The Silver Mask
9.8
6) ลำดับที่ 7
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความในค่ำคืนเดียวกันนั้น ณ อีกด้านหนึ่งของปราสาท สถานที่พักของกองกำลังองครักษ์พิทักษ์เจ้าหญิง เมื่อดวงจันทร์ได้เคลื่อนสู่กลางฟ้าอย่างเต็มที่ สตรีผู้งดงามพร้อมด้วยมีดคมใต้แขนเสื้อ เปิดหน้าต่างเข้าสู่ห้องของอัสเซลอย่างช้าๆ สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านอย่างเงียบเชียบ เช่นเดียวกับฝีเท้าของนางที่แตะลงบนพื้นหิน
หญิงสาวก้าวเข้าไปใกล้ชายหนุ่มผู้กำลังนิทราอย่างสบายอารมณ์ อาวุธในแขนเสื้อที่หยิบยกขึ้นมาอย่างช้าๆ น้ำเสียงหวานหูซึ่งบัดนี้เปรียบเสมือนยาพิษอันร้ายแรง กลั่นกระซิบผู้ที่กำลังหลับใหล “ต้องขอโทษด้วย แต่เจ้าเองก็ผิด...ผิดเพราะมาที่นี่ ทำให้ข้าต้องไล่ล่าถึงสองครั้งสองครา!”
ทันใดนั้นเอง ดวงตาของผู้ถูกปองร้ายได้เปิดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เขาผลักกายของสตรีนักล่าออกอย่างรวดเร็ว พร้อมกันนั้นยังบิดเอามือข้างที่ถือมีดจนต้องปล่อย หากแต่มือของหญิงสาวได้เอื้อมคนจุดบริเวณแผลอันน่าหวาดกลัว ไม่ใช่เพียงแค่เป็นปฏิกิริยาโต้ตอบให้ชายหนุ่มบาดเจ็บกับบาดแผลเท่านั้น มันยังช่วยพิสูจน์ข้อข้องใจบางอย่างแก่นางด้วย ข้อข้องใจว่าเขามีบาดแผลร้ายแรงอยู่จริงหรือไม่
อัสเซลลอกหน้ากากอันขาดวิ่นนั่นให้เห็นใบหน้าชัดเจน ในขณะที่จ้องมองไปยังใบหน้าของสตรีนักฆ่า ซึ่งราวกับถอดแบบมาจากไดอาน่าอย่างไม่ผิดเพี้ยน
“เป็นเจ้าจริงๆ สวมหน้ากากน่าเกลียดนั่นกระทั่งยามนอน คิดจะปิดบังใครงั้นรึ?” ดวงตาของนางแวววาวขึ้น โดยหยิบดาบประจำหน้าที่องครักษ์ใกล้ๆนั้นขึ้นมาแทนของที่ถูกยึดไป “ไม่นึกเลยว่าจะเดินทางมาถึงอาณาจักรของข้าแบบนี้ น่ากลัวว่าหากเจ้าถูกปลิดชีวิตที่นี่ สงครามคงจะปะทุขึ้นโดยเร็ววัน”
อัสเซลไม่คิดปรานี ถึงแม้คู่ต่อสู้จะเป็นหญิงหรือไม่ ในยามนี้นางก็ดูอันตรายและเปี่ยมด้วยความเจ้าเล่ห์ อีกทั้ง คำพูดเหล่านี้ไม่ต่างจากการแอบอ้างว่าตนเองคือเจ้าหญิงแห่งโลนอนซิลหรอกหรือ หากปล่อยไว้แบบนี้คงเกิดเองวุ่นวายตามมาอีกมาก...ทว่า นั่นหมายถึงนางไม่ใช่เจ้าหญิงจริงๆดังที่เขากำลังวาดหวังไว้
สตรีนักสังหารล่วงรู้ถึงความในใจนั้นดี จึงได้บรรยายถึงความหอมหวานของรสขนมในค่ำคืนของการเดินทางนั้น ยังไม่นับรวมเรื่องความสนุกสนานระหว่างการเล่าวีรกรรม กระทั่งการขัดคอชวนให้ขบขันระหว่างองครักษ์ ราวกับว่าได้ประสบพบเจอกับตาของตนเองเลยทีเดียว
ในขณะเดียวกันนั้น นางอครุ่นคิดไม่ได้ ถึงจะมีฝีมือมากและถืออาวุธยาวกว่า บุรุษตรงหน้าก็ใช่ว่าจะอ่อนด้อยแต่ประการใด อีกทั้งหากจวนตัวจริงๆคงเรียกทหารองครักษ์ในละแวกนี้มาโดยไม่คำนึงถึงความลับเรื่องใบหน้าอีกต่อไป ในขณะเดียวกัน นางคงเป็นคนที่ถูกเปิดเผยจนการเดินหมากที่แล้วมาต่างล้มครืน
อัสเซลหรี่ตาลงอย่างจับสังเกต ดูเหมือนว่าคนลังเลจะไม่ใช่เขาเท่านั้น ทว่า ไฉนคนตรงหน้านี้จึงปรารถนาในสงคราม นางมีส่วนได้ส่วนเสียจากเหตุการณ์นั้นรึ งั้นคงเป็นเรื่องที่ซับซ้อนพอสมควร เพราะการที่สองอาณาจักรกันเป็นศัตรูก็เพราะความแค้นที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน จนโยงใยไปยังผลประโยชน์ต่างๆหลายทางเลยทีเดียว
ไม่มีสิ่งใดประกันว่าโอเทล์มจะชนะสงคราม และไม่มีสิ่งใดประกันว่าโลนอนซิลจะพ่ายแพ้ สิ่งที่สตรีตรงหน้าทำอยู่ไม่ต่างจากการเดิมพันครั้งสำคัญ อันแลกมาด้วยเลือดเนื้อ สงครามและความอดอยากของประชาชนในอาณาจักร!
แล้วผู้ที่ลงแรงสร้างความปั่นป่วนเบาๆใต้ผิวคลื่นน้ำอันแสร้งสงบนี้ นางเป็นใครกัน?
“ก่อนจะถามนามผู้อื่นต้องเอ่ยนามตนฉันใด ก่อนจะถามผู้อื่นย่อมต้องตอบคำถามก่อนฉันนั้น” นางเล่นลิ้นอย่างไร้ความกังวล พลางลดความระมัดระวังทั้งหมดอย่างง่ายดาย ในเบื้องลึกมันคือการหยั่งเชิงอย่างหนึ่ง “หากข้าจำคนที่เกือบจะเอาชีวิตได้ไม่ผิดล่ะก็ ไฉนท่านจึงมาที่นี่กันเล่า? ข้ารอเวลาจะให้สองอาณาจักรห่ำหั่นกันมาเนิ่นนานแล้ว รอวันจะได้ปลดมงกุฎราชาแห่งโอเทล์ม เหยียบย่ำเจ้าชายไว้ใต้ฝ่าเท้า แล้วครองอำนาจเบ็ดเสร็จทั้งหมด!”
แม้จะเป็นเพียงมีดสั้นอันเล็กที่เทียบไม่ได้กับดาบองครักษ์ อัสเซลก็เตรียมจะรุกไล่อย่างเต็มที่ โดยสตรีซึ่งแทบจะไม่ทันตั้งตัวถึงกับถอยร่นไปหลายก้าว หากแต่ความได้เปรียบของอาวุธช่วยไว้ได้อย่างเฉียดฉิว หรือไม่แน่...หากนางอ่อนด้อยกว่านี้อีกนิด บางทีคงจะได้หลั่งโลหิตสักแผลแน่นอน
ถึงกระนั้น สตรีนักฆ่าอดครุ่นคิดไม่ได้ การเผยช่องว่างเมื่อครู่ถือเป็นการเปิดโอกาสอย่างหนึ่ง ลำพังฝีมือของอัสเซลน่าจะได้มากกว่ารอยบาดผิวบางเบา ไยจึงเลือกจะยั้งไว้ไม่ให้นางบาดเจ็บสักนิดเล่า...?
คำตอบอยู่ไม่ไกลนี้เอง เดิมที การที่ตัวตนของเขาอยู่ที่นี่ก็เป็นสิ่งพิสูจน์ดีพอแล้วไม่ใช่หรือ
ดาบประจำตำแหน่งกับมีดสั้นถูกเปลี่ยนคนใช้อย่างสิ้นเชิง บัดนี้มันกำลังถูกเสียดสีอย่างชิดใกล้ ใบหน้าของคนทั้งสองห่างจากคมของอาวุธเพียงเล็กน้อย ในขณะที่อัสเซลเปี่ยมไปด้วยความเคร่งเครียด ใบหน้าของสาวน้อยผู้มีนัยเนตรสีชาดกลับส่อความสนุกสนาน
น้ำเสียงนั้นเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยนดุจเจ้าหญิงไดอาน่าที่ทุกคนคุ้นเคย “หากว่าความแค้นเคืองของเจ้าร้อนแรงมากไปกว่านี้ ข้าคงต้านกำลังของเจ้าไม่ไหวอีกต่อไป แม้จะเป็นเช่นนั้น...”
ดวงตาสุกใสของนางจับจ้องเขาอย่างวอนขอ ก่อนจะลดแรงลงเรื่อยๆจนคมดาบของตนเริ่มเข้าใกล้ลำคอระหงมากขึ้นเรื่อยๆ
“ปล่อยข้าไปได้ไหม...ที่รักของข้า?”
เรี่ยวแรงที่กดลงมาเสมือนหายไปวูบหนึ่ง แต่นั่นเพียงพอสำหรับหญิงสาวแล้ว นางหัวเราะเยาะเชิงชัยชนะในฐานะที่ทายถูก อาจเพราะนางกล้าเสี่ยงกับการที่อีกฝ่ายไม่มีความกระหายเลือดต่อคู่ต่อสู้เลยก็ว่าได้ ไม่ใช่การคำนวณอันเดิมพันกับโชคชะตาเท่านั้น
สุดท้าย อัสเซลได้แต่มองร่างของศัตรูลับหายไปในความมืดมิดของปราสาท ใช่ว่าเขาหวาดหวั่นในฝีมือจนไม่กล้าที่จะไล่ตาม แต่เป็น ‘ตัวตน’ ของนางที่เขาไม่กล้าจะล่วงรู้มากกว่า
ชายหนุ่มก้มลงเก็บอาวุธที่นางแลกกลับคืน ก่อนจะมองตราแห่งกองกำลังคุ้มกันอันสลักลงบนตัวดาบอย่างงดงาม มันคือเครื่องหมายแห่งการพิทักษ์รักษาสาวน้อยผู้สูงศักดิ์คนนั้น ในขณะเดียวกัน มันก็สะท้อนถึงความลังเลของเขาออกมาอย่างเต็มที่
อัสเซลจุมพิตตราสัญลักษณ์นั้นเบาๆ ก่อนจะเริ่มต้นค่ำคืนที่ยาวนานโดยไร้ซึ่งการนิทราแม้แต่น้อย
ในเช้าวันรุ่งขึ้น เจ้าหญิงไดอาน่ามองสหายคนสำคัญสลับกับองครักษ์ผู้สวมหน้ากากแตกต่างจากผู้อื่นที่สุด ดูเหมือนว่าเช้านี้จะไม่เช้าที่สดใสนัก หรือว่าเมื่อคืนนี้ฟิลลิปป์เกิดเหตุการณ์ขัดแย้งกันกับซิลเวอร์งั้นรึ?
สำหรับอัสเซล...นางคิดว่าควรถามด้วยความห่วงใยตามปกติมากกว่า ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครรายงานเหตุการณ์วุ่นวายอะไรให้นางได้ทราบข่าว หากจะมีเรื่องกลุ้มใจใดสักอย่างคงเป็นเรื่องส่วนตัวมากกว่าหน้าที่ และแน่นอนว่าการไถ่ถามผู้คุ้มครองเมื่อมีสิ่งไม่สบายใจ เจ้าหญิงคิดว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสมอย่างหนึ่ง เขาคิดจะเลี่ยงก็ไม่เป็นไร เจ้าหญิงเข้าใจว่าทุกคนย่อมมีความลับด้วยกันทั้งนั้น เพียงแค่เขารู้สึกว่านางใส่ใจ ไม่ใช่เป็นแค่องครักษ์ที่ถูกมองผ่านเลยในแต่ละวัน
นัยนเนตรสีน้ำตาลจ้องมองนางมาอย่างล้ำลึก แฝงด้วยความรู้สึกอันชวนให้อึดอัด นั่นสร้างความลังเลให้แก่ผู้ถามไม่น้อยเลยทีเดียว ซ้ำด้วยน้ำเสียงอันเย็นเยือกประหนึ่งกดดัน “ฝ่าบาทไม่ต้องกังวลกับเหตุการณ์เมื่อคืนหรอกพะยะค่ะ เพราะข้าพระองค์เข้าใจว่าเป็นเพียงการ ‘ล้อเล่น’ เท่านั้น”
ฟิลลิปป์ละจากแก้วน้ำชาที่นั่งจิบมาตลอดหลายนาทีอย่างเงียบงัน พลางสบตากับเจ้าหญิงไดอาน่าผู้ทำหน้างุนงง เขาใช้เวลาทั้งค่ำคืนกับคนรักเพื่อซึมซับสิ่งต่างๆให้มากที่สุดในทุกเวลา ทุกวินาที หรือว่าเกิดเรื่องบางอย่างในระหว่างที่เขาอยู่กับซิลเวอร์ที่หอคอยราชินี
แต่ในที่นี้...ไม่มีผู้ซึ่งควรจะเป็นอัศวินสีเงินเลยแม้แต่น้อย
ไดอาน่าสั่นศีรษะเบาๆ แล้วหันไปมององครักษ์ผู้แสดงความผิดออกมาตลอดทั้งเช้าวันนี้อีกครั้ง ซึ่งอัสเซลไม่ได้สบตาใครระหว่างเอ่ยออกมาแม้แต่น้อย “ได้โปรดอย่าคิดว่าข้าพระองค์กำลังล่วงเกิน แต่ช่วยบอกสักนิด...ฝ่าบาทคิดอย่างไรกับโอเทล์มงั้นหรือพะยะค่ะ”
เจ้าหญิงนิ่งอึ้งอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก อดเหลือบมองไปทางดาบเหน็บเอวของอัสเซลไม่ได้ ซึ่งผู้ถูกจับจ้องรู้ดี เขาคุกเข่าลงแนบพื้นหนึ่งด้านแล้วชักมันออกมาวางลงบนมือของสาวน้อยสูงศักดิ์ เสมือนจะสื่อว่าดาบแห่งการปกป้องนาง จะไม่มีวันหันใส่อย่างแน่นอน ถึงกระนั้น น้ำเสียงของเขายังคงลุ่มลึกอย่างเจ็บปวด
“ฝ่าบาทเคยคิดจะปลดมงกุฎของราชาแห่งโอเทล์ม คิดจะเหยียบย่ำเจ้าชายอย่างไม่ใยดีหรือไม่ คิดจะสร้างสงครามระหว่างอาณาจักรบ้างไหม!”
