธรรมดาคนหนึ่งนัก  เขาอาจเป็นสหาย เป็นคนรักของพี่ชาย และเป็นคนเดียวที่ไม่ได้สวมหน้ากากในปราสาท  แต่ความใส่ใจของนางชวนให้เข้าใจผิดเหลือเกิน  กอปรกับการที่ซิลเวอร์ไม่ได้มาคอยอยู่เคียงข้างตลอดเวลา  พวกเขาที่ทำสิ่งต่างๆร่วมกันเกือบทั้งวันอาจเป็นสิ่งที่ทำให้เจ้าหญิงหวั่นไหวก็เป็นได้
“บอกข้าทีว่าที่เจ้าถามแบบนี้ไม่ใช่การไหว้วานจากเขา”  นางกล่าวเสียงกลั้วหัวเราะ  เจ้าหญิงรู้จากพี่ชายต่างสายเลือดแล้วว่าเขาทราบถึงตัวตนใต้หน้ากากและบทบาทนั้น  ก่อนจะเปล่งความเคร่งขรึมแกมโดดเดี่ยวออกมาทางแววตาคู่งาม  “ไม่หรอก...ไม่ใช่แค่ข้าไม่รักเขา  ข้าไม่อาจรักใครได้เลยต่างหาก  อาจเป็นความขี้ขลาดของตัวเองก็ได้  แต่หากข้ารักคนที่ไม่อาจเป็นไปได้  ข้าต้องฝ่าฟันสิ่งต่างๆอีกเท่าไหร่  หนทางสู่บัลลังก์เปิดทางให้ข้าตั้งแต่สัมผัสโลกในวินาทีแรก  แล้วข้าจะทำให้มันมัวหมองได้อย่างไร  ข้าต้องวิวาห์กับผู้ที่ควรคู่จึงจะถูกต้อง”
ไดอาน่าเป่ากลีบดอกไม้ออกไปตามสายลม  เมื่อหมดการบังคับด้วยสิ่งนั้น  กลีบสีน้ำเงินจึงลู่ตกลงสู่พื้นดิน  ปะปนไปกับเศษผงมากมายจนแปดเปื้อน  แม้จะเป็นความสวยงามในเชิงของธรรมชาติ  หากแต่เมื่อเก็บขึ้นมาก็ต้องเปื้อนดินไปด้วย  การเก็บมันไว้จนหลงลืมกลายเป็นฝุ่นไร้ค่า  คงไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่นัก
“องค์ราชาชาชินีไม่เคยคิดเช่นนั้น  พระองค์เพียงต้องการท่านได้อยู่อย่างมีความสุขกับผู้ที่ท่านรักและรักท่าน”  เขาจุมพิตที่กลีบดอกไม้สีน้ำเงินดอกใหม่เบาๆเพื่อมอบแด่เจ้าหญิงไดอาน่า  “ท่านชื่นชอบการฟังนิทานหรือไม่?  ถึงอย่างไรให้ข้าได้ลองถึงเรื่องของคนคนหนึ่ง  รักของเขาเป็นเพียงเรื่องต้องห้าม  เกิดขึ้นมาจากมึนงงต่อเส้นทางในปราสาทใหญ่  แม้นางจะจำเขาไม่ได้...”
คำตอบของไดอาน่าคือบุปผาที่ร่วงหล่นลงสู่พื้นและการหันหลังกลับ
 
ในค่ำคืนนั้น แม้จะเป็นแรมเจ็ดค่ำที่ดวงจันทร์หายไปครึ่งหนึ่ง  แสงที่ส่องมายังคงไม่มืดมัวมากนัก  ผู้ที่กำลังเอนกายอยู่บนเตียงอันกว้างขวางไม่ได้หลับ  ทั้งที่ตอนนี้ผ่านไปกว่าค่อนคืนแล้วแท้ๆ  ไม่ใช่เพราะเรื่องตอนกลางวันที่ทำให้นางยังคงใจแข็งต่อความง่วงงุนเป็นแน่  หากแต่เป็นเรื่องของบุคคลหนึ่งซึ่งได้บุกเข้าไปในห้องของอัสเซล
หลังผ่านเรื่องของบุปผาน้ำเงิน  ไดอาน่านำตัวเขามาสอบถามเรื่องราวทั้งหมด  แม้จะรู้ว่าบางส่วนถูกปิดบังไว้  การที่สตรีนักฆ่าแอบอ้างชื่อของนางไปใช้  มันอาจหมายถึงการไม่ได้พุ่งเป้าไปยังเขาเพียงคนเดียว  ถ้าผู้หญิงคนนั้นเป็นคนเดียวหรือพวกเดียวกับซาร่าตัวปลอม  ในคืนนี้...