สิ้นคำนั้นเอง เหล่าองครักษ์ที่เห็นท่าไม่ดีตั้งแต่ต้นต่างกรูเข้ามาเพื่อจับตัวชายหนุ่มไว้อย่างรวดเร็ว เขาถูกกดลงกับพื้นจนร้องขึ้นมาด้วยแรงกระแทก หากว่าเขาไม่ใช่องครักษ์ที่เริ่มคุ้นเคยกันมาก่อน บางทีความรุนแรงอาจมากกว่าอีกหลายเท่า แต่ความเจ็บปวดนั้นอาจช่วยเรียกสติได้ดี ในตอนนี้แววตาของเขาเริ่มสงบลงแล้ว
เจ้าหญิงส่งสัญญาณให้รอบข้างปล่อยตัวเขา ซ้ำยังประคองขึ้นมาอย่างช้าๆด้วยความเป็นห่วงในอาการ อัสเซลมองดาบที่กลับคืนปลอกด้วยความไม่เข้าใจ ใบหน้าของเขาถูกนางประคองไว้อย่างอ่อนโยนเช่นเดียวกับน้ำเสียง ในขณะเดียวกันมันแฝงด้วยการบังคับไม่ให้หลบตา “มีเรื่องอะไรที่ข้าควรรู้ใช่ไหม”
ทุกสิ่งคือความเงียบ...ไดอาน่าจ้องลึกเข้าไปในตาของผู้ที่ไม่ยอมปริปาก สุดท้ายจึงถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา ออกคำสั่งให้ทุกคนโดยรอบออกไปจากที่นั่น นางจะเริ่มทำการสืบสวนความจริงจากชายหนุ่มตรงหน้านี้เพียงลำพัง แม้ว่านางอยากให้ฟิลลิปป์คอยอยู่ช่วยให้นางเข้มแข็งขึ้นอีกหน่อย ความสับสนในใจของเขามันมีมากเกินไป อีกทั้ง เรื่องนี้ดูจะพัวพันกับอาณาจักร มันคงมากเกินไปสำหรับเขา ถึงเด็กหนุ่มจะเอ่ยปากขึ้นมาอย่างเป็นห่วง สาวน้อยสูงศักดิ์จึงได้แต่ปฏิเสธ
เจ้าหญิงดึงเขาให้นางลงตรงข้ามที่เก้าอี้ยาวหนานุ่มสวยงาม พลางยื่นแก้วน้ำชาให้เขาดื่มเพื่อสงบใจมากกว่านี้ นางเองก็คงต้องดื่มเช่นกัน เพื่อเตรียมใจฟังเรื่องราวทั้งหมดซึ่งส่อแววไม่ความยุ่งเหยิง
“เจ้ามาจากโอเทล์ม ถึงจะบอกว่าภักดีต่อเรามากเพียงใด กายของเจ้าก็ยังคงเป็นโอเทล์มอยู่ดี ข้าเข้าใจในความเป็นห่วงต่อบ้านเกิดเมืองนอน บางทีข้าอาจเอ่ยอะไรที่ทำให้เจ้ารู้สึกว้าวุ่นใจ” นอกจากเป็นการเริ่มบทสนทนา ยังเป็นสิ่งที่คล้ายจะหวังว่าเรื่องคงจบลงแค่นั้นของเจ้าหญิงอีกด้วย
ความเงียบงันยังคงปกคลุมต่อไปจนน่าอึดอัด ไดอาน่าขยับตัวเพียงเล็กน้อยเสมือนถูกความกดดันนี้ดึงเข้าไปรบกวนกระทั่งการเคลื่อนไหว สุดท้ายจึงจบลงด้วยการมอบน้ำชาให้เขาอีกแก้ว ซึ่งนางหวังว่ามันจะช่วยให้เขาพูดได้บ้าง แน่นอนว่าต้องไม่ใช่คำบอกปัดว่าเรื่องทั้งหมดเป็นความฟุ้งซ่ายในใจอย่างกะทันหันแน่
จวบจนน้ำชาแก้วที่สาม ในที่สุดชายหนุ่มตรงหน้าจึงทำให้เจ้าหญิงเบาใจลงบ้าง ด้วยการเอื้อนเอ่ยเป็นคำแรก ซ้ำยังเป็นคำแรกที่ชวนให้งุนงงอย่างที่สุด อัสเซลต้องการรู้ว่านางอยู่ที่ไหนเมื่อกลางคืนที่แล้วกัน?
“ข้าก็ย่อมพักอยู่ในห้องอย่างแน่นอน” เจ้าหญิงพยักหน้ายืนยันเล็กน้อย แววตาเริ่มคมกริบขึ้นมาบ้าง “หรือว่าเจ้าพบข้ากำลังเดินอยู่ในที่แห่งใด”
ปฎิกิริยาของนางทำให้เขาไม่ไว้ใจ ด้วยความคิดไปอีกทางว่านางกำลังรู้สึกตึงเครียดกับสิ่งที่ได้กระทำลงไปในอดีต หากแต่ถ้านางรู้เรื่องทั้งหมด ไฉนในเช้าวันนี้จึงกระทำเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากจะคืนดาบกลับมาข้างกายเขาแล้ว ยังไม่เรียกองครักษ์กลับมาในห้อง หากไดอาน่าเป็นสตรีนักฆ่าของแท้ นางคงไม่ไว้ใจเขามากถึงขนาดนี้
ดวงตาของเขาหลุบลงต่ำ ถึงจะบอกว่าไม่มีอะไรเพื่อหลีกเลี่ยงความวุ่นวายและการบอกเล่ารายละเอียด คนที่จะไม่ยอมคงกลายเป็นอีกฝ่ายไปแทน เพราะความเลือดร้อนของเขาแท้ๆ หรือเพราะคำพูดลงท้ายอันชวนให้สับสนของสาวน้อยคนนั้นกันหนอ อัสเซลอดยิ้มเยาะต่อตนเองที่สร้างปัญหาขึ้นมาไม่ได้ ทว่า...เขาอยากรู้ว่าคำพูดนั้นใครเป็นคนพูด แล้วนางรู้สึกอย่างนั้นรึไม่ หรือเพียงแค่พูดจาหลอกล่อเขาอย่างไร้ปรานีต่อผู้ที่ได้สดับฟัง
อัสเซลไม่ใส่รายละเอียดลงไปในส่วนนั้น หากแต่พูดถึงคำพูดหยามเหยียดต่อโอเทล์มและใบหน้าที่เสมอเหมือนกับเจ้าหญิงไม่มีผิดเพี้ยน
“เมื่อคืนข้าอยู่ในห้องจริงๆ รวมทั้งไม่คิดจะสร้างสงครามใดอีกด้วย เจ้ารู้ดีว่าข้าชื่นชอบในความสงบสุขอย่างที่เป็น มากกว่าถวิลหาความยิ่งใหญ่เหล่านั้น” ไดอาน่ายิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนจะกล่าวถามสิ่งสำคัญบางอย่าง นั่นคือการที่สตรีนักฆ่าลอบเข้ามาอย่างง่ายดาย ซ้ำในบรรดาห้องพักนับร้อยพันขององครักษ์ ยังเจาะจงไปยังเขาอย่างไม่ลังเล นางคงไม่สุ่มจากหน้าต่างเอาเท่านั้นหรอกนะ...?
อัสเซลนิ่งไปหนึ่งชั่วอึดใจ แต่ในคำถามนั้นมีสิ่งหนึ่งที่เขาไม่ลังเลในการตอบ “ข้าเองก็ไม่ทราบว่าทำไมนางถึงลอบเข้ามาได้ ถึงแม้จะเลือกข้าในฐานะที่เป็นชาวโอเทล์ม การจะรู้ว่าข้าอยู่ที่ไหนไม่ใช่เรื่องง่ายดังที่ท่านว่า เว้นซะแต่นางจะสมรู้ร่วมคิดกับใครบางคน...หรือเคยลอบเข้ามาสำรวจเส้นทางเอาไว้ตั้งแต่ต้น”
ไดอาน่านึกถึงเหตุการณ์ในมื้อเย็นวันนั้น เมื่อครั้งที่มีซาร่า นางกำนัลผู้มีหน้าที่เสิร์ฟอาหารตัวปลอมได้ปรากฏตัวขึ้น บางทีอาจเป็นฝีมือของคนเดียวกันนี้ เจ้าหญิงหลับลงไม่กี่วินาที ก่อนจะเปิดออกมาพร้อมความสดใส นางลุกขึ้นพลางบอกให้เขาเปลี่ยนเป็นชุดชาวบ้าน เพราะนางต้องการจะออกไปข้างนอกอย่าง ‘เป็นความลับ’
นางอธิบายต่ออัสเซลถึงความไม่สบายใจของฟิลลิปป์ ซึ่งจะเป็นซิลเวอร์หรือเขาก็ต่างเงียบไว้ทั้งนั้น แม้นางจะไม่ถามไถ่ถึงห้องพัก อัศวินสีเงินกลับไม่คิดที่จะเปิดประตูออกมาเลยด้วยซ้ำ บางทีการพาเด็กหนุ่มที่ยังยินยอมมาอยู่เคียงข้างนางไปยังสถานที่อันคุ้นเคย อาจทำให้ทุกอย่างดีขึ้นมาบ้าง
เจ้าหญิงไดอาน่ายืดกายตัวอย่างงามสง่าด้วยสีหน้าที่อยากจะลองเดิมพันดูสักครั้ง “ข้าเองก็อยากทราบว่า ‘สตรีผู้รอบรู้’ ยังจะรอบรู้เรื่องอะไรได้มากไปกว่านี้อีก!”
เมื่อมาถึงหมู่บ้าน สาวน้อยในชุดสามัญธรรมดาทอดสายตามองสหายด้วยความเห็นใจ พวกผู้ใหญ่บางคนอาจจะจับสังเกตกับท่าทีผิดปกติของเขาได้ แต่ไม่ใช่กับเด็กน้อยใหญ่ที่ยังไม่ประสา พวกเขานั่งลงฟังนิทานอันแว่วหวาน พร้อมทั้งออกความคิดเห็นไปต่างๆนานา เรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มฝืนความกลัดกลุ้มของนักเล่าได้เป็นอย่างดี
อัสเซลเรียกให้นางมาอีกทางหนึ่ง แม้การเข้าไปพูดคุยจะเป็นสิ่งดีสำหรับเพื่อน แต่นั่นหมายถึงในยามที่อยู่เพียงลำพัง หากว่านางเผลอหลุดปากให้คนโดยรอบเริ่มสนใจใคร่รู้ขึ้นมา การมายังหมู่บ้านแห่งนี้คงจะไร้ประโยชน์
คนทั้งสองเดินไปเรื่อยๆตามหนทาง เฝ้ามองดูความทุกข์สุขของผู้คน ทั้งการดำรงอยู่และการมีมิตรสัมพันธ์ต่อกัน แม้จะไม่ได้อยู่อย่างเลิศหรูอะไร คนที่นี่ก็ท่าทางจะมีความสุขดี มีการช่วยเหลือ มีการแบ่งปัน รวมทั้งใบหน้าอันยิ้มแย้มเปี่ยมด้วยชีวิตชีวา เป็นสถานที่อันสวยงามในหลายด้านเลยทีเดียว
“ไม่มีอะไรดีเพียงอย่างเดียว” อัสเซลเตือนสติด้วยน้ำเสียงเนิบช้า “ท่านยังจำแมดดิน่าได้ไหม? เพราะข้าเผลอทำอาวุธบาดผิวนางไปโดยไม่ตั้งใจ จึงคิดว่าการไปดูอาการสักหน่อยคงไม่เสียหายนัก รวมทั้งพวกชาวบ้านเองก็ทารุณนางไม่น้อยเลย ตอนนี้นางน่าจะหายเป็นปกติแล้ว อย่างน้อยก็ในแง่ของบาดแผล”
ไดอาน่าขมวดคิ้วเล็กน้อยระหว่างเดินตามองครักษ์ของตน ในละแวกนี้เริ่มออกนอกเขตหมู่บ้านขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนหรือบ้านก็เบาบางจนไม่น่าไว้ใจ แม้ว่าจะเป็นยามกลางวันเช่นนี้ก็ตาม เจ้าหญิงรั้งแขนคนนำทางไว้ให้เขาบอกจุดหมายที่จะถึงก่อน ใช่ว่าเรื่องการกระทำประหลาดช่วงเช้าจะหายไปกับคำกล่าวอ้างเหล่านั้น ใครจะรู้ว่าสตรีนักฆ่าจะเป็นเพียงเรื่องเท็จหรือไม่
ยังไม่ทันที่อัสเซลจะตอบอะไร หญิงสาวในชุดคลุมมอมแมมได้ปรากฏตัวขึ้น นางเดินโซเซมาทางพวกเขาอย่างช้าๆ ครั้งนี้นางไม่ได้หิ้วตะกร้าเพื่อรับข้าวของจากชาวบ้านแต่อย่างใด กลับเป็นภาชนะรองน้ำเก่ามีรอยผุด้านข้าง กว่าจะเติมเต็มถังใหญ่ๆสักใบคงกินเวลาหลายชั่วโมงเลยทีเดียว
อัสเซลเรียกนางไว้ให้ทำความรู้จักกับไดอาน่า โดยที่ฝ่ายหลังแสดงความหวั่นเกรงออกมาไม่น้อย เนื่องจากรัศมีคมมีดที่เกือบจะแทงตรงเข้ามาช่างใกล้เหลือเกิน
“ไม่ใช่แม่มด... ไม่ใช่แม่มด...” แมดดิน่าทวนคำซ้ำไปมา แล้วเผยสีหน้าซึมเศร้า “แต่ข้าแทงไปแล้ว...”
“นางปลอดภัยดี ไม่มีใครได้รับอันตรายทั้งนั้น” อัสเซลกล่าวปลอบ พลางเล่าถึงการช่วยเหลือหญิงสาวเสียสติผู้บาดเจ็บในครั้งก่อน ดูเหมือนว่าการอธิบายให้นางเข้าใจจะเป็นวิธีที่ดี เพราะหลังจากนั้นแมดดิน่าก็แสดงความสำนึกผิดออกมาไม่น้อย แม้ว่าชาวบ้านพวกนั้นจะเป็นฝ่ายทำให้นางบาดเจ็บด้วยเช่นกัน
จากข่าวคราวที่เขาสอบถามจากคนต่างๆมา อดีตก่อนจะได้มาพักอาศัยยังริมบึงไม่ใกล้ไม่ไกลจากท้ายหมู่บ้าน แมดดิน่าเคยอยู่ในสถานที่อันน่ากลัว ณ ที่นั้นไม่เหลือสตรีเพศอยู่เลยแม้แต่น้อย หากนับรวมกับอาการซึ่งได้แสดงออกมา บางทีสาเหตุของเรื่องราวอาจเป็นคณะล่าแม่มดของอาณาจักรใดสักแห่งก็เป็นได้ ด้วยการฝังใจในเรื่องเหล่านั้น จึงเริ่มหวาดกลัวต่อพวกผู้ที่คิดว่าใช้มนตร์ดำ อันเป็นสิ่งที่เรียกให้คนอำมหิตมาไล่จับไปทำร้ายอย่างหนักหนา ซึ่งพวกเขากระทำราวกับว่าผู้หญิงเหล่านั้นไม่มีเลือดเนื้อ ไร้ความเจ็บปวดหรือทรมาน!
ไดอาน่ารับฟังเรื่องราวเหล่านั้นอย่างเงียบๆ แม้จะไม่ได้กล่าวคำใดออกมา ความไม่เห็นด้วยยังคงแสดงออกมาทางแววตาสีชาดคู่นั้น แม้ในโลนอนซิลจะไม่มีการล่าแม่มดอย่างเป็นทางการ ความเชื่อกึ่งหวาดกลัวของคนบางกลุ่มยังคงขจรขจายเข้าไปทำร้ายผู้บริสุทธิ์อยู่เสมอ...
ความคิดเหม่อลอยของนางหยุดลงกะทันหัน เมื่อมีบุปผาเล็กๆสีน้ำเงินสวยดอกหนึ่งมอบมาตรงหน้า เป็นดอกไม้ที่เข้มสวยท่ามกลางแสงยามทิวา ทั้งที่เป็นสิ่งสวยงามอย่างมากมาย ผู้คนไม่น้อยได้เดินผ่านเมินไปอย่างไม่คิดปรายตา แล้วดอกหญ้าดอกนี้หมายถึงอะไรงั้นหรือ
เดิมทีดอกหญ้าน่าจะหมายถึงการวอขอว่าอย่าผูกมัดกันเลย แต่นางไม่ได้ผูกมัดบังคับให้นำทางไปไหนไม่ใช่รึ?
“ไม่มีความหมายของใดเลย” เขาบรรจงวางบุปผาสีน้ำเงินลงกลางฝ่ามืออันเรียวงามของนาง “เพียงแต่มันสวย งดงาม และรื่นเริงรับแสงอย่างสดใสในทุกวัน แม้ว่าผู้คนจะไม่เคยหันมาหา แม้ว่าใครจะเหยียบย่ำอย่างไร้ค่า ก็ยังคงมีดอกหญ้าที่รอดมาจากสิ่งเหล่านั้น แล้วชูช่อรับแสงอาทิตย์ขึ้นมาอีกครั้งและอีกครั้ง ฉะนั้น ท่านอย่าได้เศร้ากับเรื่องราวของแมดดิน่าไปเลย เพราะนางเองต้องมีวันที่ได้อาบแสงแดดอันอบอุ่นอย่างมีความสุขเช่นกัน”
เป็นครั้งแรกที่ไดอาน่ามองเขาด้วยความทึ่ง กลีบบุปผาสีน้ำเงินในมือนางกระทบกับแสงอย่างงดงาม ราวกับตอบรับในคำพูดของชายหนุ่ม
ดอกไม้อันไร้ค่าไร้ความหมาย หากแต่สามารถปลอบประโลมได้กระทั่งผู้ที่มีฐานะสูงศักดิ์อย่างเจ้าหญิง สาวน้อยกล่าวขอบคุณต่อมุมมองใหม่ที่เขาได้เปิดกว้างให้กับนาง ไม่แน่ว่าสิ่งนี้อาจช่วยให้เพื่อนคนสำคัญกลับมายิ้มแย้มได้บ้าง ฟิลลิปป์เป็นคนที่มีแรงดึงดูดอย่างประหลาด นัยเนตรของเขาเมื่อแฝงด้วยความเศร้า มันก็สื่อตรงลงมาจนผู้พบสบตาอยากจะทำให้มันมีความสุข
อัสเซลแสร้งเดินนำไปเรื่อยๆโดยไม่ยอมสบตากับไดอาน่า ในขณะที่ถามบางสิ่งซึ่งติดค้างอยู่ในใจตั้งแต่เมื่อครั้งที่ไปคอนชายส์แล้ว ทำไมนางจึงต้องใส่ใจสำคัญกับคนธรรมดาคนหนึ่งนัก เขาอาจเป็นสหาย เป็นคนรักของพี่ชาย และเป็นคนเดียวที่ไม่ได้สวมหน้ากากในปราสาท แต่ความใส่ใจของนางชวนให้เข้าใจผิดเหลือเกิน กอปรกับการที่ซิลเวอร์ไม่ได้มาคอยอยู่เคียงข้างตลอดเวลา พวกเขาที่ทำสิ่งต่างๆร่วมกันเกือบทั้งวันอาจเป็นสิ่งที่ทำให้เจ้าหญิงหวั่นไหวก็เป็นได้
“บอกข้าทีว่าที่เจ้าถามแบบนี้ไม่ใช่การไหว้วานจากเขา” นางกล่าวเสียงกลั้วหัวเราะ เจ้าหญิงรู้จากพี่ชายต่างสายเลือดแล้วว่าเขาทราบถึงตัวตนใต้หน้ากากและบทบาทนั้น ก่อนจะเปล่งความเคร่งขรึมแกมโดดเดี่ยวออกมาทางแววตาคู่งาม “ไม่หรอก...ไม่ใช่แค่ข้าไม่รักเขา ข้าไม่อาจรักใครได้เลยต่างหาก อาจเป็นความขี้ขลาดของตัวเองก็ได้ แต่หากข้ารักคนที่ไม่อาจเป็นไปได้ ข้าต้องฝ่าฟันสิ่งต่างๆอีกเท่าไหร่ หนทางสู่บัลลังก์เปิดทางให้ข้าตั้งแต่สัมผัสโลกในวินาทีแรก แล้วข้าจะทำให้มันมัวหมองได้อย่างไร ข้าต้องวิวาห์กับผู้ที่ควรคู่จึงจะถูกต้อง”
ไดอาน่าเป่ากลีบดอกไม้ออกไปตามสายลม เมื่อหมดการบังคับด้วยสิ่งนั้น กลีบสีน้ำเงินจึงลู่ตกลงสู่พื้นดิน ปะปนไปกับเศษผงมากมายจนแปดเปื้อน แม้จะเป็นความสวยงามในเชิงของธรรมชาติ หากแต่เมื่อเก็บขึ้นมาก็ต้องเปื้อนดินไปด้วย การเก็บมันไว้จนหลงลืมกลายเป็นฝุ่นไร้ค่า คงไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่นัก
“องค์ราชาชาชินีไม่เคยคิดเช่นนั้น พระองค์เพียงต้องการท่านได้อยู่อย่างมีความสุขกับผู้ที่ท่านรักและรักท่าน” เขาจุมพิตที่กลีบดอกไม้สีน้ำเงินดอกใหม่เบาๆเพื่อมอบแด่เจ้าหญิงไดอาน่า “ท่านชื่นชอบการฟังนิทานหรือไม่? ถึงอย่างไรให้ข้าได้ลองถึงเรื่องของคนคนหนึ่ง รักของเขาเป็นเพียงเรื่องต้องห้าม เกิดขึ้นมาจากมึนงงต่อเส้นทางในปราสาทใหญ่ แม้นางจะจำเขาไม่ได้...”
คำตอบของไดอาน่าคือบุปผาที่ร่วงหล่นลงสู่พื้นและการหันหลังกลับ
ในค่ำคืนนั้น แม้จะเป็นแรมเจ็ดค่ำที่ดวงจันทร์หายไปครึ่งหนึ่ง แสงที่ส่องมายังคงไม่มืดมัวมากนัก ผู้ที่กำลังเอนกายอยู่บนเตียงอันกว้างขวางไม่ได้หลับ ทั้งที่ตอนนี้ผ่านไปกว่าค่อนคืนแล้วแท้ๆ ไม่ใช่เพราะเรื่องตอนกลางวันที่ทำให้นางยังคงใจแข็งต่อความง่วงงุนเป็นแน่ หากแต่เป็นเรื่องของบุคคลหนึ่งซึ่งได้บุกเข้าไปในห้องของอัสเซล
หลังผ่านเรื่องของบุปผาน้ำเงิน ไดอาน่านำตัวเขามาสอบถามเรื่องราวทั้งหมด แม้จะรู้ว่าบางส่วนถูกปิดบังไว้ การที่สตรีนักฆ่าแอบอ้างชื่อของนางไปใช้ มันอาจหมายถึงการไม่ได้พุ่งเป้าไปยังเขาเพียงคนเดียว ถ้าผู้หญิงคนนั้นเป็นคนเดียวหรือพวกเดียวกับซาร่าตัวปลอม ในคืนนี้...
เสียงฝีเท้าของบุคคลผู้ถูกเชื้อเชิญเชิงล่อหลอกแตะลงมายังพื้นห้องอันหรูหราอย่างเงียบกริบ ด้วยชุดอันเหมาะพอดีกับกายทำให้การเคลื่อนไหวคล่องแคล่วเป็นพิเศษ แม้จะเป็นราตรีถัดมาก็ตาม ใบหน้าอันเสมอเหมือนยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ดุจฝาแฝดของผู้ซึ่งเฝ้ารอมานานจนนาฬิกาทรายพลิกหมุนไปมาอยู่หลายรอบ
ไดอาน่าก้าวลงมาจากเตียงนอนอันหนานุ่มนั่นพร้อมด้วยดาบประจำกายหนึ่งเล่ม เป็นอาวุธเนื้อดีที่มีความเบาเหมาะสำหรับผู้หญิง
“ข้าต้องบอกหรือไม่ เกี่ยวกับการล่วงรู้แผนการทุกอย่างของเจ้า” สตรีนักฆ่ากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอันไม่แตกต่าง “รู้ว่าเจ้าจะมองออกว่าข้าจะต้องบุกมา รู้ว่าหากเจ้าหายตัวไปจากปราสาทพร้อมสหายรูปงามคนนั้น สถานที่คงไม่พ้นหมู่บ้านเล็กๆนั่นเป็นแน่”
ในห้องนี้ไม่มีองครักษ์คอยควบคุมอยู่ นางตรวจสอบห้องพักต่างๆอย่างเรียบร้อย รวมทั้งห้องพักของผู้ที่นางเพิ่งเข้าไป ‘ทักทาย’ ในค่ำคืนที่แล้วด้วย การเชื้อเชิญในค่ำคืนนี้ของเจ้าหญิงจึงน่าสนใจเป็นพิเศษ ไดอาน่าไม่ยอมบอกใครด้วยซ้ำว่ามีจุดประสงค์เช่นไร จะบอกก็เพียงแค่แผนการล่อหลอกเท่านั้น ซึ่งการตั้งใจให้มันรั่วไหลอย่างลับๆดูจะได้ผลดีทีเดียว เพราะทั้งที่มีไม่กี่คนที่รู้ในเรื่องนี้ แต่มันกลับส่งทอดมาถึงผู้รับอย่างครบครัน
สิ่งที่เจ้าหญิงต้องการคือ ‘ความจริง’ ทั้งหมด ทำไมสตรีนักฆ่าจึงจ้องจะทำร้ายนาง การเกิดศึกสงครามจะมีใครได้ประโยชน์ในเรื่องนี้ หรือกระทั่งเรื่องของอัสเซล การที่เขาเป็นคนจากโอเทล์มไม่ได้เป็นสิ่งยิ่งใหญ่อะไรขนาดนั้น ไฉนจึงต้องเข้าไปก่อนจะบุกเข้ามาในห้องของนางด้วยซ้ำ!