เสียงฝีเท้าของบุคคลผู้ถูกเชื้อเชิญเชิงล่อหลอกแตะลงมายังพื้นห้องอันหรูหราอย่างเงียบกริบ  ด้วยชุดอันเหมาะพอดีกับกายทำให้การเคลื่อนไหวคล่องแคล่วเป็นพิเศษ  แม้จะเป็นราตรีถัดมาก็ตาม  ใบหน้าอันเสมอเหมือนยังคงไม่เปลี่ยนแปลง  ดุจฝาแฝดของผู้ซึ่งเฝ้ารอมานานจนนาฬิกาทรายพลิกหมุนไปมาอยู่หลายรอบ
ไดอาน่าก้าวลงมาจากเตียงนอนอันหนานุ่มนั่นพร้อมด้วยดาบประจำกายหนึ่งเล่ม  เป็นอาวุธเนื้อดีที่มีความเบาเหมาะสำหรับผู้หญิง
“ข้าต้องบอกหรือไม่  เกี่ยวกับการล่วงรู้แผนการทุกอย่างของเจ้า”  สตรีนักฆ่ากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอันไม่แตกต่าง  “รู้ว่าเจ้าจะมองออกว่าข้าจะต้องบุกมา  รู้ว่าหากเจ้าหายตัวไปจากปราสาทพร้อมสหายรูปงามคนนั้น  สถานที่คงไม่พ้นหมู่บ้านเล็กๆนั่นเป็นแน่”
ในห้องนี้ไม่มีองครักษ์คอยควบคุมอยู่  นางตรวจสอบห้องพักต่างๆอย่างเรียบร้อย  รวมทั้งห้องพักของผู้ที่นางเพิ่งเข้าไป ‘ทักทาย’ ในค่ำคืนที่แล้วด้วย  การเชื้อเชิญในค่ำคืนนี้ของเจ้าหญิงจึงน่าสนใจเป็นพิเศษ  ไดอาน่าไม่ยอมบอกใครด้วยซ้ำว่ามีจุดประสงค์เช่นไร  จะบอกก็เพียงแค่แผนการล่อหลอกเท่านั้น  ซึ่งการตั้งใจให้มันรั่วไหลอย่างลับๆดูจะได้ผลดีทีเดียว  เพราะทั้งที่มีไม่กี่คนที่รู้ในเรื่องนี้  แต่มันกลับส่งทอดมาถึงผู้รับอย่างครบครัน
สิ่งที่เจ้าหญิงต้องการคือ ‘ความจริง’ ทั้งหมด  ทำไมสตรีนักฆ่าจึงจ้องจะทำร้ายนาง  การเกิดศึกสงครามจะมีใครได้ประโยชน์ในเรื่องนี้  หรือกระทั่งเรื่องของอัสเซล  การที่เขาเป็นคนจากโอเทล์มไม่ได้เป็นสิ่งยิ่งใหญ่อะไรขนาดนั้น  ไฉนจึงต้องเข้าไปก่อนจะบุกเข้ามาในห้องของนางด้วยซ้ำ!
เสียงหัวเราะของผู้มาเยือกยามวิกาลช่างน่าหวาดหวั่น  “อัสเซล...องครักษ์นั่นน่ะรึ?  เขาใจร้อนและไม่แนบเนียนเอาเสียเลย  หากเป็นข้าคงสามารถแฝงตัวอยู่ได้หลายสิบปี  อยู่ภายใต้จมูกท่านโดยไม่เผยพิรุธสักนิดอย่างไรเล่า”
ใจร้อน...ไม่แนบเนียน  สองคำนี้คงเป็นสิ่งที่เป็นหายนะของผู้ที่พยามปลอมแปลงตนเป็นคนอื่น  แต่สิ่งที่นางได้สืบค้นมาทั้งหมดยืนยันว่าเขามีอยู่จริง  รวมทั้งบาดแผลไฟไหม้อันน่ากลัวนั้นด้วย  คนของนางล้วนแต่มีฝีมือ  ไม่มีทางพลาดท่าให้กับคำลวงเท็จหรือรายงานสิ่งที่ยังไม่ตรวจสอบให้แน่ใจก่อนเป็นแน่
นัยเนตรของอีกบุคคลหนึ่งที่แฝงตัวอยู่ในห้องของเจ้าหญิงหรี่ลงช้าๆ  เขากำลังหวังว่าทุกสิ่งจะไม่ถูกเปิดเผยออกมา  มือของเขาจับที่มีดสั้นอันคมกริบเอาไว้แน่น  ด้ามของมันทำขึ้นจากทองคำบริสุทธิ์...