เสียงหัวเราะของผู้มาเยือกยามวิกาลช่างน่าหวาดหวั่น “อัสเซล...องครักษ์นั่นน่ะรึ? เขาใจร้อนและไม่แนบเนียนเอาเสียเลย หากเป็นข้าคงสามารถแฝงตัวอยู่ได้หลายสิบปี อยู่ภายใต้จมูกท่านโดยไม่เผยพิรุธสักนิดอย่างไรเล่า”
ใจร้อน...ไม่แนบเนียน สองคำนี้คงเป็นสิ่งที่เป็นหายนะของผู้ที่พยามปลอมแปลงตนเป็นคนอื่น แต่สิ่งที่นางได้สืบค้นมาทั้งหมดยืนยันว่าเขามีอยู่จริง รวมทั้งบาดแผลไฟไหม้อันน่ากลัวนั้นด้วย คนของนางล้วนแต่มีฝีมือ ไม่มีทางพลาดท่าให้กับคำลวงเท็จหรือรายงานสิ่งที่ยังไม่ตรวจสอบให้แน่ใจก่อนเป็นแน่
นัยเนตรของอีกบุคคลหนึ่งที่แฝงตัวอยู่ในห้องของเจ้าหญิงหรี่ลงช้าๆ เขากำลังหวังว่าทุกสิ่งจะไม่ถูกเปิดเผยออกมา มือของเขาจับที่มีดสั้นอันคมกริบเอาไว้แน่น ด้ามของมันทำขึ้นจากทองคำบริสุทธิ์...
เป็นอีกครั้งที่สตรีนักฆ่าได้หัวเราะขึ้นมา เสียงของนางแหลมบาดหูจนเจ้าหญิงตัวจริงไม่คาดคิดว่าจะได้ยิน ไม่ว่าคำพูดนั้นจะดูน่าเชื่อถือมากเพียงไร ทว่า สุดท้ายสิ่งที่ควรเชื่อถือที่สุดคือตัวเอง หากนางได้กระทำสิ่งต่างๆและไม่รอให้ผู้อื่นหยิบยื่นสิ่งที่ต้องการให้ นางคงจะรู้ว่า ‘อัสเซลแห่งค่ายเชลยบริลดิช’ ไม่เคยมีตัวตนอยู่จริงตั้งแต่ต้น
เสียงของสตรีนักฆ่าแหลมขึ้นเรื่อยๆราวกับความเกลียดชังกำลังลุกโหมขึ้นจากภายในหัวใจอันมืดดำ “เจ้ารู้หรือไม่ ข้าเป็นสตรีผู้เปี่ยมด้วยความเก่งกาจและใบหน้าที่เหมือนเจ้าหญิงแห่งโลนอนซิล แล้วเหตุใดกันเล่า...เหตุใด แค่เพียงเจ้ากำเนิดขึ้นมาพร้อมกับสายเลือดแห่งราชวงศ์ที่ข้าไม่อาจมี เจ้ากลับแตกต่างจากข้าไปเสียทุกอย่าง มีทุกสิ่งสิ่งซึ่งข้าได้แต่ถวิลหา!”
สาวน้อยผู้มีรูปโฉมไม่แตกต่าง ได้เล่าถึงความห่างไกลของชะตากรรมราวกับเล่นตลก เมื่อหนึ่งนั้นคือเจ้าหญิงผู้เปี่ยมด้วยความเพียบพร้อม ทุกสิ่งล้วนไขว่คว้าได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ในเวลาเดียวกันนั้นเอง บุตรีแห่งแม่ทัพผู้ก่อการกบฏกลับถูกเนรเทศออกจากอาณาจักร
ในขณะที่เจ้าหญิงล้วนมีทุกสิ่งรายล้อมอย่างง่ายดาย กลับมีสาวน้อยผู้เติบโตขึ้นมาพร้อมสิ่งที่เป็นเพียงแค่เรื่องเล่า เมื่อครั้งที่ทุกอย่างยังคงสมบูรณ์พร้อม หากทุกสิ่งเป็นไปตามแผนอย่างง่ายดาย คนที่ได้แต่ฝันเฟื่องถึงข้าวของล้ำค่าหรืออัญมณีตระกาลตาย่อมไม่ใช่นาง!
เมื่อถูกเนรเทศจากโลนอนซิล สิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้คือการเข้าไปยังโอเทล์ม แต่การเป็นครอบครัวของผู้ก่อการกบฏซึ่งเหลือเพียงร่างไร้ค่า ยังจะมีประโยชน์ใดอีกงั้นหรือ? สตรีผู้มีใบหน้าละม้ายเจ้าหญิงเติบโตขึ้นมาในฐานะทาสของเชื้อพระวงศ์แห่งอาณาจักรนั้นอย่างช้าๆ รอเวลาจะได้แก้แค้นทุกสิ่งอย่างจากราชวงศ์แห่งโลนอนซิล!
แล้วโอกาสนั้นก็เปิดออกจนได้ เมื่อวันหนึ่งนางได้รับรู้ถึงความเสมอเหมือนของตน แม้จะต่างที่สีของเส้นผมก็ไม่เป็นไร ในเมื่อนางสามารถเปลี่ยนมันได้อย่างง่ายดาย และด้วยความเป็นทาสและการฝึกปรือฝีมือโดยบังเอิญเรื่อยมา นางสามารถลอบเข้าไปสร้างสถานการณ์ภายในปราสาทของเจ้าชายแห่งโอเทล์มได้สำเร็จด้วยใบหน้าของ ‘เจ้าหญิงแห่งโลนอนซิล!’
หน้าตาของนางบิดเบี้ยวระหว่างเล่าถึงแผนการอันชาญฉลาดของตน ราวกับว่าความบ้าคลั่งได้เริ่มขึ้นอย่างช้าๆ นางไม่คิดว่าโอเทล์มจะพ่ายแพ้อย่างแน่นอน ทั้งกองกำลังหรืออาวุธต่างมีเวลาในการตระเตรียมมากกว่าทั้งนั้น แค่เพียงเติมเชื้อไฟที่เหลืออีกสักนิด ทุกสิ่งก็จะลุกไหม้เผาลาญดุจเพลิงแห่งความเคียดแค้นได้ทำลายสิ้นทุกสิ่ง!
ในขณะเดียวกันนั้น ข่าวคราวของเจ้าหญิงเดเนียร์จากอาณาจักรพันธมิตรแห่งโลนอนซิล ซึ่งความเกี่ยวพันทางสายเลือดระหว่างองค์ราชินี จึงทำให้ใบหน้าของนางคล้ายคลึงกับไดอาน่า
“นี่ไม่เรียกว่าโชคชะตาเล่นตลกหรอกหรือ...? ข้าผู้ถูกพรากอำนาจและเกียรติยศซึ่งควรจะได้ไป เจ้าหญิงต่างเมืองผู้หายสาบสูญ เหลือใครกันเล่าที่ยังคงอยู่ ถ้าไม่ใช่เจ้า!” นางจับอาวุธในมือจนแน่นเกร็ง “ข้าจึงใช้นามของนางกับเอกสารปลอมอีกเล็กน้อยในการก้าวเข้ามา เพื่อพบพานกับเจ้าชายซึ่งอาจหลงรักกับข้า ด้วยการวิวาห์ด้วยสายเลือดอันใกล้เคียงไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว แม้จะเป็นเจ้าหญิงของอาณาจักรอันถูกยึดอำนาจ มันก็ย่อมดีกว่าสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้ แต่แล้วข้าก็พบว่ามันไม่อาจเป็นไปได้เลย ถึงกระนั้น ใช่ว่าข้าจะไม่ทิ้งอะไรไว้ให้แก่ตัวหมากเจ้าปัญหาหรอกนะ ถือเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนกับเรื่องราวที่ข้าลงแรงสืบค้นทั้งหมด!”
แม้สิ่งเหล่านั้นจะล้มเหลวไปเช่นไร ก็ไม่มีความจำเป็นต้องเสียดายให้มากความ หากแต่สงครามอันวาดเป็นความหวังหลักไว้กลับไม่ปะทุ ซ้ำยังมีคนที่ชวนคุ้นเคยปรากฏตัวขึ้น แม้จะปิดบังหน้าตาซีกซ้ายไว้ก็ตาม เจ้าชายที่ตนจ้องมองเพราะอยากทัดเทียมมาตลอด กลับปรากฏตัวขึ้นในฐานะผู้อารักขาเจ้าหญิงในแดนศัตรู!?
ความรักต้องห้ามอันทำให้ข้ามน้ำข้ามทะเลมาเพื่อพิสูจน์ความจริง โอ้...สิ่งนั้นยิ่งทำให้ใจของสาวน้อยผู้สูญสิ้นทุกอย่างตั้งแต่ยังไม่รู้ความ ยิ่งทวีความริษยาจนแทบเกินจะทานทน ในเมื่อเขามีใจต่อนางมากมายถึงเพียงนี้ ไยจึงไม่ใช่ประโยชน์ให้มากที่สุดเล่า...?
เมื่อนางเป็นเจ้าหญิงแห่งโลนอนซิลที่เขาหมายปอง สันติภาพอันเกิดขึ้นท่ามกลางความขัดแย้งเพราะการเจรจาระหว่างสองอาณาจักร หากเป็นเขาหลงใหลนางมากพอ ใช่ว่าเรื่องแบบนั้นจะเกิดขึ้นไม่ได้
“งั้น...” ไดอาน่าหลับตาลงเพื่อรวบรวมสมาธิต่อสิ่งที่กิดขึ้น ก่อนจะเปิดนัยเนตรอันเด็ดเดี่ยวเข้มแข็งออกมา “...เจ้าชายโอซิลริคแห่งโอเทล์ม ท่านไม่มีความจำเป็นต้องหลบซ่อนในที่แห่งนั้นอีกต่อไป”
ดวงตาของสตรีผู้มาเยือนถึงกับเบิกกว้าง มองดูเขาที่ค่อยๆถอดหน้ากากสีขาวเหลือบเงินอันนั้นออกมา ตามด้วยหน้ากากแผลน่าเกลียดน่ากลัว เผยให้เห็นถึงความหล่อประดุจเทพบุตร ซึ่งถูกหลบซ่อนด้วยสิ่งจำแลงใบหน้าต่างๆ เป็นไปไม่ได้ ในเมื่อนางตรวจดูว่าเขายังคงพักอยู่ในห้อง ไม่มีทางจะมาซ่อนยังห้องของเจ้าหญิงได้ก่อนแน่!
และนางได้พูดทุกสิ่ง...พูดทุกสิ่งออกไปทั้งหมดเลยไม่ใช่หรือ
“หากเป็นคนที่สวมหน้ากากปิดหน้าตาไว้ครึ่งหนึ่งและมองจากหน้าต่างภายนอกอันมืดมิด ไม่ว่าใครก็คงแยกตัวตนความแตกต่างไม่ออก” โอซิลริคกล่าวอย่างเคร่งขรึมดูน่าเกรงขาม หากแต่ไม่กล้าแม้แต่จะมองเจ้าหญิงไดอาน่าเลยสักนิดน้อย “ถึงเจ้าจะกล่าวสิ่งใดอีกร้อยพันกว่าคำ ก็ย่อมรู้ว่าข้าไม่มีความลังเลในการสังหารเจ้าอีกต่อไป!”
ทว่า สุ่มเสียงของไดอาน่าดูจะจริงจังเยือกเย็นไม่น้อย “ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าชายแห่งโอเทล์มลงมือแต่อย่างใด”
ถึงแม้ว่ากองกำลังพิทักษ์เจ้าหญิงจะไม่สามารถเข้ามาได้เพราะการล่อหลอกศัตรู แต่การเคลื่อนไหวของกองกำลังแห่งองค์ราชินีนั้นเป็นข้อยกเว้น!
ไม่มีความจำเป็นต้องขัดขืน อยู่อย่างไร้เกียรติย่อมดีกว่าไม่เหลือสิ่งใด สตรีนักฆ่าทิ้งอาวุธลงข้างกายอย่างยอมจำนน ปล่อยให้กองกำลังนำตัวไปด้วยใบหน้าอันเลื่อนลอยผิดหวังคล้ายกับแมดดิน่า หากแต่มันเกิดขึ้นจากความหวังอันพังทลายลงอย่างไม่มีทางกอบกู้
สาวน้อยผู้พบพานกับการสูญสิ้นทุกสิ่งด้วยน้ำมือของราชินีแห่งโลนอนซิล ได้เงยหน้าขึ้นมาสบตานางอย่างช้าๆ “ในเมื่อทุกสิ่งลงเอยเช่นนี้ ข้าก็คงไม่ต่างจากบทบาทของคนโง่เขลา ไยทุกสิ่งมันจึงจบลงเร็วนัก ราวกับทุกสิ่งที่ผ่านมาเป็นเพียงแค่ภาพลวงยามนิทรา...”
“เพราะบทบาทของคนโง่เขลาได้หมดหน้าที่แล้วอย่างไรเล่า” ดวงตาขององค์ราชินีคมกริบ พลางหันไปทางเจ้าชายแห่งโอเทล์ม “ข้าจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย เรื่องวุ่นวายนี้จะต้องจบลงเสียที!”
หญิงสาวก้าวเข้าไปใกล้ชายหนุ่มผู้กำลังนิทราอย่างสบายอารมณ์ อาวุธในแขนเสื้อที่หยิบยกขึ้นมาอย่างช้าๆ น้ำเสียงหวานหูซึ่งบัดนี้เปรียบเสมือนยาพิษอันร้ายแรง กลั่นกระซิบผู้ที่กำลังหลับใหล “ต้องขอโทษด้วย แต่เจ้าเองก็ผิด...ผิดเพราะมาที่นี่ ทำให้ข้าต้องไล่ล่าถึงสองครั้งสองครา!”
ทันใดนั้นเอง ดวงตาของผู้ถูกปองร้ายได้เปิดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เขาผลักกายของสตรีนักล่าออกอย่างรวดเร็ว พร้อมกันนั้นยังบิดเอามือข้างที่ถือมีดจนต้องปล่อย หากแต่มือของหญิงสาวได้เอื้อมคนจุดบริเวณแผลอันน่าหวาดกลัว ไม่ใช่เพียงแค่เป็นปฏิกิริยาโต้ตอบให้ชายหนุ่มบาดเจ็บกับบาดแผลเท่านั้น มันยังช่วยพิสูจน์ข้อข้องใจบางอย่างแก่นางด้วย ข้อข้องใจว่าเขามีบาดแผลร้ายแรงอยู่จริงหรือไม่
อัสเซลลอกหน้ากากอันขาดวิ่นนั่นให้เห็นใบหน้าชัดเจน ในขณะที่จ้องมองไปยังใบหน้าของสตรีนักฆ่า ซึ่งราวกับถอดแบบมาจากไดอาน่าอย่างไม่ผิดเพี้ยน
“เป็นเจ้าจริงๆ สวมหน้ากากน่าเกลียดนั่นกระทั่งยามนอน คิดจะปิดบังใครงั้นรึ?” ดวงตาของนางแวววาวขึ้น โดยหยิบดาบประจำหน้าที่องครักษ์ใกล้ๆนั้นขึ้นมาแทนของที่ถูกยึดไป “ไม่นึกเลยว่าจะเดินทางมาถึงอาณาจักรของข้าแบบนี้ น่ากลัวว่าหากเจ้าถูกปลิดชีวิตที่นี่ สงครามคงจะปะทุขึ้นโดยเร็ววัน”
อัสเซลไม่คิดปรานี ถึงแม้คู่ต่อสู้จะเป็นหญิงหรือไม่ ในยามนี้นางก็ดูอันตรายและเปี่ยมด้วยความเจ้าเล่ห์ อีกทั้ง คำพูดเหล่านี้ไม่ต่างจากการแอบอ้างว่าตนเองคือเจ้าหญิงแห่งโลนอนซิลหรอกหรือ หากปล่อยไว้แบบนี้คงเกิดเองวุ่นวายตามมาอีกมาก...ทว่า นั่นหมายถึงนางไม่ใช่เจ้าหญิงจริงๆดังที่เขากำลังวาดหวังไว้
สตรีนักสังหารล่วงรู้ถึงความในใจนั้นดี จึงได้บรรยายถึงความหอมหวานของรสขนมในค่ำคืนของการเดินทางนั้น ยังไม่นับรวมเรื่องความสนุกสนานระหว่างการเล่าวีรกรรม กระทั่งการขัดคอชวนให้ขบขันระหว่างองครักษ์ ราวกับว่าได้ประสบพบเจอกับตาของตนเองเลยทีเดียว
ในขณะเดียวกันนั้น นางอครุ่นคิดไม่ได้ ถึงจะมีฝีมือมากและถืออาวุธยาวกว่า บุรุษตรงหน้าก็ใช่ว่าจะอ่อนด้อยแต่ประการใด อีกทั้งหากจวนตัวจริงๆคงเรียกทหารองครักษ์ในละแวกนี้มาโดยไม่คำนึงถึงความลับเรื่องใบหน้าอีกต่อไป ในขณะเดียวกัน นางคงเป็นคนที่ถูกเปิดเผยจนการเดินหมากที่แล้วมาต่างล้มครืน
อัสเซลหรี่ตาลงอย่างจับสังเกต ดูเหมือนว่าคนลังเลจะไม่ใช่เขาเท่านั้น ทว่า ไฉนคนตรงหน้านี้จึงปรารถนาในสงคราม นางมีส่วนได้ส่วนเสียจากเหตุการณ์นั้นรึ งั้นคงเป็นเรื่องที่ซับซ้อนพอสมควร เพราะการที่สองอาณาจักรกันเป็นศัตรูก็เพราะความแค้นที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน จนโยงใยไปยังผลประโยชน์ต่างๆหลายทางเลยทีเดียว
ไม่มีสิ่งใดประกันว่าโอเทล์มจะชนะสงคราม และไม่มีสิ่งใดประกันว่าโลนอนซิลจะพ่ายแพ้ สิ่งที่สตรีตรงหน้าทำอยู่ไม่ต่างจากการเดิมพันครั้งสำคัญ อันแลกมาด้วยเลือดเนื้อ สงครามและความอดอยากของประชาชนในอาณาจักร!
แล้วผู้ที่ลงแรงสร้างความปั่นป่วนเบาๆใต้ผิวคลื่นน้ำอันแสร้งสงบนี้ นางเป็นใครกัน?
“ก่อนจะถามนามผู้อื่นต้องเอ่ยนามตนฉันใด ก่อนจะถามผู้อื่นย่อมต้องตอบคำถามก่อนฉันนั้น” นางเล่นลิ้นอย่างไร้ความกังวล พลางลดความระมัดระวังทั้งหมดอย่างง่ายดาย ในเบื้องลึกมันคือการหยั่งเชิงอย่างหนึ่ง “หากข้าจำคนที่เกือบจะเอาชีวิตได้ไม่ผิดล่ะก็ ไฉนท่านจึงมาที่นี่กันเล่า? ข้ารอเวลาจะให้สองอาณาจักรห่ำหั่นกันมาเนิ่นนานแล้ว รอวันจะได้ปลดมงกุฎราชาแห่งโอเทล์ม เหยียบย่ำเจ้าชายไว้ใต้ฝ่าเท้า แล้วครองอำนาจเบ็ดเสร็จทั้งหมด!”
แม้จะเป็นเพียงมีดสั้นอันเล็กที่เทียบไม่ได้กับดาบองครักษ์ อัสเซลก็เตรียมจะรุกไล่อย่างเต็มที่ โดยสตรีซึ่งแทบจะไม่ทันตั้งตัวถึงกับถอยร่นไปหลายก้าว หากแต่ความได้เปรียบของอาวุธช่วยไว้ได้อย่างเฉียดฉิว หรือไม่แน่...หากนางอ่อนด้อยกว่านี้อีกนิด บางทีคงจะได้หลั่งโลหิตสักแผลแน่นอน
ถึงกระนั้น สตรีนักฆ่าอดครุ่นคิดไม่ได้ การเผยช่องว่างเมื่อครู่ถือเป็นการเปิดโอกาสอย่างหนึ่ง ลำพังฝีมือของอัสเซลน่าจะได้มากกว่ารอยบาดผิวบางเบา ไยจึงเลือกจะยั้งไว้ไม่ให้นางบาดเจ็บสักนิดเล่า...?
คำตอบอยู่ไม่ไกลนี้เอง เดิมที การที่ตัวตนของเขาอยู่ที่นี่ก็เป็นสิ่งพิสูจน์ดีพอแล้วไม่ใช่หรือ
ดาบประจำตำแหน่งกับมีดสั้นถูกเปลี่ยนคนใช้อย่างสิ้นเชิง บัดนี้มันกำลังถูกเสียดสีอย่างชิดใกล้ ใบหน้าของคนทั้งสองห่างจากคมของอาวุธเพียงเล็กน้อย ในขณะที่อัสเซลเปี่ยมไปด้วยความเคร่งเครียด ใบหน้าของสาวน้อยผู้มีนัยเนตรสีชาดกลับส่อความสนุกสนาน
น้ำเสียงนั้นเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยนดุจเจ้าหญิงไดอาน่าที่ทุกคนคุ้นเคย “หากว่าความแค้นเคืองของเจ้าร้อนแรงมากไปกว่านี้ ข้าคงต้านกำลังของเจ้าไม่ไหวอีกต่อไป แม้จะเป็นเช่นนั้น...”
ดวงตาสุกใสของนางจับจ้องเขาอย่างวอนขอ ก่อนจะลดแรงลงเรื่อยๆจนคมดาบของตนเริ่มเข้าใกล้ลำคอระหงมากขึ้นเรื่อยๆ
“ปล่อยข้าไปได้ไหม...ที่รักของข้า?”
เรี่ยวแรงที่กดลงมาเสมือนหายไปวูบหนึ่ง แต่นั่นเพียงพอสำหรับหญิงสาวแล้ว นางหัวเราะเยาะเชิงชัยชนะในฐานะที่ทายถูก อาจเพราะนางกล้าเสี่ยงกับการที่อีกฝ่ายไม่มีความกระหายเลือดต่อคู่ต่อสู้เลยก็ว่าได้ ไม่ใช่การคำนวณอันเดิมพันกับโชคชะตาเท่านั้น
สุดท้าย อัสเซลได้แต่มองร่างของศัตรูลับหายไปในความมืดมิดของปราสาท ใช่ว่าเขาหวาดหวั่นในฝีมือจนไม่กล้าที่จะไล่ตาม แต่เป็น ‘ตัวตน’ ของนางที่เขาไม่กล้าจะล่วงรู้มากกว่า
ชายหนุ่มก้มลงเก็บอาวุธที่นางแลกกลับคืน ก่อนจะมองตราแห่งกองกำลังคุ้มกันอันสลักลงบนตัวดาบอย่างงดงาม มันคือเครื่องหมายแห่งการพิทักษ์รักษาสาวน้อยผู้สูงศักดิ์คนนั้น ในขณะเดียวกัน มันก็สะท้อนถึงความลังเลของเขาออกมาอย่างเต็มที่
อัสเซลจุมพิตตราสัญลักษณ์นั้นเบาๆ ก่อนจะเริ่มต้นค่ำคืนที่ยาวนานโดยไร้ซึ่งการนิทราแม้แต่น้อย
ในเช้าวันรุ่งขึ้น เจ้าหญิงไดอาน่ามองสหายคนสำคัญสลับกับองครักษ์ผู้สวมหน้ากากแตกต่างจากผู้อื่นที่สุด ดูเหมือนว่าเช้านี้จะไม่เช้าที่สดใสนัก หรือว่าเมื่อคืนนี้ฟิลลิปป์เกิดเหตุการณ์ขัดแย้งกันกับซิลเวอร์งั้นรึ?
สำหรับอัสเซล...นางคิดว่าควรถามด้วยความห่วงใยตามปกติมากกว่า ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครรายงานเหตุการณ์วุ่นวายอะไรให้นางได้ทราบข่าว หากจะมีเรื่องกลุ้มใจใดสักอย่างคงเป็นเรื่องส่วนตัวมากกว่าหน้าที่ และแน่นอนว่าการไถ่ถามผู้คุ้มครองเมื่อมีสิ่งไม่สบายใจ เจ้าหญิงคิดว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสมอย่างหนึ่ง เขาคิดจะเลี่ยงก็ไม่เป็นไร เจ้าหญิงเข้าใจว่าทุกคนย่อมมีความลับด้วยกันทั้งนั้น เพียงแค่เขารู้สึกว่านางใส่ใจ ไม่ใช่เป็นแค่องครักษ์ที่ถูกมองผ่านเลยในแต่ละวัน
นัยนเนตรสีน้ำตาลจ้องมองนางมาอย่างล้ำลึก แฝงด้วยความรู้สึกอันชวนให้อึดอัด นั่นสร้างความลังเลให้แก่ผู้ถามไม่น้อยเลยทีเดียว ซ้ำด้วยน้ำเสียงอันเย็นเยือกประหนึ่งกดดัน “ฝ่าบาทไม่ต้องกังวลกับเหตุการณ์เมื่อคืนหรอกพะยะค่ะ เพราะข้าพระองค์เข้าใจว่าเป็นเพียงการ ‘ล้อเล่น’ เท่านั้น”
ฟิลลิปป์ละจากแก้วน้ำชาที่นั่งจิบมาตลอดหลายนาทีอย่างเงียบงัน พลางสบตากับเจ้าหญิงไดอาน่าผู้ทำหน้างุนงง เขาใช้เวลาทั้งค่ำคืนกับคนรักเพื่อซึมซับสิ่งต่างๆให้มากที่สุดในทุกเวลา ทุกวินาที หรือว่าเกิดเรื่องบางอย่างในระหว่างที่เขาอยู่กับซิลเวอร์ที่หอคอยราชินี
แต่ในที่นี้...ไม่มีผู้ซึ่งควรจะเป็นอัศวินสีเงินเลยแม้แต่น้อย
ไดอาน่าสั่นศีรษะเบาๆ แล้วหันไปมององครักษ์ผู้แสดงความผิดออกมาตลอดทั้งเช้าวันนี้อีกครั้ง ซึ่งอัสเซลไม่ได้สบตาใครระหว่างเอ่ยออกมาแม้แต่น้อย “ได้โปรดอย่าคิดว่าข้าพระองค์กำลังล่วงเกิน แต่ช่วยบอกสักนิด...ฝ่าบาทคิดอย่างไรกับโอเทล์มงั้นหรือพะยะค่ะ”
เจ้าหญิงนิ่งอึ้งอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก อดเหลือบมองไปทางดาบเหน็บเอวของอัสเซลไม่ได้ ซึ่งผู้ถูกจับจ้องรู้ดี เขาคุกเข่าลงแนบพื้นหนึ่งด้านแล้วชักมันออกมาวางลงบนมือของสาวน้อยสูงศักดิ์ เสมือนจะสื่อว่าดาบแห่งการปกป้องนาง จะไม่มีวันหันใส่อย่างแน่นอน ถึงกระนั้น น้ำเสียงของเขายังคงลุ่มลึกอย่างเจ็บปวด
“ฝ่าบาทเคยคิดจะปลดมงกุฎของราชาแห่งโอเทล์ม คิดจะเหยียบย่ำเจ้าชายอย่างไม่ใยดีหรือไม่ คิดจะสร้างสงครามระหว่างอาณาจักรบ้างไหม!”