เป็นอีกครั้งที่สตรีนักฆ่าได้หัวเราะขึ้นมา  เสียงของนางแหลมบาดหูจนเจ้าหญิงตัวจริงไม่คาดคิดว่าจะได้ยิน  ไม่ว่าคำพูดนั้นจะดูน่าเชื่อถือมากเพียงไร  ทว่า สุดท้ายสิ่งที่ควรเชื่อถือที่สุดคือตัวเอง  หากนางได้กระทำสิ่งต่างๆและไม่รอให้ผู้อื่นหยิบยื่นสิ่งที่ต้องการให้  นางคงจะรู้ว่า ‘อัสเซลแห่งค่ายเชลยบริลดิช’ ไม่เคยมีตัวตนอยู่จริงตั้งแต่ต้น
เสียงของสตรีนักฆ่าแหลมขึ้นเรื่อยๆราวกับความเกลียดชังกำลังลุกโหมขึ้นจากภายในหัวใจอันมืดดำ  “เจ้ารู้หรือไม่  ข้าเป็นสตรีผู้เปี่ยมด้วยความเก่งกาจและใบหน้าที่เหมือนเจ้าหญิงแห่งโลนอนซิล  แล้วเหตุใดกันเล่า...เหตุใด แค่เพียงเจ้ากำเนิดขึ้นมาพร้อมกับสายเลือดแห่งราชวงศ์ที่ข้าไม่อาจมี  เจ้ากลับแตกต่างจากข้าไปเสียทุกอย่าง  มีทุกสิ่งสิ่งซึ่งข้าได้แต่ถวิลหา!”
สาวน้อยผู้มีรูปโฉมไม่แตกต่าง  ได้เล่าถึงความห่างไกลของชะตากรรมราวกับเล่นตลก  เมื่อหนึ่งนั้นคือเจ้าหญิงผู้เปี่ยมด้วยความเพียบพร้อม  ทุกสิ่งล้วนไขว่คว้าได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด  ในเวลาเดียวกันนั้นเอง บุตรีแห่งแม่ทัพผู้ก่อการกบฏกลับถูกเนรเทศออกจากอาณาจักร
ในขณะที่เจ้าหญิงล้วนมีทุกสิ่งรายล้อมอย่างง่ายดาย  กลับมีสาวน้อยผู้เติบโตขึ้นมาพร้อมสิ่งที่เป็นเพียงแค่เรื่องเล่า  เมื่อครั้งที่ทุกอย่างยังคงสมบูรณ์พร้อม  หากทุกสิ่งเป็นไปตามแผนอย่างง่ายดาย  คนที่ได้แต่ฝันเฟื่องถึงข้าวของล้ำค่าหรืออัญมณีตระกาลตาย่อมไม่ใช่นาง!
เมื่อถูกเนรเทศจากโลนอนซิล  สิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้คือการเข้าไปยังโอเทล์ม  แต่การเป็นครอบครัวของผู้ก่อการกบฏซึ่งเหลือเพียงร่างไร้ค่า  ยังจะมีประโยชน์ใดอีกงั้นหรือ?  สตรีผู้มีใบหน้าละม้ายเจ้าหญิงเติบโตขึ้นมาในฐานะทาสของเชื้อพระวงศ์แห่งอาณาจักรนั้นอย่างช้าๆ  รอเวลาจะได้แก้แค้นทุกสิ่งอย่างจากราชวงศ์แห่งโลนอนซิล!