สิ้นคำนั้นเอง เหล่าองครักษ์ที่เห็นท่าไม่ดีตั้งแต่ต้นต่างกรูเข้ามาเพื่อจับตัวชายหนุ่มไว้อย่างรวดเร็ว เขาถูกกดลงกับพื้นจนร้องขึ้นมาด้วยแรงกระแทก หากว่าเขาไม่ใช่องครักษ์ที่เริ่มคุ้นเคยกันมาก่อน บางทีความรุนแรงอาจมากกว่าอีกหลายเท่า แต่ความเจ็บปวดนั้นอาจช่วยเรียกสติได้ดี ในตอนนี้แววตาของเขาเริ่มสงบลงแล้ว
เจ้าหญิงส่งสัญญาณให้รอบข้างปล่อยตัวเขา ซ้ำยังประคองขึ้นมาอย่างช้าๆด้วยความเป็นห่วงในอาการ อัสเซลมองดาบที่กลับคืนปลอกด้วยความไม่เข้าใจ ใบหน้าของเขาถูกนางประคองไว้อย่างอ่อนโยนเช่นเดียวกับน้ำเสียง ในขณะเดียวกันมันแฝงด้วยการบังคับไม่ให้หลบตา “มีเรื่องอะไรที่ข้าควรรู้ใช่ไหม”
ทุกสิ่งคือความเงียบ...ไดอาน่าจ้องลึกเข้าไปในตาของผู้ที่ไม่ยอมปริปาก สุดท้ายจึงถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา ออกคำสั่งให้ทุกคนโดยรอบออกไปจากที่นั่น นางจะเริ่มทำการสืบสวนความจริงจากชายหนุ่มตรงหน้านี้เพียงลำพัง แม้ว่านางอยากให้ฟิลลิปป์คอยอยู่ช่วยให้นางเข้มแข็งขึ้นอีกหน่อย ความสับสนในใจของเขามันมีมากเกินไป อีกทั้ง เรื่องนี้ดูจะพัวพันกับอาณาจักร มันคงมากเกินไปสำหรับเขา ถึงเด็กหนุ่มจะเอ่ยปากขึ้นมาอย่างเป็นห่วง สาวน้อยสูงศักดิ์จึงได้แต่ปฏิเสธ
เจ้าหญิงดึงเขาให้นางลงตรงข้ามที่เก้าอี้ยาวหนานุ่มสวยงาม พลางยื่นแก้วน้ำชาให้เขาดื่มเพื่อสงบใจมากกว่านี้ นางเองก็คงต้องดื่มเช่นกัน เพื่อเตรียมใจฟังเรื่องราวทั้งหมดซึ่งส่อแววไม่ความยุ่งเหยิง
“เจ้ามาจากโอเทล์ม ถึงจะบอกว่าภักดีต่อเรามากเพียงใด กายของเจ้าก็ยังคงเป็นโอเทล์มอยู่ดี ข้าเข้าใจในความเป็นห่วงต่อบ้านเกิดเมืองนอน บางทีข้าอาจเอ่ยอะไรที่ทำให้เจ้ารู้สึกว้าวุ่นใจ” นอกจากเป็นการเริ่มบทสนทนา ยังเป็นสิ่งที่คล้ายจะหวังว่าเรื่องคงจบลงแค่นั้นของเจ้าหญิงอีกด้วย
ความเงียบงันยังคงปกคลุมต่อไปจนน่าอึดอัด ไดอาน่าขยับตัวเพียงเล็กน้อยเสมือนถูกความกดดันนี้ดึงเข้าไปรบกวนกระทั่งการเคลื่อนไหว สุดท้ายจึงจบลงด้วยการมอบน้ำชาให้เขาอีกแก้ว ซึ่งนางหวังว่ามันจะช่วยให้เขาพูดได้บ้าง แน่นอนว่าต้องไม่ใช่คำบอกปัดว่าเรื่องทั้งหมดเป็นความฟุ้งซ่ายในใจอย่างกะทันหันแน่
จวบจนน้ำชาแก้วที่สาม ในที่สุดชายหนุ่มตรงหน้าจึงทำให้เจ้าหญิงเบาใจลงบ้าง ด้วยการเอื้อนเอ่ยเป็นคำแรก ซ้ำยังเป็นคำแรกที่ชวนให้งุนงงอย่างที่สุด อัสเซลต้องการรู้ว่านางอยู่ที่ไหนเมื่อกลางคืนที่แล้วกัน?
“ข้าก็ย่อมพักอยู่ในห้องอย่างแน่นอน” เจ้าหญิงพยักหน้ายืนยันเล็กน้อย แววตาเริ่มคมกริบขึ้นมาบ้าง “หรือว่าเจ้าพบข้ากำลังเดินอยู่ในที่แห่งใด”
ปฎิกิริยาของนางทำให้เขาไม่ไว้ใจ ด้วยความคิดไปอีกทางว่านางกำลังรู้สึกตึงเครียดกับสิ่งที่ได้กระทำลงไปในอดีต หากแต่ถ้านางรู้เรื่องทั้งหมด ไฉนในเช้าวันนี้จึงกระทำเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากจะคืนดาบกลับมาข้างกายเขาแล้ว ยังไม่เรียกองครักษ์กลับมาในห้อง หากไดอาน่าเป็นสตรีนักฆ่าของแท้ นางคงไม่ไว้ใจเขามากถึงขนาดนี้
ดวงตาของเขาหลุบลงต่ำ ถึงจะบอกว่าไม่มีอะไรเพื่อหลีกเลี่ยงความวุ่นวายและการบอกเล่ารายละเอียด คนที่จะไม่ยอมคงกลายเป็นอีกฝ่ายไปแทน เพราะความเลือดร้อนของเขาแท้ๆ หรือเพราะคำพูดลงท้ายอันชวนให้สับสนของสาวน้อยคนนั้นกันหนอ อัสเซลอดยิ้มเยาะต่อตนเองที่สร้างปัญหาขึ้นมาไม่ได้ ทว่า...เขาอยากรู้ว่าคำพูดนั้นใครเป็นคนพูด แล้วนางรู้สึกอย่างนั้นรึไม่ หรือเพียงแค่พูดจาหลอกล่อเขาอย่างไร้ปรานีต่อผู้ที่ได้สดับฟัง
อัสเซลไม่ใส่รายละเอียดลงไปในส่วนนั้น หากแต่พูดถึงคำพูดหยามเหยียดต่อโอเทล์มและใบหน้าที่เสมอเหมือนกับเจ้าหญิงไม่มีผิดเพี้ยน
“เมื่อคืนข้าอยู่ในห้องจริงๆ รวมทั้งไม่คิดจะสร้างสงครามใดอีกด้วย เจ้ารู้ดีว่าข้าชื่นชอบในความสงบสุขอย่างที่เป็น มากกว่าถวิลหาความยิ่งใหญ่เหล่านั้น” ไดอาน่ายิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนจะกล่าวถามสิ่งสำคัญบางอย่าง นั่นคือการที่สตรีนักฆ่าลอบเข้ามาอย่างง่ายดาย ซ้ำในบรรดาห้องพักนับร้อยพันขององครักษ์ ยังเจาะจงไปยังเขาอย่างไม่ลังเล นางคงไม่สุ่มจากหน้าต่างเอาเท่านั้นหรอกนะ...?
อัสเซลนิ่งไปหนึ่งชั่วอึดใจ แต่ในคำถามนั้นมีสิ่งหนึ่งที่เขาไม่ลังเลในการตอบ “ข้าเองก็ไม่ทราบว่าทำไมนางถึงลอบเข้ามาได้ ถึงแม้จะเลือกข้าในฐานะที่เป็นชาวโอเทล์ม การจะรู้ว่าข้าอยู่ที่ไหนไม่ใช่เรื่องง่ายดังที่ท่านว่า เว้นซะแต่นางจะสมรู้ร่วมคิดกับใครบางคน...หรือเคยลอบเข้ามาสำรวจเส้นทางเอาไว้ตั้งแต่ต้น”
ไดอาน่านึกถึงเหตุการณ์ในมื้อเย็นวันนั้น เมื่อครั้งที่มีซาร่า นางกำนัลผู้มีหน้าที่เสิร์ฟอาหารตัวปลอมได้ปรากฏตัวขึ้น บางทีอาจเป็นฝีมือของคนเดียวกันนี้ เจ้าหญิงหลับลงไม่กี่วินาที ก่อนจะเปิดออกมาพร้อมความสดใส นางลุกขึ้นพลางบอกให้เขาเปลี่ยนเป็นชุดชาวบ้าน เพราะนางต้องการจะออกไปข้างนอกอย่าง ‘เป็นความลับ’
นางอธิบายต่ออัสเซลถึงความไม่สบายใจของฟิลลิปป์ ซึ่งจะเป็นซิลเวอร์หรือเขาก็ต่างเงียบไว้ทั้งนั้น แม้นางจะไม่ถามไถ่ถึงห้องพัก อัศวินสีเงินกลับไม่คิดที่จะเปิดประตูออกมาเลยด้วยซ้ำ บางทีการพาเด็กหนุ่มที่ยังยินยอมมาอยู่เคียงข้างนางไปยังสถานที่อันคุ้นเคย อาจทำให้ทุกอย่างดีขึ้นมาบ้าง
เจ้าหญิงไดอาน่ายืดกายตัวอย่างงามสง่าด้วยสีหน้าที่อยากจะลองเดิมพันดูสักครั้ง “ข้าเองก็อยากทราบว่า ‘สตรีผู้รอบรู้’ ยังจะรอบรู้เรื่องอะไรได้มากไปกว่านี้อีก!”
เมื่อมาถึงหมู่บ้าน สาวน้อยในชุดสามัญธรรมดาทอดสายตามองสหายด้วยความเห็นใจ พวกผู้ใหญ่บางคนอาจจะจับสังเกตกับท่าทีผิดปกติของเขาได้ แต่ไม่ใช่กับเด็กน้อยใหญ่ที่ยังไม่ประสา พวกเขานั่งลงฟังนิทานอันแว่วหวาน พร้อมทั้งออกความคิดเห็นไปต่างๆนานา เรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มฝืนความกลัดกลุ้มของนักเล่าได้เป็นอย่างดี
อัสเซลเรียกให้นางมาอีกทางหนึ่ง แม้การเข้าไปพูดคุยจะเป็นสิ่งดีสำหรับเพื่อน แต่นั่นหมายถึงในยามที่อยู่เพียงลำพัง หากว่านางเผลอหลุดปากให้คนโดยรอบเริ่มสนใจใคร่รู้ขึ้นมา การมายังหมู่บ้านแห่งนี้คงจะไร้ประโยชน์
คนทั้งสองเดินไปเรื่อยๆตามหนทาง เฝ้ามองดูความทุกข์สุขของผู้คน ทั้งการดำรงอยู่และการมีมิตรสัมพันธ์ต่อกัน แม้จะไม่ได้อยู่อย่างเลิศหรูอะไร คนที่นี่ก็ท่าทางจะมีความสุขดี มีการช่วยเหลือ มีการแบ่งปัน รวมทั้งใบหน้าอันยิ้มแย้มเปี่ยมด้วยชีวิตชีวา เป็นสถานที่อันสวยงามในหลายด้านเลยทีเดียว
“ไม่มีอะไรดีเพียงอย่างเดียว” อัสเซลเตือนสติด้วยน้ำเสียงเนิบช้า “ท่านยังจำแมดดิน่าได้ไหม? เพราะข้าเผลอทำอาวุธบาดผิวนางไปโดยไม่ตั้งใจ จึงคิดว่าการไปดูอาการสักหน่อยคงไม่เสียหายนัก รวมทั้งพวกชาวบ้านเองก็ทารุณนางไม่น้อยเลย ตอนนี้นางน่าจะหายเป็นปกติแล้ว อย่างน้อยก็ในแง่ของบาดแผล”
ไดอาน่าขมวดคิ้วเล็กน้อยระหว่างเดินตามองครักษ์ของตน ในละแวกนี้เริ่มออกนอกเขตหมู่บ้านขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนหรือบ้านก็เบาบางจนไม่น่าไว้ใจ แม้ว่าจะเป็นยามกลางวันเช่นนี้ก็ตาม เจ้าหญิงรั้งแขนคนนำทางไว้ให้เขาบอกจุดหมายที่จะถึงก่อน ใช่ว่าเรื่องการกระทำประหลาดช่วงเช้าจะหายไปกับคำกล่าวอ้างเหล่านั้น ใครจะรู้ว่าสตรีนักฆ่าจะเป็นเพียงเรื่องเท็จหรือไม่
ยังไม่ทันที่อัสเซลจะตอบอะไร หญิงสาวในชุดคลุมมอมแมมได้ปรากฏตัวขึ้น นางเดินโซเซมาทางพวกเขาอย่างช้าๆ ครั้งนี้นางไม่ได้หิ้วตะกร้าเพื่อรับข้าวของจากชาวบ้านแต่อย่างใด กลับเป็นภาชนะรองน้ำเก่ามีรอยผุด้านข้าง กว่าจะเติมเต็มถังใหญ่ๆสักใบคงกินเวลาหลายชั่วโมงเลยทีเดียว
อัสเซลเรียกนางไว้ให้ทำความรู้จักกับไดอาน่า โดยที่ฝ่ายหลังแสดงความหวั่นเกรงออกมาไม่น้อย เนื่องจากรัศมีคมมีดที่เกือบจะแทงตรงเข้ามาช่างใกล้เหลือเกิน
“ไม่ใช่แม่มด... ไม่ใช่แม่มด...” แมดดิน่าทวนคำซ้ำไปมา แล้วเผยสีหน้าซึมเศร้า “แต่ข้าแทงไปแล้ว...”
“นางปลอดภัยดี ไม่มีใครได้รับอันตรายทั้งนั้น” อัสเซลกล่าวปลอบ พลางเล่าถึงการช่วยเหลือหญิงสาวเสียสติผู้บาดเจ็บในครั้งก่อน ดูเหมือนว่าการอธิบายให้นางเข้าใจจะเป็นวิธีที่ดี เพราะหลังจากนั้นแมดดิน่าก็แสดงความสำนึกผิดออกมาไม่น้อย แม้ว่าชาวบ้านพวกนั้นจะเป็นฝ่ายทำให้นางบาดเจ็บด้วยเช่นกัน
จากข่าวคราวที่เขาสอบถามจากคนต่างๆมา อดีตก่อนจะได้มาพักอาศัยยังริมบึงไม่ใกล้ไม่ไกลจากท้ายหมู่บ้าน แมดดิน่าเคยอยู่ในสถานที่อันน่ากลัว ณ ที่นั้นไม่เหลือสตรีเพศอยู่เลยแม้แต่น้อย หากนับรวมกับอาการซึ่งได้แสดงออกมา บางทีสาเหตุของเรื่องราวอาจเป็นคณะล่าแม่มดของอาณาจักรใดสักแห่งก็เป็นได้ ด้วยการฝังใจในเรื่องเหล่านั้น จึงเริ่มหวาดกลัวต่อพวกผู้ที่คิดว่าใช้มนตร์ดำ อันเป็นสิ่งที่เรียกให้คนอำมหิตมาไล่จับไปทำร้ายอย่างหนักหนา ซึ่งพวกเขากระทำราวกับว่าผู้หญิงเหล่านั้นไม่มีเลือดเนื้อ ไร้ความเจ็บปวดหรือทรมาน!
ไดอาน่ารับฟังเรื่องราวเหล่านั้นอย่างเงียบๆ แม้จะไม่ได้กล่าวคำใดออกมา ความไม่เห็นด้วยยังคงแสดงออกมาทางแววตาสีชาดคู่นั้น แม้ในโลนอนซิลจะไม่มีการล่าแม่มดอย่างเป็นทางการ ความเชื่อกึ่งหวาดกลัวของคนบางกลุ่มยังคงขจรขจายเข้าไปทำร้ายผู้บริสุทธิ์อยู่เสมอ...
ความคิดเหม่อลอยของนางหยุดลงกะทันหัน เมื่อมีบุปผาเล็กๆสีน้ำเงินสวยดอกหนึ่งมอบมาตรงหน้า เป็นดอกไม้ที่เข้มสวยท่ามกลางแสงยามทิวา ทั้งที่เป็นสิ่งสวยงามอย่างมากมาย ผู้คนไม่น้อยได้เดินผ่านเมินไปอย่างไม่คิดปรายตา แล้วดอกหญ้าดอกนี้หมายถึงอะไรงั้นหรือ
เดิมทีดอกหญ้าน่าจะหมายถึงการวอขอว่าอย่าผูกมัดกันเลย แต่นางไม่ได้ผูกมัดบังคับให้นำทางไปไหนไม่ใช่รึ?
“ไม่มีความหมายของใดเลย” เขาบรรจงวางบุปผาสีน้ำเงินลงกลางฝ่ามืออันเรียวงามของนาง “เพียงแต่มันสวย งดงาม และรื่นเริงรับแสงอย่างสดใสในทุกวัน แม้ว่าผู้คนจะไม่เคยหันมาหา แม้ว่าใครจะเหยียบย่ำอย่างไร้ค่า ก็ยังคงมีดอกหญ้าที่รอดมาจากสิ่งเหล่านั้น แล้วชูช่อรับแสงอาทิตย์ขึ้นมาอีกครั้งและอีกครั้ง ฉะนั้น ท่านอย่าได้เศร้ากับเรื่องราวของแมดดิน่าไปเลย เพราะนางเองต้องมีวันที่ได้อาบแสงแดดอันอบอุ่นอย่างมีความสุขเช่นกัน”
เป็นครั้งแรกที่ไดอาน่ามองเขาด้วยความทึ่ง กลีบบุปผาสีน้ำเงินในมือนางกระทบกับแสงอย่างงดงาม ราวกับตอบรับในคำพูดของชายหนุ่ม
ดอกไม้อันไร้ค่าไร้ความหมาย หากแต่สามารถปลอบประโลมได้กระทั่งผู้ที่มีฐานะสูงศักดิ์อย่างเจ้าหญิง สาวน้อยกล่าวขอบคุณต่อมุมมองใหม่ที่เขาได้เปิดกว้างให้กับนาง ไม่แน่ว่าสิ่งนี้อาจช่วยให้เพื่อนคนสำคัญกลับมายิ้มแย้มได้บ้าง ฟิลลิปป์เป็นคนที่มีแรงดึงดูดอย่างประหลาด นัยเนตรของเขาเมื่อแฝงด้วยความเศร้า มันก็สื่อตรงลงมาจนผู้พบสบตาอยากจะทำให้มันมีความสุข
อัสเซลแสร้งเดินนำไปเรื่อยๆโดยไม่ยอมสบตากับไดอาน่า ในขณะที่ถามบางสิ่งซึ่งติดค้างอยู่ในใจตั้งแต่เมื่อครั้งที่ไปคอนชายส์แล้ว ทำไมนางจึงต้องใส่ใจสำคัญกับคนธรรมดาคนหนึ่งนัก เขาอาจเป็นสหาย เป็นคนรักของพี่ชาย และเป็นคนเดียวที่ไม่ได้สวมหน้ากากในปราสาท แต่ความใส่ใจของนางชวนให้เข้าใจผิดเหลือเกิน กอปรกับการที่ซิลเวอร์ไม่ได้มาคอยอยู่เคียงข้างตลอดเวลา พวกเขาที่ทำสิ่งต่างๆร่วมกันเกือบทั้งวันอาจเป็นสิ่งที่ทำให้เจ้าหญิงหวั่นไหวก็เป็นได้
“บอกข้าทีว่าที่เจ้าถามแบบนี้ไม่ใช่การไหว้วานจากเขา” นางกล่าวเสียงกลั้วหัวเราะ เจ้าหญิงรู้จากพี่ชายต่างสายเลือดแล้วว่าเขาทราบถึงตัวตนใต้หน้ากากและบทบาทนั้น ก่อนจะเปล่งความเคร่งขรึมแกมโดดเดี่ยวออกมาทางแววตาคู่งาม “ไม่หรอก...ไม่ใช่แค่ข้าไม่รักเขา ข้าไม่อาจรักใครได้เลยต่างหาก อาจเป็นความขี้ขลาดของตัวเองก็ได้ แต่หากข้ารักคนที่ไม่อาจเป็นไปได้ ข้าต้องฝ่าฟันสิ่งต่างๆอีกเท่าไหร่ หนทางสู่บัลลังก์เปิดทางให้ข้าตั้งแต่สัมผัสโลกในวินาทีแรก แล้วข้าจะทำให้มันมัวหมองได้อย่างไร ข้าต้องวิวาห์กับผู้ที่ควรคู่จึงจะถูกต้อง”
ไดอาน่าเป่ากลีบดอกไม้ออกไปตามสายลม เมื่อหมดการบังคับด้วยสิ่งนั้น กลีบสีน้ำเงินจึงลู่ตกลงสู่พื้นดิน ปะปนไปกับเศษผงมากมายจนแปดเปื้อน แม้จะเป็นความสวยงามในเชิงของธรรมชาติ หากแต่เมื่อเก็บขึ้นมาก็ต้องเปื้อนดินไปด้วย การเก็บมันไว้จนหลงลืมกลายเป็นฝุ่นไร้ค่า คงไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่นัก
“องค์ราชาชาชินีไม่เคยคิดเช่นนั้น พระองค์เพียงต้องการท่านได้อยู่อย่างมีความสุขกับผู้ที่ท่านรักและรักท่าน” เขาจุมพิตที่กลีบดอกไม้สีน้ำเงินดอกใหม่เบาๆเพื่อมอบแด่เจ้าหญิงไดอาน่า “ท่านชื่นชอบการฟังนิทานหรือไม่? ถึงอย่างไรให้ข้าได้ลองถึงเรื่องของคนคนหนึ่ง รักของเขาเป็นเพียงเรื่องต้องห้าม เกิดขึ้นมาจากมึนงงต่อเส้นทางในปราสาทใหญ่ แม้นางจะจำเขาไม่ได้...”
คำตอบของไดอาน่าคือบุปผาที่ร่วงหล่นลงสู่พื้นและการหันหลังกลับ
ในค่ำคืนนั้น แม้จะเป็นแรมเจ็ดค่ำที่ดวงจันทร์หายไปครึ่งหนึ่ง แสงที่ส่องมายังคงไม่มืดมัวมากนัก ผู้ที่กำลังเอนกายอยู่บนเตียงอันกว้างขวางไม่ได้หลับ ทั้งที่ตอนนี้ผ่านไปกว่าค่อนคืนแล้วแท้ๆ ไม่ใช่เพราะเรื่องตอนกลางวันที่ทำให้นางยังคงใจแข็งต่อความง่วงงุนเป็นแน่ หากแต่เป็นเรื่องของบุคคลหนึ่งซึ่งได้บุกเข้าไปในห้องของอัสเซล
หลังผ่านเรื่องของบุปผาน้ำเงิน ไดอาน่านำตัวเขามาสอบถามเรื่องราวทั้งหมด แม้จะรู้ว่าบางส่วนถูกปิดบังไว้ การที่สตรีนักฆ่าแอบอ้างชื่อของนางไปใช้ มันอาจหมายถึงการไม่ได้พุ่งเป้าไปยังเขาเพียงคนเดียว ถ้าผู้หญิงคนนั้นเป็นคนเดียวหรือพวกเดียวกับซาร่าตัวปลอม ในคืนนี้...
เสียงฝีเท้าของบุคคลผู้ถูกเชื้อเชิญเชิงล่อหลอกแตะลงมายังพื้นห้องอันหรูหราอย่างเงียบกริบ ด้วยชุดอันเหมาะพอดีกับกายทำให้การเคลื่อนไหวคล่องแคล่วเป็นพิเศษ แม้จะเป็นราตรีถัดมาก็ตาม ใบหน้าอันเสมอเหมือนยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ดุจฝาแฝดของผู้ซึ่งเฝ้ารอมานานจนนาฬิกาทรายพลิกหมุนไปมาอยู่หลายรอบ
ไดอาน่าก้าวลงมาจากเตียงนอนอันหนานุ่มนั่นพร้อมด้วยดาบประจำกายหนึ่งเล่ม เป็นอาวุธเนื้อดีที่มีความเบาเหมาะสำหรับผู้หญิง
“ข้าต้องบอกหรือไม่ เกี่ยวกับการล่วงรู้แผนการทุกอย่างของเจ้า” สตรีนักฆ่ากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอันไม่แตกต่าง “รู้ว่าเจ้าจะมองออกว่าข้าจะต้องบุกมา รู้ว่าหากเจ้าหายตัวไปจากปราสาทพร้อมสหายรูปงามคนนั้น สถานที่คงไม่พ้นหมู่บ้านเล็กๆนั่นเป็นแน่”
ในห้องนี้ไม่มีองครักษ์คอยควบคุมอยู่ นางตรวจสอบห้องพักต่างๆอย่างเรียบร้อย รวมทั้งห้องพักของผู้ที่นางเพิ่งเข้าไป ‘ทักทาย’ ในค่ำคืนที่แล้วด้วย การเชื้อเชิญในค่ำคืนนี้ของเจ้าหญิงจึงน่าสนใจเป็นพิเศษ ไดอาน่าไม่ยอมบอกใครด้วยซ้ำว่ามีจุดประสงค์เช่นไร จะบอกก็เพียงแค่แผนการล่อหลอกเท่านั้น ซึ่งการตั้งใจให้มันรั่วไหลอย่างลับๆดูจะได้ผลดีทีเดียว เพราะทั้งที่มีไม่กี่คนที่รู้ในเรื่องนี้ แต่มันกลับส่งทอดมาถึงผู้รับอย่างครบครัน
สิ่งที่เจ้าหญิงต้องการคือ ‘ความจริง’ ทั้งหมด ทำไมสตรีนักฆ่าจึงจ้องจะทำร้ายนาง การเกิดศึกสงครามจะมีใครได้ประโยชน์ในเรื่องนี้ หรือกระทั่งเรื่องของอัสเซล การที่เขาเป็นคนจากโอเทล์มไม่ได้เป็นสิ่งยิ่งใหญ่อะไรขนาดนั้น ไฉนจึงต้องเข้าไปก่อนจะบุกเข้ามาในห้องของนางด้วยซ้ำ!