แล้วโอกาสนั้นก็เปิดออกจนได้  เมื่อวันหนึ่งนางได้รับรู้ถึงความเสมอเหมือนของตน  แม้จะต่างที่สีของเส้นผมก็ไม่เป็นไร  ในเมื่อนางสามารถเปลี่ยนมันได้อย่างง่ายดาย  และด้วยความเป็นทาสและการฝึกปรือฝีมือโดยบังเอิญเรื่อยมา  นางสามารถลอบเข้าไปสร้างสถานการณ์ภายในปราสาทของเจ้าชายแห่งโอเทล์มได้สำเร็จด้วยใบหน้าของ ‘เจ้าหญิงแห่งโลนอนซิล!’ 
หน้าตาของนางบิดเบี้ยวระหว่างเล่าถึงแผนการอันชาญฉลาดของตน  ราวกับว่าความบ้าคลั่งได้เริ่มขึ้นอย่างช้าๆ  นางไม่คิดว่าโอเทล์มจะพ่ายแพ้อย่างแน่นอน  ทั้งกองกำลังหรืออาวุธต่างมีเวลาในการตระเตรียมมากกว่าทั้งนั้น  แค่เพียงเติมเชื้อไฟที่เหลืออีกสักนิด  ทุกสิ่งก็จะลุกไหม้เผาลาญดุจเพลิงแห่งความเคียดแค้นได้ทำลายสิ้นทุกสิ่ง!
ในขณะเดียวกันนั้น ข่าวคราวของเจ้าหญิงเดเนียร์จากอาณาจักรพันธมิตรแห่งโลนอนซิล  ซึ่งความเกี่ยวพันทางสายเลือดระหว่างองค์ราชินี  จึงทำให้ใบหน้าของนางคล้ายคลึงกับไดอาน่า
“นี่ไม่เรียกว่าโชคชะตาเล่นตลกหรอกหรือ...?  ข้าผู้ถูกพรากอำนาจและเกียรติยศซึ่งควรจะได้ไป  เจ้าหญิงต่างเมืองผู้หายสาบสูญ  เหลือใครกันเล่าที่ยังคงอยู่  ถ้าไม่ใช่เจ้า!”  นางจับอาวุธในมือจนแน่นเกร็ง  “ข้าจึงใช้นามของนางกับเอกสารปลอมอีกเล็กน้อยในการก้าวเข้ามา  เพื่อพบพานกับเจ้าชายซึ่งอาจหลงรักกับข้า  ด้วยการวิวาห์ด้วยสายเลือดอันใกล้เคียงไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว  แม้จะเป็นเจ้าหญิงของอาณาจักรอันถูกยึดอำนาจ  มันก็ย่อมดีกว่าสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้  แต่แล้วข้าก็พบว่ามันไม่อาจเป็นไปได้เลย  ถึงกระนั้น ใช่ว่าข้าจะไม่ทิ้งอะไรไว้ให้แก่ตัวหมากเจ้าปัญหาหรอกนะ  ถือเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนกับเรื่องราวที่ข้าลงแรงสืบค้นทั้งหมด!”
แม้สิ่งเหล่านั้นจะล้มเหลวไปเช่นไร  ก็ไม่มีความจำเป็นต้องเสียดายให้มากความ  หากแต่สงครามอันวาดเป็นความหวังหลักไว้กลับไม่ปะทุ  ซ้ำยังมีคนที่ชวนคุ้นเคยปรากฏตัวขึ้น  แม้จะปิดบังหน้าตาซีกซ้ายไว้ก็ตาม  เจ้าชายที่ตนจ้องมองเพราะอยากทัดเทียมมาตลอด  กลับปรากฏตัวขึ้นในฐานะผู้อารักขาเจ้าหญิงในแดนศัตรู!?
ความรักต้องห้ามอันทำให้ข้ามน้ำข้ามทะเลมาเพื่อพิสูจน์ความจริง  โอ้...สิ่งนั้นยิ่งทำให้ใจของสาวน้อยผู้สูญสิ้นทุกอย่างตั้งแต่ยังไม่รู้ความ  ยิ่งทวีความริษยาจนแทบเกินจะทานทน  ในเมื่อเขามีใจต่อนางมากมายถึงเพียงนี้  ไยจึงไม่ใช่ประโยชน์ให้มากที่สุดเล่า...?