เสียงหัวเราะของผู้มาเยือกยามวิกาลช่างน่าหวาดหวั่น “อัสเซล...องครักษ์นั่นน่ะรึ? เขาใจร้อนและไม่แนบเนียนเอาเสียเลย หากเป็นข้าคงสามารถแฝงตัวอยู่ได้หลายสิบปี อยู่ภายใต้จมูกท่านโดยไม่เผยพิรุธสักนิดอย่างไรเล่า”
ใจร้อน...ไม่แนบเนียน สองคำนี้คงเป็นสิ่งที่เป็นหายนะของผู้ที่พยามปลอมแปลงตนเป็นคนอื่น แต่สิ่งที่นางได้สืบค้นมาทั้งหมดยืนยันว่าเขามีอยู่จริง รวมทั้งบาดแผลไฟไหม้อันน่ากลัวนั้นด้วย คนของนางล้วนแต่มีฝีมือ ไม่มีทางพลาดท่าให้กับคำลวงเท็จหรือรายงานสิ่งที่ยังไม่ตรวจสอบให้แน่ใจก่อนเป็นแน่
นัยเนตรของอีกบุคคลหนึ่งที่แฝงตัวอยู่ในห้องของเจ้าหญิงหรี่ลงช้าๆ เขากำลังหวังว่าทุกสิ่งจะไม่ถูกเปิดเผยออกมา มือของเขาจับที่มีดสั้นอันคมกริบเอาไว้แน่น ด้ามของมันทำขึ้นจากทองคำบริสุทธิ์...
เป็นอีกครั้งที่สตรีนักฆ่าได้หัวเราะขึ้นมา เสียงของนางแหลมบาดหูจนเจ้าหญิงตัวจริงไม่คาดคิดว่าจะได้ยิน ไม่ว่าคำพูดนั้นจะดูน่าเชื่อถือมากเพียงไร ทว่า สุดท้ายสิ่งที่ควรเชื่อถือที่สุดคือตัวเอง หากนางได้กระทำสิ่งต่างๆและไม่รอให้ผู้อื่นหยิบยื่นสิ่งที่ต้องการให้ นางคงจะรู้ว่า ‘อัสเซลแห่งค่ายเชลยบริลดิช’ ไม่เคยมีตัวตนอยู่จริงตั้งแต่ต้น
เสียงของสตรีนักฆ่าแหลมขึ้นเรื่อยๆราวกับความเกลียดชังกำลังลุกโหมขึ้นจากภายในหัวใจอันมืดดำ “เจ้ารู้หรือไม่ ข้าเป็นสตรีผู้เปี่ยมด้วยความเก่งกาจและใบหน้าที่เหมือนเจ้าหญิงแห่งโลนอนซิล แล้วเหตุใดกันเล่า...เหตุใด แค่เพียงเจ้ากำเนิดขึ้นมาพร้อมกับสายเลือดแห่งราชวงศ์ที่ข้าไม่อาจมี เจ้ากลับแตกต่างจากข้าไปเสียทุกอย่าง มีทุกสิ่งสิ่งซึ่งข้าได้แต่ถวิลหา!”
สาวน้อยผู้มีรูปโฉมไม่แตกต่าง ได้เล่าถึงความห่างไกลของชะตากรรมราวกับเล่นตลก เมื่อหนึ่งนั้นคือเจ้าหญิงผู้เปี่ยมด้วยความเพียบพร้อม ทุกสิ่งล้วนไขว่คว้าได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ในเวลาเดียวกันนั้นเอง บุตรีแห่งแม่ทัพผู้ก่อการกบฏกลับถูกเนรเทศออกจากอาณาจักร
ในขณะที่เจ้าหญิงล้วนมีทุกสิ่งรายล้อมอย่างง่ายดาย กลับมีสาวน้อยผู้เติบโตขึ้นมาพร้อมสิ่งที่เป็นเพียงแค่เรื่องเล่า เมื่อครั้งที่ทุกอย่างยังคงสมบูรณ์พร้อม หากทุกสิ่งเป็นไปตามแผนอย่างง่ายดาย คนที่ได้แต่ฝันเฟื่องถึงข้าวของล้ำค่าหรืออัญมณีตระกาลตาย่อมไม่ใช่นาง!
เมื่อถูกเนรเทศจากโลนอนซิล สิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้คือการเข้าไปยังโอเทล์ม แต่การเป็นครอบครัวของผู้ก่อการกบฏซึ่งเหลือเพียงร่างไร้ค่า ยังจะมีประโยชน์ใดอีกงั้นหรือ? สตรีผู้มีใบหน้าละม้ายเจ้าหญิงเติบโตขึ้นมาในฐานะทาสของเชื้อพระวงศ์แห่งอาณาจักรนั้นอย่างช้าๆ รอเวลาจะได้แก้แค้นทุกสิ่งอย่างจากราชวงศ์แห่งโลนอนซิล!
แล้วโอกาสนั้นก็เปิดออกจนได้ เมื่อวันหนึ่งนางได้รับรู้ถึงความเสมอเหมือนของตน แม้จะต่างที่สีของเส้นผมก็ไม่เป็นไร ในเมื่อนางสามารถเปลี่ยนมันได้อย่างง่ายดาย และด้วยความเป็นทาสและการฝึกปรือฝีมือโดยบังเอิญเรื่อยมา นางสามารถลอบเข้าไปสร้างสถานการณ์ภายในปราสาทของเจ้าชายแห่งโอเทล์มได้สำเร็จด้วยใบหน้าของ ‘เจ้าหญิงแห่งโลนอนซิล!’
หน้าตาของนางบิดเบี้ยวระหว่างเล่าถึงแผนการอันชาญฉลาดของตน ราวกับว่าความบ้าคลั่งได้เริ่มขึ้นอย่างช้าๆ นางไม่คิดว่าโอเทล์มจะพ่ายแพ้อย่างแน่นอน ทั้งกองกำลังหรืออาวุธต่างมีเวลาในการตระเตรียมมากกว่าทั้งนั้น แค่เพียงเติมเชื้อไฟที่เหลืออีกสักนิด ทุกสิ่งก็จะลุกไหม้เผาลาญดุจเพลิงแห่งความเคียดแค้นได้ทำลายสิ้นทุกสิ่ง!
ในขณะเดียวกันนั้น ข่าวคราวของเจ้าหญิงเดเนียร์จากอาณาจักรพันธมิตรแห่งโลนอนซิล ซึ่งความเกี่ยวพันทางสายเลือดระหว่างองค์ราชินี จึงทำให้ใบหน้าของนางคล้ายคลึงกับไดอาน่า
“นี่ไม่เรียกว่าโชคชะตาเล่นตลกหรอกหรือ...? ข้าผู้ถูกพรากอำนาจและเกียรติยศซึ่งควรจะได้ไป เจ้าหญิงต่างเมืองผู้หายสาบสูญ เหลือใครกันเล่าที่ยังคงอยู่ ถ้าไม่ใช่เจ้า!” นางจับอาวุธในมือจนแน่นเกร็ง “ข้าจึงใช้นามของนางกับเอกสารปลอมอีกเล็กน้อยในการก้าวเข้ามา เพื่อพบพานกับเจ้าชายซึ่งอาจหลงรักกับข้า ด้วยการวิวาห์ด้วยสายเลือดอันใกล้เคียงไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว แม้จะเป็นเจ้าหญิงของอาณาจักรอันถูกยึดอำนาจ มันก็ย่อมดีกว่าสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้ แต่แล้วข้าก็พบว่ามันไม่อาจเป็นไปได้เลย ถึงกระนั้น ใช่ว่าข้าจะไม่ทิ้งอะไรไว้ให้แก่ตัวหมากเจ้าปัญหาหรอกนะ ถือเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนกับเรื่องราวที่ข้าลงแรงสืบค้นทั้งหมด!”
แม้สิ่งเหล่านั้นจะล้มเหลวไปเช่นไร ก็ไม่มีความจำเป็นต้องเสียดายให้มากความ หากแต่สงครามอันวาดเป็นความหวังหลักไว้กลับไม่ปะทุ ซ้ำยังมีคนที่ชวนคุ้นเคยปรากฏตัวขึ้น แม้จะปิดบังหน้าตาซีกซ้ายไว้ก็ตาม เจ้าชายที่ตนจ้องมองเพราะอยากทัดเทียมมาตลอด กลับปรากฏตัวขึ้นในฐานะผู้อารักขาเจ้าหญิงในแดนศัตรู!?
ความรักต้องห้ามอันทำให้ข้ามน้ำข้ามทะเลมาเพื่อพิสูจน์ความจริง โอ้...สิ่งนั้นยิ่งทำให้ใจของสาวน้อยผู้สูญสิ้นทุกอย่างตั้งแต่ยังไม่รู้ความ ยิ่งทวีความริษยาจนแทบเกินจะทานทน ในเมื่อเขามีใจต่อนางมากมายถึงเพียงนี้ ไยจึงไม่ใช่ประโยชน์ให้มากที่สุดเล่า...?
เมื่อนางเป็นเจ้าหญิงแห่งโลนอนซิลที่เขาหมายปอง สันติภาพอันเกิดขึ้นท่ามกลางความขัดแย้งเพราะการเจรจาระหว่างสองอาณาจักร หากเป็นเขาหลงใหลนางมากพอ ใช่ว่าเรื่องแบบนั้นจะเกิดขึ้นไม่ได้
“งั้น...” ไดอาน่าหลับตาลงเพื่อรวบรวมสมาธิต่อสิ่งที่กิดขึ้น ก่อนจะเปิดนัยเนตรอันเด็ดเดี่ยวเข้มแข็งออกมา “...เจ้าชายโอซิลริคแห่งโอเทล์ม ท่านไม่มีความจำเป็นต้องหลบซ่อนในที่แห่งนั้นอีกต่อไป”
ดวงตาของสตรีผู้มาเยือนถึงกับเบิกกว้าง มองดูเขาที่ค่อยๆถอดหน้ากากสีขาวเหลือบเงินอันนั้นออกมา ตามด้วยหน้ากากแผลน่าเกลียดน่ากลัว เผยให้เห็นถึงความหล่อประดุจเทพบุตร ซึ่งถูกหลบซ่อนด้วยสิ่งจำแลงใบหน้าต่างๆ เป็นไปไม่ได้ ในเมื่อนางตรวจดูว่าเขายังคงพักอยู่ในห้อง ไม่มีทางจะมาซ่อนยังห้องของเจ้าหญิงได้ก่อนแน่!
และนางได้พูดทุกสิ่ง...พูดทุกสิ่งออกไปทั้งหมดเลยไม่ใช่หรือ
“หากเป็นคนที่สวมหน้ากากปิดหน้าตาไว้ครึ่งหนึ่งและมองจากหน้าต่างภายนอกอันมืดมิด ไม่ว่าใครก็คงแยกตัวตนความแตกต่างไม่ออก” โอซิลริคกล่าวอย่างเคร่งขรึมดูน่าเกรงขาม หากแต่ไม่กล้าแม้แต่จะมองเจ้าหญิงไดอาน่าเลยสักนิดน้อย “ถึงเจ้าจะกล่าวสิ่งใดอีกร้อยพันกว่าคำ ก็ย่อมรู้ว่าข้าไม่มีความลังเลในการสังหารเจ้าอีกต่อไป!”
ทว่า สุ่มเสียงของไดอาน่าดูจะจริงจังเยือกเย็นไม่น้อย “ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าชายแห่งโอเทล์มลงมือแต่อย่างใด”
ถึงแม้ว่ากองกำลังพิทักษ์เจ้าหญิงจะไม่สามารถเข้ามาได้เพราะการล่อหลอกศัตรู แต่การเคลื่อนไหวของกองกำลังแห่งองค์ราชินีนั้นเป็นข้อยกเว้น!
ไม่มีความจำเป็นต้องขัดขืน อยู่อย่างไร้เกียรติย่อมดีกว่าไม่เหลือสิ่งใด สตรีนักฆ่าทิ้งอาวุธลงข้างกายอย่างยอมจำนน ปล่อยให้กองกำลังนำตัวไปด้วยใบหน้าอันเลื่อนลอยผิดหวังคล้ายกับแมดดิน่า หากแต่มันเกิดขึ้นจากความหวังอันพังทลายลงอย่างไม่มีทางกอบกู้
สาวน้อยผู้พบพานกับการสูญสิ้นทุกสิ่งด้วยน้ำมือของราชินีแห่งโลนอนซิล ได้เงยหน้าขึ้นมาสบตานางอย่างช้าๆ “ในเมื่อทุกสิ่งลงเอยเช่นนี้ ข้าก็คงไม่ต่างจากบทบาทของคนโง่เขลา ไยทุกสิ่งมันจึงจบลงเร็วนัก ราวกับทุกสิ่งที่ผ่านมาเป็นเพียงแค่ภาพลวงยามนิทรา...”
“เพราะบทบาทของคนโง่เขลาได้หมดหน้าที่แล้วอย่างไรเล่า” ดวงตาขององค์ราชินีคมกริบ พลางหันไปทางเจ้าชายแห่งโอเทล์ม “ข้าจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย เรื่องวุ่นวายนี้จะต้องจบลงเสียที!”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