เมื่อนางเป็นเจ้าหญิงแห่งโลนอนซิลที่เขาหมายปอง  สันติภาพอันเกิดขึ้นท่ามกลางความขัดแย้งเพราะการเจรจาระหว่างสองอาณาจักร  หากเป็นเขาหลงใหลนางมากพอ  ใช่ว่าเรื่องแบบนั้นจะเกิดขึ้นไม่ได้
“งั้น...”  ไดอาน่าหลับตาลงเพื่อรวบรวมสมาธิต่อสิ่งที่กิดขึ้น  ก่อนจะเปิดนัยเนตรอันเด็ดเดี่ยวเข้มแข็งออกมา  “...เจ้าชายโอซิลริคแห่งโอเทล์ม  ท่านไม่มีความจำเป็นต้องหลบซ่อนในที่แห่งนั้นอีกต่อไป”
ดวงตาของสตรีผู้มาเยือนถึงกับเบิกกว้าง  มองดูเขาที่ค่อยๆถอดหน้ากากสีขาวเหลือบเงินอันนั้นออกมา  ตามด้วยหน้ากากแผลน่าเกลียดน่ากลัว  เผยให้เห็นถึงความหล่อประดุจเทพบุตร  ซึ่งถูกหลบซ่อนด้วยสิ่งจำแลงใบหน้าต่างๆ  เป็นไปไม่ได้  ในเมื่อนางตรวจดูว่าเขายังคงพักอยู่ในห้อง  ไม่มีทางจะมาซ่อนยังห้องของเจ้าหญิงได้ก่อนแน่!
และนางได้พูดทุกสิ่ง...พูดทุกสิ่งออกไปทั้งหมดเลยไม่ใช่หรือ
“หากเป็นคนที่สวมหน้ากากปิดหน้าตาไว้ครึ่งหนึ่งและมองจากหน้าต่างภายนอกอันมืดมิด  ไม่ว่าใครก็คงแยกตัวตนความแตกต่างไม่ออก”  โอซิลริคกล่าวอย่างเคร่งขรึมดูน่าเกรงขาม  หากแต่ไม่กล้าแม้แต่จะมองเจ้าหญิงไดอาน่าเลยสักนิดน้อย  “ถึงเจ้าจะกล่าวสิ่งใดอีกร้อยพันกว่าคำ  ก็ย่อมรู้ว่าข้าไม่มีความลังเลในการสังหารเจ้าอีกต่อไป!”
ทว่า สุ่มเสียงของไดอาน่าดูจะจริงจังเยือกเย็นไม่น้อย  “ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าชายแห่งโอเทล์มลงมือแต่อย่างใด”
ถึงแม้ว่ากองกำลังพิทักษ์เจ้าหญิงจะไม่สามารถเข้ามาได้เพราะการล่อหลอกศัตรู  แต่การเคลื่อนไหวของกองกำลังแห่งองค์ราชินีนั้นเป็นข้อยกเว้น!
ไม่มีความจำเป็นต้องขัดขืน  อยู่อย่างไร้เกียรติย่อมดีกว่าไม่เหลือสิ่งใด  สตรีนักฆ่าทิ้งอาวุธลงข้างกายอย่างยอมจำนน  ปล่อยให้กองกำลังนำตัวไปด้วยใบหน้าอันเลื่อนลอยผิดหวังคล้ายกับแมดดิน่า  หากแต่มันเกิดขึ้นจากความหวังอันพังทลายลงอย่างไม่มีทางกอบกู้
สาวน้อยผู้พบพานกับการสูญสิ้นทุกสิ่งด้วยน้ำมือของราชินีแห่งโลนอนซิล  ได้เงยหน้าขึ้นมาสบตานางอย่างช้าๆ  “ในเมื่อทุกสิ่งลงเอยเช่นนี้  ข้าก็คงไม่ต่างจากบทบาทของคนโง่เขลา  ไยทุกสิ่งมันจึงจบลงเร็วนัก  ราวกับทุกสิ่งที่ผ่านมาเป็นเพียงแค่ภาพลวงยามนิทรา...”
“เพราะบทบาทของคนโง่เขลาได้หมดหน้าที่แล้วอย่างไรเล่า”  ดวงตาขององค์ราชินีคมกริบ  พลางหันไปทางเจ้าชายแห่งโอเทล์ม  “ข้าจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย  เรื่องวุ่นวายนี้จะต้องจบลงเสียที!”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา